Doombringer the 5th - ตอนที่ 65
Ch.65 – จุดสูงสุดแห่งยามสนธยา (1)
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 65
จุดสูงสุดแห่งยามสนธยา (1)
Part 1
ศักราชที่ 246 หลังจากผ่านการรุกรานครั้งที่สามมาได้ 35 ปี
แม้เวลาจะผ่านมานานแล้วแต่การรุกรานครั้งนั้นก็ยังคงส่งผลต่อเนื่องมาเป็นเวลาเนิ่นนานจนถึงปัจจุบัน
เพราะแต่ละอาณาจักรต่างก็เกิดความกังวลว่าถ้ามีผู้สร้างหายนะปรากฏตัวขึ้นในสักวันหนึ่ง ดินแดนของตนเองจะถูกเผาทำลายจนราบพนาสูญเหมือนดังดินแดนโครซิส ด้วยเหตุนี้ ทุกอาณาจักรจึงพยายามสะสมกำลังพลและเพิ่มแสนยานุภาพทางการทหารของตนเองให้มากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อเตรียมรับมือกับการรุกรานที่อาจเกิดขึ้น
เมื่อมีการสะสมกำลังพลเป็นจำนวนมาก ค่าบำรุงกองทัพของแต่ละอาณาจักรก็เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว กลายเป็นค่าใช้จ่ายอันสิ้นเปลืองที่ไร้ซึ่งผลตอบแทน นอกจากนี้ การที่เม็ดเงินจำนวนมากไปจมกับการบำรุงกองทัพ ทำให้ภาวะเศรษฐกิจของแต่ละอาณาจักรเริ่มถดถอย และก่อให้เกิดปัญหาอื่น ๆ ตามมา
หนึ่งในนั้นคือการแข็งข้อของแคว้นบริวารที่เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักร ซึ่งรูปแบบการปกครองของโลกใหม่จะมีลักษณะเป็นสหพันธรัฐ คือเป็นอาณาจักรที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวของแคว้นต่าง ๆ ในภูมิภาคนั้น โดยมีแคว้นที่ใหญ่ที่สุดเป็นศูนย์กลาง
เมื่อเจอภาวะเศรษฐกิจถดถอย อาณาจักรส่วนกลางก็ผลักภาระภาษีมาให้กับแคว้นบริวารมากขึ้นเรื่อย ๆ ในที่สุดจึงมีแคว้นที่ทนไม่ไหวและตัดความสัมพันธ์กับอาณาจักรขึ้นมา
เมื่อมีคนริเริ่ม ก็มีคนทำตาม บรรดาแคว้นบริวารที่ได้รับความลำบากจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำซ้ำยังต้องแบกรับภาระภาษีมาช้านานต่างก็แห่กันประกาศตนเป็นอิสระตามกันเป็นลูกโซ่
เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องวิกฤติสำหรับบรรดาอาณาจักรใหญ่ ๆ ที่มีค่าใช้จ่ายทั้งทางด้านเศรษฐกิจและการทหารค่อนข้างสูง เพราะเงินบำรุงอาณาจักรจำนวนมากก็ได้มาจากเงินภาษีของแคว้นบริวารทั้งสิ้น
หากยอมปล่อยให้แคว้นบริวารแยกตัวออกไปเรื่อย ๆ ก็อาจทำให้อาณาจักรประสบปัญหาจนถึงขั้นล่มสลายได้ ทางออกสุดท้ายของแคว้นใหญ่จึงมาจบลงที่การใช้กำลังบังคับแคว้นบริวารให้กลับมาอยู่ใต้อาณัติของตนเองอีกครั้ง
ทว่าการรวบรวมแคว้นต่าง ๆ กลับมาอยู่ใต้อาณัติก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เพราะผลจากการสะสมกำลังทหาร ทำให้ทุกแคว้นต่างก็มีกองทัพเป็นของตัวเอง บรรดาแคว้นบริวารจึงไม่มีความกลัวเกรงต่ออาณาจักรส่วนกลางและพร้อมที่จะต่อสู้เพื่ออิสรภาพ
แม้พีชคีปเปอร์จะพยายามไกล่เกลี่ย แต่เพราะส่วนใหญ่แล้วมันเป็นเหมือนปัญหาภายในของแต่ละอาณาจักร องค์กรกลางอย่างพีชคีปเปอร์จึงทำอะไรไม่ได้มาก เลยได้แต่เฝ้าระวังไม่ให้การต่อสู้ลุกลามจนกลายเป็นสงครามขนาดใหญ่เท่านั้น
เพราะไม่มีการสู้รบระหว่างอาณาจักร และผู้นำอาณาจักรต่างๆยังมีความร่วมมือร่วมใจกันเนื่องจากกำลังประสบปัญหาแบบเดียวกัน ความสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักรจึงยิ่งแน่นแฟ้น ทำให้เหล่าผู้นำและชนชั้นสูงพากันเรียกยุคสมัยนี้ว่ายุคสมัยแห่งความปรองดอง (Age of Harmony)
แต่ความจริงในแต่ละอาณาจักรกลับมีสงครามภายในระหว่างอาณาจักรส่วนกลางกับแคว้นบริวารอย่างไม่หยุดหย่อน ทำให้ผู้คนที่อยู่ตามแคว้นบริวารเรียกยุคนี้ว่ายุคสมัยแห่งสันติภาพจอมปลอม (Age of Delusion)
ในปีศักราชที่ 290 หลังจากผ่านการรุกรานครั้งที่สามมาได้ 79 ปี ภาวะสงครามภายในของแคว้นต่าง ๆ ก็เริ่มเข้าสู่จุดอิ่มตัว
อาณาจักรส่วนใหญ่สามารถควบรวมแคว้นบริวารกลับเข้ามาอยู่ใต้อาณัติได้อีกครั้ง แต่ในหลาย ๆ แห่งก็เกิดการเปลี่ยนถ่ายขั้วอำนาจ มีแคว้นที่เคยเป็นเพียงแคว้นบริวารสามารถเอาชนะแคว้นใหญ่และพลิกขึ้นมาเป็นผู้ครองอำนาจได้เช่นกัน
เหล่าผู้ชนะพากันสถาปนาอาณาจักรอันเป็นปึกแผ่นของตนเองอย่างเต็มภาคภูมิ เป็นการสิ้นสุดของยุคสมัยแห่งสันติภาพจอมปลอมหรือยุคสงครามปราบดินแดนซึ่งกินเวลาร่วม 44 ปี ทว่าบาดแผลจากยุคสมัยแห่งสงครามที่กินเวลาหลายทศวรรษนี้ก็เพิ่งจะสำแดงอาการของมันเท่านั้น
——————————————————————————————————–
Part 2
ทางตะวันตกของแคว้นเอราเธีย อาณาจักรเอลิเซีย ทวีปเทอร่า
ที่โบสถ์เล็ก ๆ ซึ่งตั้งอยู่บริเวณชายป่าห่างจากหมู่บ้านออกไปไม่ไกลนัก บาทหลวงประจำโบสถ์กำลังยืนส่งนักผจญภัยสองคนที่มาช่วยทำภารกิจกำจัดมอนสเตอร์ให้กับหมู่บ้านโดยไม่รับค่าตอบแทนใด ๆ
“ถึงจะไม่รับเงิน แต่อย่างน้อยก็ช่วยรับอาหารพวกนี้เอาไว้เถอะนะ ไว้สำหรับกินตอนเดินทางไงล่ะ”
“ขอบคุณมากครับ ถ้างั้นละก็…”
นักผจญภัยหนุ่มยื่นมือออกไปรับถุงเสบียงจากบาทหลวง แต่ก็ถูกนักผจญภัยหญิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ขวางเอาไว้ซะก่อน
“ไม่ได้หรอกค่ะ สมัยนี้น่ะอาหารก็นับเป็นของสำคัญไม่แพ้เงินทองเลยไม่ใช่เหรอคะ? พวกเรายังมีเสบียงติดตัวอยู่ อาหารนี่เก็บเอาไว้ให้เด็ก ๆ พวกนั้นเถอะค่ะ”
นักผจญภัยหญิงพูดพลางมองไปยังหน้าต่างของโบสถ์ซึ่งมีเด็กจำนวนมากมายนับสิบคนกำลังยืนออกันแอบดูจากช่องหน้าต่างด้วยท่าทางอยากรู้อยากเห็น แต่เมื่อถูกนักผจญภัยทั้งสองมองกลับไปทุกคนก็รีบหลบตัวลงเพื่อแอบซ่อนในทันที
“อา… ต้องขอโทษด้วยนะ เด็ก ๆ พวกนี้น่ะถูกสั่งสอนมาให้ระวังคนที่มีท่าทางน่าสงสัย ก็เลย…”
เพราะความหวาดระแวงต่อปิศาจและความชั่วร้าย ทำให้เด็ก ๆ ในโลกนี้มักถูกสอนให้แยกแยะความชั่วร้ายจากการมองรูปลักษณ์แบบง่าย ๆ เช่นจากหน้าตาท่าทาง หรือเสื้อผ้าอาภรณ์ ทำให้พวกเขาค่อนข้างระแวงนักผจญภัยทั้งสองเป็นพิเศษ
เพราะทั้งสองคนสวมชุดสีดำซึ่งมีดีไซน์แปลกประหลาด ตรงกับที่เด็ก ๆ ถูกสอนมาว่านี่คือลักษณะของคนร้ายหรือผู้เกี่ยวข้องกับปิศาจ เด็ก ๆ จึงไม่กล้าเข้าใกล้นักผจญภัยทั้งสองคนและได้แต่แอบดูผ่านช่องหน้าต่างเท่านั้น
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ก็พวกเราน่ะเป็นผู้ใช้ศาสตร์มืดจริง ๆ นี่นา ให้เด็ก ๆ ระวังคนอย่างพวกเราไว้ก็ดีแล้วนะคะ”
หญิงสาวพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มและเป็นมิตร ถ้อยคำที่ฟังดูเหมือนจะเป็นการพูดประชดประชันนั้นจึงให้ความรู้สึกเหมือนเป็นการล้อเล่นมากกว่า
แม้บาทหลวงจะพยายามบอกให้พวกเขารับเสบียงไปเป็นสินน้ำใจ แต่นักผจญภัยหญิงก็ยังคงยืนกรานปฏิเสธ สุดท้ายบาทหลวงจึงต้องยอมแพ้และรับถุงเสบียงกลับไป
เมื่อร่ำลากันเสร็จแล้ว นักผจญภัยทั้งสองก็ขึ้นรถม้าที่เตรียมไว้ และเริ่มออกเดินทาง
หลังจากเดินทางมาได้พักหนึ่งแล้ว นักผจญภัยหนุ่มก็เริ่มพูดขึ้น
“ไอ้ที่ว่ามีเสบียงอยู่แล้วน่ะ หมายถึงองุ่นตากแห้งไม่กี่เม็ดในถุงนี่น่ะเหรอ? ใจกว้างจริง ๆ เลยนะคุณเอธริค”
ชายหนุ่มผมยาวสีทองหน้าตาสำอางดูเหมือนเป็นคุณชายตระกูลสูง นิโคไล เอลรอนด์ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงประชดประชันเล็กน้อย แต่รอยยิ้มบนใบหน้าก็สื่อว่าเขาเพียงพูดหยอกล้อเท่านั้น
นิโคไล เคยเป็นลูกหลานของชนชั้นสูงในแคว้นเอราเทียมาก่อน แต่หลังจากพยายามแยกตัวเป็นอิสระแล้วพ่ายแพ้ในสงครามกับอาณาจักรเอลิเซีย เหล่าชนชั้นสูงของแคว้นที่สนับสนุนการแยกตัวจึงถูกถอดยศให้กลับไปเป็นสามัญชน ซึ่งตระกูลเอลรอนด์ของนิโคไลก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย
แม้จะยังติดกิริยาอวดดีและเย่อหยิ่งจากสมัยที่เป็นคุณชายอยู่นิดหน่อย แต่นิโคไลก็ปรับตัวได้ดีและใช้ชีวิตเยี่ยงสามัญชนทั่วไปได้อย่างไม่มีปัญหานัก นั่นเพราะเขาเป็นคนที่มีนิสัยเรียบง่ายและไม่ยึดติดอยู่แล้ว
“อย่าบ่นไปหน่อยเลยน่านิค สำหรับพวกเราน่ะจะไปล่าสัตว์หาเสบียงเพิ่มเมื่อไหร่ก็ได้ แต่โบสถ์นั้นน่ะเขาได้เงินกับอาหารมาจากการบริจาคเท่านั้น แถมมีเด็กต้องเลี้ยงดูอีกตั้งเยอะ ให้เขาเก็บไว้น่ะดีแล้ว”
หญิงสาวหน้าตางดงามผู้มีผมสีแดงจาง ๆ ยาวเป็นลอนท่าทางเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ เอธริค บราคาเดีย กล่าวตอบกลับไปเรียบ ๆ ในระหว่างที่ยังก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสืออยู่
เอธริคเองก็เป็นลูกสาวของคนมีฐานะในเอราเทียเช่นกัน เธอเป็นนักเวทที่มีพรสวรรค์และถูกทาบทามจากสมาคมเวทย์หลายแห่งให้เข้าร่วม แต่เอธริคกลับหลงใหลในความลี้ลับของศาสตร์มืดมากกว่า ซึ่งแน่นอนว่าที่บ้านของเธอไม่เห็นด้วย
หลังจบสงครามในเอราเทีย ครอบครัวของเธอก็ถูกยึดทรัพย์เพราะเป็นกลุ่มผู้สนับสนุนการแยกตนเป็นอิสรภาพ ทำให้ทั้งบ้านต้องอพยพไปอยู่กับญาติที่อาณาจักรอื่น เอธริคจึงถือโอกาสนี้แยกกับทางบ้านออกมาเป็นนักผจญภัยและรวบรวมวิชาความรู้ของศาสตร์มืดจากที่ต่าง ๆ มาศึกษาด้วยตนเอง จนในที่สุดเธอก็สำเร็จความรู้ในระดับของวิช (Witch) และเนโครแมนเซอร์ (Necromancer)
ทั้งสองคนเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยที่นิโคไลยังเป็นชนชั้นสูง และเพิ่งกลับมาพบกันอีกครั้งหลังจากเอราเทียแพ้สงคราม
นิโคไลไม่ได้มีความฝักใฝ่ในศาสตร์มืดเหมือนเอธริค แต่เขาชื่นชอบสไตล์และรูปแบบของคลาสด้านมืดมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว หนึ่งในนั้นคือความอยากเป็นดาร์คไนท์ (Dark Knight) เพราะชุดเกราะสีดำอันดุดันและท่าโจมตีของธาตุมืดนั้นเป็นสิ่งที่เขาคิดว่าสง่างามและน่าเกรงขามยิ่งกว่าอัศวินคลาสไหน ๆ
เมื่อได้มาพบกับเอธริคอีกครั้งและรู้ว่าเธอเป็นผู้ศึกษาศาสตร์มืด นิโคไลจึงขอให้เธอช่วยหาตำราสำหรับการเป็นดาร์คไนท์ให้ ซึ่งเอธริคก็มีอยู่ในครอบครองพอดี แม้จะไม่มีใครสอน แต่ด้วยความพยายามและมุ่งมั่นบวกกับความชอบส่วนตัว ในที่สุดนิโคไลก็สำเร็จวิชาจนเลื่อนชั้นเป็นดาร์คไนท์ได้ด้วยตนเอง
ทั้งสองคนยังได้พบกับผู้ศึกษาศาสตร์มืดอีกหลายคนในระหว่างการเดินทาง ส่วนใหญ่ก็เป็นคนที่หลงใหลในสไตล์และวิชาของฝ่ายมืดด้วยกันทั้งสิ้น จึงเกิดถูกชะตากันและเข้าร่วมในคณะเดินทาง ทำให้กลุ่มของเอธริคกับนิโคไลมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อมีสมาชิกถึงห้าคนเอธริคจึงคิดถึงเรื่องที่จะตั้งชื่อกลุ่มขึ้นมา
แต่ด้วยนิสัยคุณชายของนิโคไลทำให้เวลาจะทำอะไรทั้งทีต้องทำให้มันยิ่งใหญ่ไว้ก่อน บวกกับมีความต้องการที่จะสร้างสมาคมของนักผจญภัยฝ่ายมืดมานานแล้ว แทนที่จะตั้งกลุ่มนักผจญภัยเฉยๆ เขาจึงเลือกที่จะตั้งสมาคมขึ้นมาแทน โดยใช้ชื่อว่า ‘ทไวไลท์เมอริเดี้ยน’ (Twilight Meridian = จุดสูงสุดแห่งยามสนธยา)
ถึงจะเรียกมันว่าสมาคม แต่นิโคไลก็แค่อยากจะตั้งสมาคมขึ้นมาเท่ ๆ ไม่ได้คิดจะใช้มันทำกิจกรรมของสมาคมจริง ๆ นอกจากนี้เขายังไม่คิดว่าจะมีใครมายื่นคำร้องกับสมาคมนักผจญภัยฝ่ายมืดแบบนี้ด้วย แต่ปรากฏว่าเขาคิดผิด
เพราะหลังจากแพ้สงคราม เอราเทียได้ถูกเรียกค่าปฏิกรรมสงครามเป็นจำนวนมหาศาลจากอาณาจักรส่วนกลาง คณะปกครองชุดใหม่ของเอราเทียจึงต้องพยายามหารายได้จากทุกช่องทาง ทั้งการขึ้นภาษี และการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากการทำกิจกรรมต่าง ๆ
หนึ่งในนั้นคือการยื่นคำร้องกับสมาคมนักผจญภัยของทางการ ซึ่งถ้าไม่มีค่าตอบแทนที่เหมาะสม ทางสมาคมก็จะไม่รับคำร้องเอาไว้ และด้วยอัตราภาษีที่สูง ทำให้สมาคมนักผจญภัยของเอกชนที่แบกรับอัตราภาษีไม่ไหวค่อย ๆ ปิดตัวลงไป ประชาชนจึงมีทางเลือกไม่มากนัก
ผู้คนที่ประสบปัญหาแต่ไม่มีเงินจ่ายค่าธรรมเนียมคำร้องจึงเลือกที่จะติดป้ายประกาศภารกิจลงบนกระดานข่าวตามโรงแรมหรือร้านเหล้าต่าง ๆ เผื่อว่าจะมีนักผจญภัยอิสระที่ไหนยอมมาทำภารกิจให้ ทว่าด้วยสภาพของแคว้นเอราเทียซึ่งเพิ่งจะฟื้นตัวจากสงครามก็ทำให้ไม่ค่อยมีนักผจญภัยเดินทางผ่านมาเท่าไหร่นัก
แต่เอธริคก็มักจะแวะดูใบคำร้องตามกระดานข่าวทุกครั้งที่แวะเข้าไปในเมือง และรับใบคำร้องหลาย ๆ ใบมาแจกจ่ายให้สมาชิกของสมาคมแต่ละคนเอาไปทำ โดยให้เหตุผลว่าเป็นโอกาสดีที่จะได้พัฒนาและทดสอบวิชาด้านศาสตร์มืดของแต่ละคน
ทุกคนเข้าใจดีอยู่แล้วว่าเอธริคทำไปเพราะอยากจะช่วยเหลือชาวบ้านที่เดือดร้อนมากกว่า จึงยอมรับภารกิจเหล่านั้นมาทำโดยไม่ปริปากบ่นอะไร เพราะมันไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรง และทุกคนก็ชื่นชอบการผจญภัยกันอยู่แล้วด้วย
เมื่อเวลาผ่านไป ชื่อเสียงของกลุ่มนักผจญภัยฝ่ายมืด ทไวไลท์เมอริเดียน ก็เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นเรื่อย ๆ ในฐานะของสมาคมลับที่ช่วยทำภารกิจให้กับชาวบ้านโดยไม่หวังผลตอบแทน
——————————————————————————————————–
Part 3
รถม้ายังคงเคลื่อนตัวไปตามถนนเลียบแนวป่าอย่างเชื่องช้า นิโคไลที่เริ่มเบื่อจึงชวนเอธริคคุยอีกครั้ง
“จะว่าไปแล้วก็ตลกดีนะ ที่บาทหลวงผู้รับใช้พระเจ้า ต้องมาของความช่วยเหลือจากดาร์คไนท์กับเนโครแมนเซอร์อย่างเราเนี่ย?”
“เราเป็นแค่ผู้ใช้ศาสตร์มืด ไม่ใช่ผู้ต่อต้านพระเจ้าซะหน่อย เขาคงไม่ถือหรอกน่า”
เอธริคตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ โดยยังไม่ละสายตาจากหนังสือที่อ่านอยู่ แต่นิโคไลก็อยากจะให้เธอหันมาคุยดี ๆ มากกว่าถามคำตอบคำ จึงพยายามหาเรื่องชวนคุยต่อ ทว่าในระหว่างนั้นเขาก็ได้ยินเสียงกุกกักดังมาจากท้ายรถ
ทั้งสองคนหันมาสบตากันก่อนที่นิโคไลจะหยุดรถและลงจากที่นั่ง เอธริคเองก็เดินอ้อมอีกฟากหนึ่งของรถเพื่อไปดูยังส่วนบรรทุกของที่อยู่ด้านท้ายรถด้วย
ที่ส่วนบรรทุกสัมภาระมีข้าวของมากมายที่ได้มาในระหว่างเดินทางถูกวางกองอยู่โดยมีผ้าคลุมปิดทับอีกชั้น แต่รูปร่างของสัมภาระที่ผ้าคลุมปิดอยู่บางส่วนมีลักษณะแปลกไป
นิโคไลนำดาบของตัวเองออกมาถือเตรียมพร้อมไว้ แต่สีหน้าของเขาก็ดูไม่จริงจังนัก เพราะเขาคิดว่ามันอาจเป็นแค่สัตว์ตัวเล็ก ๆ ที่หลงเข้ามามากกว่า
แต่เพื่อความไม่ประมาท เอธริคจึงอัญเชิญสเกลตันออกมาหนึ่งตัว และสั่งให้มันไปดึงผ้าคลุมนั้นออกเพื่อความปลอดภัย นิโคไลจึงมองอีกฝ่ายด้วยสายตาและรอยยิ้มที่แสดงความเย้ยหยันเล็กน้อย เพราะคิดว่าเธอจะระแวงเกินเหตุไปหน่อยแล้ว
แต่เมื่อสเกลตันดึงผ้าคลุมนั้นออก ทั้งสองคนต่างก็ต้องประหลาดใจไปพร้อม ๆ กัน เพราะใต้ผ้าคลุมนั้นมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งนอนคู้ตัวอยู่
เด็กคนนั้นสบตากับนิโคไลและเอธริคอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะดึงผ้าคลุมกลับมาคลุมโปงอีกครั้งอย่างช้า ๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
คราวนี้เอธริคเลยให้สเกลตันกระชากผ้าคลุมทั้งหมดลงมาจากรถเลย เด็กน้อยจึงได้แต่นอนตะลึงอยู่แบบนั้น เพราะไม่มีอะไรใช้เร้นกายได้อีก
“นี่เธอเป็นใครกัน? แล้วมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”
เอธริคขมวดคิ้วถามด้วยสีหน้าข้องใจ ในขณะที่เด็กน้อยค่อย ๆ ยันตัวขึ้นนั่งพร้อมทั้งแสยะยิ้มก่อนที่จะตอบคำถามของเธอ
“หึหึหึ ไม่เลวนี่ที่หาชั้นพบ… สมแล้วที่เป็นคนของทไวไลท์เมอริเดียน”
คำพูดของเด็กน้อยทำให้เอธริคยิ่งมีสีหน้างุนงงมากขึ้นอีก ในระหว่างนั้นนิโคไลก็มองและพิจารณาเด็กผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า ประเมินดูแล้วเด็กคนนี้น่าจะมีอายุเพียง 5-6 ขวบเท่านั้น
เธอเป็นเด็กผู้หญิงที่มีผมสีเทายาวประบ่าตัดกับนัยน์ตาสีเขียวมรกตอันดูโดดเด่น เธอสวมเสื้อผ้าที่ดูเหมือนจะเป็นของชั้นดี แต่ก็ทนใส่มาจนทั้งโทรมทั้งสกปรก สิ่งที่สะดุดตาของนิโคไลและเอธริคคือแววตาของเด็กน้อยที่มีความมุ่งมั่นอย่างน่าประหลาด
นิโคไลรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเขาเคยพบเด็กคนนี้มาก่อน แต่ก็นึกไม่ออกว่าเคยพบที่ไหน
เด็กน้อยชี้มือมายังเอธริคกับนิโคไล ก่อนจะเอ่ยคำพูดด้วยน้ำเสียงที่เหมือนจะเป็นคำสั่งออกมา
“พวกเธอน่ะ จงพาฉันไปพบกับหัวหน้าสมาคมซะ”
คำพูดของเด็กน้อยทำให้เอธริคและนิโคไลหันมามองหน้ากันอีกครั้ง ก่อนที่นิโคไลจะเป็นฝ่ายพูดออกมา
“นี่ เขาเรียกหาแน่ะ ท่านหัวหน้ากิลด์”
“กิลด์นี้นายเป็นคนตั้งขึ้นมาไม่ใช่เหรอ? หัวหน้ากิลด์ก็ต้องเป็นนายสิ”
“แต่คุณเป็นคนจัดการเรื่องทั้งหมดในสมาคมนี่นา คุณก็ต้องเป็นหัวหน้าสิ”
“แบบนั้นเขาเรียกว่าตำแหน่งเลขาธิการต่างหาก หัวหน้ากิลด์น่ะไม่ต้องจัดการทุกอย่างเองหรอก นั่ง ๆ นอน ๆ ให้คนอื่นทำให้ก็พอแล้ว เหมือนนายไง”
“งั้นในฐานะหัวหน้ากิลด์ผมขอสละตำแหน่งให้ เอธริค บราคาเดีย เป็นหัวหน้ากิลด์แทน ณ บัดนี้… ที่เหลือขอฝากด้วยนะ”
“งั้นในฐานะหัวหน้ากิลด์คนใหม่ ฉันขอสละตำแหน่งให้ นิโคไล เอลรอนด์ ขึ้นเป็นหัวหน้ากิลด์แทน ณ บัดนี้… ที่เหลือขอฝากด้วยนะ”
“วันนี้จะจบมั้ยเนี่ย?”
“นี่! พวกเธอน่ะ! เล่นอะไรกันอยู่ได้! รีบพาฉันไปพบหัวหน้ากิลด์สิ!”
เสียงตะโกนของเด็กน้อยที่แทรกขึ้นมาทำให้การโต้เถียงของเอธริคและนิโคไลต้องหยุดชะงักลง
เอธริคเห็นว่าไม่มีทางเลือกอื่น จึงได้แต่ทำหน้าอ่อนใจแล้วเข้าไปคุยกับเด็กคนนั้นด้วยตนเอง
“สมาคมของเราไม่มีใครเป็นหัวหน้าหรอก แต่จะเรียกฉันว่าเป็นผู้จัดการสมาคมก็ได้น่ะนะ เธอมีธุระอะไรกับพวกเรางั้นเหรอ?”
“ไม่มีหัวหน้าสมาคมเหรอ? แต่ก็ช่างเถอะ พวกเธอเป็นผู้ศึกษาศาสตร์มืดใช่มั้ยล่ะ? รับฉันเข้าร่วมสมาคมทีสิ ฉันอยากจะเป็นเนโครแมนเซอร์น่ะ”
คำพูดที่ฟังดูเหมือนคำสั่งกึ่งคำขอของเด็กน้อยทำให้เอธริครู้สึกตะหงิด ๆ จนอดขมวดคิ้วไม่ได้ แต่ก็ยังพยายามตอบกลับไปอย่างสุภาพ
“นี่ การศึกษาศาสตร์มืดไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ นะ ที่สำคัญคือออกมาเที่ยวเล่นแบบนี้พ่อแม่ไม่เป็นห่วงแย่เหรอ บอกมาซิว่าบ้านของเธออยู่ไหน ชั้นจะพาไปส่ง”
“ทั้งพ่อแม่ ทั้งบ้านน่ะไม่มีแล้ว ทุกอย่างหายไปกับสงครามแล้ว ฉันถึงต้องไปอยู่ที่โบสถ์นั่นไงล่ะ”
คำพูดของเด็กคนนั้นทำให้เอธริคชะงักไป
กลุ่มเด็ก ๆ ที่เอธริคและนิโคไลเห็นอยู่ในโบสถ์นั้นคือเหล่าเด็กกำพร้าที่สูญเสียพ่อแม่ไปในภาวะสงครามนั่นเอง และเด็กคนนี้ก็คงจะแอบขึ้นรถม้าตอนที่พวกเขากำลังร่ำลากับบาทหลวงอยู่
แต่สิ่งที่ทำให้เอธริคและนิโคไลประหลาดใจมากกว่าคือ เด็กน้อยพูดเรื่องนี้ออกมาด้วยท่าทีสบาย ๆ ราวกับมันไม่ใช่เรื่องสำคัญหรือเป็นเรื่องที่น่าเศร้าแม้แต่น้อย
“ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แต่เราคงพาเธอไปด้วยไม่ได้หรอกนะ เอ้า ฉันจะพาเธอกลับไปส่งที่โบสถ์ก็แล้วกัน”
เอธริคอุ้มเด็กคนนั้นขึ้นมาเหน็บข้างเอวเพื่อพาไปยังที่นั่งด้านหน้า แต่เด็กน้อยก็ดิ้นและร้องออกมา
“อ๊าาาา ไม่เอานะ! ฉันไม่ยอมกลับไปที่นั่นหรอก! พวกเธอไม่อยากสอนก็ช่างเซ่! เดี๋ยวฉันไปหาคนอื่นให้ช่วยสอนให้ก็ได้!”
“อย่าพูดบ้า ๆ น่า อายุแค่นี้จะรีบคิดเรื่องการฝึกวิชาไปทำไมเล่า? ร่ำเรียนตามปกติพร้อมกับคนอื่น ๆ ที่โบสถ์ไปน่ะดีแล้ว”
“ถึงจะพาฉันกลับไปส่งที่นั่นก็ไม่มีประโยชน์หรอก! พอมีโอกาสฉันค่อยหนีออกมาใหม่ก็ได้! แล้วฉันจะไปหาผู้ศึกษาศาสตร์มืดคนอื่นให้เขาช่วยสอนให้เอง!”
คำพูดของเด็กน้อยทำให้เอธริคเริ่มหงุดหงิดจนอยากจะเหวี่ยงเธอลงกับพื้น แต่ก็ยังพยายามสงบอารมณ์ไว้และค่อย ๆ วางเด็กคนนั้นลงกับพื้น ก่อนจะพูดกับเธออีกครั้งด้วยแววตาจริงจัง
“ทำไมถึงต้องยึดติดกับการเป็นเนโครแมนเซอร์ขนาดนั้นด้วย? เธอมีเป้าหมายอะไรกันแน่?”
“ก็เนโครแมนเซอร์น่ะสามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นกลับมาได้ไม่ใช่เหรอ? ฉันอยากเป็นเนโครแมนเซอร์ จะได้ชุบชีวิตให้กับทุกคนไงล่ะ”
“ทุกคนเหรอ?”
“ก็ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกพี่ ๆ แล้วก็พวกคนรับใช้ในบ้านด้วย”
เด็กน้อยพูดด้วยแววตาอันมุ่งมั่นและใสซื่อเหมือนกับเธอเชื่ออย่างสนิทใจว่าเวทของเนโครแมนเซอร์สามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นกลับมาได้จริง ๆ อาจเพราะเหตุนี้ทำให้เธอไม่คิดว่าการตายของพ่อแม่เป็นเรื่องใหญ่ เพราะยังมีทางแก้ไขได้อยู่ นั่นคือการชุบชีวิตทุกคนขึ้นมาด้วยเวทของเนโครแมนเซอร์นั่นเอง
เอธริครู้สึกลำบากใจไม่น้อยที่ต้องทำลายความหวังและความฝันของเด็กคนนี้ลง แต่ก็คงปล่อยให้เธออยู่กับความเข้าใจผิดนี้ไปตลอดไม่ได้เช่นกัน
“ฟังนะ… ถึงจะเป็นเนโครแมนเซอร์ก็ใช่ว่าจะชุบชีวิตคนได้หรอก… พวกเราแค่ทำให้ซากศพขยับได้เท่านั้นเอง เป็นการสร้างหุ่นเชิดที่ไร้วิญญาณ… เพราะโลกนี้น่ะไม่มีเวทมนตร์ใด ๆ ที่สามารถชุบชีวิตให้กับคนตายได้”
คำพูดของเอธริคทำให้เด็กน้อยจ้องมองเธอค้างอยู่แบบนั้นเป็นเวลานาน ราวกับกำลังเรียบเรียงความคิดในสิ่งที่เอธริคพูดและหาความหมายของมันอยู่ ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วถามกลับมาอีกครั้งด้วยสายตาที่เคลือบแคลง
“เธอ… ไม่รู้วิธีเองรึเปล่า? ทำไม่เป็นก็อย่ามาบอกว่าไม่มีสิ”
“การชุบชีวิตมนุษย์น่ะเป็นหนึ่งในข้อจำกัดทางเวทมนตร์ที่มนุษย์ไม่สามารถทำได้ หรือต่อให้เป็นทูตสวรรค์ หากไม่รีบชุบชีวิตขณะที่วิญญาณยังวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ ก็ไม่สามารถทำให้คนตายคืนชีพได้เช่นกัน ดังนั้นสำหรับพ่อแม่ของเธอน่ะ ต่อให้มีทูตสวรรค์มายืนอยู่ตรงนี้ เขาก็คงช่วยอะไรไม่ได้หรอกนะ”
คำอธิบายของเอธริคทำให้เด็กน้อยนิ่งเงียบไปอีกครั้ง ก่อนที่เธอจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือ
“แปลว่า… ไม่มีทางที่จะชุบชีวิตให้กับทุกคนได้งั้นเหรอ?”
เอธริคไม่อยากตอบคำถามนั้นเลย เพราะรู้ว่ามันจะทำให้เด็กน้อยคนนี้ต้องหัวใจสลาย แต่มาถึงขั้นนี้แล้วก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพูดกับเธอให้ชัดเจนไป
“ใช่…”
“แปลว่าฉัน… จะไม่ได้พบกับทุกคนอีกแล้วงั้นเหรอ?”
“เสียใจด้วยนะ…”
ดวงตาของเด็กน้อยเริ่มมีน้ำตาเอ่อล้นออกมา เช่นเดียวกับริมฝีปากของเธอที่เริ่มบิดเบี้ยวด้วยอารมณ์ที่รู้สึกเจ็บปวด
“แบบนั้นน่ะ… แบบนั้น… ฉันไม่เอาด้วยหรอกกก ฮืออออออออ”
เด็กน้อยร้องไห้โฮออกมาและซุกตัวลงกับหน้าอกของเอธริค ซึ่งเธอก็โอบกอดเด็กคนนั้นเอาไว้ พลางลูบหลังของเด็กน้อยอย่างอ่อนโยนเพื่อปลอบให้เธอสงบลง
เด็กน้อยยังคงร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่เป็นเวลานาน จนในที่สุดเธอก็หลับไปทั้งที่ยังอยู่ในอ้อมแขนของเอธริคนั่นเอง
——————————————————————————————————–
Part 4
“จะให้หันรถกลับรึเปล่า?”
นิโคไลเอ่ยถามเอธริคซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ โดยมีเด็กน้อยที่กำลังหลับนอนหนุนตักอยู่
“ไม่เป็นไร… กลับไปที่สมาคมเลยเถอะ”
“เห~ ใจดีกว่าที่คิดนะเนี่ย นึกว่ายังไงก็จะพากลับไปส่งคืนที่โบสถ์ซะอีก”
เอธริคไม่ได้ตอบโต้คำพูดของนิโคไลและมองดูเด็กน้อยที่กำลังนอนหลับอยู่บนตักของเธอด้วยแววตาอันซับซ้อน
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเห็นใจในเหตุผลที่เด็กคนนี้คิดอยากจะเป็นเนโครแมนเซอร์ หรือสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างจากแววตาอันมุ่งมั่นของอีกฝ่าย เอธริคจึงยอมเปลี่ยนใจและพาเด็กคนนี้กลับไปด้วย
เมื่อเด็กน้อยตื่นขึ้น เธอก็พบว่าตัวเองอยู่บนเตียงในห้อง ๆ หนึ่ง ดูจากสภาพของผนังและบรรยากาศในห้องแล้วเหมือนกับว่ามันเป็นห้องที่อยู่ในถ้ำหรือดันเจียนที่ไหนสักแห่ง
พอมองไปรอบ ๆ เธอก็พบเอธริคกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ใกล้ ๆ ด้วย
พอเห็นว่าเด็กน้อยตื่นแล้ว เอธริคจึงวางหนังสือลงและหันมาพูดกับเธอ
“เธอน่ะ ยังอยากจะเป็นเนโครแมนเซอร์อยู่รึเปล่า?”
เด็กน้อยไม่ได้ตอบออกมาเป็นคำพูด แต่พยักหน้ารับในขณะที่กำลังปาดน้ำตาซึ่งยังไหลซึมออกมาเล็กน้อย พลางสูดน้ำมูกไปด้วย
“ถ้างั้นก็ตามฉันมา”
เมื่อพูดจบ เอธริคก็ลุกขึ้นและเดินออกไปจากห้อง ซึ่งเด็กน้อยก็เดินตามไปอย่างว่าง่าย
เอธริคพาเธอไปอาบน้ำชำระล้างร่างกายจนสะอาด แล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ เป็นชุดของเนโครแมนเซอร์ฝึกหัด ซึ่งแม้จะดูหลวมไปสักหน่อยเพราะไม่ใช่ขนาดสำหรับเด็ก แต่ด้วยการปรับแต่งจุดผูกเชือกและกลัดเข็มกลัดอีกนิดหน่อยก็ทำให้เด็กน้อยพอจะสวมใส่มันได้พอดีตัว
หลังจากแต่งตัวให้เสร็จแล้ว เอธริคก็พาเธอมายังห้องโถงของสมาคม มันเป็นห้องอันกว้างขวางซึ่งมีธงประจำกิลด์แขวนอยู่ที่ฝาผนังฟากตรงข้ามกับประตูใหญ่
ธงประจำกิลด์นั้นเป็นธงสีม่วงที่มีรูปดาวหกแฉกสีชมพู ล้อมรอบด้วยดาวหกแฉกสีขาวอีกห้าดวง มันคือสัญลักษณ์แห่งสมาคมทไวไลท์เมอริเดียนที่เอธริคเลือกมาจากบันทึกของโลกเก่าเล่มหนึ่ง
แม้จะเป็นห้องที่กว้างขวางและเรียงรายไปด้วยเก้าอี้ร่วมสิบตัว แต่ผู้ที่นั่งอยู่ในห้องมีแค่นิโคไลเพียงคนเดียวเท่านั้น
“ตอนนี้สมาชิกคนอื่น ๆ ยังไม่กลับมาจากการทำภารกิจ เพราะงั้นขอแนะนำแค่คนที่อยู่ที่นี่ก่อนก็แล้วกัน คนที่นั่งอยู่นั่นคือนิโคไล เอลรอนด์ คนที่ ‘ควรจะเป็น’ หัวหน้าของสมาคมนี้ ส่วนฉันคือเอธริค บราคาเดีย ผู้จัดการสมาคม และจะเป็นผู้สอนวิชาของเนโครแมนเซอร์ให้กับเธอนับจากนี้ด้วย… จริงสิ เรายังไม่รู้จักชื่อของเธอเลยนี่นา เธอชื่ออะไรเหรอ?”
เด็กน้อยแสดงอาการดีใจออกมาทางสีหน้าเพราะเอธริคบอกว่าจะสอนวิชาของเนโครแมนเซอร์ให้กับเธอ เธอจึงมีท่าทีอึกอักเล็กน้อยเพราะความตื่นเต้น ก่อนจะตอบคำถามนั้นออกมาอย่างกระตือรือร้น
“ฉันชื่อแซนโดร! แซนโดร เอลราธ! ฝากตัวด้วยนะ!”
เมื่อได้ยินชื่อสกุลของแซนโดร สีหน้าของนิโคไลก็เปลี่ยนไป
เพราะเอลราธ เป็นชื่อของตระกูลใหญ่ที่ทรงอิทธิพลที่สุดในเอราเทีย จัดเป็นตระกูลลำดับสูงยิ่งกว่าตระกูลของเขาซะอีก
นอกจากนี้ ในช่วงที่มีการประกาศอิสรภาพ ตระกูลเอลราธยังถูกสถาปนาขึ้นเป็นราชวงศ์ใหม่ประจำแคว้นเอราเทีย ทำให้บรรดาคนในตระกูลหลักมีศักดิ์เป็นเชื้อพระวงศ์กันทุกคน
พูดง่าย ๆ ว่าแม้จะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ แต่เด็กน้อยคนนี้ก็เคยมีศักดิ์เป็นองค์หญิงของแคว้นเอราเธียนั่นเอง