Doombringer the 5th - ตอนที่ 66
Ch.66 – จุดสูงสุดแห่งยามสนธยา (2)
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 66
จุดสูงสุดแห่งยามสนธยา (2)
Part 1
นิโคไลย้อนกลับไปยังโบสถ์ที่แซนโดรเคยอยู่ เพื่อแจ้งข่าวกับบาทหลวงเรื่องที่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งแอบตามพวกเขาไป และเรื่องที่พวกเขาจะรับเธอไว้เลี้ยงดูเองด้วย
เขายังสอบถามถึงปูมหลังของเด็กคนนั้นจากบาทหลวง ซึ่งทางบาทหลวงเองก็ไม่ทราบรายละเอียดอะไรมากนัก เพราะเธอไม่เคยบอกชื่อกับใครด้วยซ้ำไป
พอกลับมาถึงสมาคม นิโคไลก็พบกับแซนโดรที่กำลังฝึกการอัญเชิญ โดยมีเอธริคให้คำชี้แนะอยู่ห่าง ๆ เขาจึงเดินเข้าไปทัก
“เป็นไงมั่งคุณเอธริค พอจะมีแววบ้างรึเปล่า?”
“อืม… ดูนั่นสิ”
เอธริคชี้ไปทางแซนโดร ซึ่งเมื่อเขาหันไปดูก็พบว่าเด็กน้อยคนนั้นสามารถอัญเชิญสเกลตันออกมาจากวงเวทได้อย่างสมบูรณ์ ราวกับเป็นเรื่องปกติธรรมดา ทำให้เขารู้สึกแปลกใจมาก
“เดี๋ยวก่อน เพิ่งจะฝึกได้ไม่ถึงวันเองไม่ใช่เหรอ? ยังไม่น่าจะถึงการอัญเชิญนี่นา?”
“มีการข้ามขั้นตอนนิดหน่อยน่ะ เพราะตอนสอนพื้นฐานกับทฤษฎีให้ ยัยเปี๊ยกนั่นก็เอาแต่โวยวายว่าน่าเบื่อ อยากจะลองทำดูเร็ว ๆ ด้วยความรำคาญฉันก็เลยให้ฝึกปฏิบัติซะ ไม่คิดว่าจะทำได้จริง ๆ ”
“เห~ หัวไวขนาดนั้นเชียวเหรอเนี่ย”
“อาจเรียกได้ว่ามีพรสวรรค์เลยล่ะ แต่เรื่องแบบนี้ยังต้องดูกันไปอีกยาวน่ะนะ”
“อืม… แล้วเรื่องที่ผมให้ช่วยตรวจสอบสัมภาระของเด็กคนนั้นล่ะ?”
“ฉันตรวจดูแล้ว ไม่มีของมีค่าหรืออะไรที่น่าจะใช้ยืนยันตัวตนได้เลย”
“เธออาจจะซ่อนเอาไว้รึเปล่า?”
“เมื่อวานฉันเป็นคนอาบน้ำให้เด็กคนนี้ด้วยตัวเอง เสื้อผ้าชุดใหม่ฉันก็เป็นคนสวมให้ด้วย ไม่มีที่ไหนที่จะซ่อนได้หรอก ว่าแต่ท่านบาทหลวงว่ายังไงบ้างล่ะ?”
“ทางนั้นน่ะไม่รู้ชื่อของแซนโดรด้วยซ้ำไปเพราะเธอไม่เคยบอก รู้แค่เป็นเด็กกำพร้าที่มีคนพามาส่งไว้พร้อมกับเด็กอีกหลายคน นอกนั้นก็ไม่รู้อะไรเลย”
“ถ้างั้นก็ช่างมันเถอะ ไม่ว่าเธอจะเคยเป็นเจ้าหญิงจริงรึเปล่า ฉันก็ไม่เห็นว่ามันจะสำคัญอะไรตรงไหนเลย”
เอธริคกล่าวด้วยสายตาเบื่อหน่าย ผิดกับนิโคไลที่รีบแย้งขึ้นมาด้วยท่าทีที่ตื่นเต้น
“สำคัญสิคุณเอธริค! เขาเป็นเจ้าหญิงแห่งราชวงศ์เอราเทียเชียวนา”
“เจ้าหญิงของราชวงศ์ที่ก่อตั้งได้ไม่ถึงปีก็ล่มสลายน่ะเหรอ? ถ้าใช่แล้วจะทำไม? จะไปช่วยเขากอบกู้ราชวงศ์ขึ้นมารึไง?”
“คุณก็รู้ดีนี่นาว่าสภาพบ้านเมืองเป็นยังไง คณะปกครองของเอราเทียตอนนี้กดขี่ประชาชนแค่ไหน ถ้าเราได้คนของราชวงศ์มาเป็นสัญลักษณ์ในการต่อสู้ ก็น่าจะรวบรวมผู้สนับสนุนขึ้นมาได้มากมาย และสามารถขับไล่คณะปกครองชุดนี้ออกไปได้นะ”
“หมายถึงจะใช้เธอเป็นหุ่นเชิดในการยึดอำนาจคืนงั้นเหรอ? เสร็จแล้วไงต่อล่ะ? ได้คิดเอาไว้รึเปล่า?”
เอธริคถามพลางมองไปยังนิโคไลด้วยสายตาเย็นชาจนเหมือนกับจะแสดงความรังเกียจออกมา แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรและยังคงพูดต่อ
“ยังไงต่อน่ะเหรอ? เราก็แยกตัวออกมาปกครองตนเองอีกครั้ง จะได้ไม่ต้องถูกขูดรีดภาษีจากอาณาจักรส่วนกลางไงล่ะ”
“โอ้ ยอดไปเลยนะ แล้วจากนั้นจะเป็นยังไงต่อล่ะ?”
เอธริคถามด้วยเสียงสูงเหมือนเป็นการประชดประชัน ทำให้นิโคไลชะงักไป
“จากนั้นน่ะเหรอ?”
“ถ้าการแยกตนเป็นอิสระมันทำได้จริง ราชวงศ์เอราเทียก็คงไม่ล่มสลายแล้ว แต่เพราะว่ายังไงเอราเทียก็มีกำลังไม่พอจะต้านทานกองทัพของอาณาจักรส่วนกลางทำให้ถูกยึดกลับคืนไปเป็นส่วนหนึ่งของเอลิเซียอีกครั้ง เพราะงั้นคราวนี้ผลก็คงไม่ต่างกันหรอก”
“เรื่องนั้นมันก็ไม่แน่หรอกน่า… ทางเอลิเซียเองก็สูญเสียกำลังพลจากสงครามรวบรวมดินแดนไปไม่น้อยเหมือนกัน ถ้าเราฉวยโอกาสนี้ละก็…”
นิโคไลตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาลงผิดกับทีแรก เพราะเขาก็รู้ดีว่านั่นเป็นการคาดหวังที่ไม่ตั้งอยู่บนความเป็นจริงสักเท่าไหร่ เอธริคที่เห็นท่าทีแบบนั้นก็รู้ว่าอีกฝ่ายพอจะเข้าใจในประเด็นที่เธอจะสื่อแล้ว จึงอธิบายกับเขาด้วยเหตุผลอีกครั้ง
“นิค… ฉันเข้าใจนะว่านายอยากจะกอบกู้บรรดาศักดิ์ของตระกูลเอลรอนด์กลับคืนมา แต่วิธีนี้มันไม่ได้ผลหรอก การก่อสงครามเพิ่มมีแต่จะทำให้ผู้คนเดือดร้อนกันเปล่า ๆ และสุดท้ายทุกอย่างจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม ดังนั้นพยายามหาวิธีอื่นเถอะ”
คำพูดของเอธริคนั้นมีเหตุผลและแทงใจจนนิโคไลโต้แย้งไม่ออก เขาจึงได้แต่นิ่งเงียบไป
ต่อให้มีศักดิ์เป็นองค์หญิงจริง ๆ แต่ถ้าไม่มีอะไรมายืนยันตัวตนก็ไม่มีความหมาย แค่ชื่อหรือนามสกุลเป็นสิ่งที่ใครก็อ้างได้ ยิ่งกว่านั้นราชวงศ์เอราเทียยังเป็นราชวงศ์ที่ก่อตั้งและล่มสลายไปในช่วงเวลาสั้น ๆ ยังไม่มีบารมีหรือผู้ศรัทธาในระดับที่ภักดีต่อราชวงศ์ได้จริง ๆ เลย เอธริคจึงคิดว่าไม่ว่าแซนโดรจะเป็นองค์หญิงจริงรึไม่ ก็ไม่มีประโยชน์
สิ่งที่เอธริคยังเป็นกังวลอยู่มีเพียงความคิดของแซนโดรเท่านั้น ว่าเธอจะยังยึดติดกับการเป็นองค์หญิงอยู่รึเปล่า จึงอาศัยเวลาในช่วงพักจากการฝึกลองเลียบ ๆ เคียง ๆ ถามดู
“แซนโดร”
“หืม?”
“เธอตั้งเป้าหมายต่อจากนี้เอาไว้ว่ายังไงบ้าง?”
“เป้าหมายเหรอ?”
“ก็เรื่องที่อยากจะทำให้สำเร็จให้ได้น่ะ นอกเหนือจากเรื่อง…”
เอธริคหยุดพูดไปกลางคันเพราะคิดว่าหากพูดขึ้นมาตรง ๆ แซนโดรอาจร้องไห้อีก ซึ่งเด็กน้อยก็มีสีหน้าหมองลงเล็กน้อยจริง ๆ และทำท่าเหมือนกำลังพยายามกลั้นน้ำตาอยู่
เหตุที่เอธริคอยากรู้ก็เพราะเธอเคยเห็นแววตาอันมุ่งมั่นของเด็กคนนี้มาแล้ว ทำให้รู้ว่าแซนโดรเป็นเด็กที่มีความแน่วแน่แค่ไหน จึงคิดว่าหากเธอไม่นำความมุ่งมั่นนั้นไปใช้กับสิ่งไร้ค่าอย่างการฟื้นฟูราชวงศ์ก็คงจะดี
แต่หลังจากปาดน้ำตาที่ไหลซึมออกมาเล็กน้อยและหันกลับมาตอบเอธริคด้วยแววตาอันมุ่งมั่นแล้ว คำตอบของแซนโดรกลับทำให้เอธริคหนักใจขึ้นไปอีก
“เป้าหมายของฉันก็คือการยึดครองโลกยังไงล่ะ!”
——————————————————————————————————–
Part 2
เอธริคนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เธอเม้มปากและตาอันไร้อารมณ์เหมือนไม่แน่ใจว่าจะถามคำถามต่อไปดีรึเปล่า แต่สุดท้ายเธอก็พูดออกไป
“ทำไมถึงอยากจะยึดครองโลกล่ะ?”
“การยึดครองโลกมันก็เป็นเป้าหมายของคนทุกคนไม่ใช่เหรอ?”
แซนโดรตอบกลับมาด้วยสีหน้าฉงน ราวกับคำถามของเอธริคเองต่างหากที่ผิดปกติ
“…นี่เธอเติบโตมาในที่แบบไหนกันเนี่ย? ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ?”
“ทุกคนก็มีโลกในแบบที่ตัวเองอยากจะอยู่และอยากจะให้เป็นกันทั้งนั้น ฉันเองก็มีโลกที่ฉันต้องการเหมือนกัน แต่จะปรับปรุงโลกให้เป็นอย่างที่ต้องการได้ก็ต้องยึดครองมันให้ได้ซะก่อนไงล่ะ”
คำพูดของแซนโดรฟังดูเหมือนคำพูดอันเพ้อเจ้อของเด็ก ๆ แต่เมื่อพิจารณาความหมายของมันแล้วเอธริคก็คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องไร้สาระซะทีเดียว จึงดำเนินการสนทนาต่อไป
“แล้วเธออยากจะให้โลกเป็นแบบไหนเหรอ?”
“ก็โลกที่ฉันเป็นผู้ปกครองไงล่ะ!”
แซนโดรพูดด้วยแววตาเป็นประกายและรอยยิ้มอันเย่อหยิ่ง ทำให้เอธริคเริ่มจะเสียใจนิด ๆ ที่คิดจะคุยกับเธออย่างจริงจัง
“รู้รึเปล่าว่าทำยังไงถึงจะยึดครองโลกได้น่ะ?”
“เห? ก็แค่เอาชนะทุกคนที่ต่อต้านให้หมดไม่ใช่เหรอ?”
เอธริคแสดงสายตาเหนื่อยหน่ายออกมา แต่การอบรมและชักจูงให้เด็กคนนี้เข้าสู่แนวทางที่ถูกต้องก็เป็นหนึ่งในความรับผิดชอบของเธอ เธอจึงต้องพูดคุยกับอีกฝ่ายให้เข้าใจ
“ของแบบนั้นไม่มีทางหมดหรอก”
“ต้องมีสิ แค่เอาชนะไปเรื่อย ๆ และแสดงพลังที่เหนือกว่าให้เห็น ในที่สุดก็จะไม่มีใครกล้าต่อต้านแล้ว”
“ถ้ามีคนที่มีพลังที่เหนือกว่ามากดขี่ เธอจะยอมสยบให้โดยไม่ต่อต้านงั้นเหรอ?”
คำพูดของเอธริคทำให้แซนโดรหยุดครุ่นคิดไปพักใหญ่ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มสับสนจนนึกคำตอบไม่ออก เธอจึงพูดต่อ
“ถึงเผชิญหน้ากับผู้ที่เหนือกว่า เธอก็คงไม่ยอมศิโรราบใช่มั้ยล่ะ? เพราะนิสัยของเธอมันก็เป็นแบบนั้นแหละ เช่นเดียวกับผู้คนอีกมากมาย ดังนั้นการยึดครองอย่างเบ็ดเสร็จน่ะมันเป็นไปไม่ได้หรอก”
“…งั้นฉันก็จะหาวิธีอื่นในการครองโลกดูก็ได้ มันต้องมีวิธีดี ๆ สักวิธีแหละน่า”
“ทำไมต้องยึดติดกับการครองโลกขนาดนั้นด้วยล่ะ?”
แซนโดรนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินคำถามนั้น เธอกวาดสายตามองไปบนพื้นหินของห้องอย่างเลื่อนลอย ก่อนจะตอบคำถามด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา
“ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะโลกมันไม่ดีนี่นา…”
“แบบนี้เหรอ?”
“ความขัดแย้งต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดสงครามขึ้นและพรากชีวิตของทุกคนไป ก็เพราะระบบที่ล้มเหลวของโลกนี้ เพราะไม่มีใครควบคุมดูแลอย่างจริงจัง ถ้าฉันเป็นผู้ปกครองโลกละก็ ทุกอย่างต้องไม่เป็นแบบนี้แน่…”
เอธริคคิดว่านั่นคือเจตนาที่แท้จริงของแซนโดร เพราะไม่สามารถชุบชีวิตให้กับครอบครัวได้ เธอจึงมุ่งความสนใจไปที่ต้นเหตุที่ทำให้ทุกคนต้องตายแทน ซึ่งด้วยความคิดแบบเด็กที่รู้มากเกินวัยจึงได้ผลลัพธ์แบบนี้ออกมา
“การเปลี่ยนแปลงโลกน่ะ ไม่จำเป็นต้องเริ่มด้วยการยึดครองเสมอไปหรอกนะ กลับกันเลย การเปลี่ยนแปลงโลกไปทีละน้อยต่างหากที่จะทำให้เราได้ครอบครองโลกในที่สุด”
คำพูดของเอธริคทำให้แซนโดรหันมามองด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย เธอจึงอธิบายต่อ
“อย่าทำหน้างงแบบนั้นสิ อย่างที่เธอว่านั่นแหละ ทุกคนต่างก็มีโลกที่ตัวเองอยากจะให้เป็นทั้งนั้น ความคิดของเธอน่ะไม่ผิดหรอก ผิดแค่วิธีการเท่านั้น แต่พอโตขึ้นแล้วก็น่าจะเข้าใจเองแหละนะ”
“อืม… แล้วโลกที่เอธริคต้องการน่ะเป็นโลกแบบไหนเหรอ?”
“โลกที่ฉันต้องการน่ะเหรอ… ก็คงเป็นโลกที่ผู้ใช้ศาสตร์มืดถือเป็นนักผจญภัยสายหนึ่งที่ไม่ถูกกีดกันและตราหน้าว่าเป็นผู้ชั่วร้ายล่ะมั้ง”
“เห? แต่ผู้ใช้ศาสตร์มืดก็ต้องเป็นผู้ที่ชั่วร้ายอยู่แล้วนี่นา?”
“ดูพวกเราเหมือนกับเป็นคนชั่วร้ายแบบนั้นรึไง?”
แซนโดรมองดูเอธริคตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะตอบคำถามนั้นกลับไป
“…ก็ไม่นะ รู้สึกผิดหวังอยู่เหมือนกัน”
“หา? นี่เธอคาดหวังอะไรจากเรากันแน่เนี่ย?”
“ก็คิดว่าจะเป็นกลุ่มผู้ใช้ศาสตร์มืดที่ชั่วร้าย ทำได้ทุกอย่างเพื่อการครองโลก เหมาะสมกับการเป็นสมุนของฉันไงล่ะ”
“……(ยัยเด็กนี่มัน) …ฟังนะแซนโดร ไม่ว่าวิชาด้านสว่างหรือด้านมืด มันก็เป็นแค่เครื่องมือเท่านั้น เครื่องมือน่ะจะดีงามหรือชั่วร้ายก็ขึ้นอยู่กับผู้ใช้ หากผู้ใช้เป็นคนที่ชั่วร้าย วิชาด้านสว่างก็สามารถผลาญชีวิตผู้บริสุทธิ์ได้ แต่หากผู้ใช้เป็นคนที่มีคุณธรรม วิชาด้านมืดก็สามารถช่วยเหลือผู้คนได้เช่นกัน”
แซนโดรครุ่นคิดในสิ่งที่ได้ยินอยู่ครู่หนึ่ง ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอจะเข้าใจคำพูดนี้มากน้อยแค่ไหน แต่แค่ให้เธอจดจำและรับรู้เรื่องนี้ไว้ก็เป็นสิ่งเอธริคพอใจแล้ว
“เพราะงั้นเอธริคก็เลยอยากให้ศาสตร์มืดเป็นที่ยอมรับงั้นเหรอ?”
“ใช่ การกีดกันและแบ่งแยกศาสตร์มืดว่าคือสิ่งชั่วร้ายน่ะเป็นค่านิยมผิด ๆ ของพวกที่ชอบสร้างสัญลักษณ์แห่งความหวาดกลัวและความเกลียดชังขึ้นมาเท่านั้น หากศาสตร์มืดเป็นวิชาที่ชั่วร้ายจริง สิบนักปราชญ์คงไม่บรรจุสิ่งนี้เอาไว้เป็นหนึ่งในวิชาที่นักผจญภัยยุคบุกเบิกสามารถเรียนรู้ได้หรอก”
“แต่การเปลี่ยนแปลงความคิดของผู้คนที่มีต่อศาสตร์มืดมันจะเป็นไปได้เหรอ?”
“เป็นไปได้สิ และเราก็กำลังทำอยู่นี่ไง”
“เอ๋?”
“เพราะทไวไลท์เมอริเดียนคอยทำภารกิจช่วยเหลือผู้คนมาโดยตลอด ชาวบ้านจึงเริ่มมองเราในแง่ที่เป็นมิตรมากขึ้น บางคนติดใบประกาศขอความช่วยเหลือจากเราโดยตรงเลยด้วยซ้ำ แปลว่าพวกเขาไม่ได้มองเราว่าเป็นกลุ่มคนที่ชั่วร้ายหรือน่ากลัวอีกต่อไปแล้วไงล่ะ”
“เขาอาจมองแค่ว่ากลุ่มของเอธริคเป็นคนดี ไม่ได้มองว่าผู้ใช้ศาสตร์มืดเป็นคนดีหรอกนะ แล้วนี่ก็เป็นแค่คนในเอราเทียเท่านั้น ไม่ใช่คนทั้งโลกซะหน่อย”
“ทุกอย่างมันก็ต้องเริ่มจากจุดเล็ก ๆ นี่แหละ การส่งผ่านค่านิยมจะเกิดจากคนหนึ่งคนไปสู่คนหมู่มาก วันนี้คนที่ยอมรับเราอาจมีแค่ในเอราเทีย แต่วันหน้าคนในแคว้นใกล้เคียงที่เห็นตัวอย่างก็จะยอมรับเราได้มากขึ้น ความเชื่อใจนี้จะส่งผ่านผู้คนไปเรื่อย ๆ จนเป็นค่านิยมของคนทั้งโลกได้ไง”
“แบบนั้นกว่าจะสำเร็จก็แก่ตายพอดี”
แซนโดรขมวดคิ้วพูดด้วยสีหน้าที่แสดงความไม่เห็นด้วยอย่างชัดเจน แต่เอธริคก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนและอธิบายต่อ
“ความเปลี่ยนแปลงแบบฉับพลันน่ะมันไม่ยั่งยืนหรอกนะ ถ้าต้องการสิ่งที่ยั่งยืนและมั่นคงละก็ต้องค่อย ๆ สร้างจากรากฐานขึ้นไปนี่แหละ”
แซนโดรนิ่งเงียบไปเหมือนจะยังไม่เข้าใจเท่าไหร่นัก แต่เอธริคก็เชื่อว่าเด็กฉลาดอย่างแซนโดรจะต้องเข้าใจเรื่องเหล่านี้ได้ในสักวันหนึ่งแน่ จึงตั้งใจว่าจะค่อย ๆ สอนเธอไปทีละน้อย
——————————————————————————————————–
Part 3
เวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งเดือน วิชาสายเนโครแมนเซอร์ของแซนโดรก็ก้าวหน้ามากขึ้นเรื่อย ๆ
แม้เอธริคจะไม่เคยพูดออกมาตรง ๆ แต่จากที่นิโคไลได้ฟังสิ่งที่เธอพูดเกี่ยวกับความสามารถของลูกศิษย์แล้ว เอธริคก็คงคิดเหมือนกับเขา ว่าแซนโดรเป็นอัจฉริยะอย่างไม่ต้องสงสัย เพียงแต่เธอยังไม่ยอมพูดมันออกมาเท่านั้น
ในระหว่างนี้ สมาชิกคนอื่น ๆ ของสมาคมก็ทยอยกันกลับมาจากการทำภารกิจทีละคนสองคน แซนโดรจึงได้พบกับสมาชิกของทไวไลท์เมอริเดียนครบหมดทุกคนเมื่อย่างเข้าเดือนที่สอง
คนแรกที่กลับมายังสมาคมคือ การ์ล ดาเรน (Gwarl Daren) ชายหนุ่มผมดำหน้าตาซูบผอมผู้มีคลาสเป็นวอล็อค (Warlock) ซึ่งแม้จะมีสีหน้าเรียบเฉยตอนแซนโดรแนะนำตัวและกลับห้องของตัวเองไปโดยไม่พูดอะไร แต่เมื่อผ่านไปสักพักเขาก็กลับออกมาพร้อมกับตุ๊กตาหมีตัวหนึ่งซึ่งไม่รู้ว่าเอามาจากไหนหรือมีไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ และมอบมันให้กับแซนโดร ก่อนจะยิ้มเล็ก ๆ แล้วเดินจากไป
คนที่สองเป็นหญิงสาวผมสีน้ำตาลอ่อนผู้มีดวงตาเรียวเล็ก ทามิกะ ทาราเซกิ (Tamika Tarazeki) ชาวคามิเท็นผู้มีคลาสเป็นดาร์คเรนเจอร์ (Dark Ranger) เธอกลับมาพร้อมกับชายหนุ่มรูปร่างกำยำที่มีรอยลักเป็นลวดลายอันแปลกประหลาดบนใบหน้าและร่างกาย แถมยังห้อยเครื่องรางรูปร่างพิลึกกึกกือไว้ตามตัวอีกนับไม่ถ้วนด้วย เขาคือ ฮากาช ไฟว์ฮิล (Hargash Fivehill) ผู้เป็นวิชด็อคเตอร์ (Witch Doctor) นั่นเอง
ทั้งสองคนแสดงท่าทางเอ็นดูต่อแซนโดรอย่างออกหน้าออกตา ทำให้เธอรู้สึกอึดอัดพอสมควร จึงหลุดคำพูดเจ้ายศเจ้าอย่างตามความเคยชินออกมาหลายคำทั้ง ๆ ที่เอธริคพยายามอบรมแก้นิสัยแล้ว แต่ทั้งสองคนก็ไม่ถือสาอะไรแถมยังมองว่าแซนโดรน่ารักมากขึ้นอีก (บอกว่าเป็น ‘คุณหนูซึนเดเระ’ ซึ่งแซนโดรไม่เข้าใจความหมายของมันเลย) แม้จะทำให้รู้สึกอึดอัดนิดหน่อย แต่เธอก็เข้าใจว่าทั้งสองคนเป็นคนดี และไม่รู้สึกรังเกียจอะไร
คนสุดท้ายที่กลับมายังสมาคมเป็นชายหนุ่มผมสีเทารูปร่างสันทัดหน้าตาหล่อเหลาที่สวมชุดสูทสีขาวราวกับเป็นนักธุรกิจหรือทนายความ ชื่อว่า แซนเดอร์ โควิแนนท์ ซึ่งเป็นบลัดไนท์ (Blood Knight) ดูเหมือนเขาจะเป็นคนของสมาคมใต้ดินในอาณาจักรอันห่างไกลแห่งหนึ่ง จึงมักจะกลับมาอยู่ที่สมาคมเพียงไม่กี่เดือน ก่อนจะออกเดินทางไปอีกครั้ง
เพราะมีชื่อและสีผมคล้ายกับแซนโดร ทำให้คนอื่น ๆ แซวว่าเขากับแซนโดรเป็นพี่น้องที่พลัดพรากจากกันไปแล้วได้มาพบกัน ซึ่งแซนเดอร์ก็ดูจะไม่ถือสาอะไรและยังแสดงท่าทางเอ็นดูแซนโดรเป็นพิเศษ
แซนเดอร์ชอบเล่าเรื่องการเดินทางในต่างอาณาจักรของเขาให้แซนโดรฟัง แซนโดรที่ยังไม่เคยเดินทางไปอาณาจักรอื่น ๆ เลยก็รู้สึกสนอกสนใจเป็นพิเศษ ทำให้เธอกับแซนเดอร์สนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว
เมื่อผ่านไปหนึ่งปี แซนโดรก็กลายเป็นเนโครแมนเซอร์เต็มตัว สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคนมาก ยกเว้นเอธริคกับนิโคไลที่พอจะรู้ถึงศักยภาพของเด็กคนนี้อยู่แล้ว
ความสงบสุขดำเนินมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งวันหนึ่ง ฮากาช กับ ทามิกะ ก็กลับมาที่สมาคมพร้อมกับข่าวที่ทำให้ทุกคนต้องหวั่นวิตก
ข่าวนั้นก็คือ พวกเขากำลังถูกหมายหัวจากทางการของเอราเทีย
ฮากาชเล่าให้ฟังว่าหลังจากที่เขากับทามิกะทำภารกิจเสร็จสิ้นและเข้าเมืองไปเพื่อแจ้งผู้ยื่นคำร้อง ก็พบกับทหารของเอราเทียเข้ามาล้อมจับ แต่เพราะฝีมือที่ต่างกันมากก็ทำให้พวกเขาหลบหนีมาได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
“พวกมันอ้างว่าเราเป็นผู้ใช้ศาสตร์มืดซึ่งเกี่ยวข้องกับพวกปิศาจและเป็นภัยคุกคามต่ออาณาจักร เลยเข้ามาจับกุม แต่จริง ๆ คงเป็นเพราะการรับทำภารกิจให้กับชาวบ้านฟรี ๆ ของเราทำให้ไม่ค่อยมีคนไปยื่นคำร้องกับทางการเพราะมันต้องเสียค่าธรรมเนียมในราคาสูง ทางการก็เลยขาดรายได้น่ะ”
ฮากาชพูดออกมาด้วยสีหน้าที่ยังแสดงอาการหงุดหงิดไม่หาย ทามิกะจึงพยายามลูบแขนของเขาเพื่อให้เขาสงบลง
นิโคไลพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งก็แสดงความเห็นออกมา
“แปลว่าเราทำให้พวกนั้นเสียประโยชน์ เลยต้องกำจัดคู่แข่งสินะ? แต่ความจริงเราก็รับทำภารกิจให้กับชาวบ้านมานานแล้วนี่นา… ทำไมถึงเพิ่งมามีปัญหาตอนนี้ได้?”
“ฉันได้ยินจากพวกชาวบ้านว่าปีนี้มีการขึ้นภาษี แถมยังเพิ่มการเก็บภาษีไปยังของที่ไม่เคยเก็บมาก่อนอีกหลายอย่าง ทั้งการครอบครองบ้าน การรับจ้างทำงาน หรือแม้แต่การเรียนด้วย เห็นว่าตอนนี้ค่าเล่าเรียนคอร์สนักผจญภัยแต่ละคลาสแพงขึ้นมากทีเดียว พวกนั้นอ้างว่าต้องการจะส่งค่าปฏิกรรมสงครามเพิ่มขึ้น ให้เอราเทียหมดภาระหนี้สิ้นไว ๆ แต่ก็ไม่รู้ว่านั่นเป็นเรื่องจริงรึเปล่า”
ทามิกะอธิบายให้นิโคไลฟัง ซึ่งสิ่งที่เธอพูดก็ทำให้เอธริคนึกอะไรขึ้นมาได้
“เก็บภาษีค่าเล่าเรียนด้วยเหรอ? แบบนี้นี่เอง…”
“หืม? ทำไมเหรอเอธริค?”
เมื่อนิโคไลถาม เอธริคก็นำใบคำร้องจำนวนหนึ่งออกมาวางลงบนโต๊ะประชุม ก่อนจะอธิบายให้ฟัง
“นี่เป็นหนึ่งในใบคำร้องที่ฉันไปเจอมา ความจริงที่กระดานข่าวสารยังมีใบคำร้องทำนองนี้อีกเยอะ แต่ฉันเห็นว่ามันแปลก ๆ ก็เลยเอากลับมาดูแค่ใบเดียว”
“แปลก? ยังไงเหรอ?”
“มันเป็นคำร้องขอสมัครเข้าสมาคมน่ะ แลกกับการสอนคลาสที่เขาต้องการให้ เช่นคนนี้เขาอยากเป็นซอร์ดแมน เลยต้องการจะสมัครเข้ามาทำงานในสมาคม แลกกับการฝึกฝนเพื่อเป็นซอร์ดแมน”
“แบบนี้นี่เอง… เพราะค่าเล่าเรียนในเมืองโดนบวกภาษีจนแพงเกินไป คนเลยหันมาฝึกวิชาจากสมาคมเอาสินะ ค่าเล่าเรียนในเมืองคงแพงเอาเรื่องนะเนี่ย พวกเขาถึงได้ยอมมาเรียนกับสมาคมนักผจญภัยฝ่ายมืดอย่างพวกเราแบบนี้…”
นิโคไลอ่านรายละเอียดของใบคำร้องพลางแสดงความเห็นออกมา ส่วนทามิกะไม่ได้สนใจเรื่องนี้สักเท่าไหร่นัก และอยากได้คำตอบเรื่องที่จะรับมือกับทางการอย่างไรมากกว่า
“เรื่องนั้นช่างมันเถอะน่า เราไม่ใช่โรงเรียนนักผจญภัยซะหน่อย ตอนนี้ห่วงปัญหาที่มีกับทางการเอราเทียก่อนดีกว่า จะเอายังไงดีล่ะเอธริค?”
เอธริคไม่ได้ตอบคำถามนั้น แต่กลับนิ่งเงียบไปเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“เอธริค?”
เมื่อถูกนิโคไลเรียกซ้ำ เอธริคจึงเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะตอบกลับไป
“ฉันคิดว่านี่อาจเป็นโอกาสดีก็ได้ เราควรจะเปิดการเรียนการสอนเพื่อฝึกนักผจญภัยให้กับชาวเอราเทียนะ”
คำพูดของเอธริคทำให้ทุกคนรู้สึกประหลาดใจไปตาม ๆ กันจนทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบงัน เธอจึงรีบอธิบายเพิ่มเติม
“อ๊ะ ขอโทษนะ ฉันหมายถึงแค่คลาสที่ฉันสามารถสอนได้น่ะ ไม่ได้จะบังคับให้พวกเธอต้องมาเป็นครูฝึกหรอก”
นิโคไลยังไม่ค่อยเข้าใจความคิดของอีกฝ่ายเท่าไหร่ จึงถามเหตุผลจากเธอเพิ่มเติม
“ทำไมถึงอยากจะเปิดคอร์สฝึกนักผจญภัยล่ะ? ฉันเข้าใจดีว่าเธอชอบช่วยเหลือคน แต่แบบนี้มันก็…”
“ภารกิจที่ทำได้โดยเราแค่ห้าคนมันมีจำกัด ยังมีคำร้องอีกมากมายที่ไม่ได้รับการตอบสนอง นั่นเพราะเอราเทียเองก็ขาดแคลนนักผจญภัยอิสระด้วย หากเราช่วยฝึกสอนนักผจญภัยรุ่นใหม่ ๆ ขึ้นมาละก็น่าจะทำให้มีคนมาช่วยทำภารกิจให้กับชาวเมืองอีกแรง และเรายังจะได้มีแนวร่วมหรือพันธมิตรเพิ่มขึ้นด้วยนะ”
“ความจริงฉันก็ไม่ถือเรื่องการเป็นครูฝึกหรอกนะ แต่สมาคมของเราน่ะก่อตั้งขึ้นมาโดยมีเจตนาจะเป็นสมาคมของผองเพื่อน ถ้ารับคนที่ไม่สนิทมาเข้าร่วมกิลด์จนมีแต่คนแปลกหน้าละก็ ฉันขอบายดีกว่า”
ทามิกะพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง เพราะเธอเป็นคนประเภทที่จะอยู่ร่วมกับคนที่สนิทจริง ๆ เท่านั้นจึงไม่อยากให้สมาคมเปิดเป็นสมาคมสาธารณะ ซึ่งทั้งฮากาชและนิโคไลก็แสดงสีหน้าที่สื่อถึงความรู้สึกแบบเดียวกันออกมา
“เราไม่จำเป็นต้องรับพวกเค้ามาเข้าร่วมสมาคมหรอก แค่สอนวิชาให้ก็พอแล้ว ฉันจะเป็นคนแจกจ่ายภารกิจให้พวกเขาไปทำเป็นการแลกเปลี่ยนกับค่าเล่าเรียนเอง ไม่ต้องให้พวกเขามาที่สมาคมของเราด้วยซ้ำ แต่ก็อย่างที่บอก ฉันจะสอนแค่คลาสที่สอนได้เท่านั้นแหละ ส่วนพวกเธอก็ทำภารกิจอย่างเคยไปเถอะ”
นิโคไล, ทามิกะ, และฮากาช ต่างก็มองหน้ากันไปมาเพื่อดูท่าทีของคนอื่น ๆ ซึ่งดูจากสีหน้าแล้วทุกคนก็ไม่ได้คัดค้านแนวคิดนี้ซะทีเดียว แต่ฮากาชก็ย้อนกลับไปพูดถึงปัญหาที่สมาคมกำลังเผชิญอยู่
“แบบนี้จะยิ่งทำให้เราเป็นศัตรูกับทางการรึเปล่า เพราะไปขัดผลประโยชน์ของพวกนั้นเต็ม ๆ เลยนี่นา? แล้วเรื่องที่เราโดนหมายหัวนี่จะทำยังไงล่ะ?”
“ถ้าคิดจะทำภารกิจให้กับชาวบ้านต่อไป ยังไงเราก็ต้องขัดผลประโยชน์ของพวกนั้นอยู่แล้ว เพราะงั้นผลลัพธ์ก็ไม่ต่างกันหรอก เว้นแต่ว่าจะย้ายถิ่นฐานไปอยู่อาณาจักรอื่นแทนเท่านั้นแหละ”
ฮากาชกับทามิกะมองหน้ากันอีกครั้ง ก่อนที่ทามิกะจะพูดออกมาโดยหลบสายตาเล็กน้อย
“ชาวบ้านที่นี่น่ะไม่ได้มองเราด้วยสายตาหวาดระแวงเหมือนกับที่อื่น ๆ ถ้าเป็นไปได้ฉันก็ไม่อยากไปไหนหรอก…”
“อืม”
แม้แต่ฮากาชเองก็เห็นด้วยกับทามิกะ นิโคไลจึงแอบยิ้มออกมา เพราะทั้งสองคนนี้ปกติจะไม่ค่อยสนใจสายตาของคนรอบข้างเท่าไหร่ และเป็นนักผจญภัยพเนจรมาโดยตลอด แต่ตอนนี้กลับไม่อยากจะไปไหนซะแล้ว
แซนโดรสังเกตเห็นความเชื่อมโยงต่าง ๆ และเริ่มจะเข้าใจในสิ่งที่เอธริคเคยบอก
นอกจากแซนโดรแล้ว เอธริคไม่เคยบอกเรื่องที่อยากจะทำให้ผู้ใช้ศาสตร์มืดกลายเป็นที่ยอมรับในสังคมกับสมาชิกคนใดเลย เพราะเธอรู้ว่าคนอื่น ๆ ไม่ได้มีแนวคิดเช่นนั้น และศึกษาศาสตร์มืดเพียงเพราะความชอบ
แต่ด้วยการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้คน ทำให้เกิดสังคมและสิ่งแวดล้อมที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้ศาสตร์มืดขึ้นมา เหล่าผู้ใช้ศาสตร์มืดที่ปกติจะถูกรังเกียจและถูกมองอย่างหวาดระแวงจึงได้สัมผัสกับปฏิบัติอย่างให้เกียรติเป็นครั้งแรก
เพราะได้รับสิ่งเหล่านี้เป็นรางวัลตอบแทน ทำให้คนอื่น ๆ ในสมาคมรู้สึกว่านี่คือที่ ๆ พวกเขาอยากจะอยู่ มันเป็นสถานที่ซึ่งพวกเขาได้รับการยอมรับและสามารถเป็นบ้านของพวกเขาได้ ทำให้ทุกคนยอมทำภารกิจที่เอธริคมอบให้เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับผู้คนไปเรื่อย ๆ โดยแทบจะไม่เคยปริปากบ่น
พูดง่าย ๆ ว่าตอนนี้ทุกคนมีความต้องการที่จะให้ผู้ใช้ศาสตร์มืดเป็นที่ยอมรับในสังคมขึ้นมาแล้ว โดยที่เอธริคไม่ต้องชักจูงหรือโน้มน้าวอะไรเลย แค่ให้พวกเขาได้สัมผัสกับผลตอบแทนของมันเท่านั้น
นี่คือการเปลี่ยนแปลงโลกโดยที่ไม่ต้องใช้กำลังบังคับที่เอธริคเคยบอก แถมยังให้ผลอย่างยั่งยืนอีกด้วย แซนโดรจึงคิดว่าเอธริคเป็นคนที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ
หลังการประชุม ทุกคนก็ได้ข้อสรุปว่าจะสอนวิชาต่าง ๆ ให้กับคนที่ต้องการเป็นนักผจญภัย แต่จะไม่รับสมาชิกมาเพิ่มในสมาคม เว้นแต่เป็นคนที่มีแนวคิดเข้ากันได้จริง ๆ
ส่วนเรื่องการถูกทางการหมายหัวนั้น โดยฝีมือของทุกคนก็ไม่น่าจะมีปัญหา เพราะฝีมือของแต่ละคนเหนือกว่าพวกทหารและคนของคณะปกครองมาก แต่เพื่อความไม่ประมาท เอธริคเลยให้ทุกคนเดินทางกันเป็นคู่เสมอ และพยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับพวกทหารด้วย
——————————————————————————————————–
Part 4
เวลาผ่านไปกว่าหนึ่งปี เรื่องทุกอย่างก็ยังคงดำเนินไปได้ด้วยดี
แม้จะมีการปะทะกับคนของทางการอยู่หลายครั้ง แต่เพราะทุกคนต่างก็มีฝีมือสูง บวกกับความช่วยเหลือจากชาวบ้านที่คอยเป็นหูเป็นตาให้ การถูกหมายหัวจึงไม่เป็นปัญหาสำหรับพวกเขาเลย
ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ ทไวไลท์เมอริเดียนได้ฝึกฝนนักผจญภัยรุ่นใหม่ ๆ ขึ้นมาเป็นจำนวนมาก และข่าวสารนี้ก็แพร่ออกไป จนมีคนมาสมัครเข้าคอร์สนักผจญภัยมากขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็มีนักผจญภัยฝึกหัดในสังกัดของสมาคมร่วมร้อยคนแล้ว
แม้เอธริคจะไม่ได้รับคนนอกเข้าเป็นสมาชิกสมาคมตามที่เคยตกลงกับคนในกิลด์เอาไว้ แต่เธอก็ตั้งองค์กรย่อยที่เรียกว่า ไทวไลท์อคาเดมี่ (Twilight Academy) ขึ้นมา เพื่อให้เหล่าลูกศิษย์ของทไวไลท์เมอริเดียนเกิดความรู้สึกว่าพวกเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของสมาคมเช่นกัน และจะได้รวมตัวกันง่ายขึ้นด้วย
นักผจญภัยส่วนใหญ่ที่มาเรียนกับทไวไลท์เมอริเดียนไม่ได้เรียนคลาสสายมืด แค่เพียงเรียนคลาสพื้นฐานทั่วไปของนักผจญภัยเท่านั้น แต่ทุกคนก็มีความผูกพันและรู้สึกว่าเป็นคนของสมาคมดังที่เอธริคตั้งใจเอาไว้
ด้วยการที่มีนักผจญภัยอิสระจำนวนมากมาช่วยทำภารกิจและคำร้องให้กับชาวบ้าน เอราเทียจึงมีสภาพที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ และชื่อเสียงของทไวไลท์เมอริเดียนก็เริ่มแผ่ขจรไกล เพราะนักผจญภัยอิสระที่ถือตราสัญลักษณ์ของสมาคมอยู่ต่างประกาศชื่อของสมาคมที่พวกเขาจบการศึกษาออกมาอย่างเต็มภาคภูมิ
วันนี้ก็เป็นวันสบาย ๆ อีกหนึ่งวันที่นิโคไลกับการ์ล กำลังเดินทางไปยังที่ทำการของทไวไลท์อคาเดมี่ ซึ่งเหล่านักผจญภัยที่จบการศึกษาไปแล้วกำลังฝึกสอนวิชาให้กับนักผจญภัยรุ่นใหม่อยู่ เพื่อควบคุมการเรียนการสอนและให้คำแนะนำ
แต่เมื่อไปถึงอาคารที่ทำการซึ่งตั้งอยู่กลางป่า ทั้งสองคนก็พบแต่ความเงียบงัน แม้แต่ประตูของที่อาคารก็ยังปิดอยู่
“เห? ไปไหนกันหมดเนี่ย? รึว่าจะไปฝึกที่อื่นกัน?”
การ์ลสอดส่ายสายตามองไปรอบ ๆ แล้วเอ่ยถามขึ้น แต่นิโคไลก็ตอบกลับมาด้วยสีหน้าที่ข้องใจเช่นกัน
“ไม่นะ วันนี้เป็นวันฝึกในร่มนี่นา รึว่าจะอยู่ข้างในกันหมดแล้ว? แต่ก็เงียบผิดปกตินะ”
“เดี๋ยวก่อนนิค ฉันว่ามันแปลก ๆ อยู่…”
การ์ลพูดยั้งนิโคไลที่กำลังจะเดินไปเปิดประตูเอาไว้ แต่ทันใดนั้นทั้งสองคนก็สัมผัสถึงอันตรายขึ้นมาได้จึงรีบกระโจนถอยออกมา แล้วประตูก็ระเบิดออก ทำให้เศษไม้จากการแตกกระจายของประตูพุ่งกระจายไปทั่ว
เมื่อตั้งหลักได้แล้ว ทั้งสองคนหันกลับไปมองที่ประตูอีกครั้ง และพบว่ามีคนสองคนกำลังเดินผ่านฝุ่นควันจากการระเบิดออกมาอย่างช้าๆ และที่ด้านหลังของพวกเขาก็มีศพจำนวนมากของเหล่าสมาชิกทไวไลท์อคาเดมี่ ทั้งครูฝึก และนักเรียน ถูกสุมกองรวมกันไว้ที่กลางห้องโถง
ยังไม่ทันที่จะได้ทำหรือได้พูดอะไร ทั้งสองคนก็รู้สึกตัวว่ากำลังถูกล้อมจากทุกด้าน โดยกลุ่มคนที่สวมชุดแบบเดียวกัน
“นี่มัน!? คนของทางการงั้นเหรอ!?”
การ์ลเริ่มสะสมพลังเวทด้วยอาการร้อนรน แต่นิโคไลก็ยังมองไปรอบ ๆ และประเมินสถานการณ์อย่างเยือกเย็น
“ไม่ใช่… แรงกดดันขนาดนี้… เจ้าพวกนี้ไม่ใช่นักผจญภัยธรรมดา… ฝ่ายปกครองของเอราเทียไม่มีกองกำลังที่มีฝีมือขนาดนี้นี่นา”
ระหว่างที่พูดกันอยู่ก็มีชายคนหนึ่งเดินออกมาจากกลุ่มคนที่ล้อมพวกเขาเอาไว้ เขาเป็นชายวัยกลางคนที่มีแววตาอันเฉียบคมราวกับเพชรฆาตผู้เลือดเย็น ใบหน้าถมึงทึงอันดุดันของเขาเต็มไปด้วยริ้วรอยจากแผลเป็นทำให้ดูเหมือนกับทหารผ่านศึกที่ผ่านสมรภูมิมานับไม่ถ้วน
เครื่องหมายบนปกเสื้อของเขาทำให้นิโคไลรู้ตัวจริงของคนเหล่านี้
“นั่นมันเครื่องหมายของพีชคีปเปอร์… แปลว่าพวกแกเป็นพวกผู้สร้างสันติภาพงั้นเหรอ?”
ชายคนนั้นไม่ได้ตอบคำถามของนิโคไล แต่ประกาศด้วยเสียงอันดังเหมือนกับเป็นการแจ้งข้อหาและบทลงโทษออกมาแทน
“สมาคมผู้ใช้ศาสตร์มืด ทไวไลท์เมอริเดียน! ก่อความผิดโดยต่อต้านทางการ บ่อนทำลายรากฐานของแคว้น เผยแพร่ลัทธิมืดและซ่อมสุมกำลังพลเพื่อเป็นภัยคุกคามต่ออาณาจักร ฉัน เซดดริก เดรค ผู้ได้รับอำนาจจากพีชคีปเปอร์ให้มากำจัดภัยคุกคามในเอลิเซีย ขอตัดสินให้พวกแกมีความผิด และต้องโทษประหารชีวิต!”