Doombringer the 5th - ตอนที่ 68
Ch.68 – แสงสว่าง
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 68
แสงสว่าง
Part 1
ลานาเทลเดินเข้าไปหาแซนโดรทีละก้าวทีละก้าว อย่างระมัดระวัง
เธอสัมผัสถึงพลังกดดันทางเวทมนตร์ปริมาณมหาศาลแผ่ออกมาจากตัวแซนโดร จนบรรยากาศโดยรอบบิดเบี้ยวไปหมด
‘นี่น่ะเหรอ… แอนเชี่ยนลิช… ร่างที่สามารถดึงพลังเวทจากเนเธอร์เรล์มมาใช้ได้อย่างเกือบจะไร้ขีดจำกัด… แต่การจะดึงพลังขนาดนี้ออกมาใช้ได้ก็ต้องทำให้ตัวตนในโลกนี้เป็นสื่อกลางที่บริสุทธิ์ที่สุด… คงต้องตัดจิตใจและสามัญสำนึกทิ้งไปจนแทบจะกลายเป็นตัวตนอันว่างเปล่าทีเดียว… ถ้ายังพอจะเหลือสติสัมปชัญญะอยู่บ้างก็คงจะดีหรอกนะ…’
ร่างของลิชมีคุณสมบัติพิเศษคือสามารถดึงพลังเวทจากมิติที่เรียกว่า ‘เนเธอร์เรล์ม’ มาใช้งานได้ ทำให้ลิชเป็นนักเวทที่แข็งแกร่งที่สุดคลาสหนึ่ง
พลังเวทในเนเธอร์เรล์มนั้นมีปริมาณไร้ขีดจำกัด แต่ลิชจะดึงพลังงานจากที่นั่นออกมาใช้งานได้คราวละเท่าไหร่ก็ขึ้นกับว่าร่างลิชซึ่งเป็นสื่อกลางระหว่างโลกมีความบริสุทธิ์มากน้อยแค่ไหน
ความรู้สึกต่าง ๆ ทั้งกายสัมผัสและจิตใจต่างก็ทำให้ร่างลิชซึ่งเป็นสื่อกลางมีคุณภาพที่ต่ำลง
ลิชในสมัยก่อนจึงตัดประสาทสัมผัสทั้งหมดออกไปและคงจิตใจเอาไว้เพียงอย่างเดียว เพื่อให้เป็นสื่อกลางที่มีคุณภาพสูง สามารถดึงพลังเวทมาใช้ได้อย่างมหาศาล แต่ก็มีข้อเสียคือจิตใจจะค่อย ๆ ถูกกัดกร่อนไปทีละน้อยเพราะการไร้สัมผัสทำให้ต้องมีชีวิตเหมือนกับตายทั้งเป็น
ร่างลิชในปัจจุบันจึงทำการปรับแต่งให้มีประสาทสัมผัสต่าง ๆ ใกล้เคียงกับมนุษย์ ซึ่งต้องแลกมาด้วยปริมาณพลังเวทที่ใช้ได้น้อยลง เพราะร่างแบบนี้จะเป็นสื่อกลางที่มีคุณภาพต่ำลงไปด้วย
แต่ในกรณีที่ต้องการจะดึงความสามารถในการใช้พลังเวทออกมาจนถึงขีดสุด ผู้ใช้ร่างจะสามารถปรับสภาพของร่างลิชให้กลายเป็นสื่อกลางอันบริสุทธิ์ได้อีกครั้ง โดยสละประสาทสัมผัสต่าง ๆ ออกไป แต่ลิชบางคนก็จะสละแม้กระทั่งจิตใจบางส่วน เพื่อให้กลายเป็นสื่อกลางที่บริสุทธิ์ที่สุด และดึงพลังมาใช้ได้มากขึ้นอีก
ดูจากระดับพลังที่สามารถเปิดประตูมิติขนาดใหญ่ซึ่งเชื่อมระหว่างโลกนี้กับเรล์มของมาลาไคท์คีปได้ แถมยังควบคุมเหล่าสมุนนับหมื่นได้ในเวลาเดียวกันด้วย ลานาเทลจึงคิดว่าแซนโดรคงต้องสละแม้แต่จิตใจและสามัญสำนึกไปไม่น้อยทีเดียว เพื่อให้มีพลังระดับนี้
ด้วยเหตุนี้ เธอจึงค่อย ๆ เดินเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างระมัดระวัง เพราะคนที่อยู่ตรงหน้านี้อาจจะจำเธอไม่ได้แล้วก็เป็นได้
“คุณแซนโดรคะ ทำแบบนี้ฉันเองก็ลำบากใจเหมือนกันนา~”
ลานาเทลพยายามพูดด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ เหมือนกับเป็นการพูดเล่น เพื่อให้บรรยากาศผ่อนคลายที่สุด ทั้งที่ในใจของเธอตอนนี้รู้สึกตึงเครียดเป็นอย่างมาก
แซนโดรยังคงยืนนิ่งและไม่ตอบสนองต่อคำพูดของอีกฝ่าย ลานาเทลจึงพูดคนเดียวต่อไป
“เมืองอินิสตร้าเนี่ยเป็นเมืองศูนย์กลางที่สำคัญต่อแผนขยายอำนาจในโดมินาเรียของฉันมากเลย ถ้าคุณแซนโดรมาทำลายทิ้งซะแบบนี้ฉันก็แย่สิคะ ช่วยยั้งมือหน่อยจะได้มั้ยคะ?”
แซนโดรยังคงนิ่งเงียบไปเป็นเวลานานจนลานาเทลคิดว่าเธอคงไม่ตอบคำถามนั้นแล้ว แต่จู่ ๆ เธอก็พูดออกมา
“…อีกนิดเดียว …อีกแค่นิดเดียวก็จะฆ่ามันได้แล้ว …แค่นี้ก็จะหมดเรื่องที่ต้องทำไปอีกหนึ่งเรื่องล่ะ…”
แซนโดรพูดโดยสายตายังคงจับจ้องอยู่กับเมืองเบื้องล่างราวกับเป็นการพูดกับตัวเอง แต่ลานาเทลก็รู้สึกเบาใจลงเล็กน้อยที่อีกฝ่ายยังมีการตอบสนองบ้าง
“เรื่องนั้นก็เหมือนกัน ช่วยยั้งมือก่อนจะได้มั้ยคะ?”
ทันทีที่พูดจบ ลานาเทลก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันมหาศาล เป็นเวลาเดียวกับที่แซนโดรหันมาอย่างช้า ๆ และเหลือบดวงตาที่เป็นดวงไฟสีเขียวอันสุกสว่างนั่นมายังเธอ
“…เธอ …คิดจะขัดขวางงั้นเหรอ?…”
ลานาเทลเริ่มเหงื่อตกเพราะรู้สึกว่าแซนโดรในตอนนี้จะไร้เหตุผลกว่าที่คิด แต่ก็ยังพยายามปั้นหน้ายิ้มและตอบกลับด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ ต่อไป
“ใจเย็น ๆ สิคะ ฉันก็ไม่ได้มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องที่คุณแซนโดรจะฆ่าใครหรอกนา~ แต่อย่างน้อยก็อย่าให้มันเอิกเกริกนักสิคะ เล่นยกทัพมาถล่มเมืองยังกับเป็นการรุกรานจากนรกแบบนี้น่ะ มันจะไม่ค่อยดีนะคะ ทั้งเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น แถมยังอาจทำให้การเดินทางของเราลำบากขึ้นด้วยค่ะ”
แซนโดรนิ่งเงียบไปอีกพักใหญ่ จนลานาเทลไม่แน่ใจว่าเธอจะตอบกลับมารึเปล่า แต่ในที่สุดเธอก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง
“…เธอน่ะ …ไม่มีคนที่ต้องฆ่าให้ได้ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตามบ้างเหรอ?…”
ลานาเทลหยุดคิดไปพักหนึ่ง ก่อนจะตอบแซนโดรกลับไปด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบาที่ปนความเศร้าอยู่เล็กน้อย
“ฉันเคยมีแต่คนที่ต้องฆ่าให้ได้เพื่อปกป้องทุกอย่างเอาไว้น่ะค่ะ… แค่เคยน่ะนะคะ…”
“…งั้นเธอก็น่าจะเข้าใจเรื่องนี้ดีนะ …เพราะมันก็เหมือนกันนั่นแหละ…”
ลานาเทลรู้สึกว่าการเกลี้ยกล่อมด้วยข้ออ้างนี้ดูจะไม่ได้ผล จึงลองหาเรื่องอื่นดู
“…แต่เราเสียเวลามากเกินไปแล้วนะคะ ถึงจะปิดกั้นการสื่อสารในเมืองไว้ แต่ตอนนี้พวกคนที่หนีออกไปนอกเมืองก็น่าจะติดต่อกับโลกภายนอกได้แล้ว โดมินาเรียเองก็มีนักผจญภัยระดับสูงที่มีฝีมืออยู่มากมายไม่แพ้จูริสเลย ถ้าพวกนั้นเดินทางมาถึงละก็ เราจะแย่นะคะ”
แซนโดรยังคงเงียบไปอีกครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอันเย็นเยียบยิ่งกว่าปกติ
“…นั่นสินะ …ค่อย ๆ หาแบบนี้มันเสียเวลามากเกินไป …สู้กวาดล้างให้หมดไปเลยดีกว่า…”
“เอ๋?”
ยังไม่ทันที่ลานาเทลจะเอ่ยถามอะไรเพิ่ม แซนโดรก็อ้าแขนทั้งสองแล้วชูขึ้นบนฟ้า ก่อนจะปลดปล่อยพลังเวทมหาศาลออกมา
——————————————————————————————————–
Part 2
ทันใดนั้นก็บังเกิดวงเวทสีม่วงจำนวนนับร้อยวงปรากฏไปทั่วท้องฟ้า วงเวทเหล่านั้นซึมซับพลังเวทมนตร์จากแซนโดรจนค่อย ๆ เรืองแสงสว่างขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนจะปลดปล่อยกลุ่มเมฆสีดำที่มีแสงสีม่วงสว่างวูบวาบอยู่ภายในคล้ายกับเมฆฟ้าผ่าออกมา
ทว่ากลุ่มเมฆดำที่ส่องประกายแปลบปลาบนั้นกลับไร้ซึ่งซุ่มเสียงใด ๆ มันเพียงขยายตัวออกมาอย่างเงียบเชียบ แล้วค่อย ๆ ไหลเทลงไปยังพื้นดินเบื้องล่างราวกับเป็นของเหลว ก่อนจะแผ่กระจายออกไปทั่วทุกมุมถนน คล้ายกับม่านหมอกที่คืบคลานไปตามพื้นดิน
เหล่าทหารและนักผจญภัยที่อยู่เบื้องล่างสัมผัสได้ถึงความอันตรายของหมอกสีม่วงนี้ในทันที จึงพยายามถอยออกห่าง แต่ทหารบางคนก็ถูกล้อมโดยหมอกที่เคลื่อนเข้าหาจากหลายทิศทาง ทำให้เกิดภาพที่น่าตกตะลึง
เมื่อถูกหมอกสีม่วงนั้นสัมผัสเข้า ทหารผู้เคราะห์ร้ายก็ถูกมันกัดกินราวกับร่างกายของเขาค่อย ๆ ระเหยกลายเป็นไอจนเหลือเพียงแต่โครงกระดูกขาวโพลนสวมชุดทหารในเวลาแค่ชั่วอึดใจ ทำให้คนอื่น ๆ เกิดอาการขวัญหนีดีฝ่อและพยายามวิ่งหนีเอาชีวิตรอดกันจ้าละหวั่น
แซนโดรยังคงร่ายเวทต่อไปเรื่อย ๆ ทำให้มีเมฆสีม่วงปรากฏขึ้นทั่วท้องฟ้าของอินิสตร้า โดยเฉพาะบริเวณใกล้ ๆ กับกำแพงเมือง ก่อนที่มันจะเทหมอกมรณะลงมายังพื้นดินเบื้องล่างโดยพร้อมเพรียงกัน กลายเป็นทะเลหมอกที่ปิดล้อมเมืองเอาไว้รอบด้าน และค่อย ๆ แผ่ขยายเข้ามากัดกินสิ่งมีชีวิตในเมืองทีละน้อย
ลานาเทลที่เห็นภาพอันน่าตกตะลึงที่อยู่เบื้องหน้าก็ร้องตะโกนออกมาด้วยความตื่นตระหนก
“หยุดนะคะคุณแซนโดร!! ซาลารัสก็อยู่ในเมืองนี้ด้วยนะคะ!!”
แซนโดรยังคงมีท่าทีนิ่งเฉยอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยคำพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอันเย็นชา
“….ถ้างั้นก็แย่หน่อยนะ…”
เมื่อเห็นว่าแซนโดรในตอนนี้ไม่อยู่ในสภาพที่ใช้เหตุผลพูดคุยด้วยได้แล้ว ลานาเทลจึงสยายผ้าคลุมเลือดทั้งหมดออกมา และย้อมดาบของเธอจนกลายเป็นสีดำสนิท ก่อนจะพุ่งเข้าหาฝ่ายตรงข้ามอย่างสุดแรง
ทว่าหลังจากทะยานขึ้นไปได้แค่ครึ่งทาง ก็มีอัศวินในชุดเกราะสีดำสนิทคนหนึ่งกระโจนขึ้นมาขวางด้วยการตวัดดาบเล่มเขื่องเข้าใส่ จนลานาเทลต้องตั้งดาบขึ้นมารับและถูกผลักให้เปลี่ยนทิศไป
‘เรเวอแนนท์ของคุณแซนโดรงั้นเหรอ?’
ความคิดนี้แวบเขามาในสมองของลานาเทลในจังหวะที่ประดาบกับอัศวินคนนั้น เพราะเขาสวมหน้ากากเหล็กทรงหัวกะโหลกอันคุ้นตา แบบเดียวกันกับที่แซนโดรใช้
ตอนอยู่ในมาลาไคท์คีปเธอเคยเห็นคนเหล่านี้ตามหน้าต่างของอาคารโดยรอบเป็นครั้งคราว ทุกคนต่างก็สวมหน้ากากเหล็กทรงหัวกะโหลกแบบนี้เหมือนกันทั้งหมด ในตอนนั้นลานาเทลยังคิดว่าพวกนี้เป็นแค่สมุนรับใช้ที่แซนโดรให้ทำงานจิปาถะต่าง ๆ รอบมาลาไคท์คีป แต่เมื่อได้ประมือในระยะประชิดจึงทำให้รู้ว่าพวกมันคือ ‘เรเวอแนนท์’ สมุนอันเดดระดับสูงที่สร้างขึ้นจากซากศพของคนจริง ๆ ทำให้มีทักษะและพลังฝีมือใกล้เคียงกับเจ้าของร่างสมัยยังมีชีวิตอยู่
เธอกางปีกออกเพื่อค้างตัวในอากาศก่อนจะเตรียมโต้ตอบกลับไป แต่เพราะสัมผัสได้ถึงอันตรายเธอจึงรีบก้มตัวลงต่ำ พริบตานั้นก็มีดาบสีดำสามเล่มพุ่งทะลุผ้าคลุมที่ยังโบกสะบัดอยู่ไปทางด้านหน้า การโจมตีนั้นเฉียดตัวเธอไปเพียงเล็กน้อยชนิดที่ว่าหากช้าไปเพียงนิดเดียวเธอก็คงจะถูกดาบทั้งสามเล่มนั่นปักทะลุอกแล้ว
ดาบสามเล่มนั้นพุ่งย้อนกลับมาอีกครั้งพร้อมกับอัศวินเกราะดำที่ตรงเข้ามาโจมตีประสานด้วย ส่วนทางด้านหลังก็มีนักดาบในชุดสูทสีขาวพุ่งตรงเข้ามาพร้อมกับดาบเขี้ยวแวมไพร์ เมื่อถูกโจมตีกระหนาบ ลานาเทลจึงถ่ายเทผ้าคลุมเลือดทั้งหมดไปยังดาบ ก่อนจะหมุนตัวเหวี่ยงดาบเป็นวงกว้าง
คมดาบสีดำของลานาเทลขยายตัวออกกลายเป็นใบดาบขนาดยักษ์จากการใช้เลือดทั้งหมดถ่ายเทลงไป ทำให้มีรัศมีการโจมตีเพิ่มขึ้นอีกหลายสิบเมตร ระยะโจมตีที่เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหันนี้ทำให้อัศวินเกราะดำต้องขวางดาบขึ้นมาตั้งรับ แต่ก็ยังถูกแรงอัดซัดจนกระเด็นกลับไป
ในขณะเดียวกันลานาเทลก็ยังคงหมุนตัวต่อไปอีก ทำให้การโจมตีครั้งนี้เหวี่ยงหมุนเป็นวงกลมไปยังนักดาบสูทขาวที่กำลังเข้ามาจากทางด้านหลังด้วย แต่เพราะเขามีความคล่องตัวมากกว่าอัศวินเกราะดำ ทั้งยังเห็นการโจมตีก่อน จึงโฉบตัวหลบจากรัศมีดาบไปได้อย่างหวุดหวิด
แม้เขาจะหลบการโจมตีจังหวะแรกไปได้ แต่ลานาเทลก็ไม่ยอมปล่อยอีกฝ่ายไปง่าย ๆ เธอพลิกมืออีกครั้งหนึ่ง คมดาบขนาดใหญ่ที่มีความยาวหลายสิบเมตรนั้นก็ค่อย ๆ แยกตัวออกเป็นกระบี่เลือดจำนวนมาก และพุ่งเข้าใส่นักดาบคนนั้นราวกับพายุโลหะสีดำสนิท ทำให้ชุดเกราะและเสื้อผ้าที่เขาสวมอยู่ถูกคมดาบฉีกกระชากจนขาดร่องแร่งราวกับผ้าขี้ริ้ว ส่วนตัวเขาเองก็ได้รับบาดเจ็บหนักจนค่อย ๆ ร่วงลงไปยังพื้นเบื้องล่าง
เมื่อจัดการกับศัตรูได้คนหนึ่งแล้ว แซนโดรก็วาดดาบตวัดกลับมาและชี้ไปทางอัศวินเกราะดำที่เพิ่งตั้งหลักได้และกำลังจะพุ่งเข้ามา ทำให้กระบี่เลือดบินวกกลับมาและตรงดิ่งไปยังเป้าหมายที่เธอชี้อยู่
ทว่าในระหว่างนั้นเองก็มีค้างคาวฝูงใหญ่บินเข้ามาขวางระหว่างทาง แม้กระบี่เลือดของลานาเทลจะเฉือนทะลุร่างของพวกมันได้อย่างง่ายดาย แต่การที่ร่างของพวกมันแตกกระจายเป็นของเหลวสีเขียวเมื่อต้องคมกระบี่นั้นเป็นลักษณะที่ผิดธรรมชาติ จนทำให้ลานาเทลรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง
แล้วก็เป็นดังคาด กระบี่เลือดของเธอที่ชโลมไปด้วยของเหลวสีเขียวนั้นค่อย ๆ ถูกกัดกร่อนจนละลายไปทีละน้อย สุดท้ายก็ไม่เหลือสภาพของกระบี่และร่วงหล่นลงจากท้องฟ้าจนเกือบหมด เพราะของเหลวเหล่านั้นมีฤทธิ์เป็นพิษร้ายแรงจนกัดกร่อนได้กระทั่งเหล็กกล้านั่นเอง
เธอมองลงไปและพบว่าผู้ที่ส่งฝูงค้างคาวขึ้นมาขวางก็คือนักเวทที่ห้อยประดับเครื่องรางอันแปลกประหลาดไว้ทั่วทั้งตัว ซึ่งกำลังยืนอยู่บนดาดฟ้าของอาคารเบื้องล่าง และที่ด้านข้างของเขาก็มีนักเวทที่สวมเกราะลายวิจิตรอีกคนหนึ่งกำลังถ่ายเทพลังเวทให้กับวงเวทสีม่วงหลายวงที่ลอยอยู่เหนือศีรษะ ทันใดนั้นเขาก็ปลดปล่อยเวทมนตร์ออกมา ทำให้ก้อนพลังงานสีม่วงจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งทะลักออกจากวงเวทและบินฉวัดเฉวียนขึ้นมายังเธอราวกับเป็นกลุ่มวิญญาณร้าย
เมื่อเห็นเช่นนั้น ลานาเทลจึงรีบนำองุ่นเลือดชุดใหม่ออกมาจากช่องมิติเก็บของ และทำให้พวกมันแตกออกด้วยการตวัดดาบเพียงครั้งเดียว ก่อนจะดูดซับหยาดเลือดทั้งหมดมาสานเป็นผ้าคลุมอีกครั้ง เป็นเวลาเดียวกับที่ก้อนพลังงานเหล่านั้นพุ่งกระจายไปโดยรอบและเริ่มวกกลับเข้ามาเพื่อโจมตีเธอพร้อมกันจากทั่วสารทิศ
เธอรู้ดีว่านี่คือเวทสปิริทโบลท์ซึ่งไม่อาจปัดป้องหรือหลบหลีกด้วยวิธีการธรรมดาได้ ทั้งยังถูกโจมตีจากรอบด้านพร้อมกันแบบนี้ จึงห่อผ้าคลุมเข้ามาเป็นโล่ทรงกลมเหมือนกับเปลือกไข่เพื่อหุ้มร่างกายของเธอเอาไว้ ทำให้ก้อนพลังงานที่พุ่งเข้ามาจากทุกสารทิศได้แต่ชนกับผนังอันแข็งแกร่งที่สร้างจากผ้าคลุมเลือดและไม่สามารถทะลุเข้ามาทำอันตรายลานาเทลได้ เพราะผ้าคลุมเลือดของแวมไพร์มีศักยภาพในการต้านทานเวทมนตร์ด้วยนั่นเอง
แม้จะป้องกันการโจมตีด้วยเวทมนตร์ไว้ได้ แต่ลานาเทลคิดว่าอีกฝ่ายอาจใช้พิษจากค้างคาวมาสลายเปลือกที่สร้างจากผ้าคลุมเลือดนี้อีกก็ได้ จึงคิดที่จะทิ้งตัวลงไปด้านล่างทั้งอย่างนั้นเพื่อให้เข้าใกล้นักเวททั้งสองคนมากขึ้น จะได้ทำการโจมตีได้ แต่ทันใดนั้นเอง เปลือกทรงกลมที่เธอใช้กำบังกายอยู่ก็เกิดการสั่นไหวอย่างรุนแรง ก่อนที่ด้านบนของเปลือกจะเริ่มปริแตกออกและมีแสงสีเขียวเล็ดรอดเข้ามา ทำให้ลานาเทลต้องหันไปมองด้วยความตกตะลึง
เพียงแค่แสงที่เล็ดรอดเข้าตกกระทบกับไหล่ของเธอก็ทำให้เกิดการเผาไหม้จนมีควันพวยพุ่งออกมาได้แล้ว เพราะนี่คือ ‘เดธเซนเทนซ์’ เวทโจมตีระดับสูงสุดของแซนโดร ซึ่งตอนนี้มีพลังทำลายเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าเพราะเธออยู่ในร่างของแอนเชี่ยนลิช
แม้การใช้ผ้าคลุมเลือดห่อหุ้มร่างกายเหมือนกับเปลือกไข่จะทำให้ป้องกันการโจมตีได้จากทุกสารทิศ แต่มันก็ทำให้เธอกลายเป็นเป้านิ่ง แซนโดรจึงอาศัยจังหวะนั้นโจมตีเข้ามาทันที นับเป็นเรื่องที่ลานาเทลคาดไม่ถึง
ลานาเทลละทิ้งการป้องกันในด้านอื่น ๆ และเรียกเลือดทั้งหมดมารวมกันที่ด้านบนเพื่อป้องกันการโจมตีจาก ‘เดธเซนเทนซ์’ เอาไว้อย่างแต็มที่ แต่ด้วยพลังทำลายอันมหาศาลทำให้โล่ของเธอค่อย ๆ สลายไปทีละน้อย จนในที่สุดลำแสงของเดธเซนเทนซ์ก็กลืนร่างของเธอหายไปทั้งหมด
หลังจากแสงของ ‘เดธเซนเทนซ์’ จางลงไป ก็ปรากฏร่างของลานาเทลที่ค่อย ๆ ร่วงลงไปยังซากอาคารที่อยู่เบื้องล่าง
“ลานาเทล!!”
เสียงตะโกนของเด็กผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นทันทีที่เห็นลานาเทลร่วงหล่นลงมาจากฟ้า
มันคือเสียงของซาลที่เฝ้าดูเหตุการณ์อยู่บนยอดอาคารอีกแห่งหนึ่งนั่นเอง
——————————————————————————————————–
Part 3
ซาลเฝ้าดูเหตุการณ์อยู่ห่าง ๆ มาโดยตลอด
เขาแอบตามลานาเทลมาจากคฤหาสน์ จนกระทั่งมาพบทั้งสองคนกำลังคุยกันบนยอดหอคอยกลางเมือง
เพราะสัมผัสได้ถึงแรงกดดันเวทมนตร์อันมหาศาลที่รุนแรงจนบรรยากาศยังบิดเบี้ยว ทำให้ซาลไม่กล้าเข้าไปใกล้หอคอยนัก ซึ่งนับเป็นโชคดี เพราะไม่เช่นนั้นเขาอาจจะถูกลูกหลงไปแล้วก็ได้
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ตอนนี้ก็ยังนับว่าเลวร้ายอยู่ดี
“แซนโดรกับลานาเทลสู้กันงั้นเหรอ!? ทำไมล่ะ!? เพราะแซนโดรไม่ยอมหยุดเหรอ!? แล้วไอ้หมอกสีม่วงนี่มัน…”
แม้จะรู้สึกกลัวจับใจ แต่เมื่อเห็นเหล่าผู้คนเบื้องล่างกำลังหนีเอาชีวิตรอดจากหมอกมรณะกันจ้าละหวั่น เขาก็คิดว่าต้องหาทางหยุดยั้งแซนโดรให้ได้ จึงรวบรวมความกล้าขึ้นมาอีกครั้ง และอัญเชิญร่างเสมือนของไซล่าร์ในขนาดเท่าฝ่ามือออกมา
“ช่วยพาฉันไปหาแซนโดรทีนะ ไซล่าร์!”
ร่างอันตุ้ยนุ้ยขนาดเท่าฝ่ามือของไซล่าร์พยักหน้าด้วยสายตาจริงจัง ก่อนจะบินไปที่ด้านหลังดึงคอเสื้อของซาลขึ้นเพื่อพาบินไปด้วยกัน
แม้จะกัดฟันกรอดและมีสีหน้าเหมือนกำลังฝืนยกของหนักจนตาปูดโปน แต่ร่างเสมือนของไซล่าร์ก็สามารถพาซาลบินขึ้นไปบนฟ้าได้
เขารู้สึกหวาดหวั่นว่าพวกเรเวอแนนท์จะเข้ามาขัดขวางในระหว่างทางรึเปล่า แต่ทุกคนก็เอาแต่ยืนจับจ้องเขาจากยอดอาคาร โดยไม่ได้เข้ามาขวางอะไร ซาลจึงสามารถบินตรงขึ้นไปหาแซนโดรได้โดยสะดวก
ที่กลางท้องฟ้า แซนโดรในชุดเกราะหัวกะโหลกที่แผ่ออร่าอันรุนแรงดุจเปลวเพลิงออกมาทั่วทั้งตัวก็ยังคงเฝ้ามองเมืองเบื้องล่างที่กำลังถูกหมอกสีม่วงกัดกินอย่างช้า ๆ ด้วยท่าทีนิ่งเฉยราวกับไร้ความรู้สึกใด ๆ
เธอเหลือบตามามองเล็กน้อยเมื่อเห็นซาลเข้ามาใกล้ แต่ท้ายสุดก็ละสายตากลับไปจ้องมองตัวเมืองเช่นเดิม
“แซนโดร! พอได้แล้วนะ! ทำแบบนี้มันจะเกินไปแล้ว!”
ซาลตะคอกใส่แซนโดรด้วยอารมณ์โกรธแม้ในใจจะยังรู้สึกหวาดหวั่นอยู่ก็ตาม แต่แซนโดรก็ไม่มีท่าทีว่าจะตอบสนองต่อคำพูดของเขาเลยแม้แต่น้อย
“หนอย… บอกให้หยุดไงเล่า!!”
ซาลให้ไซล่าร์หิ้วตัวเองบินเข้าไปใกล้แซนโดรอีกเพราะเขาคิดว่าต้องเข้าไปใกล้กว่านี้จึงจะเรียกสติของเธอกลับมาได้ แต่ทันใดนั้นเองแซนโดรก็สะบัดมือปลดปล่อยพลังเวทมาทางเขา
“ซะ.. ไซล่าร์! เทเลพอร์ท!!”
ด้วยการออกคำสั่งอย่างทันท่วงที ทำให้ไซล่าร์พาซาลารัสเทเลพอร์ทหลบคลื่นพลังที่ถูกปล่อยออกมาได้แบบฉิวเฉียด และตอนนี้ตัวเขาก็มาโผล่ที่กลางอากาศซึ่งอยู่เหนือแซนโดรไปไม่ถึงสิบเมตร
คราวนี้แซนโดรกางฝ่ามือมายังเขาเพื่อยิงเดธเซนเทนซ์ใส่เขาโดยตรง ซาลจึงให้ไซล่าร์รีบพาเขาพุ่งเข้าไปหาแซนโดรและเตรียมเทเลพอร์ทหลบการโจมตีไปพร้อม ๆ กัน ทว่าระหว่างที่บินอยู่ ร่างเสมือนของไซล่าร์ก็สลายหายไป เพราะใช้ทั้งพลังในการบินและการเทเลพอร์ทจนถึงขีดจำกัดแล้ว ทำให้ตัวเขาลอยละลิ่วตรงไปหาแซนโดรอย่างไร้การควบคุม
“แย่ละ! หมดเวลาแล้วงั้นเหรอ!? โธ่เอ๊ย!!”
ซาลเตรียมจะอัญเชิญร่างเสมือนของไซล่าร์ออกมาใหม่ ทว่าแสงสว่างวาบจากท้องฟ้าที่แผ่ลงมาอาบทั่วบริเวณทำให้เขารู้ว่าคงไม่ทันการ จึงได้แต่ปล่อยให้ตัวเองลอยไปหาแซนโดรพร้อมทั้งตะโกนอย่างสุดเสียง
“แซนโดรรรรรร!!!”
เปลวไฟสีเขียวในเบ้าตาอันมืดมิดของแซนโดรไม่ส่ออาการหวั่นไหวใด ๆ มันยังคงจ้องมองเด็กผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าอย่างไร้ความรู้สึก และเฝ้าดูลำแสงสีเขียวพุ่งเข้าอาบร่างของเขาอย่างเลือดเย็น
ซาลเองก็หลับตาแน่นเพราะคิดว่าตัวเองคงจะไม่รอดไปจากสถานการณ์นี้แน่ ๆ แล้ว ทันทีที่แสงจากเดธเซนเทนซ์แผ่พุ่งลงมา สติของเขาก็หลุดลอยหายไป
แต่ทันใดนั้นก็เกิดแสงสีขาวเจิดจ้าส่องสว่างไปทั่วบริเวณ
แสงนั้นปกคลุมร่างของซาลราวกับเป็นม่านคุ้มกัน ทำให้เวทเดธเซนเทนซ์แฉลบออกไปโดยไม่สามารถทำอันตรายใด ๆ ต่อเขาได้เลย
แซนโดรออกอาการแปลกใจกับสิ่งที่เห็นตรงหน้าเช่นกัน ทำให้หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ซาลที่ลอยเข้าไปหาเพราะไม่ถูกการโจมตีหยุดเอาไว้จึงเข้าถึงตัวของเธอได้ในที่สุด
เขาโผเข้ากอดที่เอวของแซนโดรและเกาะร่างของเธอเอาไว้แน่น แซนโดรจึงเงื้อมือขึ้นเหมือนทำท่าว่าจะโจมตีซ้ำหรือปัดตัวเขาออกไป แต่มือที่เงื้ออยู่ก็ถูกยกค้างเอาไว้แบบนั้น
ในการเข้าสู่ภาวะแอนเชี่ยนลิช แซนโดรได้สละทั้งสติและสามัญสำนึกไปเกือบหมด เหลือเพียงเจตนาในการแก้แค้นเท่านั้น เพื่อให้สามารถดึงพลังจากเนเธอร์เรล์มออกมาใช้ได้ถึงขีดสุด
ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ เธอรู้สึกเหมือนกำลังล่องลอยอยู่ในห้วงมิติอันว่างเปล่า เป็นตัวตนเล็ก ๆ ในกระแสพลังงานอันหนาวเหน็บที่ไหลเชี่ยว
แม้จะได้ยินคำพูดของลานาเทลและซาลทุกถ้อยคำ แต่เธอก็ไม่รู้สึกใด ๆ กับคำพูดนั้นเลยแม้แต่น้อย ไม่ใส่ใจ และไม่คิดว่ามันสำคัญ แม้แต่ชีวิตของพวกเขาก็เช่นกัน เพราะจิตใจของเธอมีแต่ความว่างเปล่า ไร้ซึ่งความรู้สึกและสายสัมพันธ์ใด ๆ
แต่ทันทีที่ซาลเข้ามาสัมผัสตัวเธอ โอบกอดเอวของเธอเอาไว้ แซนโดรกลับสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง
ทั้งที่ร่างแอนเชี่ยนลิชนี้ไม่น่าจะมีประสาทสัมผัสใด ๆ ไม่ควรจะรู้สึกถึงการกอดได้ด้วยซ้ำ แต่แซนโดรกลับสัมผัสถึงมันได้ และรู้สึกถึงความอบอุ่นที่แล่นผ่านร่างกายเข้ามากระตุ้นสติสัมปชัญญะอันน้อยนิดที่ล่องลอยอยู่ท่ามกลางกระแสพลังอันเชี่ยวกรากนั้น
ความรู้สึกอบอุ่นนั้นทำให้แซนโดรได้สติ และดวงตาประดุจเปลวไฟของเธอที่เห็นเพียงแต่สีขาวดำมาโดยตลอดก็เริ่มกลับมามองเห็นสีสันอีกครั้ง
“…ซาลารัส?…
ดูเหมือนซาลจะหมดสติไปแล้ว แต่เขาก็ยังคงกอดเอวของแซนโดรเอาไว้แน่นแม้จะไม่รู้สึกตัวแล้วก็ตาม
ทางด้านแซนโดร เมื่อสามัญสำนึกกลับคืนมาแล้วก็คิดได้ว่าทำเรื่องที่ร้ายแรงลงไปแค่ไหน เพราะเธอรู้ตัวถึงสิ่งที่ทำอยู่ตลอด เพียงแค่ไม่มีความรู้สึกใด ๆ กับมันเท่านั้น
‘…นี่เรา …เกือบจะฆ่าเด็กคนนี้ไปแล้วรึเนี่ย?…’
เมื่อตั้งสติได้แล้ว แซนโดรก็โบกมือขึ้นบนอากาศเพื่อยุติการร่ายเวท ทำให้หมอกสีม่วงที่เทลงไปยังเมืองเบื้องล่างนั้นหยุดลง ก่อนจะค่อย ๆ สลายตัวไป
เหล่าสมุนที่อยู่ในเมือง ทั้งสเกลตัน เดรดไนท์ และโบนโกเล็ม ก็กลายเป็นลำแสงสีเขียวพุ่งกลับขึ้นไปบนท้องฟ้า กลับไปยังปราสาทสีดำที่ลอยห้อยหัวอยู่อีกฟากหนึ่งของประตูมิตินั่น โดยมีเหล่าการ์กอยล์กับมังกรโครงกระดูกทยอยบินตามกลับไป
มีเพียงมังกรโครงกระดูกหนึ่งตัวที่ไม่ได้กลับไปรวมฝูง แต่ลงไปหิ้วร่างอันไร้สติของลานาเทลบินกลับขึ้นมาหาแซนโดรที่อุ้มซาลเอาไว้ในอ้อมแขน ก่อนที่แซนโดรจะขึ้นไปยืนบนหลังของมัน และใช้มันบินออกจากเมืองไป
ระหว่างที่อยู่บนหลังของมังกรโครงกระดูก แซนโดรก็จ้องมองใบหน้ายามหลับของเด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมแขน พลางครุ่นคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
‘…แสงที่มาปกป้องซาลารัสนั่นมันคืออะไรกันนะ …แล้วทำไมเด็กคนนี้ถึงส่งความรู้สึกผ่านร่างอันไร้สัมผัสทั้งทางร่างกายและจิตใจของแอนเชี่ยนลิชได้ล่ะ…’
แม้จะพยายามครุ่นคิด แต่มันก็เป็นสิ่งที่เธอนึกหาคำตอบไม่ได้ แซนโดรจึงได้แต่เก็บคำถามนี้เอาไว้ในใจ และมุ่งหน้าต่อไป