Doombringer the 5th - ตอนที่ 69
Ch.69 – การแก้ปัญหาของแต่ละคน
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 69
การแก้ปัญหาของแต่ละคน
Part 1
เช้าวันต่อมา ที่เมืองอินิสตร้า เมืองหลวงแห่งอาณาจักรอินิสตร้า
กองทหารและนักผจญภัยระดับสูงจากหัวเมืองต่าง ๆ ของอินิสตร้าได้เดินทางมาถึงตัวเมืองหลังจากเหตุการณ์สงบไปหลายชั่วโมงแล้ว
เพราะมาถึงที่เกิดเหตุช้าเกินไป ภารกิจของพวกเขาจึงเป็นเพียงภารกิจกู้ภัยแทน แต่กองทหารรักษาอาณาจักรก็ยังตั้งค่ายรายล้อมกำแพงเมืองอย่างแน่นหนา เพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจเกิดขึ้นอีก
บนกำแพงเมืองทิศเหนือ ชายแก่คนหนึ่งกำลังยืนดูสภาพบ้านเมืองที่ได้รับความเสียหายอย่างยับเยิน ด้วยแววตาอันดุดันที่ปนความเศร้าอยู่ภายใน โดยมีชายหนุ่มผมดำอีกคนเฝ้าดูอยู่ห่าง ๆ
เขาคือเซดดริก เดรค ผู้บัญชาการสูงสุดของหน่วยข่าวกรองแห่งพีชคีปเปอร์ ส่วนชายผมดำอีกคนคือ คอนคอร์ด ซิลดอลฟ์ หนึ่งในสี่นักดาบซึ่งเป็นผู้คุ้มกันของเขา
ระหว่างที่เซดดริกกำลังมองภาพเบื้องหน้าด้วยท่าทีเหม่อลอย ก็มีชายหนุ่มในชุดนักผจญภัยที่ดูมิดชิดคล้ายกับชุดสำหรับการลอบเร้นในช่วงเวลากลางคืน เดินเข้าไปหา เขาคือหัวหน้าหน่วยข่าวกรองของพีชคีปเปอร์ประจำเขตอินิสตร้า แต่ยังไม่ทันที่ชายคนนั้นจะพูดอะไร เซดดริกก็เป็นฝ่ายถามขึ้นมาซะก่อน
“ความเสียหายเป็นยังไงบ้าง?”
“ครับ ตอนนี้เราเคลียร์พื้นที่ไปได้เกือบ 90% แล้ว จำนวนผู้เสียชีวิตที่ยืนยันล่าสุดมีราว ๆ สามร้อยคน และบาดเจ็บอีกหลายพันคน ผู้ที่เสียชีวิตเป็นคนของหน่วยข่าวกรอง 26 คน ที่เหลือเป็นทหารรักษาเมืองกับพวกนักผจญภัย และมีพลเรือนปนอยู่ด้วยอีกเพียงเล็กน้อยครับ”
“อืม… ก็ถือว่าไม่เยอะนะ…”
“ครับ… ดูจากจำนวนกองทัพอันเดดที่มาบุกเมื่อคืนนี้แล้ว หากจะมีคนตายเป็นหลักพันหรือหลักหมื่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย แต่ดูเหมือนการฆ่าคนจะไม่ใช่เป้าหมายของพวกมัน หากไม่เข้าปะทะตรง ๆ พวกมันก็จะไม่ทำอันตราย แถมยังไม่ขัดขวางการหลบหนีของพลเรือนด้วย ไม่มีแม้แต่การอาละวาดสะเปะสะปะ เพียงแค่พยายามสร้างวงล้อมที่จุดเดียวเท่านั้น”
“เพราะเป้าหมายของพวกมันคือฉันสินะ?”
“คุณเซดดริก…”
ชายหนุ่มนิ่งเงียบไปเพราะรู้ว่าเซดดริกกำลังโทษตัวเองอยู่ เขาพยายามนึกหาคำพูดมาปลอบใจอีกฝ่ายเพื่อไม่ให้คิดมาก แต่ยังไม่ทันจะนึกอะไรได้ เซดดริกก็เป็นฝ่ายพูดออกมา
“ไปประสานงานกับทาวน์พอทัลของอินิสตร้า ให้ติดต่อไปยังคามิเท็นว่าฉันจะเดินทางไปที่นั่น ขอให้ช่วยเตรียมการโดยด่วนที่สุดด้วย เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วฉันจะเดินทางทันที”
“ครับ…”
เมื่อได้รับคำสั่ง ชายหนุ่มก็เดินลงจากกำแพงเมืองไป คอนคอร์ดที่เห็นว่าคนของหน่วยข่าวกรองไปแล้วจึงเดินเข้ามาคุยกับเซดดริกบ้าง
“เราจะไปคามิเท็นกันเลยเหรอครับ? แล้วการตามล่าแอนเชี่ยนลิชล่ะ?”
“เจ้านั่นมันคงไปไกลแล้วล่ะ ให้ตามตอนนี้คงไม่ทันหรอก อีกอย่างคือการจะจัดการกับคนที่สามารถเปิด ‘เกท’ ขนาดใหญ่แบบนั้นได้ก็ต้องใช้หน่วยพิเศษสำหรับปิดกั้นการสร้างประตูมิติด้วย ไม่งั้นมีคนเท่าไหร่ก็ไม่พอ”
“แปลว่าเราจะปล่อยมันไปเฉย ๆ งั้นเหรอ!?”
คอนคอร์ดมีน้ำเสียงที่ไม่พอใจเพราะคำพูดที่เหมือนการปลงของอีกฝ่าย เซดดริกจึงต้องอธิบายต่อ
“ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น แต่เรื่องการสะกดรอยแอนเชี่ยนลิชน่ะ ให้เป็นหน้าที่ของหน่วยข่าวกรองก็พอแล้ว ไว้ได้ตำแหน่งที่อยู่ของมันเมื่อไหร่ค่อยจัดชุดปราบปรามเข้าไปจัดการอีกที แบบนี้จะเป็นการดีที่สุด”
คอนคอร์ดอยากไล่ตามแอนเชี่ยนลิชไปด้วยตัวเองมากกว่า แต่คำพูดของเซดดริกก็มีเหตุผล เขาจึงจำต้องยอมรับการตัดสินใจของอีกฝ่าย แม้จะไม่พอใจนัก
ระหว่างนั้นก็มีหญิงสาวสามคนเดินขึ้นมาบนกำแพงเมืองและตรงมายังจุดที่ทั้งสองคนยืนอยู่ พวกเธอคือพีช, เลนิตี้, และ ไลฟ์ สี่นักดาบอีกสามคนที่เหลือนั่นเอง
เมื่อเดินมาถึง พีชก็เอ่ยคำขอโทษกับเซดดริกก่อนเป็นอันดับแรก
“ที่เกิดเรื่องแบบนี้เพราะพวกเราไร้ความสามารถแท้ ๆ ต้องขอโทษด้วยนะคะคุณเซดดริก…”
เธอเอ่ยคำพูดพลางก้มหัวลงด้วยท่าทีนอบน้อม ซึ่งไลฟ์กับเลนิตี้ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็ทำแบบเดียวกัน
“หึหึ… เรื่องในครั้งนี้น่ะโทษใครไม่ได้หรอก… จะโทษก็โทษที่ฉันย่ามใจเกินไป ดันเลือกเดินทางอย่างโจ่งแจ้ง ทั้งที่ควรจะรู้ตัวว่าเคยก่อกรรมอะไรไว้และมีศัตรูอยู่เยอะแค่ไหน…”
เมื่อได้ฟังคำพูดนั้น หนุ่มสาวทั้งสี่ก็ได้แต่มองหน้ากันไปมา คอนคอร์ดที่เห็นว่าบรรยากาศเริ่มจะไม่ค่อยดีจึงพยายามเปลี่ยนเรื่อง
“ว่าไปแล้ว ไม่รู้ทำไมจู่ ๆ เจ้าแอนเชี่ยนลิชนั่นถึงได้ยอมรามือไปนะ”
“เรื่องนั้นน่ะ…”
แม้จะเป็นคำถามลอย ๆ ที่คอนคอร์ทเอ่ยขึ้นมาเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ แต่เลนิตี้กลับพูดแทรกขึ้นมาเหมือนกับรู้คำตอบ ทำให้ทุกคนหันไปมองเธอโดยพร้อมเพรียงกัน
“เมื่อคืนนี้ระหว่างที่คนอื่น ๆ กำลังตามหาคุณเซดดริกอยู่ พีชให้ฉันเป็นคนคอยจับตาดูเจ้าแอนเชี่ยนลิชเอาไว้ และฉันก็เห็นว่ามีใครบางคนเข้าไปหาเจ้านั่นก่อนที่มันจะยอมถอนตัวไปน่ะ”
“ใครบางคนงั้นเหรอ?”
เซดดริกหันมาถามด้วยท่าทางสงสัย ซึ่งเลนิตี้ก็พยักหน้ารับก่อนจะเล่าต่อไป
“คนแรกที่ฉันเห็นดูเหมือนจะเป็นพวกแวมไพร์ เขาพยายามเข้าไปโจมตีแอนเชี่ยนลิชแต่ถูกสมุนของมันสกัดเอาไว้จนกระทั่งโดนเวทโจมตีอันรุนแรงยิงเข้าใส่ทำให้เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไป”
“พวกแวมไพร์งั้นรึ… อินิสตร้านี่ก็เป็นเขตอิทธิพลของพวกแวมไพร์อยู่แล้วน่ะนะ เห็นว่าตระกูลซันรีเวอร์ก็มีสาขาใหญ่อยู่ที่เมืองนี้ด้วย นั่นอาจเป็นคนของสมาคมแวมไพร์ที่พยายามจะปกป้องเมืองก็ได้ แต่ในเมื่อเขาแพ้ แล้วทำไมแอนเชี่ยนลิชยังยอมถอนตัวอีกล่ะ?”
“เรื่องเหตุผลดิฉันเองก็ไม่แน่ใจ แต่มันยอมถอนตัวไปหลังจากมีเด็กคนหนึ่งปรากฏตัวออกมาหลังจากนั้นน่ะค่ะ”
“เด็กคนหนึ่งเหรอ?”
คำพูดนี้ทำให้ทุกคนรู้สึกประหลาดใจมากขึ้นไปอีก โดยเฉพาะเซดดริกที่ดูจะสนใจเป็นพิเศษ
“ค่ะ หลังจากแวมไพร์คนนั้นพ่ายแพ้ไปแล้วก็มีเด็กคนหนึ่งปรากฏตัวออกมา เด็กคนนั้นสามารถลอยตัวได้ด้วยความสามารถบางอย่าง แต่แอนเชี่ยนลิชก็โจมตีใส่เขาโดยไม่สนใจอะไร ทว่าจู่ ๆ ก็มีแสงสีขาวเจิดจ้ามาปกป้องเด็กคนนั้นเอาไว้ ทำให้เขาสามารถรอดพ้นจากการโจมตีนั้นไปได้ เมื่อเด็กคนนั้นเข้าถึงตัวแอนเชี่ยนลิช เจ้านั่นก็ยุติการโจมตีและทำการถอนกำลังทั้งหมดก่อนจะหนีไปน่ะค่ะ”
“เด็กคนนั้น… มีผมสีแดงรึเปล่า?”
“มันค่อนข้างไกล แถมยังมืดด้วย ฉันเองก็มองไม่ถนัดหรอกค่ะ”
“อืม…”
ทุกคนต่างนิ่งเงียบไปเมื่อได้ยินสิ่งที่เลนิตี้เล่าออกมา มีเพียงเซดดริกที่พึมพำคำพูดราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“เด็กที่อยู่กับนักเวทหัวกะโหลก… ก็น่าจะเป็นซาลารัส แฮลเซียน… ถึงขนาดยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อหยุดการโจมตี แปลว่ายังไม่ได้สิ้นหวังกับโลกนี้จนเข้าสู่ด้านมืดสินะ… ไม่สิ ยังเร็วเกินไปที่จะด่วนสรุป… แต่ที่สำคัญคือแสงนั่น…”
เซดดริกพึมพำกับตัวเองอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาถามเลนิตี้อีกครั้ง
“เธอบอกว่าเห็นแสงสว่างปกป้องเด็กคนนั้นจากการโจมตีงั้นเหรอ? ลักษณะมันเป็นยังไง?”
“เอ่อ… ก็เป็นแสงสว่างวาบ คล้าย ๆ กับมีม่านป้องกันที่สร้างจากแสงมาคลุมตัวเด็กคนนั้นเอาไว้ ทำให้การโจมตีของแอนเชี่ยนลิชแฉลบออกไปน่ะค่ะ”
“อืม… เด็กลูกครึ่งชาวสวรรค์ที่เกิดมาในช่วงหลายสิบปีนี้ไม่น่าจะมีพลังพิเศษอะไรนี่นา… ไม่สิ ต่อให้เป็นผู้มีสายเลือดของชาวสวรรค์สมัยก่อนก็ยังไม่มีใครที่มีพลังในลักษณะนี้ด้วยซ้ำ… ทำไมเด็กคนนั้นถึงได้…”
เพราะไม่มีใครเข้าใจในสิ่งที่เซดดริกพูด ทุกคนจึงได้แต่ยืนฟังเงียบ ๆ ระหว่างนั้นเองคนของหน่วยข่าวกรองที่เซดดริกให้ไปจัดเตรียมการเดินทางก็กลับมาหาเขาอีกครั้ง
“คุณเซดดริกครับ ทางคามิเท็นมีคำตอบมาแล้ว พวกเขาบอกว่าให้คุณเซดดริกเดินทางไปได้ทุกเมื่อเลยครับ”
“อืม… เรื่องนี้คงต้องเก็บไว้ตรวจสอบกันอีกทีหลังจากเรากลับไปจูริสล่ะนะ… เอาล่ะ ทุกคน ไปกันเถอะ”
เมื่อพูดจบ เซดดริกก็เดินลงจากกำแพงเมือง โดยมีทุกคนเดินตามไป
——————————————————————————————————–
Part 2
ที่เมืองเอลการ์ดซึ่งอยู่ห่างจากเมืองอินิสตร้าไปราว ๆ 60 กิโลเมตร
ในห้องพักของโรงแรมประจำเมือง แซนโดรกำลังถูกทุกคนที่นั่งล้อมวงกันอยู่จ้องมองด้วยสายตาอันขุ่นเคือง
เพราะซาลหายไป ทำให้นิโคลกับอัลติม่าออกตามหากันจ้าละหวั่น จนกระทั่งแซนโดรและลานาเทลกลับมาพร้อมกับเขา ทั้งสองคนจึงรู้สึกโล่งใจ แต่พอได้ฟังเรื่องที่แซนโดรทำในเมืองอินิสตร้า ทั้งคู่ก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาอีกครั้ง
ทุกคนนั่งล้อมวงกันเพื่อต่อว่าแซนโดรที่ทำอะไรโดยพลการ และพากันซักไซ้หาเหตุผล แต่เธอก็ไม่ได้ตอบอะไรอย่างชัดเจน แถมยังไม่มีทีท่าว่าจะสำนึกผิดอีกด้วย
“…พวกเธอล่วงหน้ากันไปก่อนเถอะ …เดี๋ยวฉันจะตามไปทีหลังเอง…”
“แค่นี้ยังก่อเรื่องไม่พออีกเหรอคะ!? แถมป่านนี้แล้ว ทั้งกองทหารและผู้สร้างสันติภาพคงอยู่กันเต็มเมืองไปหมด ถึงย้อนกลับไปอีกแล้วจะทำอะไรได้เหรอคะ!?”
ลานาเทลกระแทกเสียงด้วยความหงุดหงิด แม้เธอจะไม่ถึงกับขึ้นเสียงจนดัง แต่ด้วยโทนเสียงก็ทำให้ทุกคนรู้ได้ว่าเธอกำลังไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“…แค่จะตามไปสะกดรอยน่ะ …ส่วนเรื่องการลอบสังหารเอาไว้ค่อยหาโอกาสเหมาะ ๆ เอาก็ได้…”
ลานาเทลมีสีหน้าบูดเบี้ยวเหมือนกำลังพยายามสงบสติอารมณ์อย่างที่สุด ซึ่งหลังจากถลึงตามองแซนโดรอยู่พักหนึ่ง เธอก็หลับตาลงและถอนหายใจยาว ๆ ก่อนจะพูดกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงที่สงบลง
“คุณแซนโดรมีความแค้นอะไรกับคน ๆ นั้นกันแน่คะ? ถึงต้องพยายามทำขนาดนี้… ช่วยบอกเหตุผลหน่อยจะได้มั้ยคะ?”
“…เรื่องนั้นไม่เกี่ยวกับเธอ…”
คำพูดของแซนโดรทำให้ลานาเทลฟิวส์ขาดขึ้นมาอีกครั้ง เธอลุกขึ้นจ้องแซนโดรและขบฟันด้วยอาการโกรธเกรี้ยวอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะสะบัดหน้าแล้วเดินออกจากห้องไป
เมื่อลานาเทลไปแล้ว อัลติม่าที่อยู่ในอาการไม่พอใจเช่นกันจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาบ้าง
“เธออยากจะฆ่าใครฉันก็ไม่สนหรอกนะ แต่หัดระวังรอบข้างซะบ้างเซ่ เล่นใช้ ‘เดธแอนด์ดีเคย์’ ล้างเมืองแบบนี้ เกิดโดนซาลารัสขึ้นมาจะทำยังไง?”
‘เดธแอนด์ดีเคย์’ (Death and Decay) คือเวทหมอกมรณะที่แซนโดรพยายามจะใช้กวาดล้างเมืองอินิสตร้า มันเป็นเวทที่จะสร้างหมอกธาตุมืดขึ้นมากัดกินสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่ถูกสัมผัสจนเหลือแต่กระดูก หากปรับคุณสมบัติให้มีผลกับวัตถุด้วยก็จะกัดกร่อนได้แม้แต่สิ่งก่อสร้าง จนทำให้เมืองทั้งเมืองแปรสภาพเป็นทะเลทรายก็ยังได้ นับเป็นเวทที่อันตรายติดอันดับต้น ๆ ของศาสตร์มืด
“…ฉันถึงบอกให้มารอที่เมืองอื่นไงล่ะ …เจ้านั่นผิดเองต่างหากที่แอบตามไปด้วย…”
“หมายความว่าซาลารัสจะตายไปก็ช่างงั้นเหรอ!?”
“…ใครจะไปคอยระวังเจ้าเด็กนี่จากนิสัยงี่เง่าที่ชอบทำเรื่องเสี่ยง ๆ ได้ตลอดกันล่ะ…”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น ทั้งอัลติม่าและนิโคลต่างก็ขมวดคิ้วด้วยความข้องใจ นิโคลถึงกับทนไม่ได้จนต้องพูดแทรกขึ้นมา
“มันเหมือนกันที่ไหนล่ะคะ!? นี่มันเป็นการกระทำของคุณแซนโดรเองนะคะ! ถ้ารู้ว่าซาลารัสอยู่ด้วยก็ต้องหยุดสิคะ!”
“…ในร่างนั้น ฉันไม่สนใจเรื่องอื่น ๆ หรอกหรอก สนใจแต่เป้าหมายเท่านั้น เพราะงั้นถ้าโดนลูกหลงไปด้วยมันก็ช่วยไม่ได้…”
นิโคลพอจะเข้าใจคำอธิบายนั้นว่ามันเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของแซนโดร แต่เพราะการพูดที่ยังคงไม่ยอมรับผิดอย่างสิ้นเชิงนั้นก็ทำให้เธอก็รู้สึกหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย
ในที่สุด ซาลที่นั่งฟังอยู่ตลอดก็ขอพูดขึ้นบ้าง
“แต่คราวนี้แซนโดรทำเกินไปนะ! คิดว่าเรื่องคราวนี้ทำให้คนตายไปเท่าไหร่น่ะ!? พวกเขาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วยแท้ ๆ มีความแค้นกับใครก็ไปลงกับคนนั้นสิ!”
“…พวกมันเสนอหน้ากันเข้ามาเองนี่นา …ฉันไม่ได้ไปไล่ฆ่าพวกนั้นซะหน่อย …ที่สำคัญ ถ้ารักตัวกลัวตายก็อย่ามาเป็นทหารหรือนักผจญภัยสิ …เลือกทำอาชีพเสี่ยง ๆ เอง พอตายไปจะมาโทษใครได้?…”
คำพูดนั้นทำให้ซาลรู้สึกฉุนจนหน้าบิดเบี้ยว ตอนนี้เขาเริ่มจะรู้สึกโกรธแซนโดรขึ้นมาจริง ๆ แล้ว
“แล้วพวกชาวเมืองล่ะ!? ถ้าหมอกนั่นไม่ถูกหยุดละก็ ป่านนี้อินิสตร้าคงกลายเป็นเมืองผีไปแล้ว! พวกเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลยไม่ใช่เหรอ!? ถ้าต้องมาตายโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่แบบนี้มันไม่ยุติธรรมเลยนี่นา!”
“…โลกมันก็เป็นแบบนี้แหละ …ความยุติธรรมไม่มีอยู่จริงหรอก …เราต้องเป็นคนสร้างมันขึ้นมาเองเท่านั้น…”
“ด้วยการเพิ่มผู้เคราะห์ร้ายแบบนี้น่ะเหรอ!? แล้วมันจะไปสิ้นสุดที่ไหนล่ะ!? แบบนั้นมันไม่ใช่ความยุติธรรมหรอก!”
ความจริงแซนโดรก็รู้สึกว่าตัวเองทำพลาดไปเหมือนกันที่ปล่อยให้ร่างแอนเชี่ยนลิชลงมือหนักจนถึงขนาดจะฆ่าล้างทั้งเมืองแบบนั้น แต่ด้วยทิฐิจึงไม่อยากจะยอมรับในเรื่องนี้สักเท่าไหร่และไม่อยากพูดถึงด้วย
“…เรื่องนั้นเธอไม่มีวันเข้าใจหรอก …สรุปว่าให้ทุกคนไปรอฉันที่ฮาเวนกัลตามที่บอกนั่นแหละ …แล้วฉันจะตามไป…”
เมื่อพูดจบ แซนโดรก็ลุกขึ้นและทำท่าจะเดินออกไปจากห้อง
ตอนนี้ซาลไม่ได้รู้สึกโกรธเกรี้ยว แต่รู้สึกกลัวมากกว่า เขากลัวว่าแซนโดรจะเปลี่ยนไป กลายเป็นคนที่เขาไม่รู้จัก เพราะถูกความแค้นบังตา เขาไม่เชื่อว่านั่นจะเป็นตัวตนของแซนโดรจริง ๆ และไม่อยากให้เธอถลำลึกลงไปกว่านี้ จึงรีบคว้าข้อมือของเธอเพื่อรั้งตัวเธอไว้
“เดี๋ยวก่อนสิแซนโดร!”
ทันทีที่ถูกคว้าข้อมือเอาไว้ แซนโดรก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างอีกครั้ง ทำให้เธอต้องหันกลับมามองมือน้อย ๆ ของซาลที่คว้าข้อมือเธออยู่
‘…ความรู้สึกแบบนี้อีกแล้ว …ราวกับมีกระแสลมเย็นพัดผ่านร่างกายและปัดเป่าเอาความรู้สึกไม่ดีทั้งหมดออกไป …ทั้งความโกรธ ความเศร้า หรือความแค้น ต่างก็จางหายไปหมด …ทำให้จิตใจรู้สึกสงบอย่างน่าประหลาด …เหมือนกับตอนนั้นไม่มีผิด …นี่มันอะไรกันนะ…’
แซนโดรจ้องมองซาลด้วยแววตาสงสัย ก่อนจะจับมือของเขาขึ้นมาลูบ ๆ คลำ ๆ เหมือนต้องการจะสำรวจอะไรบางอย่าง ทำให้ซาลรู้สึกงุนงงไปด้วย
“เฮ้ ๆ ๆ ทำอะไรของเธอน่ะ!? ปล่อยมือนะ!”
อัลติม่าที่ออกอาการไม่พอใจเข้าไปดึงตัวซาลออกมา ส่วนแซนโดรก็ยังจ้องมองมือของตัวเองที่เพิ่งละจากมือของซาลารัสอยู่อีกครู่หนึ่ง พลางครุ่นคิดอะไรไปด้วย
‘…นับแต่มีการปรับปรุงร่างจำแลงของทูตสวรรค์ เด็กที่เกิดจากชาวสวรรค์ก็ไม่มีพลังพิเศษอะไรติดตัวอีกแล้วนี่นา …แต่ความสามารถนี้ ไม่น่าจะเป็นเรื่องธรรมชาติแน่ ๆ …ไหนจะแสงสว่างที่มาปกป้องซาลารัสนั่นอีก …รึว่ายัยไอริสจะแอบทำอะไรบางอย่างกันนะ…’
แซนโดรครุ่นคิดพลางเหลือบมองไปยังซาลซึ่งยังมีท่าทางสับสน โดยมีอัลติม่าที่กำลังกอดตัวเขาอยู่ส่งสายตาไม่เป็นมิตรมาตลอด แต่สักพักนิโคลก็ลุกขึ้นมาแกะมือของอัลติม่าออกแล้วดึงตัวเธอกลับไปนั่งลงที่เดิม
ระหว่างนั้นเอง ลานาเทลก็กลับเข้ามาในห้อง ก่อนจะบอกข่าวสารที่เพิ่งได้รับมาให้แซนโดรฟัง
“คนของฉันที่ทาวน์พอทัลของอินิสตร้ารายงานมาว่า คณะเดินทางของพีชคีปเปอร์ทำการเคลื่อนย้ายจากอินิสตร้าไปยังคามิเท็นแล้วค่ะ เพราะงั้นถึงคุณแซนโดรจะกลับไปอินิสตร้าตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์หรอกนะคะ”
“…งั้นเหรอ…”
แซนโดรจ้องมองฝ่ามือของตัวเองอีกครั้ง ก่อนจะลดมือลงและหันมาพูดกับทุกคน
“…ถ้างั้นก็ช่วยไม่ได้ …วันนี้ทุกคนพักผ่อนกันอีกวันก็แล้วกัน …พรุ่งนี้เราจะออกเดินทางตามกำหนดการเดิม…”
เมื่อพูดจบ แซนโดรก็เดินกลับเข้าห้องของตัวเองไป โดยไม่สนสายตาอันขุ่นเคืองและคับข้องใจของทุกคนเลยแม้แต่น้อย
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบงันโดยไม่มีใครพูดอะไรกัน นิโคลเห็นว่าบรรยากาศดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ จึงพยายามพูดช่วย
“คุณแซนโดรคงจะมีเหตุผลของตัวเองน่ะค่ะ ถึงตอนนี้เขาจะไม่ยอมบอก แต่สักวันเขาคงจะเล่าให้พวกเราฟังเองแหละนะคะ”
“จะมีเหตุผลอะไรอีกล่ะ? แม่นั่นก็แค่อยากแก้แค้น และทำได้ทุกอย่างเพื่อแก้แค้น มันก็เท่านั้นแหละ ไม่มีอะไรซับซ้อนหรอก”
อัลติม่าพูดสวนกลับไประหว่างเอนกายลงบนโซฟาที่อยู่ใกล้ ๆ ก่อนจะหยิบหนังสือขึ้นมานอนอ่านอย่างสบายอารมณ์
ทางด้านลานาเทลยังคงแสดงสายตาที่สื่อถึงความขุ่นเคืองออกมาอย่างเห็นได้ชัด ก่อนเธอจะเดินออกจากห้องไปอีกครั้ง
แม้จะไม่รู้รายละเอียด แต่ทุกคนก็พอจะเดาได้ว่าแซนโดรมีความแค้นอันใหญ่หลวงกับคนของพีชคีปเปอร์คนนั้น แต่เพราะเจ้าตัวไม่ยอมอธิบายอะไรเลย ทำให้ทุกคนไม่รู้จะหาเหตุผลมารองรับการกระทำของแซนโดรยังไงดี
ซาลเองก็ทบทวนเรื่องที่แซนโดรพูดเช่นกัน เขานึกย้อนไปถึงวันที่เคยคุยกับแซนโดรที่หน้าผาอันว่างเปล่าของโรงเรียนอีจิส ซึ่งแม้เธอจะไม่ได้พูดออกมาตรง ๆ แต่เขาคิดว่าคนที่เธอให้ความสำคัญก็คงจะถูกพีชคีปเปอร์สังหารไปจนเกือบหมดแล้ว
เขาลองนึกเปรียบเทียบดูว่าหากวันหนึ่งครอบครัวของเขา พี่น้อง หรือทุกคนที่นี่ถูกฆ่าตายไปจนหมด เขาจะจมดิ่งลงสู่ห้วงแห่งความแค้นจนทำได้ทุกอย่างเพื่อแก้แค้นเหมือนกันหรือไม่
แม้ต่อหน้าทุกคนเขาจะบอกกับแซนโดรว่านั่นเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องและไม่เหมาะสม แต่หากเผชิญกับความสูญเสียแบบนั้นเข้าจริง ๆ เขาก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองจะยังคงความคิดแบบนี้เอาไว้ได้รึเปล่า
สิ่งนี้ได้มารบกวนจิตใจจนทำให้เขาสลัดความกังวลออกไปไม่ได้
นิโคลที่เห็นซาลารัสมีสีหน้าเคร่งเครียด จึงเข้าไปนั่งใกล้ ๆ และพูดปลอบประโลมเขาอีกครั้ง
“ไม่ต้องห่วงนะคะคุณซาลารัส ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อยค่ะ”
“ผมไม่เป็นไรหรอก แต่แซนโดรน่ะ… ที่ทำแบบนี้ก็เพราะว่าเขายังจมอยู่กับความทุกข์และความสูญเสีย… แบบนี้ไม่ดีเลย… ถ้าอยากจะให้แซนโดรเลิกคิดแก้แค้นได้ก็คงมีทางเดียวเท่านั้น…”
“เอ๋? ทางไหนเหรอคะ?”
“ก็ต้องทำให้แซนโดรมีความสุขไงล่ะ! ถ้าทำให้แซนโดรมีความสุขและให้ความสำคัญกับปัจจุบันจนลืมอดีตได้ละก็ เธอก็จะเลิกคิดแก้แค้นเองนั่นแหละ!”
ซาลารัสพูดด้วยแววตาเป็นประกายและท่าทีจริงจัง ทำให้นิโคลรู้สึกประหลาดใจแต่ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ส่วนอัลติม่าก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ จะทำให้ยัยนั่นมีความสุขและเลิกคิดแค้นเนี่ยนะ? ฝึกจระเข้ให้เชื่องยังจะง่ายกว่าเลยมั้ง”
คำพูดนั้นทำให้ซาลมองค้อนไปยังอัลติม่านิดหน่อย แต่อีกฝ่ายก็ยิ้มเยาะอีกครั้งก่อนจะเชิดหน้าหลบไป
แม้มันจะเป็นแนวคิดที่ดูไร้เดียงสาไปนิด แต่นิโคลคิดว่าการพยายามแก้ปัญหาด้วยความคิดเชิงบวกก็เป็นสิ่งที่ดีกว่าการกลัดกลุ้มเพราะเอาแต่คิดว่ามันเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ จึงรู้สึกชื่นชมซาลอยู่ไม่น้อย และเห็นว่านี่แหละคือวิธีคิดที่สมกับเป็นซาลแล้ว
“เข้าใจแล้วค่ะ เรามาพยายามทำให้คุณแซนโดรมีความสุขด้วยกันเถอะนะคะ”
“อื้ม!”
ทั้งสองคนเกี่ยวก้อยสัญญากันเป็นมั่นเป็นเหมาะ ทำให้อัลติม่าได้แต่เบะปากเพราะความคิดโลกสวยของคนทั้งคู่
แต่ถึงแม้จะไม่ค่อยเชื่อว่ามันสามารถเป็นจริงได้ ในใจลึก ๆ แล้วอัลติม่าก็แอบคิดอยู่เหมือนกันว่าความคิดนั้นไม่ใช่เรื่องที่แย่อะไร
เพราะหากวันหนึ่งเธอทำพลาดหรือก่อเรื่องเลวร้ายขึ้นมาบ้าง เธอก็อยากให้มีคนพยายามยื่นมือเข้าช่วยโดยเชื่อมั่นว่าจะดึงเธอกลับเข้าสู่หนทางที่ถูกต้องได้ มากกว่าตัดขาดหรือปล่อยไปตามยถากรรมเพราะหมดหวังในตัวเธอ
ทั้งสามคนนั่งคุยกันต่อไปอีกสักพัก ก่อนที่นิโคลจะเสนอให้ออกไปเดินเที่ยวในเมือง ทุกคนจึงพากันออกจากที่พักไป และกลับมาอีกครั้งในตอนเย็น
——————————————————————————————————–
Part 3
ในตอนพลบค่ำ ลานาเทลก็ไปที่โกดังของตระกูลซันรีเวอร์อีกครั้งเพื่อทำการติดต่อกับเคเลเซ็ทและวาลานาร์ในเมืองอินิสตร้า ด้วยการสื่อสารผ่านหน้าจอเวทมนตร์
เมื่อภาพของเคเลเซ็ทกับวาลานาร์ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ ลานาเทลก็ถามความคืบหน้าของสถานการณ์จากทั้งสองคน ด้วยสีหน้าที่ดูเฉยชา
“สถานการณ์ในเมืองเป็นไงบ้าง?”
“กองกำลังป้องกันของอินิสตร้ายังคนตั้งค่ายอยู่ทั้งในเมืองและนอกเมืองค่ะ ส่วนพวกนักผจญภัยจากเมืองอื่น ๆ เริ่มทยอยกันกลับไปบ้างแล้ว”
“แล้วความเสียหายของฝ่ายเราล่ะ?”
“ไม่มีคนของตระกูลเราได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตค่ะ เพราะไม่ได้อยู่ในจุดปะทะ… จริงสิ คุณวิคเตอร์ติดต่อมาบอกว่ามีเรื่องที่ต้องการให้ท่านลานาเทลตัดสินใจน่ะค่ะ เขาอยากให้ท่านลานาเทลติดต่อกลับไปด้วย”
“อืม… เข้าใจล่ะ… งั้นถ้ามีอะไรเปลี่ยนแปลงก็ส่งข่าวมาด้วยนะ”
“ทราบแล้วค่ะ”
เมื่อพูดจบ ลานาเทลก็ตัดการสนทนากับเคเลเซ็ท ทำให้ภาพบนหน้าจอหายไป ก่อนที่เธอจะร่ายเวทอีกครั้งเพื่อติดต่อกับทางวาลาเชีย
เมื่อการเชื่อมต่อสำเร็จ ก็ปรากฏใบหน้าของชายผู้หนึ่งซึ่งมีผมสีทองและใบหน้าซีดเซียวขึ้นบนหน้าจอ เขาคือวิคเตอร์ หนึ่งในผู้อาวุโสแห่งสภาผู้อาวุโสชุดปัจจุบันของวาลาเชีย ซึ่งลานาเทลเป็นคนแต่งตั้งขึ้นเอง
“ไม่พบกันนานเลยนะครับ ท่านลานาเทล”
“อืม… มีเรื่องอะไรงั้นเหรอ?”
“คือว่าตอนนี้ทางพีชคีปเปอร์มีทีท่าว่าต้องการจะฟื้นฟูความสัมพันธ์กับวาลาเชียอีกครั้ง คงเพราะเห็นว่าหมดยุคของท่านลานาเทลแล้วกระมัง ก็เลยอยากจะส่งทูตมาเจริญสัมพันธไมตรี ท่านลานาเทลอยากให้เราตอบสนองไปยังไงดีครับ?”
“เชื่อมสัมพันธ์งั้นเหรอ… ก็เอาสิ ฝืนตั้งแง่กับพีชคีปเปอร์ต่อไปจะยิ่งส่อพิรุธเปล่า ๆ สู้ยอมผ่อนคลายนโยบายทางการทูตลงบ้างดีกว่า แต่แค่ระดับหนึ่งเท่านั้นนะ ระวังอย่าให้พวกมันส่งสายลับเข้ามาภายในเมืองของเราได้”
“รับทราบครับ กระผมจะไปจัดการตามนี้”
วิคเตอร์ทำท่าเหมือนจะตัดการสื่อสารเพื่อไปทำตามคำสั่ง แต่ลานาเทลก็ห้ามเขาไว้ซะก่อน
“เดี๋ยวก่อน…”
“ครับ?”
“คุณวิคเตอร์น่ะ เคยอยู่กับท่านพ่อในสมัยที่ลงไปขยายอิทธิพลที่เอ็นซิสตอนล่างด้วยสินะ?”
“ใช่ครับ กระผมเคยตามท่านฮาร์คอนลงไปปราบกลุ่มอิทธิพลของผู้ใช้ศาสตร์มืดที่ภาคใต้ ตอนนั้นเอ็นซิสตอนล่างยังเป็นส่วนหนึ่งของทวีปอยู่เลย ไม่ใช่ถูกแยกเป็นโครซิสเหมือนปัจจุบันนี้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น แววตาของลานาเทลที่ดูเฉยชามาโดยตลอดจนถึงเมื่อสักครู่นี้ก็เบิกโพลงและเปล่งประกายขึ้นมา
“สมาคมผู้ใช้ศาสตร์มืดที่ว่าคือ ‘คัลท์ออฟเดอะแดมน์’ (Cult of the Damned) ใช่มั้ย?”
“ใช่ครับ เป็นสมาคมผู้ใช้ศาสตร์มืดที่ทรงอิทธิพลมากทีเดียว ท่านฮาร์คอนต้องเสียเวลาอยู่หลายปีกว่าจะยึดครองดินแดนเอ็นซิสตอนล่างได้อย่างสมบูรณ์”
“ได้ข่าวว่าผู้นำของคัลท์ออฟเดอะแดมน์ก็เป็นลิชที่มีพลังระดับแอนเชี่ยนลิชเลยนี่นา คงเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดมากเลยสินะ?”
“ครับ ทางเราก็เสียคนมีฝีมือไปหลายคนทีเดียวกว่าจะจัดการกับแอนเชี่ยนลิชคนนั้นได้ แม้แต่ท่านฮาร์คอนเองก็ต้องลำบากพอสมควร”
“อืม… ในห้องสมุดของตระกูลเราน่าจะยังมีบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์ครั้งนั้นอยู่สินะ?”
“แน่นอนครับ อาลักษณ์ของตระกูลเราบันทึกเรื่องราวทั้งหมดเอาไว้ทุกขั้นตอน เพื่อเป็นการสืบทอดวีรกรรมให้คนรุ่นหลังได้รับรู้ บันทึกเรื่องราวในเอ็นซิสน่าจะเป็นพงศาวดารที่มีความยาวเกือบยี่สิบเล่มได้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น แววตาของลานาเทลก็ยิ่งเป็นประกายมากขึ้น ราวกับได้เจอของที่ต้องการ
“คุณวิคเตอร์ช่วยไปค้นบันทึกนั่นมาให้ฉันหน่อยได้มั้ย? ฉันอยากได้ข้อมูลบางอย่างจากบันทึกพวกนั้นน่ะ”
“ได้ครับ ว่าแต่ท่านลานาเทลต้องการจะรู้เรื่องอะไรเหรอครับ?”
ใบหน้าที่ดูเฉยชามาตลอดของลานาเทลเริ่มมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมาเป็นครั้งแรกจนทำให้วิคเตอร์รู้สึกแปลกใจ ซึ่งลานาเทลก็บอกความปราถนาของเธอออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“ฉันอยากรู้วิธีที่ท่านพ่อใช้ในการจัดการกับแอนเชี่ยนลิชน่ะ”