Doombringer the 5th - ตอนที่ 7
Ch.7 – การค้นพบ
Translator : YoyoTanya / Author
Chapter. 7
การค้นพบ
Part 1
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป
ซาลยังคงขะมักเขม้นกับการเรียนโดยมีแซนโดรเป็นผู้ชี้แนะ
แซนโดรจัดตารางเวลาโดยให้ช่วงเช้าเป็นการเรียนวิชาของนักเวทฝึกหัด ส่วนช่วงบ่ายจะเป็นการเรียนวิชาของคอนจูเรอร์ ขณะนี้เป็นช่วงเวลาเช้า แต่เพราะในเรล์มแห่งนี้มีบรรยากาศเหมือนกลางคืนตลอดเวลาทำให้ซาลที่ยังอยู่ระหว่างปรับตัวกับเรื่องนี้ไม่ค่อยกะปรี้กะเปร่านัก
“…ยังร่ายช้าเกินไป…”
“เห… แต่ร่ายด้วยมือเปล่ามันก็ได้เท่านี้แหละนา”
“…มือเปล่าก็ควรได้เร็วกว่านี้ …เด็กสมัยนี้น่ะพึ่งพาเทคโนโลยีมากเกินไปแล้ว…”
ซาลทำหน้าบูดบึ้งนิด ๆ ก่อนจะพยายามร่าย ‘ไฟร์บอล’ ใหม่อีกครั้ง
การร่ายเวทมนตร์ทั่ว ๆ ไปจะกระทำโดยการจินตนาการอักขระเวทขึ้นมาในหัวแล้วถ่ายทอดพลังเวทเพื่อปลดปล่อยเวทมนตร์ออกไป
เวทแต่ละชนิดแต่ละระดับก็จะใช้อักขระที่แตกต่างกันในการร่าย และยิ่งเป็นเวทที่มีความซับซ้อนจำนวนอักขระที่ต้องใช้ในการร่ายก็จะยิ่งมากตามไปด้วย เวทมนตร์ที่มีความซับซ้อนจึงต้องอาศัยวงเวทเป็นโครงร่างแม่แบบสำหรับช่วยในการเรียบเรียงอักขระจำนวนมาก
ในอดีตการใช้เวทมนตร์เป็นสิ่งที่ยุ่งยากซับซ้อนกว่านี้มาก เพราะการจะสร้างองค์ประกอบทางเวทมนตร์แต่ละส่วนขึ้นมาได้ต้องทำการร่ายคาถายืดยาวเป็นบรรทัด แค่ ‘ไฟร์โบลท์’ ซึ่งเป็นเวทไฟระดับต่ำสุดก็ต้องท่องคาถาห้าถึงหกวินาทีแล้ว
แต่หลังจากมีการพัฒนาปรับปรุงวิทยาการ ก็มีการคิดค้นออกแบบอักขระเวทขึ้นมาใช้แทนการร่ายคาถา ซึ่งแค่อักขระเวทขั้นพื้นฐานก็สามารถใช้แทนการร่ายคาถาได้ทั้งบทเลย เนื้อคาถาอันยืดยาวเป็นย่อหน้าของ ‘ไฟร์โบลท์’ จึงถูกแปรสภาพกลายเป็นอักขระเวทเพียงตัวเดียวเท่านั้น ทำให้ลดทอนเวลาที่ต้องใช้ในการ่ายเวทลงได้เยอะมาก
สำหรับ ‘ไฟร์บอล’ เป็นเวทระดับสองซึ่งประกอบขึ้นจากอักขระเวทสามตัวด้วยกัน สิ่งที่ซาลารัสต้องทำก็คือสร้างอักขระเวททั้งสามตัวขึ้นในหัวแล้วถ่ายเทพลังเวทเพื่อปลดปล่อยเวทมนตร์ออกมา แม้จะฟังดูง่าย แต่การจะจินตนาการอักขระซึ่งมีลักษณะเฉพาะอันซับซ้อนขึ้นมาอย่างถูกต้องและแม่นยำก็เป็นเรื่องที่ต้องอาศัยสมาธิและความชำนาญ
อุปกรณ์เวทมนตร์อย่างคทาเวทจะมีระบบจำลองอักขระให้ผู้ใช้สามารถเลือกบรรจุอักขระที่ใช้เป็นประจำลงในคทาได้ ยิ่งเป็นคทาระดับสูงก็ยิ่งจำลองอักขระได้หลายตัว หรือจำลองวงเวททั้งชุดไว้ให้เลย ทำให้ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องสร้างอักขระหรือวงเวทขึ้นมาเองหมด แค่ถ่ายทอดพลังเวทลงไปก็ทำให้ร่ายเวทได้เลย คทาเวทจึงเป็นอุปกรณ์แสนสะดวกที่ช่วยให้การใช้เวทมนตร์เป็นไปอย่างสะดวกสบาย
“อ๊ะ… โธ่เอ๊ย!”
เพราะรีบเกินไปทำให้อักขระเวทไม่สมบูรณ์ ‘ไฟร์บอล’ ที่เขาพยายามปล่อยออกไปจึงล้มเหลว แทนที่จะปลดปล่อยบอลไฟขนาดใหญ่ออกไป กลับกลายเป็นก้อนอากาศที่ลอยเอื่อย ๆ แทน
“…ไม่เป็นไร …ของแบบนี้ต้องอาศัยประสบการณ์ …พอชินแล้วก็จะทำได้เอง…”
แซนโดรกล่าวให้กำลังใจในขณะที่ซาลกำลังหงุดหงิดกับความล้มเหลว แต่เขาก็พอเข้าใจเจตนาในการฝึกอันเข้มงวดของเธอ เพราะเขาได้ศึกษาเกี่ยวกับโครงสร้างของอักขระเวทมาระดับหนึ่งแล้ว
แม้จะเป็นอักขระเวทธาตุเดียวกัน แต่ก็มีรูปแบบและโครงสร้างที่แตกต่างกันอยู่นับไม่ถ้วน ด้วยการปรับแต่งโครงสร้างของอักขระเวทจะทำให้สามารถปรับแต่งผลของเวทมนตร์ตามสถานการณ์ได้แทบไม่จำกัด เป็นต้นว่าถ้าปรับแต่งอักขระธาตุไฟในเวท ‘ไฟร์บอล’ จะสามารถเพิ่มหรือลดรัศมีการระเบิดของลูกไฟได้ หรือถ้าปรับแต่งอักขระธาตุลมก็จะเพิ่มหรือลดความเร็วในการพุ่งของลูกไฟได้
อักขระจำลองที่สร้างขึ้นโดยคทาเวทนั้นเป็นอักขระแบบตายตัวซึ่งไม่สามารถปรับแต่งได้ มันจึงไม่สามารถพลิกแพลงรูปแบบการร่ายได้ ความยืดหยุ่นในการใช้งานจึงต่ำกว่าเวทที่ร่ายด้วยตัวเอง อีกประการคือแม้คทาเวทระดับสูงจะมีคุณสมบัติที่ช่วยเสริมความสามารถในการร่ายเวทอย่างมาก แต่สิ่งนี้กลับกลายเป็นดาบสองคมเพราะนักเวทที่พึ่งพาคุณสมบัติเสริมจากคทาเวทมากเกินไปจะพัฒนาความสามารถพื้นฐานของตัวเองได้ช้า ยิ่งถ้าหากในระหว่างต่อสู้ถูกชิงคทาหรือทำคทาเวทหลุดมือไปก็จะทำให้ความสามารถในการต่อสู้ลดลงอย่างมาก นักเวทระดับสูงจึงมุ่งเน้นการฝึกร่ายเวทด้วยตัวเองเป็นหลัก และใช้คทาเวทเป็นอุปกรณ์เสริมเท่านั้น เพื่อไม่ให้เครื่องมืออันแสนสะดวกนี้มาขัดพัฒนาการของตนเอง หรือกลายเป็นจุดอ่อนในการต่อสู้
ซาลเข้าใจเหตุผลข้อนี้ดีจึงรู้เจตนาของแซนโดรที่ต้องการให้ฝึกเวทด้วยมือเปล่าเป็นหลัก ก็เลยพยายามที่จะไม่บ่นอะไรมาก แต่เขาก็ยังรู้สึกว่ามาตรฐานของแซนโดรนั้นสูงไปนิดอยู่ดี
การฝึกร่ายเวทดำเนินไปจนกระทั่งพลังเวทของเขาหมดเกลี้ยง ซึ่งก็ใกล้เวลาพักเที่ยงพอดี ทั้งคู่จึงพักกินอาหารก่อน เพื่อเตรียมเข้าสู่การฝึกช่วงบ่าย
ทั้งสองคนกินอาหารด้วยกันตามปกติ เป็นมื้ออาหารชุดใหญ่สุดหรูในปริมาณสำหรับครอบครัวเช่นเคย
บนโต๊ะมีทั้งซี่โครงแกะย่าง, เนื้อวัวย่างราดซอส, กุ้งลอบส์เตอร์กับปูอลาสก้านึ่งทั้งตัว, และสลัดปลาแซลมอนอีกหนึ่งชาม แซนโดรกินทั้งหมดนี้กับข้าวสวยโถใหญ่ ที่ใกล้ ๆ เก้าอี้ของเธอยังมีเคาเตอร์ติดล้อที่จัดวางของหวานอีกหลายชนิดด้วย มีทั้งชีสเค้ก, ไอศครีม, และพุดดิ้ง
ปกติแล้วแซนโดรจะมีสีหน้าเรียบเฉยอยู่ตลอดเวลา มีเพียงเวลากินอาหารเท่านั้นที่จะแสดงสีหน้าออกมาในบางครั้ง โดยเฉพาะเวลาได้ลิ้มรสอาหารที่อร่อยถูกใจมาก ๆ ก็จะแสดงอาการอมยิ้มอย่างมีความสุขออกมาแวบหนึ่ง ทำให้ซาลจ้องมองด้วยความแปลกใจ เพราะคิดไม่ถึงว่าแซนโดรผู้เฉยชาจะแสดงอารมณ์ออกมาในช่วงเวลาแบบนี้ ความจริงเขาได้ยินมาว่าลิชไม่จำเป็นต้องกินอาหารด้วยซ้ำ จึงเอ่ยถามอีกฝ่ายด้วยความสงสัย
“นี่ แซนโดร… ร่างนั้นน่ะ มันต้องกินอาหารด้วยเหรอ?”
แซนโดรกินอาหารคาวไปหมดแล้วและกำลังเริ่มชุดของหวานด้วยพุดดิ้งอยู่ เมื่อได้ยินเขาถามจึงกลืนพุดดิ้งลงคอ ก่อนจะตอบคำถามของเขา
“…ก็ไม่จำเป็นหรอก…”
“แล้วทำไมถึงกินล่ะ? (แถมยังกินซะเยอะเลยด้วย)”
“…เพราะมันอร่อยไงล่ะ…”
“แต่มันไม่จำเป็นไม่ใช่เหรอ?”
“…ไม่จำเป็นต่อร่างกาย …แต่จำเป็นต่อจิตวิญญาณ…”
“หา?…”
ซาลยังคงไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด ส่วนแซนโดรที่ถูกทักก็ดูเหมือนพยายามจะเก็บอาการมากขึ้นนิดหน่อย แต่เมื่อตักพุดดิ้งเข้าปากไปอีกคำเธอก็แสดงสีหน้าพึงพอใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะกลับคืนสู่ใบหน้าเรียบเฉยอีกครั้งอย่างรวดเร็วและอธิบายต่อ
“…สมัยก่อน ผู้ที่เลื่อนคลาสเป็นลิชเนี่ย …ยิ่งเวลาผ่านไป จิตใจก็จะยิ่งแปรเปลี่ยนไปในทางชั่วร้าย …ตอนนั้นเหล่าผู้ศึกษาศาสตร์มืดสันนิษฐานกันว่าเป็นเพราะร่างนี้ถูกความมืดครอบงำได้ง่าย หรือไม่ก็เพราะวิญญาณที่สูญเสียร่างมนุษย์เริ่มแปรเปลี่ยนไปเป็นปิศาจ …แต่เมื่อศึกษากันอย่างจริงจังแล้ว พบว่าสาเหตุที่ทำให้จิตใจของลิชแปรเปลี่ยนไปนั้น มาจากการที่จิตวิญญาณสูญเสียความสุขและความพึงใจหลาย ๆ อย่างไป…”
“ความสุขและความพึงใจเหรอ?”
“…ร่างของลิชในยุคแรก ๆ น่ะแทบจะไม่มีสัมผัสใด ๆ ของมนุษย์หลงเหลืออยู่เลย …ดวงตาจะมองเห็นทุกอย่างเป็นเหมือนภาพร่างที่ไร้รายละเอียด เห็นสิ่งมีชีวิตเป็นแค่เค้าโครงวิญญาณ …แม้จะรู้ว่ากำลังแตะต้องอะไรอยู่ แต่ก็ไม่รู้สึกถึงการสัมผัส …จมูกก็ไม่รับรู้กลิ่นใด ๆ …ไม่จำเป็นต้องกินอาหาร ไม่จำเป็นต้องพักผ่อน …ความจริงคือกินไม่ได้และไม่สามารถนอนหลับได้ด้วย…”
เรื่องนี้ต่างจากสิ่งที่ซาลเคยได้ยินมา หรืออาจพูดว่าเป็นความจริงอีกด้านหนึ่งก็ได้ เพราะในบันทึกที่เขาเคยอ่าน เรื่องพวกนี้ถูกถ่ายทอดออกมาเหมือนเป็นคุณสมบัติในแง่ดีของการเป็นลิช แต่เมื่อฟังจากปากของแซนโดรแบบนี้แล้วทำให้เขารู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ดีสักเท่าไหร่นัก
“แบบนั้นก็ไม่ต่างจากซากศพเลยน่ะสิ? แค่เพื่อให้มีร่างอมตะน่ะเหรอ?”
“…ที่เป็นแบบนั้นก็เพื่อให้ร่างลิชเป็น ‘สื่อกลาง’ ที่บริสุทธิ์ที่สุด …จะได้สามารถดึงพลังเวทจากมิติที่เรียกว่า ‘เนเธอร์เรล์ม’ (Nether Realm) มาใช้ได้อย่างเต็มที่ …ลิชในสมัยนั้นน่ะสามารถดึงพลังเวทจาก ‘เนเธอร์เรล์ม’ มาใช้ได้เกือบไม่จำกัด และมีร่างกายอันคงกระพัน …ทำให้เป็นนักเวทที่ทรงพลังกว่าลิชในปัจจุบันนี้มาก…”
“มีพลังเวทไม่จำกัดเชียวเหรอ ว้าว”
“…แต่เพราะค่าตอบแทนคือการต้องใช้ชีวิตแบบนั้น …ทำให้จิตใจของผู้เป็นลิชเริ่มสูญเสียความเป็นมนุษย์ไปเรื่อย ๆ …เมื่อมองไม่เห็นความแตกต่างของสรรพสิ่งก็ไม่สามารถรับความพึงใจจากสิ่งสวยงามได้ …เมื่อไม่มีสัมผัสทางกายก็ไม่สามารถรับความพึงใจจากการสัมผัสหรือความอบอุ่นได้ …เมื่อจมูกไม่ได้กลิ่นก็ไม่สามารถรับความพึงใจจากกลิ่นหอมได้ …เมื่อกินอาหารไม่ได้ก็ไม่สามารถรับความพึงใจจากรสชาติได้ …เมื่อไม่สามารถนอนหลับได้ ความว่างเปล่าเหล่านั้นก็ยิ่งยาวนานเป็นสองเท่า …ทั้งหมดนี้ทำให้จิตใจของผู้เป็นลิช ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนไปในทางที่เลวร้ายลง …เพราะแทบจะไม่สามารถสัมผัสกับความสุขใด ๆ ได้เลยนั่นเอง…”
พอลองจินตนาการตามดูแล้ว ซาลก็รู้สึกว่าการเป็นลิชที่ไร้ซึ่งประสาทสัมผัสใด ๆ ก็แทบไม่ต่างจากการถูกทรมานเลย หากเป็นผู้ที่ถือกำเนิดมาแบบนี้แต่แรกก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่สำหรับมนุษย์ที่เคยชินกับสัมผัสเหล่านั้นแล้วจู่ ๆ ต้องมาเสียมันไปและใช้ชีวิตอยู่ในร่างที่ไร้ความรู้สึกทั้งปวง จะมีสักกี่คนที่ทนทานได้
“อืม… แบบนั้นเองเหรอเนี่ย”
“…เพราะฉะนั้นจึงได้มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างของร่างลิชซะใหม่ …ให้มีประสาทสัมผัสที่ใกล้เคียงมนุษย์มากขึ้น …สามารถนอนหลับและกินอาหารได้ด้วย …สำหรับฉันแล้ว นี่เป็นข้อที่สำคัญที่สุดเลย …ไม่งั้นเป็นแค่เนโครแมนเซอร์ก็พอแล้ว…”
“กินได้นอนได้เนี่ยมันก็เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ไม่ใช่เหรอ? ไม่เห็นต้องเป็นลิชเลย”
“…การกินได้ไม่ใช่เรื่องสำคัญ …ที่สำคัญคือในร่างนี้น่ะ …จะกินเท่าไหร่ก็ได้!…”
“หะ.. หา?”
“…ถ้าอยู่ในร่างนี้ละก็ …จะกินแต่ละมื้อเยอะแค่ไหน …กินของหวานมากเท่าไหร่ …ก็จะไม่มีทางอ้วน! …เป็นพรวิเศษที่เหนือกว่าชีวิตอมตะซะอีก!…”
แซนโดรกล่าวด้วยแววตาเป็นประกายก่อนจะตักพุดดิ้งเข้าปากไปอีกคำ สีหน้าเธอดูมีความสุขสุด ๆ
“…ที่แซนโดรเป็นลิชก็เพราะเหตุนี้น่ะเหรอ?”
“…ถูกต้อง…”
“…ไม่ใช่เพื่อพลังอำนาจหรือชีวิตอมตะ แต่เพื่อจะได้กินตามใจชอบ?”
“…มีเรื่องที่สำคัญไปกว่านี้อีกเหรอ?…”
“เข้าใจล่ะ… ที่แท้แซนโดรก็เป็นป้าอ้ว…. อั่กกก”
ยังพูดไม่ทันจบประโยค ซาลก็โดนหมัดของแซนโดรอัดเข้าเต็มหน้าผากจนหน้าหงาย ทำให้ต้องคุดคู้ตัวด้วยความเจ็บปวดอยู่เป็นนาน ส่วนแซนโดรก็กินของหวานต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เมื่อแซนโดรกินของหวานหมดแล้ว เธอก็พาซาลไปยังห้องสมุดของมาลาไคท์คีป เพื่อเรียนวิชาเกี่ยวกับเวทอัญเชิญต่อในภาคบ่าย
———————————————————————————————————-
Part 2
ในช่วงหนึ่งสัปดาห์มานี้ซาลเข้าใจพื้นฐานของการเขียนโครงสร้างวงเวทได้เกือบทั้งหมดแล้ว
ด้วยความรู้ความเข้าใจในโครงสร้างและส่วนประกอบของวงเวทอัญเชิญ ทำให้เขาสามารถนำวงเวทที่มีอยู่เดิมมาแยกองค์ประกอบเพื่อปรับแต่งเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติต่าง ๆ ได้ตามใจชอบ
ตอนนี้หมาป่าอัญเชิญคู่ใจของเขากลายเป็นสมุนระดับสอง ซึ่งมีทั้งพลังโจมตี, ความทนทาน, และความเร็ว เพิ่มขึ้นหลายเท่า แถมยังติดตั้งทักษะต่อสู้ได้มากสุดถึงสามชนิด โดยใช้ค่าร่ายมากกว่าเดิมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เมื่อสามารถทำได้ขนาดนั้นแล้ว เขาจึงเล็งไปยังเป้าหมายที่สูงขึ้น คือการสร้างร่างอัญเชิญขึ้นมาใหม่จากวงเวทเปล่า ๆ ซาลคิดว่ามันไม่น่าจะเป็นเรื่องยาก เพียงแค่นำโครงสร้างที่ต้องการมาประกอบ ๆ รวมกันขึ้นเท่านั้น
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ตัววงเวทอัญเชิญเองจะมีกฎความสมดุลและความเข้ากันได้อยู่ โครงสร้างหลาย ๆ อย่างหากไม่ใช่โครงสร้างที่เขียนขึ้นมาเป็นการเฉพาะจริง ๆ จะไม่สามารถประกอบหรือใช้ร่วมกับโครงสร้างอื่นได้
ซาลพยายามดัดแปลงโครงสร้างที่หยิบยืมมาเท่าที่จะทำได้ ในที่สุดก็ได้วงเวทที่ใกล้เคียงกับที่ตั้งใจเอาไว้ แต่ก็มาติดปัญหาตลอดกาลของซัมมอนเนอร์ คืออัญเชิญไม่ได้ เนื่องจากผู้อัญเชิญมีพลังเวทไม่พอ
“แย่จริง ทั้งที่พยายามจำกัดอักขระเวทให้ใช้พลังเวทน้อยที่สุดแล้วแท้ ๆ ”
“…คุณสมบัติที่ใส่เอาไว้ยังเยอะเกินไป …ต้องตัดหรือลดคุณสมบัติบางส่วนลงอีก…”
“แค่นี้ก็แทบจะกลับเป็นระดับหนึ่งอยู่แล้วนะ ถ้าลดคุณสมบัติลงมากกว่านี้ละก็…”
“…รูปแบบอักขระที่ใช้งานได้ตอนนี้มันก็ทำได้แค่นี้แหละ…”
“ดูจากแบบร่างวงเวทอัญเชิญที่มีบันทึกเอาไว้แล้วเนี่ย วิทยาการด้านเวทอัญเชิญของผู้ศึกษาศาสตร์มืดน่าจะก้าวหน้าไปไกลกว่าวิทยาการปกติพอสมควรนี่นา แล้วทำไมอักขระที่ใช้ถึงมีคุณภาพไม่ค่อยต่างกันเลยล่ะ ยังเป็นอักขระแบบเก่าที่กินพลังเวทเยอะอยู่เลย”
“…นั่นเพราะผู้ศึกษาศาสตร์มืดมีวิธีชดเชยเรื่องพลังเวทอยู่หลายวิธี …ทำให้มุ่งเน้นไปที่คุณภาพของร่างอัญเชิญได้เลย …โดยไม่ต้องสนใจเรื่องค่าร่ายสักเท่าไหร่…”
“ชดเชยยังไงเหรอ?”
“…สำหรับเนโครแมนเซอร์จะมีเวทอย่าง ‘โซลแทรป’ (Soul Trap) ซึ่งใช้ดักวิญญาณสิ่งมีชีวิตมาเก็บไว้ในหินวิญญาณ (Soul Stone) เพื่อนำมาใช้เป็นพลังเวทเพิ่มเติมในตอนอัญเชิญได้ …หรืออาจใช้ ‘พันธสัญญาเลือด’ (Blood Pact) สละพลังชีวิตตัวเองบางส่วนมาใช้แทนค่าร่ายได้ …ส่วนถ้าเป็นลิช ก็มีพลังเวทมหาศาลจาก ‘เนเธอร์เรล์ม’ อยู่แล้ว จึงแทบไม่ต้องห่วงเรื่องค่าร่ายเลย…”
“นั่นมันวิชาต้องห้ามทั้งนั้นเลยนี่นา… แต่ก็พอจะเข้าใจแล้วล่ะ”
เพราะมีวิชาต้องห้ามในการช่วยเพิ่มขีดจำกัดของพลังเวทอยู่มากมาย เรื่องพลังเวทที่ต้องใช้ในการอัญเชิญเลยไม่ค่อยเป็นปัญหาสำหรับผู้ใช้ศาสตร์มืด พวกเขาจึงมุ่งพัฒนาแต่ประสิทธิภาพของร่างอัญเชิญ โดยไม่ได้พัฒนาเรื่องอักขระเลย ความจริงสำหรับบุคคลทั่วไปอาจใช้หินเวทมนตร์ในการทำแบบนี้ได้เช่นกัน แต่หินเวทมนตร์จัดเป็นวัตถุเวทมนตร์ที่มีราคาสูง การนำมาใช้แบบนี้ออกจะเป็นการฟุ่มเฟือยเกินไปหน่อย
“…ถ้าสนใจละก็ …ฉันจะช่วยสอนวิชาสายเนโครแมนเซอร์ให้ก็ได้นะ…”
“แต่เวทต้องห้ามพวกนั้นเป็นเวทที่ต้องทำการผูกมัดตนกับธาตุมืดก่อนถึงจะใช้งานได้ไม่ใช่เหรอ? ถ้าผูกมัดกับธาตุมืดแล้ว ความสามารถในการใช้เวทธาตุอื่น ๆ ก็จะลดลงน่ะสิ?”
“…ก็แค่ใช้เวทธาตุแสงไม่ได้ …และความสามารถทางธาตุไฟจะลดลง แต่ยังใช้เวทธาตุ ดิน, น้ำ, ลม ได้ตามปกติ …ส่วนเวทธาตุมืดจะมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น…”
แม้สายวิชาต่าง ๆ ในโลกนี้จะไม่มีข้อจำกัดเรื่องการเรียน นักผจญภัยสามารถฝึกฝนและเรียนวิชาของคลาสไหนเท่าไหร่ก็ได้ แต่วิชาเฉพาะบางอย่างโดยเฉพาะวิชาลับประจำธาตุนั้นผู้ฝึกจะต้องทำการผูกมัดตนเอง (Devotion) กับธาตุที่เป็นต้นกำเนิดของสายวิชาซะก่อน จึงจะสามารถฝึกฝนและใช้งานวิชานั้น ๆ ได้
การผูกมัดตนเองกับธาตุ จะทำให้ธาตุประจำตัวของผู้ผูกมัดเปลี่ยนแปลงไป จากปกติที่มีธาตุเป็นกลาง จะกลายไปเป็นธาตุที่ตนเองผูกมัดด้วย ซึ่งจะทำให้ความสามารถในการใช้พลังธาตุนั้นสูงขึ้น และสามารถเข้าถึงวิชาระดับสูงที่มีเฉพาะผู้ผูกมัดกับธาตุนั้น ๆ สามารถใช้งานได้ แลกกับการเสียความสามารถในการใช้พลังของธาตุคู่ตรงข้ามไป
“มันทำให้โดนเวทธาตุแสงกับธาตุไฟแรงขึ้นด้วยไม่ใช่เหรอ?”
“…ก็อย่าไปโดนสิ…”
“พูดมันง่ายนะ!”
“…ฆ่าก่อนจะถูกฆ่า …หลบได้ก็ฆ่าได้ …นี่คือคติของนักเวท…”
“มีคติแบบนั้นซะที่ไหนเล่า!? แล้วตอนสู้กับนักดาบคนนั้น (พาราเวน) ไม่เห็นแซนโดรจะหลบอะไรเลย!”
“…ราชสีห์ไม่จำเป็นต้องหลบเลี่ยงการโจมตีของมดปลวก…”
ซาลได้แต่กัดฟันด้วยความหงุดหงิดเพราะไม่รู้จะเถียงต่อยังไง เลยต้องปล่อยให้บทสนทนานี้ตกไป
“ผมน่ะ ยังไงก็อยากจะคงความเป็นสายกลางไว้ เพราะยังมีวิชาคลาสอื่น ๆ อีกมากมายที่อยากเรียน แถมร่างอัญเชิญที่อยากจะสร้าง หลาย ๆ ชนิดที่เล็งเอาไว้ก็ต้องใช้พลังของธาตุแสงและธาตุไฟด้วย…”
“…ถ้างั้นก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ …คงมีแต่ต้องหาทางปรับปรุงพัฒนาคุณภาพของอักขระด้วยตัวเองแล้วล่ะ…”
“ไม่มีวิธีอื่นที่จะช่วยเพิ่มพลังเวทได้เลยเหรอ?”
“…ตอนนี้เธอก็กำลังทำอยู่ ด้วยการสวมสายรัดข้อมือคู่นี้ …ในอนาคตเธอจะเป็นนักเวทที่มีพลังเวทเหนือกว่านักเวทรุ่นเดียวกันอย่างแน่นอน …แต่มันก็ต้องใช้เวลาน่ะ…”
แม้ซาลจะเข้าใจวิธีออกแบบและเขียนโครงสร้างวงเวทได้ในเวลาอันไม่นาน แต่การจะพัฒนาอักขระเวทให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นได้นั้นเป็นสิ่งที่ต้องอาศัยความรู้อีกระดับหนึ่ง และต้องใช้เวลาอย่างมากไม่แพ้กัน
อาจเพราะความเป็นเด็กจึงทำให้เขารู้สึกว่ามันเป็นแนวทางที่น่าเบื่อและอยากจะหาวิธีลัดวิธีอื่นซึ่งจะช่วยทุ่นแรงไม่ให้ต้องมานั่งวิจัยพัฒนาอักขระเวทเป็นปี ๆ เพียงเพื่อจะสร้างอักขระเวทแบบใหม่ที่ไม่รู้ว่าจะมีประสิทธิภาพดีขึ้นอย่างที่ตั้งใจไว้หรือไม่
“บางที… วิทยาการอื่น ๆ ของศาสตร์มืดเนี่ยน่าจะมีของที่เอามาปรับใช้แทนวิชาต้องห้ามได้บ้างนะ… จริงสิ แซนโดรยังไม่ได้บอกเคล็ดลับเรื่องที่ทำให้สร้างกองทัพสเกลตันได้เลยนี่นา”
ทั้งที่เป็นเรื่องแรกที่อยากรู้ตั้งแต่มาถึงแท้ ๆ แต่เพราะได้เจออะไรแปลกใหม่น่าหลงใหลมากมาย ทำให้ซาลเพลิดเพลินกับมันจนลืมเรื่องนี้ไป
“…อ้อ …เรื่องนั้นน่ะเหรอ …ตามมานี่สิ…”
แซนโดรแตะสัมผัสที่ไหล่ของซาล และพาเขาเทเลพอร์ทออกจากห้องสมุดไปพร้อมกัน
ที่ ๆ ทั้งสองคนเทเลพอร์ทมาคืออาคารหลังหนึ่งในมาลาไคท์คีป ซาลสังเกตว่าอาคารนี้ไม่ได้อยู่ในส่วนใต้ดินเพราะเห็นแสงจันทร์สาดส่องผ่านช่องหน้าต่างเข้ามา
เบื้องหน้าของทั้งสองเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ซึ่งตรงกลางมีเสาอยู่เจ็ดต้น หกต้นวางล้อมกันเป็นมุมหกเหลี่ยม และต้นที่เจ็ดตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างเสาทั้งหก
“…นี่เป็นวงเวทอัญเชิญแบบไร้สิ้นสุด (Spawning Circle) …เป็นอีกรูปแบบของวงเวทอัญเชิญที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อให้สร้างสมุนแบบถาวร (Permanent Pet) ไปเรื่อย ๆ …ตราบที่ยังมีพลังเวทอยู่…”
“เห… ทำแบบนั้นได้ด้วยเหรอเนี่ย ทั้งอัญเชิญออกมาเป็นสมุนแบบถาวร แถมยังไม่จำกัดจำนวนการเชิญ แบบนี้คงกินพลังเวทและใช้เวลาฟื้นฟูมหาศาลเลยสินะ”
“…ก็ราว ๆ 48 ชั่วโมงน่ะ…”
“อืม แปลว่าหกวงนี่ก็จะสร้างสมุนได้เฉลี่ยวันละสามตัวสินะ รวมแล้วเดือนนึงก็จะได้สเกลตันเก้าสิบตัว นับว่าไม่เลวทีเดียว”
“…48 ชั่วโมงนั่นคือช่วงเวลาพักฟื้นของวงเวทอย่างเดียว …ถ้ารวมเวลาที่ต้องใช้ในการรวบรวมพลังเวทแล้วต้องใช้เวลารวมทั้งสิ้น 72 ชั่วโมง จึงจะอัญเชิญได้หนึ่งตัว…”
“เวลาในการรวบรวมพลังเวทงั้นเหรอ? แซนโดรไม่ได้เป็นคนถ่ายพลังเวทเองหรอกเหรอ?”
“…วงเวทเหล่านี้จะสะสมพลังเวทจากพื้นที่โดยรอบขึ้นมาเอง …เมื่อได้พลังเวทครบมันก็จะอัญเชิญสมุนตัวใหม่ออกมา โดยที่ฉันไม่ต้องถ่ายพลังเวทให้ หรือสั่งการอัญเชิญเลย…”
“เอ๋!? ทำแบบนั้นได้ด้วยเหรอ? ทำยังไงอะ?”
“…วงเวทชั้นนอกที่หุ้มวงเวทอัญเชิญอยู่จะเป็นส่วนที่รวบรวมพลังเวทจากพื้นที่โดยรอบมาป้อนให้กับวงเวทชั้นใน …ส่วนโครงสร้างของวงเวทชั้นในก็ถูกตั้งเงื่อนไขให้เมื่อมีพลังเวทครบจำนวนจะอัญเชิญสมุนออกมาเองโดยอัตโนมัติ…”
“แต่พลังเวทในบรรยากาศโดยปกติแล้วไม่น่าจะมีเยอะขนาดที่ใช้อัญเชิญสมุนระดับสามได้เลยนี่นา? ต่อให้ใช้เวลารวบรวมเป็นปี ๆ ก็เถอะ”
“…นั่นเป็นเพราะเสาพวกนี้ …ลองดูดี ๆ สิ…”
ซาลมองดูเสาแต่ละต้นที่วางเคียงวงเวทอัญเชิญอยู่อย่างจงใจ เสาพวกนั้นเหมือนจะมีพลอยสีแดงติดประดับตัวเสาอยู่เป็นแนวยาว แต่เมื่อเขามองดูดี ๆ ก็เริ่มสังเกตเห็นความต่าง
“นี่มัน… หินเวทมนตร์งั้นเหรอ!?”
“…ใช่แล้ว …หินเวทมนตร์จะแผ่พลังงานเวทมนตร์ออกมาเองโดยธรรมชาติ …เมื่อนำมาวางเรียงกันเยอะ ๆ ก็จะทำให้ความเข้มข้นของพลังเวทในบรรยากาศเพิ่มมากขึ้นจนนำมาใช้ในการอัญเชิญได้…”
“แบบนี้นี่เอง… พอทำแบบนี้ก็จะทำให้เกิดวงจรการอัญเชิญแบบไม่รู้จบที่ทำงานได้ด้วยตัวเอง ไม่จำเป็นต้องมาคอยดูแลรักษาหรือถ่ายพลังเวท ยอดไปเลย!!”
“…มันก็ไม่ได้ยอดเยี่ยมอะไรขนาดนั้นหรอกนะ …วงจรการผลิตนี้ใช้ได้กับสมุนระดับต่ำ ๆ เท่านั้น …ถ้าเป็นสมุนระดับสูงอย่าง ‘โบนดราก้อน’ จะมีช่วงพักฟื้นของวงเวทหลายเดือน …แถมใช้เวลารวบรวมพลังเวทอีกเป็นปี …ความจริงถ้าหาหินเวทมนตร์คุณภาพสูงจำนวนมาก ๆ มาทำเสาจ่ายพลังก็อาจช่วยลดเวลาได้ …แต่มันก็เป็นวิธีที่สิ้นเปลืองมาก ๆ อยู่ดี หินเวทมนตร์ปริมาณขนาดนั้นเอามาสร้างเรล์มซะยังจะดีกว่า…”
“แบบนี้นี่เอง… ว่าแต่ลิชเนี่ยดึงพลังจากเนเธอร์เรล์มมาใช้ได้อย่างไม่จำกัดไม่ใช่เหรอ? ทำไมไม่ใช้พลังนั่นถ่ายเทลงในวงเวทด้วยตัวเองล่ะ น่าจะเร็วกว่า แถมสร้างสมุนระดับสูง ๆ ออกมาได้ตามใจชอบด้วยนะ”
“…พลังเวทของเนเธอร์เรล์มน่ะมีคุณสมบัติพิเศษ …แม้จะนำมาใช้เป็นพลังงานในการร่ายเวททั่ว ๆ ไปได้ แต่ไม่สามารถนำมาใช้ในการสร้างร่างอัญเชิญได้ …ความจริงคือสร้างได้ แต่ร่างอัญเชิญที่ถูกสร้างด้วยพลังเวทจากเนเธอร์เรล์มจะไม่ยอมรับคำสั่ง และเคลื่อนไหวด้วยความคิดของตนเอง …ว่ากันว่าเป็นเพราะเนเธอร์เรล์มเองก็มี ‘จิตใจ’ ของตนเองอยู่ เมื่อนำพลังงานจากเนเธอร์เรล์มมาสร้างเป็นร่างจึงเกิดปัญหาแบบนั้น…”
คำอธิบายของแซนโดรทำให้ซาลขนลุกขึ้นมาในทันที เพราะการที่ร่างอัญเชิญไม่รับคำสั่งและเคลื่อนไหวด้วยตัวเองขึ้นมานั้นเป็นเรื่องที่น่ากลัวพอดู เขาคิดในใจว่าเนเธอร์เรล์มเป็นเขตแดนที่เต็มไปด้วยความลี้ลับและไม่ควรยุ่งเกี่ยวด้วยเลยจริง ๆ
“โอเค… จะว่าไปแล้ววิทยาการแบบนี้นี่น่าสนใจดีนี่นา ศาสตร์มืดน่ะยังมีวิทยาการแนว ๆ นี้อยู่อีกเยอะรึเปล่า?”
“…ก็มีวิทยาการที่อยู่ในขั้นทดลองหรือถูกพัฒนาทิ้งไว้เยอะพอสมควร …นี่ก็เป็นหนึ่งในงานวิจัยที่มีคนทำค้างเอาไว้แล้วฉันเอามาพัฒนาต่อ…”
“งั้นพาผมไปดูหน่อยสิ! อาจเจออะไรเจ๋ง ๆ ก็ได้!”
ซาลรบเร้าด้วยท่าทีตื่นเต้น ส่วนแซนโดรก็มีสีหน้าลังเลอยู่นิดหน่อย ก่อนจะรับปากซาลารัสอย่างมีเงื่อนไข
“…ก็ได้ …แต่งานวิจัยพวกนั้น ห้ามทดลองทำเองโดยไม่มีฉันอยู่ด้วยเด็ดขาด เพราะอาจเกิดอันตรายได้ เข้าใจมั้ย?…”
“โอเค!”
เมื่อตกลงกันเรียบร้อยแล้ว แซนโดรก็พาซาลเทเลพอร์ทไปยังห้องสมุดใต้ดินเพื่อศึกษางานวิจัยของศาสตร์มืด
———————————————————————————————————-
Part 3
ซาลใช้เวลาเกือบตลอดช่วงบ่ายในการค้นดูงานวิจัยที่แซนโดรรวบรวมมา
เขาพยายามมองหาสิ่งที่น่าจะช่วยชดเชยพลังเวทในการร่าย หรือของที่ช่วยในการพัฒนาอักขระเวทได้ แต่ค้นดูเกือบหมดแล้วก็ยังไม่เจออะไรที่เข้าเค้าเลย
“อืม… ไม่มีจริง ๆ รึเนี่ย”
“…ก็มันเป็นของที่คนไม่ค่อยให้ความสนใจน่ะ …จะไม่มีงานวิจัยด้านนั้นเลยก็ไม่แปลก…”
แม้จะไม่เจอของที่ต้องการ แต่งานวิจัยของศาสตร์มืดที่แซนโดรรวบรวมมาก็มีหัวข้อที่น่าสนใจอยู่มากมายจนซาลไม่รู้สึกผิดหวังหรืออยากจะละไปทำอย่างอื่น และหลังจากคุ้ยดูงานวิจัยอีกพักใหญ่ เขาก็มาสะดุดตากับงานวิจัยชิ้นหนึ่ง
“อืม… อ๊ะ งานวิจัย ‘โฮมูนครูส’ นี่มันคืออะไรเหรอ?”
“…โฮมูนครูส เป็นงานวิจัยที่พยายามจะสร้างสิ่งที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับมนุษย์ขึ้นมาด้วยวงเวทอัญเชิญ …หลัก ๆ คือสร้างร่างอัญเชิญที่มีวิญญาณเทียม ซึ่งสามารถเติบโตและพัฒนาตัวเองได้…”
“เห? ยอดไปเลยนี่นา แล้วทำไมถึงหยุดวิจัยล่ะ?”
“…เพราะเมื่อร่างอัญเชิญตายในการต่อสู้ ทุกอย่างจะกลับมานับหนึ่งใหม่ …การพัฒนาและประสบการณ์ที่ร่างอัญเชิญสั่งสมมาจะสูญหายไป …แต่ถ้าไม่ส่งไปต่อสู้มันก็จะพัฒนาได้ช้า สุดท้ายแล้วก็เลยถูกมองว่าไม่คุ้มค่ากับการใช้งานจริง…”
“อืม… นั่นสินะ ถ้าอุตส่าห์เลี้ยงมาตั้งนานแล้วไปพลาดท่าตายเข้าสักวันจนต้องนับหนึ่งใหม่คงปวดใจน่าดู”
ซาลยังคงมองไปรอบ ๆ เพื่อหางานที่น่าสนใจอื่น ๆ แล้วพบกับงานวิจัยอีกชิ้นที่มีหัวข้อน่าสนใจ
“หืม? งานวิจัย ‘พันธสัญญานิรันดร์’ นี่คืออะไรเหรอ?”
“…นั่นเป็นงานวิจัยเกี่ยวกับการใส่คนเป็น ๆ ลงไปในวงเวท …เพื่อใช้เป็นต้นแบบในการสร้างร่างอัญเชิญน่ะ…”
“ห๊ะ!? อะ.. อะไรนะ?”
“…รู้พื้นฐานการอัญเชิญพันธสัญญาใช่มั้ย? …เราต้องทำพันธสัญญากับคน ๆ นั้นก่อน ถึงจะสามารถอัญเชิญตัวจริง หรือสร้างร่างเสมือนของคน ๆ นั้นออกมาได้ …ทีนี้ คนทั่วไปน่ะไม่ค่อยจะอยากทำพันธสัญญากับใครอยู่แล้ว เพราะมันไม่เกิดประโยชน์ …กับผู้ใช้ศาสตร์มืดยิ่งแล้วใหญ่ ไม่มีทางที่จะมีคนยอมทำพันธสัญญาด้วยแน่…”
“อืม ก็พอจะเดาออกนะ”
“…ผู้ใช้ศาสตร์มืดจึงคิดค้นวิทยาการที่จะทำให้สามารถกักขังมนุษย์ลงในวงเวทได้ …วงเวทอันนี้สามารถใช้อัญเชิญร่างเสมือนของผู้ที่ถูกกักขังอยู่ข้างในออกมาได้โดยไม่จำเป็นต้องทำพันธสัญญากับเจ้าตัวเลย…”
“เอางั้นเลยเหรอ! แล้ว… มนุษย์ที่ถูกขังในวงเวทจะเป็นยังไงล่ะ?”
“…นั่นคือประเด็นปัญหาที่ทำให้งานวิจัยนี้ถูกลอยแพ …ช่องมิติแบบนี้ไม่ใช่ของที่ออกแบบมาสำหรับให้มนุษย์เข้าไปอยู่อยู่แล้ว …และยิ่งต้องแปลงช่องมิตินั้นให้กลายเป็นอักขระเวทเพื่อฝังลงบนวงเวทด้วย …สภาพมิติภายในห้องจึงไม่ค่อยคงตัวและไม่ดีกับสิ่งมีชีวิตสักเท่าไหร่ …ผู้ที่ถูกกักขังอยู่ในนั้นจึงค่อย ๆ ถูกกัดกร่อนจากห้วงมิติจนเปื่อยสลายไป …วงเวทนี้ก็เลยใช้งานได้แค่ไม่นาน…”
“โหดโคตร! เดี๋ยวก่อนซิ ไหนว่าผู้ศึกษาศาสตร์มืดไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ชั่วร้ายเสมอไปไงล่ะ แต่นี่มันเป็นวิชามารที่ชั่วร้ายสุด ๆ เลยไม่ใช่เหรอ?”
“…ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ชั่วร้ายเสมอไปไง …แต่ถ้าจำเป็นก็อีกเรื่องนึง…”
“มันมีเหตุจำเป็นอะไรให้ต้องจับคนเป็น ๆ มาฝังในวงเวทให้เปื่อยตายด้วยเหรอ!?”
แซนโดรกลอกตาขึ้นเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบคำถามของซาลารัสด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“…ก็ถ้าฉันต้องการ มันก็คือเรื่องจำเป็น…”
คำตอบนั้นทำให้ซาลทำหน้าบูดเบี้ยวด้วยความหงุดหงิด เพราะไม่คิดว่าจะได้ยินเหตุผลที่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางแห่งจักรวาลขนาดนี้ ยิ่งเมื่อมันเป็นคำพูดที่พูดด้วยใบหน้าอันเรียบเฉยเหมือนกับไม่แคร์ซึ่งสิ่งใด ๆ ของแซนโดรแล้วก็ยิ่งทำให้รู้สึกขัดหูขัดตาขึ้นไปอีก
“เอาแต่ใจเกินไปแล้ว! สรุปว่าถ้าคิดจะทำก็ทำไม่ใช่เหรอ!? แบบนี้ยังไม่เรียกว่าชั่วร้ายอีกรึไง!?”
“…ความชั่วร้ายมันเป็นเรื่องของมุมมอง …ความจริงมีสิ่งที่ต้องใช้ประกอบการพิจารณาอีกหลายอย่างนะว่าการจับคนมายัดลงในวงเวทพันธสัญญานิรันด์เป็นเรื่องที่ชั่วร้ายรึไม่ …เช่นว่าคนที่ถูกจับยัดลงไปเป็นใคร และฉันจะใช้วงเวทนี้ไปทำอะไร ถ้าเอาคนเลว ๆ มาใส่ลงไปแล้วนำไปใช้ช่วยชีวิตคนดี ๆ ได้ มันยังจะเป็นการกระทำที่ชั่วร้ายอีกรึเปล่า?…”
“ถึงจะเอาไปใช้ทำเรื่องดี ๆ แต่วิธีการที่ชั่วร้ายมันก็ชั่วร้ายอยู่ดีนั่นแหละ!”
“…เพราะทำเรื่องดีด้วยวิธีการที่ชั่วร้าย จึงถือว่าฉันเป็นคนที่ชั่วร้ายงั้นเหรอ? งั้นถ้าทำเรื่องที่ชั่วร้ายด้วยวิธีการที่ดี จะถือว่าฉันเป็นคนดีด้วยรึเปล่า?…”
คำถามนั้นทำให้ซาลต้องขมวดคิ้วขึ้นอีกครั้ง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่แซนโดรหยิบยกตรรกะแปลก ๆ แบบนี้ออกมาใช้
“การทำเรื่องชั่วร้ายด้วยวิธีการที่ดีนั่นมันคืออะไรกันล่ะ?…”
“…ก็อย่างเช่นนักการเมืองที่โกงกินประเทศชาติแต่โยนเศษกระดูกแบ่งปันให้ประชาชนได้กัดแทะประเทศชาติของตัวเองด้วยจนประชาชนให้การยอมรับน่ะ แบบนั้นถือว่านักการเมืองคนนั้นเป็นคนดีได้รึเปล่า?…”
“นะ.. นั่น… มันก็…”
ซาลรู้สึกเหนื่อยอย่างบอกไม่ถูก เวลาต่อปากต่อคำกับแซนโดรทีไรก็เป็นแบบนี้ทุกที เพราะแซนโดรมักจะหยิบยกตรรกะแปลก ๆ มาทำให้เขาจนด้วยคำพูดเสมอ สุดท้ายก็เป็นเขาเองที่ต้องยอมถอยไป
“เฮ้อ… ช่างเถอะ… แล้ว อันนี้ล่ะ? งานวิจัย ‘สายใยวิญญาณ’ นี่น่ะ? คงไม่ใช่อะไรเถื่อน ๆ อีกนะ”
“…นั่นเป็นงานวิจัยที่พยายามจะสร้างแรงจูงใจให้คนอยากทำพันธสัญญามากขึ้น …เพราะการทำพันธสัญญาตามปกติผู้อยู่ใต้พันธสัญญาจะไม่ได้ประโยชน์อะไร …มีแต่ถูกเรียกตัวมาใช้งาน หรืออัญเชิญร่างเสมือนไปใช้ …นักวิจัยคนนึงก็เลยคิดค้นวิทยาการที่เรียกว่า ‘สายใยวิญญาณ’ นี้ขึ้นมา …หากอัญเชิญร่างเสมือนที่มีสายใยวิญญาณเชื่อมต่อกับร่างจริงออกมา …เวลาที่ร่างเสมือนไปต่อสู้ ร่างจริงก็จะได้รับความทรงจำและประสบการณ์ในการต่อสู้ด้วย…”
“เห~ อันนี้ฟังดูไม่เลวเลยนี่นา แบบนี้คนก็จะอยากทำพันธสัญญามากขึ้นเพราะอยู่เฉย ๆ ให้อัญเชิญร่างเสมือนไปใช้ก็จะได้ประสบการณ์ด้วย แล้วทำไมงานวิจัยนี้ถึงหยุดพัฒนาล่ะ?”
“…เพราะสิ่งที่ส่งกลับไปยังร่างจริงไม่ได้มีแค่ประสบการณ์ในการต่อสู้อย่างเดียว …แต่ยังมีความเจ็บปวดจากการบาดเจ็บหรือแรงช็อกจากการตายของร่างเสมือนด้วย …เจ้าของงานวิจัยเองก็ทนแรงช็อกไม่ไหวจนหัวใจล้มเหลวตายตามร่างเสมือนไป …ทำให้นี่เป็นงานวิจัยอีกชิ้นที่คนไม่กล้าพัฒนาต่อ…”
“หวา… ฟังดูดีได้แป๊บเดียวเอง ศาสตร์มืดนี่ยังไงก็ยังคงเป็นศาสตร์มืดแหละนะ”
หลังจากนั้นซาลก็ค้นดูงานวิจัยอื่น ๆ จนหมด แต่ก็ยังไม่เจออะไรที่เข้าตาอีก เวลาก็ล่วงเลยมาถึงตอนเย็นพอดี ทั้งสองคนจึงกลับขึ้นไปทานอาหารเย็นที่ห้องอาการ และฝึกเวทรอบค่ำอีกครั้ง ก่อนจะแยกย้ายกันไปพักผ่อน
แม้ซาลจะปิดไฟและทิ้งตัวนอนลงบนเตียงแล้ว แต่เขาก็ยังอดขบคิดในเรื่องของงานวิจัยไม่ได้
“อืม… สุดท้ายก็ไม่เจอของที่ต้องการเลย… แต่งานวิจัยของศาสตร์มืดก็มีของที่น่าสนใจอยู่เยอะเหมือนกันแฮะ…”
เขาหลับตาลงเตรียมตัวจะนอน ระหว่างนั้นก็ทบทวนสิ่งที่ได้เรียนรู้มาในวันนี้ไปด้วย ทันใดนั้นก็รู้สึกเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้บางอย่าง
“หืม? ไอ้นั่นมัน…”
ซาลลุกขึ้นมาเปิดไฟอีกครั้ง จากนั้นก็หยิบกระดาษขึ้นมาวาดภาพร่างอะไรบางอย่างอยู่เป็นเวลานาน จนกระทั่งได้ไอเดียที่เป็นรูปเป็นร่าง
“จริงด้วย! ถ้าเอามาทำแบบนี้ละก็ อาจจะเวิร์คก็ได้!”
หลังจากเปลี่ยนชุดและรวบรวมของจำเป็นครบหมดแล้ว ซาลก็พุ่งออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วด้วยท่าทางตื่นเต้น และไม่ได้กลับขึ้นมาบนห้องอีกเลยในคืนนั้น
———————————————————————————————————-
Part 4
เช้าวันต่อมาแซนโดรแวะไปดูที่ห้องของซาลก่อนจะลงไปเตรียมอาหารเหมือนเช่นทุกครั้ง แต่เธอก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าภายในห้องนั้นกลับว่างเปล่า
“…หืม? …ตื่นแล้วงั้นเหรอ? …ปกติจะยังไม่ตื่นนี่นา…”
เพราะความแปลกใจ เธอจึงลองตรวจสอบหาตำแหน่งของซาลดู และพบว่าเขาอยู่ที่แถว ๆ เชิงเขาด้านนอกมาลาไคท์คีปโน่น
“…ไปทำอะไรตรงนั้นเนี่ย?…”
ด้วยความสงสัย แซนโดรจึงเทเลพอร์ทไปยังตำแหน่งที่ซาลอยู่เพื่อดูว่าเขากำลังทำอะไรกันแน่
เมื่อไปถึง เธอก็เห็นซาลซึ่งยืนอยู่ที่เชิงเขาด้านบนกำลังอัญเชิญสมุนที่มีรูปร่างเหมือนมังกรตัวเล็ก ๆ ออกมา และส่งมันลงไปสู้กับสเกลตันที่อยู่ด้านล่างของเชิงเขา
มังกรของซาลสามารถสู้กับสเกลตันได้อย่างสูสี และเอาชนะได้หนึ่งตัว ก่อนจะถูกสเกลตันตัวที่สองจัดการไป ทำให้แซนโดรรู้สึกประหลาดใจ เพราะสมุนที่เขาอัญเชิญได้น่าจะมีพลังอยู่แค่ช่วงต้นของระดับสอง ไม่น่าจะเอาชนะสเกลตันที่เป็นร่างอัญเชิญระดับสามได้เลย เธอจึงเอ่ยทักเพื่อสอบถาม
“…กำลังทำอะไรอยู่น่ะ?…”
“โอ้ แซนโดร มาเดินเล่นเหรอ? เอ๋ เดี๋ยวซิ นี่มันกี่โมงแล้วหว่า?”
ท่าทางของซาลนั้นดูอ่อนเพลีย ขอบตาก็ดำคล้ำ บ่งบอกว่ายังไม่ได้นอนเลยตั้งแต่เมื่อคืน
“…นี่เธอ …ยังไม่ได้นอนเลยเหรอเนี่ย? …มัวทำอะไรอยู่จนป่านนี้น่ะ? …บอกแล้วไงว่าการรักษาสุขภาพเป็นเรื่องสำคัญ…”
“เห? นี่เช้าแล้วเหรอ? มันมืดตลอดก็เลยดูไม่ออกอะนะ แต่เรื่องนั้นช่างเถอะ! ดูนี่นะ!”
ซาลอัญเชิญสมุนที่มีรูปร่างเป็นมังกรออกมาอีกครั้งเพื่อให้แซนโดรดู
“…นี่มัน …สมุนระดับสามงั้นเหรอ? …แต่ทำไมกัน?…”
เพื่อความแน่ใจแซนโดรจึงใช้เวท ‘อนาไลซ์’ (Analyze) เพื่อดูค่าสถานะของร่างอัญเชิญอย่างละเอียด พบว่ามันเป็นสมุนระดับสามจริง ๆ แถมค่าพลังยังพัฒนาไปถึงช่วงปลาย ๆ ของระดับสามแล้วด้วย
“ไม่ใช่แค่ค่าพลังนะ! แต่พื้นที่ในการติดตั้งทักษะก็เพิ่มขึ้นด้วย! ที่เจ๋งกว่านั้นก็คือค่าร่ายแทบไม่เปลี่ยนจากตอนที่เป็นสมุนระดับสองเลย!”
“…ตอนเป็นสมุนระดับสองงั้นเหรอ? …หมายความว่าไง?…”
“นี่น่ะเป็นร่างอัญเชิญที่สร้างขึ้นจากการรวมวิทยาการสามอย่างเข้าด้วยกัน คือ ‘โฮมูนครูส’, ‘พันธสัญญานิรันดร์’, และ ‘สายใยวิญญาณ’ ทำให้ได้สมุนที่สามารถพัฒนาตัวเองได้ และถึงตายก็ไม่เริ่มนับหนึ่งใหม่ด้วย!”
แซนโดรพยายามนึกตามถึงความเชื่อมโยงของงานวิจัยทั้งสามชิ้น แต่ก็ยังนึกไม่ออก ซาลจึงเริ่มอธิบาย
“ขั้นแรกก็คือการสร้างร่างอัญเชิญที่มีโครงสร้างของ ‘โฮมูนครูส’ ขึ้นมาก่อน แล้วทำการอัญเชิญแบบถาวรออกมา ก็จะได้สมุนแบบถาวรที่สามารถพัฒนาตัวเองได้
จากนั้นก็นำสมุนนั่นไปใส่ลงในวงเวทของ ‘พันธสัญญานิรันดร์’ ทีนี้ก็จะสามารถอัญเชิญร่างเสมือนของสมุนที่เป็น ‘โฮมูนครูส’ ออกมาใช้งานได้ และเพราะเป็นตัวตนเวทมนตร์อยู่แล้ว ร่างต้นแบบในวงเวทจึงไม่ได้รับผลกระทบจากห้วงมิติที่ไม่เหมาะกับสิ่งมีชีวิต
ทีเด็ดอยู่ตรงนี้ คือวงเวทอัญเชิญนั้นต้องมีโครงสร้างของ ‘สายใยวิญญาณ’ อยู่ แบบนี้เมื่ออัญเชิญร่างเสมือนของออกมาใช้งาน ตัวจริงที่อยู่ในวงเวทก็จะได้รับประสบการณ์ในการต่อสู้และพัฒนาไปด้วย”
เมื่อได้ฟังคำอธิบายมาถึงตรงนี้ แซนโดรก็เข้าใจทุกอย่าง
“…และเพราะตัวที่อัญเชิญออกมาเป็นแค่ร่างเสมือน …ถึงตายไปร่างจริงในวงเวทก็ยังไม่เสียประสบการณ์ที่ได้รับมา …ทำให้สามารถอัญเชิญร่างเสมือนไปเก็บประสบการณ์มาพัฒนาร่างจริงเรื่อย ๆ ได้…”
“ถูกเผงเลย!”
“…นี่มัน …เหนือคาดจริง ๆ นะเนี่ย …ไม่คิดว่าจะนำงานวิจัยมาผสมผสานการใช้งานกันได้ขนาดนี้ …ว่าแต่เมื่อร่างจริงพัฒนาขึ้น ค่าร่ายในการสร้างร่างเสมือนก็น่าจะเพิ่มขึ้นด้วยนี่นา?…”
“เรื่องนั้นตอนแรกผมก็สงสัยอยู่เหมือนกัน แต่ดูนี่สิ”
ซาลกางแผนผังของวงเวทที่ใช้อัญเชิญสมุนตัวนี้ขึ้นมาและชี้ไปยังอักขระตัวหนึ่ง ก่อนจะขยายขนาดของอักขระขึ้นมาเพื่อให้แซนโดรได้ดูโครงสร้างชัด ๆ
“นี่คืออักขระที่ฝังร่างจริงของสมุนเอาไว้ ตอนแรกมันไม่ได้มีโครงสร้างแบบนี้หรอกนะ แต่พอตัวสมุนพัฒนาขึ้น อักขระก็เริ่มเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของตัวเองไป กลายเป็นอักขระที่มีความซับซ้อนมากขึ้น มีประสิทธิภาพสูงขึ้น แต่อัตราการใช้พลังเวทยังคงเท่าเดิม”
“…แปลว่าอักขระเกิดการพัฒนาตัวเองงั้นเหรอ …เพราะเกิดจากการแปลง ‘โฮมูนครูส’ มาเป็นอักขระ ก็เลยได้รับคุณสมบัติในการพัฒนาตัวเองของ ‘โฮมูนครูส’ ไปด้วย? …นี่มันเป็นการค้นพบระดับศตวรรษเลยนะเนี่ย…”
“ฮ่ะ ๆ อันนี้น่ะฟลุคสุด ๆ เลยล่ะ ไม่นึกว่ามันจะออกมาเป็นของที่ดีขนาดนี้ไปได้”
“…ไม่หรอก …ทั้งการที่มองออกว่าควรจะเชื่อมโยงงานวิจัยแต่ละชิ้นเข้าด้วยกันยังไง …และการที่สามารถเขียนโครงสร้างทางเวทมนตร์เชื่อมงานวิจัยแต่ละชิ้นเข้าด้วยกันได้อย่างสมบูรณ์แบบนี้ …ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนจะทำได้หรอกนะ …ซาลารัส เธอน่ะ…”
“……”
ไม่ทันจะคุยกันเสร็จดี ซาลก็เอนตัวยืนพิงแซนโดร และหลับไปทั้งอย่างนั้น
แซนโดรยึดไหล่ของเขาเอาไว้เพื่อไม่ให้เขาล้มลงไป และจ้องมองดูใบหน้าที่กำลังหลับใหลของเขาด้วยแววตาที่สื่อถึงความประทับใจ
ในทีแรกเธอยังคิดว่าเป้าหมายของซาลในการเป็นซัมมอนเนอร์นั้นเป็นแค่ความเห่อแบบเด็ก ๆ เมื่อได้รับรู้ถึงความยากลำบากในการพัฒนาสายวิชานี้อย่างแท้จริงแล้วท้ายที่สุดเขาก็คงจะล้มเลิกความตั้งใจไปเอง แต่ปรากฏว่านอกจากซาลจะไม่ยอมท้อถอยแล้ว ยังสามารถสร้างนวัตกรรมใหม่ของสายวิชานี้ขึ้นมาได้อีก ทำให้เธอยอมรับในความสามารถและความตั้งใจของเขาอย่างแท้จริง
แซนโดรมองดูใบหน้าของซาลอีกครั้ง ก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อยด้วยแววตาอันอบอุ่น และพาเขาเทเลพอร์ทกลับไปยังห้องนอนบนหอคอย เพื่อให้เขาได้พักผ่อน
———————————————————————————————————-
Part 5
ซาลที่นอนอยู่บนเตียงของตัวเองรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเพราะได้กลิ่นอ่อน ๆ ของอาหารลอยมาแตะจมูก
แม้จะรู้สึกว่าหนังตาหนักอึ้งจนลืมตาลำบาก แต่เขาก็พยายามจะลืมตาขึ้นเพื่อดูว่าต้นตอของกลิ่นนั้นมาจากไหน
เมื่อสอดส่ายสายตามองไปรอบ ๆ เขาก็เห็นแซนโดรกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ไม่ห่างไปนัก โดยมีชามอาหารขนาดใหญ่ซึ่งมีฝาปิดวางอยู่บนโต๊ะข้าง ๆ ทันทีที่เขาหันไปมอง แซนโดรก็หันมาพอดี
“…ตื่นแล้วงั้นเหรอ?..”
แซนโดรปิดหนังสือเก็บก่อนจะลุกขึ้นจากที่นั่งและยกถาดอาหารมาวางไว้ที่ข้างเตียง
“…นี่เป็นอาหารมื้อเย็นแล้วล่ะ …แต่ฉันคิดว่าข้าวต้มน่าจะเหมาะกับสภาพของเธอมากกว่าน่ะนะ …ค่อย ๆ กินก็แล้วกัน…”
เธอพูดพลางนำหมอนมาซ้อนหลังเพื่อให้ซาลเอนตัวขึ้นมาทานข้าวต้มได้
ซาลรู้สึกว่าแซนโดรทำเกินความจำเป็นไปนิด เพราะเขาไม่ได้ป่วยซะหน่อย แต่ก็ไม่ได้ขัดอะไร
ระหว่างที่เขายื่นมือไปรับชามข้าวต้ม ปรากฏว่าแซนโดรชิงตักข้าวต้มและจะป้อนให้ซะอีก ทำให้ซาลยิ่งรู้สึกกระอักกระอ่วนไปใหญ่
“ผมทานเองได้น่า…”
“…อ้าปาก…”
“ก็บอกว่าทานเองได้ไง…”
“…ฉันจะนับถึงสามนะ…”
“นี่แซนโดร…”
“…สอง…”
“แล้วหนึ่งไปไหนเล่า!?”
แม้จะรู้สึกลำบากใจ แต่ซาลก็ต้องยอมให้แซนโดรป้อนแต่โดยดี
เมื่อกินข้าวต้มจนหมดแล้ว ทั้งสองคนจึงเริ่มคุยในเรื่องที่คุยกันค้างเอาไว้
“…เรื่องวงเวทแบบใหม่ที่เธอค้นพบ …นับเป็นการค้นพบในรอบหลายร้อยปีเลยนะ…”
“เจ๋งใช่มั้ยล่ะ! ฮ่ะ ๆ ฮ่า แบบนี้ถ้าให้เก็บประสบการณ์กับสเกลตันของแซนโดรไปเรื่อย ๆ ละก็ มันก็จะกลายเป็นสมุนระดับเทพได้ใช่มั้ย?”
“…เรื่องนั้นน่ะ อาจไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก …พอจะจำได้รึเปล่าว่าหลังจากมันเลื่อนขั้นเป็นสมุนระดับสามแล้วอัตราการเติบโตของมันเป็นยังไง?…”
“อืม… จากระดับสองไประดับสามก็ไม่นานนะ แต่พอขึ้นระดับสามแล้ว ให้สู้กับสเกลตันไป 4-5 ตัว พลังก็แทบจะไม่พัฒนาขึ้นเลย”
“…นั่นเป็นเพราะเหตุผลสองประการด้วยกัน …ประการแรกคือสเกลตันเป็นมอนสเตอร์ที่อยู่ในช่วงกลาง ๆ ของระดับสาม ค่าประสบการณ์ที่ได้จึงไม่มากนัก …ประการที่สองคือสเกลตันก็เป็นสมุนอัญเชิญ สมุนอัญเชิญจะมีรูปแบบการต่อสู้จำกัด จึงทำให้ค่าประสบการณ์ที่ได้จากการสู้ด้วยยิ่งต่ำลงไปอีก…”
“เห… แปลว่าปั๊มค่าพลังไม่ขึ้นแล้วงั้นเหรอ? งั้นถ้าเลื่อนไปสู้กับสมุนที่มีระดับสูงขึ้นล่ะ? เช่นเดรดไนท์น่ะ”
“…แม้จะเหมือนต่างกันแค่ไม่กี่ระดับ แต่เดรดไนท์เป็นมอนสเตอร์ที่อยู่ในระดับต้น ๆ ของระดับห้า พลังจะต่างกับพวกมอนสเตอร์ที่อยู่ระดับสามหลายเท่าตัวจนสู้กันไม่ได้ …ถ้าโดนฟันฉับเดียวตายแถมยังโจมตีเขาไม่เข้าก็ไม่ได้ค่าประสบการณ์อะไรหรอก …การจะเก็บประสบการณ์เพื่อพัฒนาสมุนก็ไม่ต่างจากการเก็บประสบการณ์ของคนจริง ๆ …ให้หาคู่ต่อสู้ในระดับใกล้เคียงกันหรือสูงกว่าแค่นิดหน่อยจะทำให้พัฒนาได้เร็วกว่า…”
การจัดระดับของมอนสเตอร์ในโลกนี้จะประเมินจากความเก่งของสายพันธุ์ ประกอบกับการวิเคราะห์ ‘จิตต่อสู้’ ที่ห่อหุ้มร่างของมอนสเตอร์อยู่
เดิมทีการจัดระดับมอนสเตอร์ในช่วงแรก ๆ จะดูจากสายพันธุ์และช่วงอายุเป็นหลัก แต่ปรากฏว่านั่นเป็นวิธีที่ไม่มีประสิทธิภาพนัก เพราะมอนสเตอร์บางตัวก็มีความสามารถในการต่อสู้สูงตั้งแต่ยังอยู่ในช่วงอายุต่ำ หรือบางตัวที่ผ่านการต่อสู้มาโชกโชนก็มีความแข็งแกร่งเกินระดับที่ประเมินไว้สำหรับสายพันธุ์นั้นได้
ด้วยเหตุนี้จึงมีการพัฒนาเวทวิเคราะห์คุณสมบัติ หรือ ‘อนาไลซ์’ ขึ้นมา เพื่อใช้อ่านค่าความแข็งแกร่งของมอนสเตอร์
เวท ‘อนาไลซ์’ จะทำการอ่านความเข้มข้นของ ‘จิตต่อสู้’ ออร่าพลังงานชนิดหนึ่งที่พวกมอนสเตอร์แผ่ออกมาตามธรรมชาติ ประกอบกับประเมินความแข็งแกร่งทางกายภาพ จนได้เป็นค่าความแข็งแกร่งคร่าว ๆ เมื่อได้ค่าพลังมาก็จะสามารถประเมินได้ว่ามอนสเตอร์ตัวนั้นอยู่ในระดับไหน ตั้งแต่ระดับหนึ่งไปจนถึงระดับสิบ แต่เพราะหลังจากเวลาผ่านไปก็มีการค้นพบมอนสเตอร์ที่มีพลังเกินระดับสิบขึ้นมา มอนสเตอร์บางตัวก็มีพัฒนาการจนพลังสูงกว่าที่เคยบันทึกเอาไว้ด้วย จึงมีการเพิ่มมอนสเตอร์ระดับ A และระดับ S เข้าไปในลำดับ เทียบได้กับเป็นมอนสเตอร์ระดับ 11 และ 12 นั่นเอง แต่ในอนาคตอาจมีการจัดหมวดหมู่ใหม่ให้ลงตัวกว่านี้
อันดับเหล่านี้ ยิ่งขึ้นระดับสูงก็จะยิ่งมีความต่างของพลังมาก สมุนระดับต้น ๆ ตั้งแต่ระดับหนึ่งถึงระดับสามอาจพอสู้กันได้อย่างสูสี แต่หลังจากระดับสี่เป็นต้นไปแล้วระดับพลังจะยิ่งมีความห่างชั้นกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ถึงขนาดที่โจมตีกันไม่เข้า เพราะยิ่งเป็นมอนสเตอร์ระดับสูง จิตต่อสู้ก็จะยิ่งแข็งแกร่ง การโจมตีของมอนสเตอร์ระดับต่ำที่มีจิตต่อสู้เบาบางจึงไม่ระคายผิวของมอนสเตอร์ระดับสูงที่มีจิตต่อสู้เข้มข้นเลย ด้วยเหตุนี้สมุนของซาลที่อยู่ระดับสามจึงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของร่างอัญเชิญระดับห้าอย่างเดรดไนท์
“งั้นถ้าให้แซนโดรอัญเชิญสมุนระดับสี่ออกมาล่ะ?”
“…อย่างที่บอกว่าสมุนอัญเชิญน่ะให้ประสบการณ์ต่ำ …เพราะมันจะโจมตีและป้องกันในรูปแบบซ้ำ ๆ ไม่มีการพลิกแพลง การสู้กับคู่มือแบบนี้น่ะเมื่อถึงจุดหนึ่งก็จะกลายเป็นความจำเจที่ไม่ช่วยให้เกิดการพัฒนาใด ๆ …ประสบการณ์ที่ได้จากการต่อสู้กับสมุนอัญเชิญแต่ละประเภทจึงมีจำกัด พอชินกับการสู้ด้วยแล้วก็คงไม่ได้ประสบการณ์จากการต่อสู้สักเท่าไหร่หรอก…”
“ถ้างั้น จะทำไงดีล่ะ?”
“…ก็ต้องให้พวกมันไปสู้กับคนจริง ๆ …เช่นพวกนักผจญภัย …จะทำให้ได้ค่าประสบการณ์อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย …แถมระหว่างนั้นเธอจะได้เอาเวลาไปทำอย่างอื่นด้วย …แบบนี้จะคุ้มเวลามากกว่า…”
“แปลว่าเราต้องไปแอบซุ่มโจมตีคนน่ะเหรอ? แบบนั้นจะยิ่งเสียเวลารึเปล่า?”
“…ไม่ใช่หรอก …แค่เอาสมุนของเธอไปปล่อยไว้ในดันเจียน ให้พวกนักผจญภัยมาสู้ก็พอแล้ว…”
คำพูดของแซนโดรทำให้ซาลรู้สึกสงสัยมากขึ้นไปอีก เพราะมันฟังดูทั้งยุ่งยากและใช้เวลามากกว่าวิธีที่เธอเพิ่งปฏิเสธไปด้วยซ้ำ
“หืม… แต่การจะหาดันเจียนสักแห่งก็ต้องใช้เวลาเหมือนกันนี่นา แล้วพอสมุนตายเราก็ต้องเอาสมุนไปปล่อยใหม่อีกรอบน่ะนะ? อีกอย่าง ถ้าเกิดดันเจียนโดนเคลียร์ขึ้นมาก็ต้องหาที่ใหม่น่ะสิ?”
“…ไม่จำเป็นต้องหาดันเจียน …และไม่จำเป็นต้องเดินทางไปปล่อยสมุนใหม่อีกรอบด้วย …ฉันคิดวิธีเอาไว้แล้ว…”
“เห?…”
“…เราจะสร้างดันเจียนขึ้นมาเอง …แล้วให้สมุนของเธอเป็นมอนสเตอร์ในนั้น …จากนั้นก็ล่อพวกนักผจญภัยมาให้สมุนของเธอเก็บประสบการณ์ไงล่ะ…”