Doombringer the 5th - ตอนที่ 70
Ch.70 – ชายผู้มากับความมืด
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 70
ชายผู้มากับความมืด
Part 1
เช้าวันต่อมา แซนโดรก็ให้ทุกคนเตรียมตัวสำหรับเดินทางต่อ
ในระหว่างที่คนอื่น ๆ กำลังเตรียมตัวอยู่นั้น แซนโดรก็เดินเข้าคุยกับลานาเทลเพื่อ ทำให้เธอแปลกใจเล็กน้อย ทั้งยังคาดหวังว่าจะได้รับคำขอโทษจากอีกฝ่าย แต่แล้วลานาเทลก็ต้องผิดหวัง
“…พอจะให้คนของเธอในอินิสตร้าปล่อยข่าวสักอย่างได้รึเปล่า? …ฉันอยากให้เป็นข่าวที่รู้กันทั่ว และแพร่ไปในระดับของชนชั้นปกครองด้วย…”
แม้จะรู้สึกหงุดหงิดเล็ก ๆ ที่แซนโดรทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ลานาเทลก็ไม่ได้แสดงปฏิกิริยาอะไรออกมามากนัก และดำเนินการสนทนาต่อไป
“ข่าวอะไรเหรอคะ?”
“…ให้ปล่อยข่าวว่าเหตุการณ์การโจมตีเมืองอินิสตร้าเป็นการแก้แค้นของ ‘ทไวไลท์เมอริเดียน’ …มีเป้าหมายคือคนของพีชคีปเปอร์ที่ไปเยือนเมืองนั้น ไม่ใช่ตัวเมือง แค่นั้นแหละ…”
“หืม~ ทไวไลท์เมอริเดียนเหรอคะ? แต่ทำไมต้องปล่อยข่าวแบบนี้ด้วยล่ะ?”
“…ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างละก็ พวกพีชคีปเปอร์อาจใช้เหตุการณ์ในอินิสตร้าเป็นข้ออ้างในการขยายอิทธิพลเข้ามาในโดมินาเรียได้ …เพราะฉะนั้นเราต้องชิงลงมือก่อน …เธอไปจัดการปล่อยข่าวตามนี้ ให้คนรู้กันมากที่สุด ส่วนที่เหลือฉันจะจัดการเอง…”
เมื่อพูดจบ แซนโดรก็เดินจากไปโดยไม่อธิบายอะไรเพิ่มเติม ทำให้ลานาเทลรู้สึกขัดใจยิ่งขึ้น แต่ก็พยายามเก็บอารมณ์เอาไว้และพิจารณาถึงเรื่องที่เธอพูด
‘ทไวไลท์เมอริเดียนงั้นเหรอ… ไว้ให้เคเลเซ็ทลองตรวจสอบข้อมูลดูดีกว่า…’
เพราะคิดว่าถามแซนโดรไปก็อาจไม่ได้คำตอบ ควรสืบข้อมูลด้วยตัวเองจะดีกว่า ลานาเทลจึงสั่งการให้เคเลเซ็ทกับวาลานาร์ลองสืบข้อมูลของทไวไลท์เมอริเดียนไปพร้อม ๆ กับการปล่อยข่าวตามที่แซนโดรบอกด้วย
หลังจากเตรียมตัวกันเสร็จแล้ว ทุกคนก็มาขึ้นรถม้าที่ด้านหน้าของโรงแรมและเริ่มเดินทางออกจากเมืองเอลการ์ด
เป้าหมายของการเดินทางก็คืออาณาจักรอลาเรีย ที่ซึ่งพี่ชายและพี่สาวของซาลปกปิดตัวตนอาศัยอยู่
แม้จะเพิ่งออกเดินทางมาได้ไม่นาน แต่ซาลก็ดูตื่นเต้นกับจุดหมายปลายทางมากจนนั่งไม่ติด เพราะนี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เขาจะได้พบกับพี่ ๆ ทั้งสอง
“นี่ ๆ แซนโดร อีกนานรึเปล่ากว่าจะถึงอลาเรียน่ะ?”
“…ถ้าเดินทางปกติก็น่าจะใช้เวลาสักสองวัน …แต่ก็ขึ้นกับปัจจัยแวดล้อมอื่น ๆ ด้วย …ความเคลื่อนไหวของหน่วยงานต่าง ๆ ในอินิสตร้าเป็นยังไงบ้าง?…”
แซนโดรพูดพลางหันไปทางลานาเทลซึ่งน่าจะรู้ข่าวสารในอินิสตร้ามากที่สุด ซึ่งอีกฝ่ายก็ยิ้มด้วยสีหน้าขี้เล่นตามปกติและตอบกลับมา
“พวกเขาให้ความสำคัญกับการป้องกันเมืองมากกว่าน่ะค่ะ ทั้งกองทหารและนักผจญภัยต่างก็ถูกเรียกกลับเข้าเมืองเพื่อป้องกันเหตุการณ์ซ้ำซ้อน เลยยังไม่มีการจัดหน่วยปฏิบัติการออกตามล่า ‘คนที่ก่อเรื่อง’ ค่ะ”
ลานาเทลเน้นคำว่า ‘คนที่ก่อเรื่อง’ พลางชายตามองไปยังแซนโดรด้วยสีหน้ายียวนนิด ๆ แต่อีกฝ่ายก็ทำเป็นไม่สนใจและกล่าวต่อ
“…ถึงไม่ได้ส่งคนออกมาตามล่า แต่การตรวจตราคนเข้าเมืองในเมืองต่าง ๆ ก็น่าจะมีความเข้มงวดขึ้นล่ะนะ …แบบนี้ก็อาจทำให้เสียเวลาเพิ่มขึ้นสักหน่อย…”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงค่ะ ในเขตอินิสตร้านี่ถ้าใช้ตราสัญลักษณ์ของตระกูลซันรีเวอร์ละก็จะสามารถผ่านการตรวจไปได้ทุกที่เลย เพราะงั้นเราคงไม่ต้องเสียเวลากับเรื่องพวกนี้สักเท่าไหร่”
“…อืม …ถ้างั้นก็ดี…”
เมื่อแซนโดรพูดจบ ทั้งคู่คนก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีก ทำให้คนอื่น ๆ สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไประหว่างสองคนนี้ เพราะลานาเทลไม่ได้พยายามชวนแซนโดรคุยหรือหยอกล้อเหมือนปกติแม้จะยังมีสีหน้ายิ้มแย้มไม่เปลี่ยนก็ตาม แม้แต่การนั่งก็ยังเว้นระยะห่างมากกว่าปกติด้วย
นิโคลคิดว่าบางทีลานาเทลอาจยังโกรธแซนโดรอยู่ ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ แต่จะปล่อยให้บรรยากาศอึมครึมแบบนี้ดำเนินต่อไปก็คงไม่ดีเท่าไหร่ เธอจึงหาเรื่องคุยกับซาลเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ
“คุณซาลารัสไม่ได้เจอกับพี่ ๆ มาสามปีแล้วสินะคะ? ยังพอจำทั้งสองคนได้รึเปล่า?”
“จำได้สิ! ถึงทั้งคู่จะอายุห่างกับผมพอสมควร แต่พวกเราก็สนิทกันมากเลยล่ะ”
“ทั้งสองคนเป็นคนยังไงเหรอคะ? เล่าให้ฟังหน่อยได้มั้ย?”
“อืม~ เซอร์เก้ (เซอเจรัส) น่ะเป็นคนขี้เล่น ถึงจะชอบแกล้งผมกับลาซารัสเป็นประจำแต่ก็ไม่เคยทำอะไรเกินเลยจนทำให้โกรธ แถมยังเป็นพี่ชายที่พึ่งพาได้ทุก ๆ เรื่องด้วย ส่วนเซก้า (เซการัส) ก็เป็นคนอารมณ์ดี อบอุ่น เป็นพี่สาวที่ใจดีและคอยดูแลเราอยู่เสมอ เหมือนกับนิโคลไง”
พอได้ยินซาลนำไปเปรียบกับพี่สาวแท้ ๆ แบบนี้นิโคลก็ยิ้มจนแก้มปริด้วยความดีใจระคนเขินอาย พลางกล่าวต่อ
“ฟังดูก็เป็นพี่ ๆ ที่น่ารักดีนะคะ”
“อื้ม! เป็นพี่ ๆ ที่น่ารักมากเลย! เพราะงั้นสักวันผมจะพาทุกคนกลับมาอยู่ด้วยกันให้ได้!”
นิโคลยิ้มและลูบหัวของซาลเบา ๆ เพราะความปรารถนาอันบริสุทธิ์นั้น แค่พูดถึงมันก็ทำให้เขามีท่าทีตื่นเต้นดีใจขนาดนี้แล้ว หากวันหนึ่งความฝันนี้เป็นจริงละไม่รู้ว่าเขาจะดีใจแค่ไหน
คณะเดินทางใช้เวลาเกือบทั้งวันก็มาถึงดินแดนฝั่งตะวันออกของอินิสตร้า
แซนโดรประเมินเวลาแล้วคาดว่าหากเดินทางได้ในอัตรานี้ก็น่าจะไปถึงที่หมายในอลาเรียได้ในช่วงเวลาเย็น ๆ หรือพลบค่ำของอีกวันหนึ่ง
ในเย็นวันนั้นแซนโดรจึงแวะพักที่เมืองเล็ก ๆ ซึ่งอยู่ระหว่างทาง เพื่อรอเดินทางต่อในตอนรุ่งเช้า
ทุกคนแยกย้ายกันพักผ่อนตามปกติ แต่ในระหว่างที่อัลติม่ากำลังเตรียมตัวจะเข้านอนอยู่นั้นเอง เธอก็รู้สึกได้ถึงเสียงเรียกจากห้วงมิติ
มันคือการติดต่อจากนรกที่เธอไม่ได้สัมผัสถึงมานานแล้วนั่นเอง
——————————————————————————————————–
Part 2
อัลติม่าปลีกตัวออกมาจากที่พักเพื่อมองหาที่เหมาะ ๆ ในการตอบรับการสื่อสาร เธอจึงบินออกมานอกเมืองและตรงไปยังชายป่าที่อยู่ใกล้ ๆ
เธอรู้สึกลังเลนิดหน่อยที่จะตอบรับการสื่อสารนี้ แต่หากมีการติดต่อมาแบบนี้แปลว่าทางนรกก็ต้องรู้แล้วว่าเธอยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นการตอบรับจึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
เมื่อเตรียมใจพร้อมแล้ว อัลติม่าก็ตอบรับการสื่อสาร ทำให้มีวงเวทสีแดงปรากฏขึ้นบนพื้น ก่อนมันจะฉายจอภาพขึ้นมาบนอากาศ
บนหน้าจอนั้นปรากฏภาพของหญิงสาวสามคน คนที่อยู่ตรงกลางเป็นหญิงสาวตัวเล็กเหมือนเด็ก มีผมสีแดงสดราวกับเลือด ดวงตาสีส้มราวกับก้อนอำพัน ที่อยู่ด้านซ้ายมือของเธอเป็นหญิงสาวผมสั้นสีทองผู้มีดวงตาสีฟ้าดั่งน้ำทะเลยามต้องแสงอาทิตย์ ส่วนอีกคนหนึ่งคือหญิงสาวผมเงินยาวสลวยผู้มีดวงตาสีม่วงดูลึกลับ
ทั้งสามคนคือเดียโบล, บาล, และเมฟิสโต้ สามไพร์มอีวิล กลุ่มปิศาจที่มีอำนาจมากที่สุดในนรกนั่นเอง
ในหน้าจอนี้ดูเหมือนจะมีเดียโบลเพียงคนเดียวที่ยืนอยู่ ส่วนสองคนข้าง ๆ กำลังนั่งพับเพียบเพื่อให้อยู่ในระดับความสูงที่ไล่เลี่ยกับเธอ จะได้โผล่เข้ามาในหน้าจออย่างพร้อมเพรียงกันได้
ทันทีที่เห็นภาพของอัลติม่าปรากฏขึ้นบนหน้าจอ เดียโบลก็ตวาดออกมาด้วยเสียงอันดัง แต่เพราะเสียงของเธอเป็นเสียงที่เล็กแหลมเหมือนกับเด็กผู้หญิงทำให้มันฟังดูไม่น่ากลัวอย่างที่เจ้าตัวต้องการ
“ยัยบ้าอัลติม่า! ถ้ายังไม่ตายก็หัดติดต่อกลับมาบอกหน่อยเซ่! รู้มั้ยว่าพวกเราวุ่นวายกันแค่ไหนน่ะหา!?”
อัลติม่ารู้สึกสั่นกลัวนิดหน่อยตามสัญชาติญาณ แต่เธอก็ยังเก็บอาการไว้และพูดตอบกลับไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้มที่ดูยังไงก็เป็นการฝืนยิ้ม
“แหม่~ ต้องขอโทษด้วยจริงๆนะคะที่ทำให้วุ่นวายกัน… แต่มันคงไม่วุ่นวายเท่ากับการบุกแพนเดโมเนี่ยมฟอเทรส… สู้กับกองทัพของพีชคีปเปอร์… ประมือกับสี่นักดาบและเทพสายฟ้าหรอกมั้งคะ… แต่ยังไงก็ขอโทษอีกทีละกันค่ะ”
อัลติม่าตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มเจื่อน ๆ และคำพูดที่ฟังดูเป็นการประชดประชันพลางหลบสายตาไปทางอื่น ทำให้ไพร์มอีวิลทั้งสามรู้สึกแปลกใจนิดหน่อยกับท่าทางของเธอ
เนื่องจากปกติแล้วอัลติม่าไม่ใช่คนที่จะกล้าต่อปากต่อคำกับทั้งสามคนแบบนี้โดยเฉาะกับผู้ปกครองสูงสุดอย่างเดียโบล แต่เดียโบลก็ไม่ได้มีท่าทีขุ่นเคืองอะไรและพูดต่อไป
“เอาเถอะ เธอรอดมาได้ก็ดีแล้วล่ะนะ แล้วตอนนี้เรื่องอื่น ๆ เป็นไงบ้าง?”
“หืม? เรื่องอะไรเหรอคะ?”
อัลติม่าถามกลับไปด้วยสีหน้าฉงน ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกโมโหขึ้นมา
“ก็เรื่องที่ให้ไปสืบหาเจตนาของแซนโดร เอ็นร็อธไงเล่า!? นี่ลืมไปแล้วงั้นเรอะ!?”
“อ้อ ๆ เรื่องนั้นน่ะเอง… อืม… ดูเหมือนว่าจริง ๆ แล้วยัยแซนโดรจะมีความแค้นส่วนตัวกับพีชคีปเปอร์น่ะนะคะ เมื่อเร็ว ๆ นี้ก็เพิ่งจะไปถล่มเมืองอินิสตร้าเพื่อจะฆ่าคนของพวกนั้นมาหมาด ๆ ”
ไม่ใช่ว่าอัลติม่าจงใจจะยียวน แต่เธอลืมเรื่องนี้ไปซะสนิทแล้วจริง ๆ ซึ่งเดียโบลก็พอจะเข้าใจความติงต๊องของอีกฝ่ายดีจึงไม่ได้ว่ากล่าวอะไรมาก
“อืม… เป็นฝีมือของแซนโดร เอ็นร็อธ จริง ๆ ซะด้วย… สายของเราที่นั่นก็เพิ่งรายงานเรื่องนี้มาเหมือนกัน… ว่าแต่เธอล่อลวงแม่นั่นให้ทำพันธสัญญาได้รึยัง?”
“เรื่องนั้นคงไม่ไหวหรอกค่ะ ยัยนั่นน่ะโฉดจะตายไป ขนาดยังไม่ได้ทำพันธสัญญาก็เกือบจะโดนหลอกให้ไปตายซะแล้ว ถ้าคิดจะทำพันธสัญญาจริง ๆ จะโดนอะไรบ้างก็ไม่รู้ เพราะงั้นงานนี้น่ะหาคนอื่นไปทำเถอะนะคะ แต่ขอเตือนไว้ก่อนว่าคงไม่สำเร็จหรอกค่ะ”
อัลติม่าพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ พลางหลบสายตาไปทางอื่น แต่มันเป็นสีหน้าที่ออกอาการเบื่อหน่ายมากกว่ากลัวความผิดเหมือนเมื่อก่อน ทำให้เดียโบลกับเมฟิสโต้รู้สึกแปลกใจมากขึ้น แต่บาลที่เห็นท่าทีแบบนั้นกลับยิ่งรู้สึกหงุดหงิด
“ท่าทางแบบนั้นมันอะไรกัน หา!? แล้วนี่เธอคิดจะขัดคำสั่งงั้นเหรอ!?”
เสียงตวาดของบาลทำให้อัลติม่ามีสีหน้าหงุดหงิดขึ้นมาแวบหนึ่ง แต่เธอก็ยังพยายามเก็บอาการเพราะนึกถึงคำพูดที่แซนโดรเคยบอกขึ้นมาได้
‘ชิ… ทำเป็นวางก้ามอยู่ได้… เวลามีปัญหาขึ้นมาจริง ๆ ก็ไม่เห็นจะคิดช่วยเลยแท้ ๆ … อยากตอกกลับไปชะมัด… แต่ที่ยัยแซนโดรเคยพูดเอาไว้ก็มีเหตุผล… ตัดขาดกับทางนรกก็จะมีแต่ปัญหาตามมาเปล่า ๆ … สู้แกล้งทำเป็นนอบน้อมรับใช้ต่อไปจะดีกว่า’
เมื่อคิดได้เช่นนั้น อัลติม่าจึงฝืนปั้นสีหน้าอีกครั้งก่อนจะตอบบาลกลับไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้มและน้ำเสียงที่ดูเสแสร้งเกินพอดี
“แหม~ จะเป็นแบบนั้นได้ยังไงกันล่ะคะท่านบาล~ ดิฉันแค่พูดไปตามเนื้อผ้าเท่านั้นแหละ ถ้าจะให้ทำจริง ๆ ดิฉันก็จะพยายามค่า~ แต่จะสำเร็จรึเปล่าก็ไม่รู้อะน้า~”
ด้วยท่าทางแบบนั้นทำให้บาลยิ่งรู้สึกหงุดหงิด แต่เดียโบลก็แตะไหล่ห้ามไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดอะไร และหันไปคุยกับอัลติม่าต่อ
“เอาเถอะ เรื่องนั้นลดลงไปเป็นเป้าหมายรองละกัน ถ้ามีโอกาสเหมาะ ๆ ค่อยยื่นข้อเสนอเพื่อทำพันธสัญญาก็ได้ ส่วนเวลาปกติเธอก็รวบรวมข้อมูลอื่น ๆ ของแม่นั่นกับคนในคณะเดินทางมาซะ เข้าใจนะ”
“รับทราบค่า~ งั้นถ้าไม่มีอะไรแล้ว ดิฉันขอตัวก่อนนะคะ”
“อืม…”
เมื่อเดียโบลพยักหน้า อัลติม่าก็ตัดการสื่อสารไปทันที
พฤติกรรมที่ขาดความเคารพอย่างเห็นได้ชัดของอัลติม่านี้ทำให้บาลรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก จนหันมาตวาดเดียโบลต่อ
“นี่! เธอไม่เห็นท่าทางของมันรึไง!? แบบนี้ยังจะปล่อยไว้ได้เหรอ!?”
“ไม่ปล่อยไว้จะให้ทำยังไง? จะให้ส่งปิศาจตนอื่น ๆ ไปตามเก็บงั้นเหรอ? ปิศาจที่อยู่บนโลกน่ะไม่มีคนไหนที่มีพลังเทียบเท่าอัลติม่าหรอกนะ”
เดียโบลตอบกลับไปด้วยท่าทีสบาย ๆ เหมือนกับไม่ใส่ใจอะไร ทำให้บาลยิ่งรู้สึกข้องใจและหงุดหงิดขึ้นไปอีก
“ทำไมเธอถึงยังใจเย็นอยู่ได้อีกล่ะ!? ยัยนั่นมันแสดงท่าทีกระด้างกระเดื่องขนาดนี้ ไม่รู้สึกเจ็บใจบ้างรึไง!?”
“ฉันรู้สึกแปลกใจมากกว่า… ไม่นึกว่าแม่นั่นจะทำแบบนี้เป็นกะเขาด้วย นึกว่าจะทำตามคำสั่งเป็นอย่างเดียวซะอีก… ไม่เลวทีเดียว…”
เดียโบลตอบด้วยสีหน้าที่แสดงความพึงพอใจออกมา ทำให้บาลยิ่งรู้สึกข้องใจมากขึ้น
“นี่มันใช่เรื่องที่ควรมาชื่นชมรึไง!?”
“ทำไมจะไม่ควรล่ะ? สมัยก่อนยัยนั่นน่ะซื่อบื้อเกินไป ทำให้แม้แต่ปิศาจระดับต่ำกว่าก็ยังดูถูก แถมยังไปโดนยัยแซนโดรหลอกใช้จนเกือบตายด้วย แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าแม่นั่นจะเปลี่ยนไปบ้างแล้ว ไม่ใช่ยัยโง่ที่ถูกใช้งานหรือชักจูงง่ายเหมือนเมื่อก่อน แบบนี้สิถึงจะคู่ควรกับการเป็นปิศาจพันธุ์แท้… คู่ควรกับการเป็นสมุนของฉัน”
เดียโบลพูดออกมาด้วยแววตาและรอยยิ้มอันชั่วร้าย ทำให้แม้แต่บาลก็ต้องนิ่งเงียบไป
ส่วนเมฟิสโต้ที่พิจารณาเหตุการณ์มาตลอดก็มีความคิดไม่ต่างไปจากเดียโบลเท่าไหร่นัก จึงยิ้มและลูบไหล่ของบาลเบา ๆ เพื่อเป็นการปลอบใจ
“ยังไงก็เถอะ นี่แปลว่าเราจะหวังพึ่งยัยอัลติม่าแค่อย่างเดียวไม่ได้แล้ว (จริง ๆ ก็ไม่ได้หวังพึ่งอะไรแต่แรกแล้วล่ะนะ) เพราะงั้นพวกเธอเร่งสืบหาข้อมูลของทุกคนในกลุ่มนั้นซะ รวมทั้งให้สายลับที่มีฝีมือที่สุดคอยติดตามความเคลื่อนไหวของพวกนั้นด้วย”
เมื่อได้รับคำสั่งของเดียโบล ทั้งสองคนก็ลุกขึ้นและเปิดประตูมิติก่อนจะเดินออกไปจากห้อง
หลังจากทั้งสองคนออกไปแล้ว เดียโบลก็นำผลึกสีดำคล้ายกับแท่งคริสตัลขนาดเล็กที่มีเงาแวววับขึ้นมาถือและมองมันอยู่ครู่หนึ่ง
“ทำตัวเหมือนกับปิศาจขึ้นมาบ้างแล้วนี่ อัลติม่า…”
หลังจากพึมพำกับแท่งผลึกในมือเสร็จ เดียโบลก็เก็บมันลงกระเป๋าเสื้อ ก่อนจะหันไปเปิดจอคอมพิวเตอร์ที่อยู่ด้านหลังอีกครั้ง และตั้งหน้าเล่นเกมต่อ
——————————————————————————————————–
Part 3
เช้าวันต่อมาทุกคนก็เริ่มออกเดินทางเพื่อมุ่งหน้าไปอลาเรียอีกครั้ง
อัลติม่าเก็บเรื่องการติดต่อจากนรกเอาไว้กับตัวโดยไม่ได้บอกกับใครเลย เพราะเห็นว่าทางนรกก็ไม่ได้มีคำสั่งอะไรเป็นพิเศษ หากมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงหรือมีข้อมูลอะไรเพิ่มเติมค่อยเอามาบอกทุกคนก็ยังไม่สาย
ทุกคนขึ้นมารอบนรถม้าเป็นเวลานานแล้วแต่แซนโดรก็ยังไม่มาซะที ทำให้หลายคนเริ่มกังวลเล็กน้อยว่าเธอจะหายไปไหนอีก
แต่ในที่สุดแซนโดรก็มาถึงและสั่งให้รถม้าออกเดินทาง ซาลารัสที่ใจร้อนอยากออกเดินทางเร็ว ๆ จึงเอ่ยถามขึ้นด้วยท่าทางแง่งอนเล็กน้อย
“ไปไหนมาน่ะ? นี่มันจะสายแล้วนา~”
“…ฉันไปส่งจดหมายมาน่ะ เพื่อแจ้งบอกพวกพี่ ๆ ของเธอว่ากำลังจะไปหา พวกเขาจะได้รู้ตัวก่อน…”
“เห? เรื่องแบบนั้นทำไมไม่ใช้แหวนสื่อสารเอาล่ะ?”
“…การสื่อสารข้ามอาณาจักรอาจถูกบันทึกหรือตรวจสอบได้ โดยเฉพาะในช่วงที่เพิ่งเกิดเรื่องแบบนี้ …เพราะงั้นใช้เครือข่ายสื่อสารของสมาคมใต้ดินน่าจะปลอดภัยกว่า …อีกอย่างคือฉันไม่เคยให้แหวนสื่อสารกับพวกพี่ ๆ ของเธอด้วย ปกติจะส่งจดหมายเอานี่แหละ…”
“อ้อ งี้นี่เอง… ว่าแต่พวกพี่ ๆ เนี่ยเขาอยู่แถวไหนของอลาเรียเหรอ?”
“…ก็แถว ๆ ตอนกลางของอลาเรีย …อยู่ในเขตกรีวิลล์ ห่างจากเมืองหลวงของอลาเรียออกมาอีกหน่อย …จัดเป็นเมืองขนาดกลาง แต่มีอาณาเขตค่อนข้างกว้างน่ะนะ…”
“อืม… แล้วพวกพี่ ๆ เขาทำอะไรอยู่ที่นั่นเหรอ?”
“…เท่าที่ฉันรู้มา พี่ชายของเธอเปิดสมาคมนักผจญภัยอยู่ในกรีวิลล์ …เพราะสมัยก่อนที่นั่นยังไม่มีสมาคมนักผจญภัยในพื้นที่ …พี่เธอเลยตั้งสมาคมนักผจญภัยอิสระขึ้นมา…”
“เห~ เป็นหัวหน้าสมาคมนักผจญภัยเลยเหรอเนี่ย! ยอดไปเลยเซอร์เก้! งั้นเซก้าก็คงจะเป็นรองหัวหน้าสมาคมสินะ?”
“…เรื่องนั้นฉันก็ไม่แน่ใจนะ …เอาไว้เจอกับเจ้าตัวก็ลองถามดูแล้วกัน…”
“โอเค! …ว่าแต่ยังไม่ถึงอีกเหรอเนี่ย?”
“…คิดว่านี่เป็นจรวดรึไง?…”
แซนโดรตอบคำถามเอาแต่ใจของซาลารัสกลับไปอย่างไม่ใยดี ทำให้เขาหรี่ตาพร้อมกับพองแก้มออกมาด้วยความไม่พอใจ นิโคลที่เห็นว่าทั้งสองคนกำลังจะทะเลาะกันอีกแล้วจึงชวนให้ซาลอัญเชิญวาเคียกับอัลดูอินออกมาคุยกัน หลังจากนั้นเธอก็ช่วยเขาฝึกการใช้เวทเพื่อเป็นการฆ่าเวลาระหว่างเดินทางไปด้วย ทำให้ซาลไม่บ่นหรือรบเร้าอะไรอีกในระหว่างเดินทาง
ในที่สุดรถม้าก็เดินทางข้ามเขตแดนของอลาเรีย และมาถึงเขตกรีวิลล์ในช่วงพลบค่ำ
เขตกรีวิลล์ของอลาเรียนี้เป็นที่ราบสลับกับแนวป่าเป็นระยะ ๆ ผู้คนสัญจรก็ค่อนข้างบางตา โดยเฉพาะเมื่อตะวันตกดินแล้วแทบจะไม่มีคนเดินทางให้เห็นเลย
เมื่อรถม้าแล่นมาตามถนนที่ตัดผ่านแนวป่าไปได้พักหนึ่ง จนเริ่มเห็นแสงไฟจากตัวเมืองอยู่ตรงเนินเขาที่อยู่สุดเส้นขอบฟ้า ทำให้ซาลลุกไปเกาะขอบหน้าต่างด้วยท่าทีตื่นเต้นอีกครั้ง
แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงการสั่นไหวของแมกไม้สลับกับเสียงต่อสู้ดังออกมาจากแนวป่าที่อยู่ข้างทาง
เสียงนั้นทำให้ทุกคนในรถต่างก็เตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจจะเกิดขึ้น
ต้นกำเนิดของเสียงค่อย ๆ เคลื่อนผ่านแนวไม้จากด้านหลังไปจนถึงด้านหน้าของรถม้า ก่อนที่ต้นไม้จากข้างทางจะล้มระเนระนาด แล้วก็มีอสูรกายขนาดใหญ่วิ่งออกมา
มันเป็นมอนสเตอร์ที่มีลักษณะเหมือนหมี แต่มีขนาดใหญ่กว่าหลายเท่า ตามหลังและไหล่ของมันมีลูกธนูปักคาอยู่เต็มไปหมด ราวกับถูกไล่ล่ามาอย่างดุเดือด
มันยืดตัวยืนสองขาแล้วหันกลับไปทางชายป่าที่วิ่งออกมา พลางกางแขนทั้งสองข้างออกในท่าเตรียมพร้อม เผยให้เห็นกรงเล็บขนาดใหญ่ที่เป็นเปลือกแข็งหุ้มทั้งอุ้งมือเอาไว้ราวกับสวมเกราะ ความสูงของมันในขณะที่ยืนด้วยสองขานี้ทำให้สูงกว่าต้นไม้ที่อยู่สองข้างทางซะอีก
ในเวลาไล่เลี่ยกันก็มีเงาคนหลายคนพุ่งฝ่าแนวไม้ออกมาและตรงเข้าไปหาเจ้าอสูรกาย มันพยายามตะปบกรงเล็บเข้าใส่พวกเขาด้วยความรวดเร็ว แต่คนเหล่านั้นก็ยังเร็วกว่าและหลบการโจมตีได้ ทำให้กรงเล็บของมันได้แต่ตวัดโดนพื้นดินจนเศษดินและหินฟุ้งกระจายไปทั่ว
ชายคนหนึ่งใช้ขวานขนาดใหญ่เป็นอาวุธ เขาอาศัยจังหวะที่มันโจมตีพลาดกระโดดสับเข้าไปที่แขนของมัน จนแขนซ้ายของเจ้าอสูรกายขาดออกจากตัว มันจึงร้องคำรามออกมาด้วยความเจ็บปวด
ระหว่างนั้นชายอีกคนก็พุ่งตรงเข้าใส่มันจากทิศตรงข้าม ด้วยสัญชาติญาณทำให้มันสัมผัสถึงภัยคุกคามได้ จึงพุ่งกรงเล็บเข้าใส่คนผู้นั้นทันที แต่เขาก็สามารถหลบการโจมตีนั้นและใช้แขนของมันเป็นที่เหยียบในการวิ่งเข้าประชิดตัวเจ้าอสูรกายได้
ทันทีที่วิ่งเข้าไปถึงไหล่ของมัน ชายหนุ่มก็ชักดาบสองเล่มในมือออกมา และพุ่งตวัดดาบผ่านคอของเจ้าอสูรยักษ์ ทันใดนั้นหัวของมันก็หลุดออกจากตัวและร่วงหล่นลงกับพื้นราวกับผลแอปเปิลที่ถูกปลิดออกจากขั้ว ก่อนที่ร่างอันมโหฬารของมันจะล้มตึงตามลงไป
ทันทีที่เจ้าอสูรกายสิ้นฤทธิ์แล้ว ก็มีกลุ่มคนอีกหลายคนออกมาจากแนวไม้และเดินตรงเข้าไปดูร่างที่ไร้วิญญาณของมัน
ชายที่ใช้ดาบคู่สะบัดดาบลงกับพื้นอย่างรวดเร็วเพื่อสลัดคราบเลือดที่ติดอยู่บนใบดาบออก ก่อนจะเก็บดาบลงในฝักที่เหน็บเอวอยู่และพูดสั่งการกับคนที่เหลือ ระหว่างนั้นก็มีคนชี้มาทางรถม้าของแซนโดรที่ต้องหยุดอยู่กลางถนนเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ชายหนุ่มจึงปลีกตัวออกจากกลุ่มคนและเดินตรงมาที่รถม้า
แซนโดรเดินลงจากรถม้าเพื่อพูดคุยกับชายคนนั้น โดยมีลานาเทลเดินตามลงมาด้วยอีกคนหนึ่ง ส่วนซาลก็เกาะขอบหน้าต่างเพื่อติดตามดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
“ต้องขอโทษที่ทำให้ตกใจนะ พอดีพวกเราล่ามอนสเตอร์ตัวนี้มาจากชายป่าด้านโน้น ไม่นึกว่ามันจะอึดขนาดวิ่งหนีการไล่ล่าจนมาโผล่อีกฟากนึงของป่าได้… ไม่มีใครเป็นอะไรใช่มั้ย?”
ชายหนุ่มพูดขึ้นเมื่อเดินเข้ามาใกล้ แต่เพราะความมืดของยามค่ำคืนทำให้ทั้งแต่ละฝ่ายไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของฝ่ายตรงข้ามได้ชัดเจนเท่าไหร่ แซนโดรจึงร่ายเวทสร้างบอลแสงขึ้นมาหนึ่งลูกเพื่อใช้ส่องสว่าง ก่อนจะตอบชายคนนั้นกลับไป
“…ไม่เป็นไร …รถม้าก็ไม่ได้หยุดกะทันหันอะไร ทุกคนปลอดภัยดี …หืม? …เธอ…”
คำพูดของแซนโดรขาดช่วงไปเมื่อได้เห็นหน้าของชายคนนั้นซึ่งเดินเข้ามาใกล้จนต้องแสงสว่างจากบอลแสงในมือของแซนโดร ส่วนชายคนนั้นเมื่อได้เห็นหน้าของแซนโดรก็มีสีหน้าประหลาดใจเช่นกัน
“เธอ… แซนโดรใช่มั้ย?”
ซาลเพ่งมองไปยังใบหน้าของชายผู้นั้นอย่างละเอียด เขาเป็นชายหนุ่มผมดำ ใบหน้าเรียว และมีดวงตาอันนิ่งเฉยที่ไม่สื่อความรู้สึกใด ๆ ออกมา แม้มันจะไม่ใช่สีหน้าในแบบที่เขาเคยจำได้ แต่เค้าหน้าแบบนั้นก็เป็นใบหน้าที่ซาลคุ้นเคยดี
ชายผู้นี้ก็คือเซอเจรัส แฮลเซียน พี่ชายคนโตของเขานั่นเอง