Doombringer the 5th - ตอนที่ 72
Ch.72 – สิ่งที่ผู้อื่นมองไม่เห็น
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 72
สิ่งที่ผู้อื่นมองไม่เห็น
Part 1
เซอร์เก้เอ่ยคำถามออกมาด้วยสายตาเย็นชา แต่เพราะปกติแววตาของเขาก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว ทำให้ดูออกยากว่ากำลังพูดด้วยความรู้สึกแบบใดกันแน่
แซนโดรคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรถ้าเซอร์เก้จะรู้ เพราะระหว่างที่คุยกันอยู่ซาลอาจพูดอะไรที่ขัดกับคำอธิบายของเธอไปก็ได้ แต่เธอก็ยังอยากจะถามให้แน่ใจก่อน
“…ทำไมถึงคิดว่าฉันโกหกล่ะ?…”
“หมอนั่นเล่าเรื่องการเดินทางในจูริสให้ฉันฟังหมดแล้ว… แต่ยิ่งฟังก็ยิ่งไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงไม่พาซาลารัสมาที่นี่เป็นอันดับแรก… ความจริงคือไม่คิดจะพามาเลยด้วยซ้ำถ้าไม่ผ่านมาทางนี้… มันเพราะอะไรกัน?”
คำถามนี้ไม่ถึงกับเหนือกว่าที่แซนโดรคาดเอาไว้เท่าไหร่ เธอไม่คิดจะบอกเรื่องที่ตั้งใจจะให้ซาลเป็นผู้สร้างหายนะอยู่แล้ว ซึ่งเรื่องนี้ก็ได้กำชับกับซาลเอาไว้แล้ว เพราะมีแต่จะทำให้พวกพี่ ๆ เป็นกังวลมากกว่า เธอจึงเตรียมคำตอบสำหรับเรื่องนี้เอาไว้แล้ว
“…นั่นเพราะทีแรกฉันตั้งใจจะให้เขาอยู่ที่จูริสและฝึกสอนวิชาต่าง ๆ ให้กับเขาด้วยตัวเองน่ะ อาจเป็นการตัดสินใจโดยพลการไปสักหน่อย ต้องขอโทษด้วยนะ…”
เซอร์เก้มองดูแซนโดรด้วยสายตาเคลือบแคลงเหมือนจะยังไม่ปักใจเชื่อ ก่อนจะเอ่ยคำพูดอีกครั้ง
“คำพูดของฉันอาจจะฟังดูเห็นแก่ตัวไปหน่อย… แต่ทำไมเธอถึงไม่ออกตามหาลาซ (ลาซารัส) ต่อล่ะ? ทำไมถึงหยุดการค้นหาเมื่อได้ตัวซาลมา… ทั้ง ๆ ที่ควรจะเอาตัวเขามาส่งไว้กับพวกเรา แล้วออกตามหาคนน้องต่อมากกว่า”
“…นั่นเพราะตอนที่ชิงตัวซาลารัสมา ฉันทำเรื่องเอิกเกริกมากไปหน่อย …ขนาดตอนที่พวกนั้นไม่ระวังตัวก็ยังใช้เวลาตั้งสามปีกว่าจะรู้ว่าพวกมันเอาตัวเขาไปซ่อนไว้ที่ไหน …ตอนนี้เมื่อคนพี่ถูกชิงตัวมาแล้วพวกมันก็คงเคลื่อนย้ายคนน้องไปไว้ในที่ ๆ ลึกลับกว่านี้หลายเท่า …การค้นหาด้วยวิธีการเดิม ๆ คงยากที่จะสำเร็จได้…”
“เพราะแบบนั้นก็เลยปล่อยลาซเอาไว้ตามยถากรรมงั้นเหรอ?”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น แซนโดรก็เริ่มจะหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ยังพยายามควบคุมอารมณ์เอาไว้
“…เซอร์เก้ …ดูเหมือนนายจะเข้าใจอะไรผิดอยู่นะ …เรื่องที่พ่อของนายขอร้องเอาไว้ ฉันจะทำรึไม่ทำก็ได้ …ความจริงแค่ส่งตัวนายกับเซย์มาโดมินาเรียอย่างปลอดภัยก็ถือว่าฉันทำตามคำพูดแล้ว …อย่าได้ใจจนเกินไปนัก…”
แซนโดรตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงอันเย็นชาและแววตาที่ไม่เป็นมิตรนัก แต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมผ่อนคลายท่าทีลงเช่นกัน
“ใช่… ความจริงเธอไม่มีความจำเป็นต้องออกตามหาซาลกับลาซเลยแม้แต่น้อย แต่ก็ยังอุตส่าห์ทุ่มเทเวลาถึงสามปีเพื่อหาคนนึงจนพบ เป็นเรื่องที่น่าชื่นชมมาก… ถ้าคิดแบบนั้นจริง ๆ น่ะนะ…”
คำพูดนั้นทำให้แซนโดรต้องขมวดคิ้ว ทั้งเพราะความขุ่นเคืองและความข้องใจ
“…นายอยากจะพูดอะไรกันแน่?…”
เซอร์เก้หันมองไปทางซาลที่ยังนั่งคุยกับเซย์อยู่ในสวน ก่อนจะปรายตากลับมาพูดกับแซนโดรอีกครั้ง
“ถึงจะบอกว่าเคยติดค้างซารามอธก็เถอะ แต่โดยนิสัยของเธอ แค่ถูกไว้ชีวิตมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรขนาดนั้น ไหนจะเคยช่วยทำการ ‘เชื่อมวิญญาณ’ ให้ฉันกับเซย์ ก็ถือว่าเคยตอบแทนบุญคุณไปแล้ว การช่วยพาพวกเราหนีออกมาจากจูริสเมื่อสามปีก่อนถือว่าเป็นสิ่งที่พวกเราติดค้างเธอด้วยซ้ำ…
แต่นี่เธอยังอุตส่าห์ยอมทุ่มเวลาถึงสามปีตามหาซาลจนพบ แถมยังเสนอตัวรับหมอนั่นไปเลี้ยงด้วยตัวเองอีก หากเป็นคนอื่นฉันคงต้องบอกว่าเป็นการกระทำที่ประเสริฐเลยล่ะ แต่เราต่างก็รู้กันดีว่าเธอไม่ใช่คนดีขนาดนั้นหรอกใช่มั้ย?
ที่หยุดตามหาลาซไม่ใช่เพราะกลัวความยุ่งยาก… ถ้าคิดแบบนั้นจริงเธอคงไม่ออกตามหาซาลตั้งแต่แรก แต่ที่หยุดการค้นหาเพราะว่าได้หนึ่งในสองพี่น้องมาคนเดียวก็พอแล้ว ดังนั้นคำถามที่แท้จริงคือ เธอคิดจะใช้ซาลไปทำอะไรกันแน่?”
เซอร์เก้จ้องมองแซนโดรด้วยแววตาอันคมกริบพร้อมกับปล่อยจิตสังหารออกมาราวกับว่าพร้อมจะโจมตีได้ทุกเมื่อหากได้รับคำตอบที่ไม่น่าพอใจ
แม้แซนโดรจะไม่หวั่นไหวกับการคุกคามนั้น แต่เธอก็นิ่งเงียบไปเพราะคิดว่านี่เป็นสถานการณ์ที่รับมือได้ยากพอสมควร
หากบอกเรื่องที่คิดจะให้ซาลเป็นผู้สร้างหายนะออกไป เซอร์เก้อาจไม่เห็นด้วยที่จะให้น้องชายไปเสี่ยงอันตรายแบบนั้น ความจริงแค่ความคิดที่จะให้เป็นผู้สร้างหายนะแบบปลอม ๆ ก็น่าจะสะกิดแผลใจได้มากพอที่จะให้ทั้งสองคัดค้านอย่างหัวชนฝาได้แล้ว
แต่ถ้าไม่อธิบายเรื่องราวให้ชัดเจน เซอร์เก้ก็คงไม่ปล่อยให้เรื่องนี้จบลงง่าย ๆ กรณีที่แย่ที่สุดคือซาลอาจถูกรั้งตัวไว้ไม่ให้เดินทางต่อไป แบบนั้นแผนการทั้งหมดก็ต้องเป็นอันยกเลิกไปในทันที
เมื่อลองชั่งน้ำหนักดูแล้ว แซนโดรจึงคิดว่าควรพยายามหาทางอธิบายให้อีกฝ่ายยอมรับได้มากที่สุด และบอกความจริงกับเขาเท่าที่จะบอกได้ เพื่อที่จะได้ไม่เกิดปัญหาตามมา
“…ฉันมีแผนจะช่วยซารามอธออกมาจากนรก …รวมไปถึงกำลังหาทางโค่นล้มพีชคีปเปอร์ด้วย …และสายเลือดของซาลารัสคือตัวแปรสำคัญที่จะทำให้แผนการทุกอย่างดำเนินไปได้ …ฉันเลยอยากจะเลี้ยงดูเด็กคนนั้นให้พร้อมสำหรับเวลาที่กำลังจะมาถึง…”
หลังได้ยินคำอธิบายของแซนโดร เซอร์เก้ก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ
“ฟังดูดีนี่… แต่ฉันไม่เชื่อเรื่องนั้นเท่าไหร่ อีกอย่างคือมันไม่ใช่ความต้องการเร่งด่วนของเรา ตอนนี้ความสำคัญอันดับหนึ่งคือต้องหาตัวลาซกลับมาให้ได้ซะก่อน แล้วเรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง”
“…เรื่องนั้น ก็ต้องอาศัยซาลอยู่ดีนั่นแหละ…”
คำพูดนั้นทำให้เซอร์เก้ชะงักไปด้วยความสงสัย ก่อนจะเอ่ยถามอีกครั้ง
“หมายความว่าไง?”
“…อย่างที่บอกนั่นแหละ พวกพีชคีปเปอร์มีวิธีการทำงานที่ซับซ้อนมากในเรื่องนี้ …กว่าฉันจะหาตัวซาลารัสพบก็ใช้เวลาไปหลายปี …ตอนนี้พวกมันเพิ่มความระวังยิ่งขึ้นกว่าเดิมแล้ว การจะสืบหาจากภายนอกคงเป็นไปได้ยาก…
…แต่ฉันมีแผนที่จะให้ซาลารัสครอบครองอาติแฟคชิ้นหนึ่ง …มันเป็นอาติแฟคสำหรับผู้มีสายเลือดของชาวสวรรค์ …หากได้อาติแฟคชิ้นนี้มาละก็ เราจะมีไพ่ตายที่สามารถต่อกรกับพีชคีปเปอร์ได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ และการจะหาตัวของลาซารัสก็ไม่ใช่เรื่องยาก …ฉันขอรับปากว่าถึงตอนนั้นการหาตัวลาซารัสจะเป็นความสำคัญอันดับแรก ส่วนเรื่องอื่น ๆ เอาไว้ว่ากันทีหลังก็ได้…”
เซอร์เก้นิ่งเงียบไปอีกครั้งหนึ่งเพราะสิ่งที่แซนโดรพูดมามีเรื่องให้ต้องขบคิดมากมาย
หลังจากพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งแล้วเขาจึงถามกลับไปอีกครั้ง
“ที่พูดมาไม่เห็นมีความจำเป็นที่จะต้องพาซาลไปด้วยเลยนี่นา และถ้าอาติแฟคนั่นทรงพลังอย่างที่ว่าจริงเธอก็ไม่จำเป็นต้องอาศัยคนอื่นแล้ว อยากจะทำอะไรก็ไปทำซะ และให้ซาลอยู่กับเราที่นี่แหละ”
“…เรื่องนั้นคงจะไม่ได้หรอก …เพราะในหลาย ๆ ขั้นตอนเราต้องอาศัยผู้มีสายเลือดของชาวสวรรค์ อาติแฟคชิ้นนั้นก็เช่นกัน ถ้าไม่ใช่ผู้ที่มีสายเลือดของชาวสวรรค์ก็ไม่สามารถใช้งานได้ ดังนั้นเขาจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้แผนการนี้ดำเนินไปได้…”
เซอร์เก้จ้องมองแซนโดรด้วยแววตาที่ไม่สื่ออารมณ์ใด ๆ ของเขาอยู่อีกครู่หนึ่ง ราวกับต้องการจะค้นหาอะไรบางอย่างจากอีกฝ่าย แต่ในที่สุดเขาก็เอ่ยความในใจออกมา
“………น่าแปลกนะที่คนกระหายพลังอำนาจอย่างเธอ ยอมมอบอาติแฟคที่ทรงพลังขนาดนี้ให้กับคนอื่นได้ง่าย ๆ น่ะ”
“…ถ้าเป็นคนอื่นฉันก็คงไม่กล้าให้ครอบครองอาติแฟคชิ้นนี้เหมือนกัน …แต่นี่เพราะว่าเป็นซาลารัส …เจ้าเด็กนั่นน่ะมีอะไรบางอย่างที่ทำให้ไม่ถูกครอบงำด้วยความมืดหรือพลังอำนาจอยู่ …ฉันถึงวางใจให้เป็นผู้ครอบครองอาติแฟคชิ้นนี้ได้ …อีกอย่างคือเป้าหมายของฉันกับเจ้านั่นก็มีเส้นทางเดียวกันด้วย…”
“ยึดครองโลกเนี่ยน่ะเหรอ คือเป้าหมายที่เธอกับหมอนั่นมีเหมือนกันน่ะ?”
“…เป้าหมายของเจ้านั่นคือการนำครอบครัวทั้งหมดกลับมาอยู่ร่วมกัน …ทั้งพวกเธอพี่น้อง รวมไปถึงพ่อกับแม่ด้วย …แต่การจะนำทุกคนกลับมาอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขได้ การโค่นล้มพีชคีปเปอร์ที่เป็นศัตรูของตระกูลแฮลเซียนก็เป็นสิ่งจำเป็น …และนั่นก็คือจุดที่เป้าหมายของหมอนั่นซ้อนทับกับเป้าหมายของฉัน…”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เซอร์เก้ก็นิ่งเงียบไปอีกเป็นเวลานาน แต่ท่าทีของเขาก็ผ่อนคลายลงไปมาก จิตคุกคามที่แผ่มายังแซนโดรก็ลดน้อยลงไปด้วย
“สรุปว่าเธอคิดจะใช้ซาลเป็นเครื่องมือในการทำลายพีชคีปเปอร์สินะ?”
“…ถ้านายจะคิดแบบนั้นก็คงช่วยไม่ได้ …แต่ฉันไม่ได้ฝืนใจใคร …หากซาลารัสไม่ต้องการจะทำเรื่องพวกนี้และอยากอยู่ที่นี่กับพวกนายมากกว่า ฉันก็จะไม่ขัดขวางหรอกนะ เชิญคุยกับเขาได้ตามสบาย…”
พอได้ยินคำพูดของแซนโดร เซอร์เก้ก็นิ่งเงียบไปอีกครั้ง ไม่รู้ว่าเขากำลังพิจารณาคำพูดของเธออยู่ หรือไม่รู้จะตอบคำพูดเหล่านั้นอย่างไรดีกันแน่ แซนโดรจึงเป็นฝ่ายถามกลับบ้าง
“…ถ้าไม่มีเรื่องอะไรข้องใจแล้วละก็ ขอฉันถามเรื่องที่ชั้นอยากรู้บ้างก็แล้วกันนะ…”
“หืม?”
“…ออร่าสีดำที่ปกคลุมตัวนายอยู่น่ะ นายไปได้มันมาจากไหน?…”
——————————————————————————————————–
Part 2
ในตอนที่เซอร์เก้แผ่จิตคุกคามมายังแซนโดรนั้น รอบตัวของเขามีออร่าสีดำปะปนออกมากับจิตต่อสู้ด้วย
มันเป็นออร่าแห่งความมืดแบบเดียวกับที่พวกปิศาจมีกัน แต่มนุษย์ธรรมดาอย่างเซอร์เก้ไม่ควรจะมีได้เลย แซนโดรจึงรู้สึกข้องใจมาก
“หึหึ… มองเห็นด้วยเหรอเนี่ย… แต่ก็สมกับเป็นเธอแหละนะ”
เซอร์เก้หัวเราะในลำคอพลางยิ้มเล็กน้อย โดยที่ยังไม่ได้ตอบคำถามของแซนโดร
“…ไม่ใช่แค่ออร่านั่นเท่านั้น …แต่ดูเหมือนวิญญาณของนายจะอ่อนแอลง แถมร่างกายก็ไม่สมบูรณ์ด้วย …นี่นายไปต้องคำสาปมารึไง?…”
แซนโดรพูดพลางเอามือลูบคลำไปตามตัวของเซอร์เก้ ซึ่งเธอก็สัมผัสได้ทันทีว่าร่างกายของเขาซูบผอมจนผิดปกติ ราวกับเป็นคนที่ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ แถมพอสังเกตดูดี ๆ แล้วจะเห็นว่าเขาใช้เครื่องสำอางปกปิดรอยคล้ำใต้ตาเอาไว้ด้วย
“คำสาปงั้นเหรอ… เรียกแบบนั้นก็อาจได้ล่ะมั้ง…”
ระหว่างที่คุยกันอยู่ก็มีออร่าสีดำสนิทแผ่ออกมาจากร่างของเซอร์เก้ แล้วค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่างคล้าย ๆ กับเงาคนลอยอยู่เหนือไหล่ของเขา
มันเป็นเปลวไฟสีดำที่มีรูปร่างคล้ายกับเซอร์เก้ และเป็นเจ้าของเสียงอันน่าขนลุกนั้น
แม้แต่แซนโดรที่ปกติจะวางท่าทีเยือกเย็นโดยตลอด เมื่อได้เห็นสิ่งนี้ก็ต้องอยู่ในอาการตกตะลึงไปเช่นกัน
“…รูปลักษณ์แบบนั้น! …’ผู้นำสาสน์แห่งความมืด’ (Dark Messenger) เหรอ!?…”
แซนโดรตั้งท่าเตรียมพร้อมและรวบรวมพลังเวทเพื่อเตรียมที่จะต่อสู้ แต่ทันใดนั้นเซอร์เก้ก็ยกมือขึ้นมาคว้าที่ศีรษะของเงาซึ่งอยู่เหนือไหล่ของเขาแล้วบีบฝ่ามือเพียงเล็กน้อย เงานั้นก็สลายตัวแล้วค่อย ๆ หดกลับเข้าไปในร่างของเขาอีกครั้ง
แม้เงานั้นจะหายไปแล้ว แต่แซนโดรกลับทวีความสงสัยมายิ่งขึ้น
“…ผู้นำสาสน์แห่งความมืด เป็นเจตภูตที่จะสิงอยู่ใน ‘คัมภีร์แห่งความมืด’ เท่านั้นไม่ใช่เหรอ!? ทำไมมันถึงมาอยู่ในตัวนายได้ล่ะ!?…”
เซอร์เก้ไม่ได้ตอบคำถามของแซนโดรในทันที เขาหันมองไปทางเซย์ที่ยังคงนั่งคุยกับซาลอยู่ในสวน เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง พลางตอบกลับมา
“ตอนที่ฉันกับเซย์มาถึงโดมินาเรียใหม่ ๆ น่ะเราได้พบกับอุปสรรคมากมายกว่าจะมาถึงอลาเรียได้… ทั้งพวกสมาคมใต้ดินในอินิสตร้าที่พยายามจะจับเซย์ไปขาย… พวกโจรป่าที่รายล้อมเขตชายแดนอยู่… แต่ที่น่าประทับใจที่สุดก็คือมีพวก ‘เลซเซอร์อีวิล’ (Lesser Evil) ตามเรามาจากจูริสด้วย”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น แซนโดรก็เลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“…พวกเลซเซอร์อีวิล …ปิศาจระดับรองที่เกิดจากวิญญาณมนุษย์ …เป้าหมายของมันคือพวกเธองั้นเหรอ? …รึว่าหนึ่งในพวกเธอมีคนที่มีคุณสมบัติในการเป็น ‘โฮสท์’ เพื่อเปิดประตูนรกด้วย?…”
“เรื่องนั้นก็ไม่รู้นะ แต่รู้สึกว่าพวกมันจะสนใจฐานะของเรามากกว่า เพราะเราเป็นทายาทของผู้สร้างหายนะคนที่สี่ แม้จะไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของซารามอธ แต่แค่ชื่อของตระกูลและบรรดาคนที่ฉันรู้จักระหว่างติดตามหมอนั่นไปทำภารกิจก็นับว่าเป็นคุณสมบัติที่น่าสนใจอยู่
เลซเซอร์อีวิลตนนั้นเป็นผู้นำสาสน์แห่งความมืดชื่อว่า ‘เนธ’ (Neth) มันมายื่นข้อเสนอให้ฉันเป็นผู้สร้างหายนะคนที่ห้า เพื่อแก้แค้นให้กับซารามอธ แต่พอฉันปฏิเสธ หมอนั่นก็เลยพยายามใช้ ‘คัมภีร์แห่งความมืด’ ครอบงำฉันแทน”
‘คัมภีร์แห่งความมืด’ (Tome of Darkness) คือหนังสือที่บันทึกความชั่วร้ายทั้งหมดของมนุษย์นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเอาไว้สารพัดชนิด ไม่ว่าจะเป็นการฆ่าฟัน การข่มขืน และการทรมานผู้คนทั้งเป็นในรูปแบบต่าง ๆ
หาก ‘อีเธอนัลดรีม’ ของพวกมังกรคือความฝันที่คละเคล้าไปด้วยเรื่องราวต่าง ๆ ของโลกทั้งดีและร้าย ‘คัมภีร์แห่งความมืด’ ก็เปรียบเสมือนฝันร้ายที่รวบรวมเอาแต่แง่ลบของมนุษย์เอาไว้เท่านั้น
แม้แต่เผ่ามังกร หากได้สัมผัสกับประสบการณ์อันเลวร้ายใน ‘อีเธอนัลดรีม’ มากเกินไปก็อาจเสียสติจนคลุ้มคลั่งได้ พวกมังกรที่รอดออกมาก็มักจะเกลียดชังและดูแคลนมนุษย์เพราะได้เห็นสิ่งเลวร้ายที่มนุษย์เคยทำจนเสื่อมศรัทธาในตัวมนุษย์ไป
ดังนั้นสำหรับ ‘คัมภีร์แห่งความมืด’ ที่รวบรวมเฉพาะแง่ร้ายของมนุษย์เอาไว้แล้ว ผู้ที่ได้สัมผัสกับมัน หากเสียสติหรือกลายเป็นผู้ที่เกลียดชังมนุษย์ไปก็ไม่น่าแปลกใจเลย
นี่เป็นอีกวิธีที่พวกเลซเซอร์อีวิลใช้ในการเผยแพร่ลัทธิและเปลี่ยนผู้คนให้หันสู่ด้านมืด แต่คนส่วนใหญ่มักจะเสียสติไปเพราะได้เห็นภาพความโหดร้ายที่มนุษย์กระทำกับมนุษย์ด้วยกันจากหนังสือเล่มนั้น มันจึงไม่ถือว่าเป็นเครื่องมือชักจูงที่มีประสิทธิภาพนัก
ด้วยเหตุนี้แซนโดรจึงแปลกใจมากที่เซอร์เก้ยังดูมีสติครบสมบูรณ์อยู่
“…นี่นายได้เห็น ‘คัมภีร์แห่งความมืด’ แล้วยังครองสติอยู่ได้งั้นเหรอ?…”
“ภาพเหล่านั้นมันก็เป็นความเลวร้ายที่สุดจะจินตนาการได้จริง ๆ แหละนะ แต่ฉันคิดว่านั่นมันไม่ใช่ธรรมชาติที่แท้จริงของมนุษย์หรอก… เมื่อได้เห็นสิ่งเหล่านั้นแล้วทำให้ฉันคิดว่าความสงบสุขของโลกนี้ยิ่งควรค่าต่อการปกป้องมากกว่า… ไม่ใช่ว่าควรไปทำลายหรือทำให้โลกกลายเป็นแบบนั้นอีกครั้ง”
แม้จะพูดแบบนั้น แต่การจะครองสติเอาไว้ท่ามกลางกระแสความคิดและความทรงจำอันคลุ้มคลั่งของคัมภีร์แห่งความมืดก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ แซนโดรจึงยังคงรู้สึกทึ่งไม่หาย
“…ว่าแต่ทำไมตัวเจตภูติของหนังสือถึงมาสิงที่ตัวนายได้ล่ะ?…”
“เพราะเจ้าหมอนั่นไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ไงล่ะ”
“…หา?…”
“เพราะแม้จะถ่ายทอดภาพความเลวร้ายทั้งหมดของมนุษย์ให้ฉันได้เห็นแล้ว ก็ยังเปลี่ยนความคิดของฉันไม่ได้ เจ้านั่นก็เลยสลัดตัวเองออกจากหนังสือ แล้วมาสิงที่ร่างของฉันแทน เพื่อคอยทำให้ฉันได้เห็นภาพความโหดร้ายพวกนั้นตลอดเวลา ด้วยความหวังที่ว่าจะทำให้ฉันสูญเสียศรัทธาต่อมนุษย์ได้สักวันหนึ่ง”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของแซนโดรก็ถึงกับแปรเปลี่ยนไป
“…แปลว่าแม้แต่ตอนนี้นายก็…”
“ใช่… ฉันยังเห็นภาพเหล่านั้นอยู่ตลอดเวลาเลย ไม่ว่าจะไปไหนหรือทำอะไร ก็จะได้เห็นผู้คนที่เจ็บปวดทรมานกับการกระทำอันโหดร้ายของมนุษย์ด้วยกันเองปรากฏอยู่รอบตัว เวลากินข้าวก็เห็นเป็นชิ้นส่วนมนุษย์อยู่ในจานอาหารด้วย ความอยากอาหารก็เลยลดลงฮวบเลย เวลาหลับก็ได้เห็นภาพเหล่านั้นชัดเจนขึ้นอีกในความฝัน ทำให้นอนได้ไม่เต็มอิ่มสักเท่าไหร่…”
คำพูดของเซอร์เก้ทำให้แซนโดรยิ่งรู้สึกกังวลมากขึ้น และคิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่จะปล่อยผ่านไปเฉย ๆ ได้
“…นี่มันเป็นปัญหาใหญ่นะ …นายจะทนกับสภาพแบบนี้ไปได้อีกนานเท่าไหร่กัน? เราต้องรีบหาทางแก้ไขเรื่องนี้ซะ…”
“ไม่หรอก นี่ยังไม่ใช่ปัญหาเร่งด่วนอะไร ถ้าฉันจะเป็นบ้าหรือถูกครอบงำก็คงเป็นไปนานแล้ว ไม่ต้องห่วงหรอก… สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือความปลอดภัยของซาล และต้องรีบหาลาซให้พบด้วย เธอมุ่งเน้นไปที่สองอย่างนี้ก็พอ ส่วนเรื่องนี้มันเป็นปัญหาของฉัน ฉันจะหาทางจัดการเอง…”
แม้แซนโดรจะรู้สึกกังวล และดูจากสภาพร่างกายแล้วยิ่งไม่แน่ใจว่าเซอร์เก้จะทนรับสภาพนี้ไปได้อีกนานเท่าไหร่ แต่ก็ต้องยอมรับว่าสภาพจิตใจของเขายังอยู่ในขั้นที่ดีมาก เมื่อเทียบกับสิ่งที่กำลังประสบอยู่
เซอร์เก้กำชับแซนโดรไม่ให้บอกเรื่องนี้กับคนอื่น ๆ เพราะแม้แต่เซย์ก็ยังไม่รู้เรื่องนี้เลย เนื่องจากเขาไม่อยากให้ใครต้องมาเป็นห่วงหรือเข้ามาพัวพันกับเรื่องนี้ และยืนกรานที่จะจัดการกับปัญหานี้ด้วยตัวเอง แซนโดรจึงได้แต่รับคำด้วยความกังวล