Doombringer the 5th - ตอนที่ 74
Ch.74 – ขอบฟ้าแห่งลิลลี่
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 74
ขอบฟ้าแห่งลิลลี่
Part 1
ที่เนินเขาซึ่งอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุทั้งสองแห่งไปไม่ไกลนัก
แซนโดรกับลานาเทลกำลังเฝ้าดูการสังหารหมู่ผ่านทางจอภาพที่ส่งภาพมาจากสมุนสอดแนม
เพราะอัลติม่าที่ไปแอบดูซาลกับเซย์ (อีกแล้ว) เห็นเซอร์เก้แอบออกมาจากคฤหาสน์โดยบังเอิญ ส่วนเซย์ก็ตามออกไปในเวลาไล่เลี่ยกัน อัลติม่าที่รู้สึกผิดสังเกตจึงกลับมาบอกเรื่องนี้กับแซนโดร
เมื่อได้รับทราบเรื่องนี้แซนโดรเองก็รู้สึกสงสัยเช่นกันจึงตามออกมาดู โดยให้คนอื่น ๆ เฝ้าคฤหาสน์ไว้ แต่ลานาเทลก็ยังตามมา ซึ่งแซนโดรก็ไม่ได้มีท่าทีขัดข้องอะไร
ด้วยสมุนสอดแนมที่ส่งนำมาก่อน ทำให้แซนโดรกับลานาเทลเห็นเหตุการณ์ฝั่งเซอร์เก้หมดทุกขั้นตอน และเมื่อเห็นพวกเลซเซอร์อีวิลหนีออกมา ทั้งสองคนจึงตัดสินใจตามพวกนั้นไป
แซนโดรให้สมุนสอดแนมล่วงหน้าไปก่อนก่อนเช่นเคย ซึ่งเมื่อตามขึ้นมาถึงบนยอดหน้าผา ก็ได้พบการต่อสู้ของเซย์กับเลซเซอร์อีวิลสี่คน โดยมีทะเลเลือดกับซากศพที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วบริเวณเป็นฉากหลัง
สิ่งที่ทำให้แซนโดรแปลกใจยิ่งขึ้นไปอีกก็คือมันเป็นการต่อสู้แบบสี่ต่อสี่ เพราะที่นั่นมีเซย์อยู่ถึงสี่คนด้วยกัน
ทีแรกแซนโดรคิดว่ามันเป็นแค่ร่างลวงตา แต่ดูจากการเคลื่อนไหวของทุกร่างที่มีความแตกต่างกันและสร้างบาดแผลให้กับเหล่าเลซเซอร์อีวิลได้จริง ๆ แปลว่ามันเป็นวิชาแยกร่าง (Mirror Image) ที่ใช้สร้างร่างจำลองขึ้นมาต่อสู้
ท่านี้เป็นท่าระดับสูงของคลาสนินจา มีผลคล้าย ๆ กับการอัญเชิญร่างเสมือนของตัวเองออกมาช่วยสู้ แต่ปกติแล้วร่างจำลองจะมีพลังไม่เกินครึ่งหนึ่งของร่างจริง และเพราะมันเป็นร่างแยกประสิทธิภาพสูงซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อใช้ในการต่อสู้ ไม่ใช่ร่างเงาที่สร้างขึ้นมาเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ จึงเป็นท่าที่กินพลังงานมาก คนส่วนใหญ่จึงใช้งานพร้อมกันได้เพียง 1-2 ร่างเท่านั้น แต่เซย์กลับใช้งานได้ถึง 3 ร่างพร้อมกัน
ที่เหนือกว่านั้นคือทุก ๆ ร่างต่างก็รุกไล่พวกเลซเซอร์อีวิลที่ควรจะมีพลังระดับ S ได้อย่างสบาย ทำให้แซนโดรยิ่งข้องใจว่าพี่สาวของซาลคนนี้มีพลังในระดับไหนกันแน่
ลานาเทลที่เห็นการต่อสู้ของทั้งสองพี่น้องมีระดับที่สูงมาก จึงอดชื่นชมออกมาไม่ได้
“สมกับเป็นลูกของซารามอธจริง ๆ ถึงจะเป็นแค่ลูกบุญธรรมก็เถอะ แต่ก็ไม่ทำให้เสียชื่อเลย…”
“…สำหรับเซอเจรัส.. เซอร์เก้น่ะ เป็นคนที่ติดตามซารามอธไปทำภารกิจมาตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจอะไร …แต่เซย์น่ะสิ …ซารามอธไม่เคยให้แม่นั่นฝึกการต่อสู้นี่นา …เท่าที่รู้มา ตอนนี้ก็กำลังเรียนวิทยาลัยแพทย์สายวิทย์อยู่ …ไม่ได้เรียนการต่อสู้ซะหน่อย…”
ลานาเทลไม่มีท่าทีตอบสนองต่อคำพูดของแซนโดร ทำให้เธอรู้ว่าทีแรกนั้นอีกฝ่ายแค่พูดกับตัวเอง ไม่ได้พูดกับเธอ ทำให้รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมานิดหน่อย แต่ก็เข้าใจว่าลานาเทลคงจะยังไม่หายโกรธ
พวกเลซเซอร์อีวิลพยายามต่อสู้อย่างสุดกำลังแต่ก็ถูกยมทูตขาวเชือดทิ้งไปทีละคน จนในที่สุดก็มีเพียงเนธเพียงคนเดียวที่หนีรอดไปได้
เมื่อเห็นว่าทุกอย่างจบลงแล้ว ลานาเทลก็แปลงสภาพผ้าคลุมให้กลายเป็นปีกแล้วลอยตัวขึ้นเพื่อเตรียมบินกลับไปยังคฤหาสน์
แต่ขณะที่เธอกำลังจะทะยานขึ้นไปบนฟ้านั้นเอง แซนโดรก็เอามือคว้าข้อเท้าข้างหนึ่งของเธอเอาไว้ ทำให้ลานาเทลเสียหลักจนเกือบจะหน้าคว่ำลงมาบนพื้น แต่เธอก็ยังพอจะเอาเท้าอีกข้างช่วยเขย่งพยุงตัวไว้ได้ ทำให้เธอแค่ค่อย ๆ เซถลาไปนั่งทรุดลงกับพื้นแทน
เพราะถูกแกล้งกันตรง ๆ แบบนี้ เธอจึงหันขวับกลับมาจ้องมองแซนโดรด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยโทสะ
“ทำอะไรน่ะคะคุณแซนโดร!?”
“…เธอจะทำแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่? …มันน่ารำคาญนะ…”
เมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย ลานาเทลก็มีสีหน้าหงุดหงิดมากขึ้นอีก แต่ก็พยายามสงบสติอารมณ์ไว้และลุกขึ้นยืนพลางปัดเศษใบไม้ที่ติดอยู่ออกจากกระโปรง ก่อนจะพูดกับแซนโดรด้วยน้ำเสียงอันเย็นชา
“ยังกล้ามาว่าคนอื่นอีกเหรอคะ? ตัวเองบอกคนอื่นว่าอย่ามายุ่งเองแท้ ๆ ใครจะไปรู้ได้ล่ะว่าเรื่องไหนอยากให้ยุ่ง เรื่องไหนไม่อยากให้ยุ่งกันแน่”
แซนโดรนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจออกมาและพูดกับลานาเทลด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบาโดยหลบสายตาไปทางอื่น
“…ฉันผิดเอง…”
ลานาเทลแสดงสีหน้าประหลาดใจอออกมาเพราะแทบไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน ความจริงเธอเกือบจะหลุดยิ้มออกมาแล้ว เพราะรู้สึกพึงใจที่ทำให้แซนโดรยอมอ่อนข้อได้ แต่ก็พยายามเก็บอาการไว้และถามย้ำเพื่อฟังให้ชัด ๆ
“เมื่อกี้… ว่ายังไงนะคะ?”
“…เรื่องที่อินิสตร้าเพราะฉันวู่วามเกินไปทำให้เธอกับซาลารัสอยู่ในอันตราย …ทั้งหมดเป็นความผิดของฉันเอง…”
ในที่สุดลานาเทลก็ยิ้มออกมา เพราะนั่นเป็นสิ่งที่เธอรอฟังจากแซนโดรมานานแล้ว
ความจริงลานาเทลให้สาวใช้สืบเรื่องของไทวไลท์เมอริเดียนมาแล้วจึงพอจะเดาได้ว่าแซนโดรมีความแค้นอะไรกับพีชคีเปอร์ แต่เพราะอีกฝ่ายไม่ยอมพูดออกมาแถมยังไม่ยอมรับผิดกับเรื่องที่ทำลงไป ลานาเทลจึงไม่รู้จะวางตัวอย่างไรดี
เมื่อแซนโดรยอมรับผิด เธอจึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมาก แต่เธอก็ยังอยากจะให้แซนโดรเปิดอกเล่าเรื่องทั้งหมดให้เธอฟังด้วย
“ถ้าคุณแซนโดรเข้าใจก็ดีแล้วค่ะ ว่าแต่… พอจะอธิบายเหตุผลของเรื่องทั้งหมดให้ฉันฟังได้รึยังคะ?”
“…ฉันไม่อยากพูดถึงเรื่องนั้น…”
“งั้นเหรอคะ…”
ลานาเทลรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยที่แซนโดรยังไม่ยอมเปิดใจ แต่หรับคนอย่างแซนโดร แค่การยอมรับผิดในเรื่องนี้ก็ถือเป็นก้าวที่สำคัญแล้ว เธอถือว่านี่เป็นการเริ่มต้นที่ดี
เมื่อทั้งสองคนคุยกันเสร็จ แซนโดรก็เตรียมจะปิดจอภาพสอดแนมเพื่อกลับไปยังคฤหาสน์ แต่ทันใดนั้นภาพบนหน้าจอก็ถูกหันเปลี่ยนทิศไปอย่างรวดเร็ว เหมือนกับมีคนกระชากคอสมุนสอดแนมให้หันไปอีกทางหนึ่งอย่างกะทันหัน
ทันใดนั้นก็ปรากฏภาพของเซย์ในผ้าคลุมศีรษะสีขาวขึ้นมาบนหน้าจอ ทำให้ทั้งแซนโดรและลานาเทลต้องรู้สึกแปลกใจ
เซย์ยิ้มละไมออกมาด้วยสีหน้าที่สดชื่นแจ่มใสเหมือนกับเวลาปกติ ก่อนที่เธอจะเอ่ยคำพูดผ่านมาทางสมุนสอดแนม
“ใช้ ‘เชด’ (Shade) มาสอดแนมแบบนี้ คงจะเป็นคุณแซนโดรสินะคะ? ถ้าเห็นแล้วก็คงช่วยไม่ได้ แต่ยังไงก็ช่วยปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ อย่าเอาไปบอกเซอร์เก้กับซาลนะคะ ไม่งั้นละก็…”
พอพูดจบ เซย์ก็ผลักสมุนของแซนโดรออก ก่อนจะตวัดเคียวเข้าใส่ ทำให้สัญญาณภาพจากสมุนสอดแนมขาดหายไปในทันที แซนโดรกับลานาเทลจึงได้แต่จ้องมองจอภาพที่มืดสนิทนั้นอย่างเงียบงันไปพักหนึ่ง
“…เมื่อก่อนก็เป็นเด็กที่น่ารักกว่านี้แท้ ๆ เลยน้า… แต่ที่น่าสงสัยคือไปแอบฝึกมาตอนไหนมากกว่า…”
“หรือเพราะการเชื่อมวิญญาณทำให้ได้รับการถ่ายทอดพลังฝีมือมาจากเซอร์เก้คะ?”
“…การเชื่อมวิญญาณไม่ได้ให้ผลแบบนั้นหรอกนะ …อีกอย่างถึงวิชาที่แม่นั่นใช้จะเป็นวิชาของพวกนินจาเหมือนกัน แต่ก็ต่างแขนงกันอย่างชัดเจน …เหมือนฝึกมาจากคนละสำนักน่ะ…”
“อืม~ แปลกดีเหมือนกันนะคะเนี่ย”
เพราะคิดไปก็คงไม่ได้คำตอบ แซนโดรจึงตัดบทและพาลานาเทลเดินทางกลับไปยังคฤหาสน์ในทันที และค่ำคืนอันยาวนานของอลาเรียก็ได้สิ้นสุดลง
——————————————————————————————————–
Part 2
เช้าวันต่อมา หลังจากรับประทานอาหารเช้าร่วมกันเสร็จแล้ว ทุกคนก็มารวมกันที่หน้าคฤหาสน์เพื่อเตรียมขึ้นรถม้าออกเดินทาง
แซนโดรกับลานาเทลไม่ได้เล่าเรื่องของเซย์ให้ใครฟัง ตามที่เจ้าตัวขอไว้ ซึ่งเจ้าตัวก็มาส่งทุกคนด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเช่นกัน ทำให้ลานาเทลอมยิ้มพลางคิดว่าพี่สาวของซาลคนนี้เป็นผู้หญิงที่น่าสนใจกว่าที่คิดไว้ในทีแรกมาก
ในระหว่างที่ทุกคนกำลังรวมตัวกันที่หน้าคฤหาสน์ แซนโดรที่ลงมาจากห้องเป็นคนสุดท้ายก็พบกับเซอร์เก้ที่ดักรออยู่ด้านล่างของบันได เขาเอ่ยคำถามขึ้นทันทีที่เธอเดินมาถึง
“เมื่อคืนนี้เธอแอบตามฉันไปสินะ?”
“…ก็แค่เป็นห่วงนิดหน่อยน่ะ …เห็นว่าร่างกายนายไม่ค่อยสมบูรณ์ …แต่ดูเหมือนฉันจะกังวลมากเกินไปเองสินะ…”
“……การเดินทางออกจากเมืองไม่น่าจะมีอุปสรรคอะไรแล้ว แต่ยังไงก็ระวังตัวเอาไว้บ้างดีกว่า ฉันไม่รู้ว่าจะมีพวกเลซเซอร์อีวิลจากที่อื่นมาสมทบหรือดักซุ่มอีกรึเปล่า”
“…ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก …พวกเราดูแลตัวเองได้…”
“ฉันเป็นห่วงซาลต่างหาก”
เพราะสายตาที่ดูเย็นชานั้นอาจทำให้คิดว่าเซอร์เก้ปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย แต่แซนโดรก็เข้าใจว่าส่วนนึงอาจเป็นผลจากการทรมานกับคำสาปด้วยทำให้สีหน้าของเขาเป็นแบบนี้ตลอดเวลา จึงไม่ได้ถือสาอะไร
“…ถ้ายังไง ฉันจะลองหาทางแก้ไขเรื่อง ‘ผู้นำสาสน์แห่งความมืด’ ดูนะ ได้เรื่องยังไงแล้วจะแจ้งข่าวมาอีกที…”
“ไม่ต้องหรอก อย่างที่บอกนั่นแหละ นี่เป็นปัญหาของฉัน ฉันจะหาทางจัดการเอง”
“…งั้นเหรอ …ถ้างั้นก็ตามใจนะ…”
แม้จะพูดเช่นนั้น แต่แซนโดรก็ยังไม่เปลี่ยนความคิดที่จะหาทางจัดการกับเรื่องนี้ เธอแค่ไม่อยากเสียเวลาโต้เถียงกับเขาอีก จึงตัดบทไปแค่นั้น ก่อนจะเดินตรงไปยังทางออกของคฤหาสน์เพื่อสมทบกับทุกคน
แต่เดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว เซอร์เก้ก็ทักเอาไว้ซะก่อน ทำให้เธอต้องหันกลับมา
“เดี๋ยวก่อน…”
“…หืม?…”
“ถ้าอยากจะช่วยจริง ๆ ละก็… ฉันอยากให้เธอหาคน ๆ นึงให้หน่อย”
“…คน ๆ นึงเหรอ?…”
แซนโดรรู้สึกแปลกใจที่อีกฝ่ายเอ่ยปากขอให้ช่วยตรง ๆ ทั้งที่ปกติเจ้าตัวจะหลีกเลี่ยงเพราะไม่อยากติดค้างเธอเพิ่มอีก แปลว่านี่ต้องเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับเขามาก
“ฉันอยากให้เธอช่วยหาเบาะแสของ ‘เดอะทิงเคอร์’ ให้หน่อย”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น แซนโดรก็รู้ถึงเจตนาของอีกฝ่ายทันที
“…คิดจะตามเอาวิญญาณของเซย์กลับมางั้นเหรอ?…”
“ต้องแชร์วิญญาณกันอยู่แบบนี้มันไม่สะดวกหลาย ๆ อย่างน่ะ… ถ้าฉันเป็นอะไรไป เซย์ก็จะตายด้วย เพราะต้นกำเนิดวิญญาณก็คือฉัน ฉันเลยอยากหาวิญญาณของเธอกลับมาให้ได้เร็วที่สุด จะได้ทำอะไรตามใจชอบได้มากขึ้นหน่อย”
“…นี่ขนาดต้องระวังแล้วก็ยังไปบุกเดี่ยวลุยกับพวกเลซเซอร์อีวิลน่ะนะ?…”
“ถ้าเห็นท่าไม่ดีขึ้นมา ฉันก็จะหนีทันที ไม่มีใครตามฝีเท้าของฉันทันหรอก วางใจได้ ฉันทำแบบนี้ออกบ่อยไป”
แซนโดรมองดูเซอร์เก้ด้วยสายตาที่เคลือบแคลงอยู่แวบหนึ่ง เพราะเธอเริ่มไม่แน่ใจว่าเขาเป็นห่วงเซย์จริง ๆ รึเปล่า ถึงได้เอาตัวไปเสี่ยงบ่อย ๆ แบบนั้น แต่นั่นอาจเป็นเพราะความมั่นใจในฝีมือด้วยก็ได้ ซึ่งเธอก็ยอมรับในจุดนั้น
“…ชั้นจะลองหาข้อมูลดูก็แล้วกัน …ได้เรื่องยังไงแล้วจะส่งข่าวมา…”
“ขอบคุณมากนะ”
ถึงจะอ้างเหตุผลอื่น ๆ มาประกอบ แต่แซนโดรก็มองออกว่าสิ่งที่เซอร์เก้ให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกก็ยังคงเป็นเรื่องของน้อง ๆ ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง เธอจึงรู้สึกโล่งใจที่ลึก ๆ แล้วชายหนุ่มคนนี้ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนสักเท่าไหร่นัก
หลังจากพูดคุยกันเสร็จแล้ว แซนโดรกับเซอร์เก้ก็เดินออกมาทางประตูหน้าของคฤหาสน์ ซึ่งทุกคนได้ขึ้นไปนั่งรอบนรถหมดแล้ว มีเพียงซาลเท่านั้นที่ยังยืนอยู่ด้านล่าง เพราะยังร่ำลากับพี่สาวไม่เสร็จ
“รักษาตัวด้วยนะซาล”
“อื้ม เซย์ก็รักษาตัวด้วยนะ”
ซาลบอกลาพี่สาวด้วยสีหน้าแจ่มใสไร้กังวล ผิดกับอีกฝ่ายที่มีน้ำตาคลอเบ้าแถมรอยยิ้มยังดูฝืน ๆ ด้วย
พอร่ำลากันเสร็จ เขากับแซนโดรก็ขึ้นไปบนรถม้า แล้วรถม้าก็เริ่มเคลื่อนตัวเพื่อออกเดินทาง
ซาลยังคงเกาะขอบหน้าต่างด้านหลังของรถม้าเพื่อโบกมือให้กับพี่สาวที่ยืนส่งเขาอยู่ โดยเซย์ก็โบกมือตอบมาเช่นกัน ทั้งสองคนต่างก็โบกมือให้แก่กันอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด จนกระทั่งอีกฝ่ายลับสายตาไป
——————————————————————————————————–
Part 3
เมื่อรถม้าแล่นห่างออกมาจากเขตเมืองมาได้สักพัก ซาลก็นำลูกแก้วหนึ่งลูกออกมาจากชายเสื้อ ก่อนจะสร้างประตูมิติคล้าย ๆ กับประตูดันเจียนขึ้นมาบนอากาศ ทำให้ทุกคนรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
ครู่ต่อมาวาเคียกับอัลดูอินในขนาดปกติก็ปรากฏตัวออกมากประตูมิตินั้น ทำให้ทุกคนเข้าใจว่านั่นเป็นการอัญเชิญอีกแบบหนึ่ง แต่แซนโดรก็ยังรู้สึกสงสัยอยู่
อัลดูอินมีท่าทางกระปรี้กระเปร่าไม่ต่างไปจากปกติ ผิดกับวาเคียที่ดูจะหงอย ๆ ไปเล็กน้อย จนนิโคลผิดสังเกต
“เป็นอะไรไปจ๊ะวาเคีย? อยู่ในห้องมิตินานเกินไปจนไม่สบายตัวรึเปล่า?”
“ปะ.. เปล่าหรอกครับ บ้านที่คุณซาลารัสสร้างให้ก็อยู่สบายดีครับ ดีกว่าห้องมิติเมื่อก่อนนี้มากเลย”
“เอ๋? บ้านเหรอ?”
คำพูดของวาเคียทำให้ทุกคนหันมามองซาลสเป็นตาเดียวกัน ก่อนจะรู้สึกสะดุดตากับลูกแก้วที่อยู่บนมือของเขา
มันเป็นลูกแก้วพร้อมฐานตั้งขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือเล็กน้อย ภายในลูกแก้วมีแบบจำลองของบ้านสองชั้นพร้อมสนามหญ้าและต้นไม้อยู่ด้วย เหมือนกับเป็นของประดับที่หาได้ทั่วไป
“นี่คือบ้านที่ผมสร้างให้วาเคียกับอัลดูอินอยู่กันไงล่ะ ตอนนี้ขนาดอาจจะเล็กไปสักหน่อย แต่ในอนาคตว่าจะขยับขยายให้ใหญ่กว่านี้อะนะ”
“…นั่นคือ ดันเจียนมิติเหรอ?…”
แซนโดรที่ดูยังไม่ค่อยเข้าใจจึงเอ่ยถามขึ้น คนอื่น ๆ ก็มีท่าทางที่ยังสงสัยอยู่เช่นกัน ซาลจึงอธิบายต่อ
“ใช่แล้วล่ะ ผมสร้างดันเจียนมิติที่มีบ้านอยู่ภายในขึ้นมาน่ะ ได้ไอเดียมาจากคฤหาสน์ของแซนโดรไง เลยคิดว่าถ้าทำที่พักแบบนี้ไว้ให้วาเคียกับอัลดูอินได้อยู่แทนที่จะเป็นห้องมิติว่าง ๆ มันก็คงจะดีกว่า”
“…แต่การจะกำหนดจุดเชื่อมต่อกับดันเจียนมิติต้องมีพิกัดที่แน่นอนไม่ใช่เหรอ? …ทำไมถึงสร้างจุดเชื่อมต่อขณะที่เราอยู่บนรถที่กำลังเคลื่อนที่ได้ล่ะ?…”
“ตามตำรามันต้องเป็นแบบนั้นใช่มั้ยล่ะ? แต่พอมาคิด ๆ ดูแล้ว ทุกตำแหน่งบนโลกนี้มันก็ไม่ได้มีพิกัดที่แน่นอนทั้งนั้นเลยนี่นา”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น แซนโดรก็ขมวดคิ้วเพราะความข้องใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด
“…หมายความว่ายังไง?…”
“ก็… ถึงจะบอกว่าจุดใดจุดหนึ่งบนพื้นดินคือตำแหน่งที่แน่นอนเพราะมันไม่ขยับไปไหน แต่ความจริงโลกก็หมุนรอบตัวเองอยู่ตลอดเวลาพร้อมทั้งหมุนรอบดวงอาทิตย์ไปด้วย ดังนั้นถ้ามองจากมุมมองของจักรวาลแล้ว พื้นดินที่เราคิดว่าอยู่นิ่ง จริง ๆ แล้วมันก็ไม่ได้อยู่ที่เดิมตลอดนี่นา แปลว่าทฤษฎีที่ว่าจุดเชื่อมต่อกับดันเจียนมิติต้องมีพิกัดที่แน่นอนโดยยึดติดกับสถานที่น่ะ มันเป็นทฤษฎีที่ผิด”
แซนโดรแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาเมื่อได้ฟังคำอธิบายของซาล เพราะเธอเองก็ไม่เคยมองทฤษฎีนี้ในมุมมองแบบนี้มาก่อนเลย และเมื่อได้ยินเหตุผลของแล้วก็ยิ่งรู้สึกเห็นด้วยว่าทฤษฎีตามตำราที่มีมาเป็นทฤษฎีที่ยังไม่สมบูรณ์นัก
นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เธอทึ่งยิ่งขึ้นไปอีก เพราะทฤษฎีซึ่งวิจัยพัฒนามาโดยนักวิชาการหลายสิบรุ่น ผ่านช่วงเวลานับร้อย ๆ ปี ได้ถูกทำลายลงด้วยแนวคิดของเด็กตัวเล็ก ๆ เพียงคนเดียว
“…หมายความว่าเธอพบวิธีที่ทำให้เชื่อมต่อกับดันเจียนมิติจากที่ไหนก็ได้งั้นเหรอ?…”
“ก็เกือบๆแล้วล่ะ การสร้างประตูมิติในระหว่างเคลื่อนที่อยู่ให้เชื่อมต่อกับดันเจียนมิติอย่างมั่นคงน่ะทำได้ค่อนข้างยาก คงต้องพัฒนากันอีกนาน แต่ผมก็หาทางแก้อีกทางนึงขึ้นมาได้ ก็คือถ้าทำให้ดันเจียนเคลื่อนที่ไปกับเราด้วย การเชื่อมต่อจะทำได้ง่ายกว่า นั่นคือเหตุผลของการใช้ลูกแก้วนี้ไงล่ะ”
“…แบบนี้นี่เอง …สร้างดันเจียนมิติเอาไว้ในลูกแก้วแล้วพกไปด้วยแทนที่จะสร้างเก็บไว้ในมิติ …แบบนี้ตัวดันเจียนก็จะเคลื่อนที่ไปในอัตราเดียวกับพิกัดของประตู ประตูที่สร้างก็จะมีความเสถียรมากกว่า…”
“อื้ม ถูกต้องแล้วล่ะ แต่การคงสภาพดันเจียนไว้ในลูกแก้วนี่ก็ทำยากเหมือนกันนะ ความจริงผมกะจะสร้างคฤหาสน์หลังใหญ่ ๆ แต่บีบอัดเต็มที่แล้วก็ทำได้แค่บ้านสองชั้นนี่เอง”
“…ก็เป็นเรื่องปกติแหละ นี่น่ะเป็นวิทยาการที่ใกล้เคียงกับการสร้าง ‘เรล์ม’ เลยนะ …ยิ่งพยายามบีบอัดขนาดของเรล์มมากเท่าไหร่ก็ยิ่งต้องอาศัยความละเอียดอ่อนในการออกแบบโครงสร้าง เป็นสิ่งที่ต้องค่อย ๆพัฒนาไป…”
“อื้ม ผมก็กะว่าจะค่อย ๆ พัฒนาไปแหละ สักวันต้องสร้างปราสาทหลังโต ๆ เอาไว้ในลูกแก้วลูกนี้ให้ได้เลย!”
ซาลพูดจาด้วยท่าทางร่าเริงเช่นเคย ส่วนแซนโดรยังคงทึ่งกับการค้นพบของเขา
แม้เขาจะยังไม่รู้ตัวว่าได้ค้นพบวิทยาการที่ยอดเยี่ยมแค่ไหน แต่แซนโดรคิดว่าสำหรับคนอย่างซาลต้องมองออกถึงประสิทธิภาพที่แฝงอยู่ของวิทยาการนี้ได้ในเวลาไม่นานแน่
อีกด้านหนึ่ง นิโคลที่เห็นวาเคียยังมีท่าทีเซื่องซึมอยู่จึงอดแสดงความเป็นห่วงไม่ได้
“ถ้าไม่ได้อึดอัดเรื่องห้อง แล้วเป็นอะไรไปเหรอจ๊ะ? มีอะไรไม่สบายใจรึเปล่า?”
“เปล่าหรอกครับ… แค่ว่า…”
แม้จะพูดพลางยิ้มออกมา แต่แววตาเศร้า ๆ ของเธอก็ทำให้มันดูเป็นการฝืนยิ้มมากกว่า นิโคลจึงยิ่งรู้สึกเป็นกังวลมากขึ้นอีก แต่ในที่สุดวาเคียก็ได้พูดความในใจออกมา
“ผมแค่คิดว่า… การมีพี่น้องก็เป็นสิ่งที่ดีนะครับ…”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น นิโคลก็พอจะเข้าใจความหมายที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ
ในช่วงหลายวันนี้เธอคงได้เห็นความสนิทสนมของซาลกับพี่สาว ทำให้วาเคียรู้สึกอยากจะมีพี่สาวกับเขาบ้าง
แม้ทางกายภาพเธอจะโตเทียบเท่าเด็กสิบขวบแล้ว แต่จิตใจยังมีอายุน้อยกว่านั้นมาก จึงไม่แปลกที่จะต้องการความรักและการดูแลเอาใจใส่เหมือนกับเด็ก ๆ นั่นเป็นสิ่งที่นิโคลมองข้ามไป
เมื่อเข้าใจปัญหาแล้ว เธอจึงโอบกอดวาเคียเบา ๆ พลางพูดกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน
“ถ้าไม่รังเกียจละก็ จะเรียกฉันว่าพี่สาวก็ได้นะคะ”
“จะ.. จริงเหรอครับ!?”
วาเคียตาลุกวาวด้วยความตื่นเต้น นิโคลจึงยิ้มและพยักหน้ารับก่อนจะพูดย้ำอีกครั้ง
“แน่นอนค่ะ ถ้ามีอะไรที่ต้องการก็บอกฉันมาได้เลยนะคะ ไม่ต้องเกรงใจหรอกค่ะ”
วาเคียดีใจมากจนน้ำตาเอ่อล้นออกมา เธอกอดนิโคลแน่นพลางหลับตาพริ้มด้วยสีหน้าที่มีความสุข ซึ่งนิโคลก็ลูบหัวของอีกฝ่ายเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู
อัลดูอินที่เห็นภาพนั้นก็ดูเหมือนจะอิจฉานิดหน่อยจึงพยายามแทรกตัวเข้ามาให้นิโคลกอดด้วยอีกคน ซึ่งนิโคลก็ใช้แขนอีกข้างกอดอัลดูอินให้ซบไหล่ของเธอไว้และลูบหัวของเขาเบา ๆ เป็นภาพที่ดูอบอุ่นต่อทุกคนที่ได้พบเห็น ยกเว้นอัลติม่าที่ทำหน้าเหยเกเพราะรู้สึกว่าบรรยากาศนั้นมันหวานเลี่ยนเกินไป
——————————————————————————————————–
Part 4
หลังจากเดินทางมาได้ครึ่งวัน พวกเขาก็ใกล้จะถึงเขตชายแดนทางเหนือของอลาเรียแล้ว
จากอัตราความเร็วในการเดินทางนี้ แซนโดรประเมินว่าพวกเขาจะข้ามพรมแดนลิลลี่โฮไรซอนในช่วงบ่าย และถึงเมืองหลวงก่อนค่ำได้
เมื่อเข้าใกล้ดินแดนลิลลี่โฮไรซอน ซาลารัสก็เริ่มสงสัยในเรื่องของผู้ปกครองดินแดนนั้น อันที่จริงเขารู้สึกสงสัยเละอยากรู้รายละเอียดของเธอมาตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ยินเรื่องของเธอแล้ว
“นี่ แซนโดร ‘บิ๊กซิสฯ’ เนี่ยเขาเป็นหนึ่งในสิบนักปราชญ์สินะ”
“…เป็นสิบนักปราชญ์คนที่สิบเอ็ด…”
“อา… นั่นสินะ… แต่ก็แปลว่าเขามีพลังเทียบเท่ากับพวกสิบนักปราชญ์ใช่ม้า?”
“…ตามที่เล่าลือกันมา บิ๊กซิสฯ เพียงคนเดียวก็มีพลังเหนือกว่านักปราชญ์ทั้งสิบรวมกัน …เพราะเคยมีกรณีที่นักปราชญ์ทั้งสิบเห็นตรงกันหมดแต่เธอก็ยังคัดค้าน …สุดท้ายเลยต้องตัดสินกันด้วยกำลัง และนักปราชญ์ทั้งสิบก็พ่ายแพ้มาแล้ว…”
ทุกคนบนรถเมื่อได้ยินการสนทนานี้ก็หันมาตั้งใจฟังโดยพร้อมเพรียง เพราะเรื่องของบิ๊กซิสฯ เป็นเรื่องที่คนทั่วไปรู้ข้อมูลเพียงน้อยมาก ทั้งที่เธอเป็นบุคคลที่ทุกคนรู้จักและให้ความสนใจที่สุดคนหนึ่งของโลก
“เห? เก่งขนาดนั้นเลยเหรอ? ผมนึกว่าทุกคนจะมีพลังพอ ๆ กันซะอีก”
“…พลังของนักปราชญ์แต่ละคนคือพรที่พระเจ้ามอบให้เป็นของขวัญหลังการสร้างโลกสำเร็จ …ซึ่งรูปแบบของพลังก็จะมาจากปณิธานของแต่ละบุคคลว่ามีความปรารถนาสูงสุดคืออะไร …ปณิธานนั้นจะเป็นตัวกำหนดว่าแต่ละคนได้รับพลังแบบไหน ส่วนความสามารถในการต่อสู้ก็เป็นสิ่งที่แปรผันตามความมุ่งมั่นของจิตใจเช่นกัน …ซึ่ง บิ๊กซิสฯ น่ะต่างจากพวกสิบนักปราชญ์ที่เป็นโอตาคุหรือฟูโจชิที่เอาแต่เพ้อฝัน เธอเป็นมนุษย์ที่มีความมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยวอยู่แล้ว ระดับพลังจึงต่างกันไงล่ะ…”
“อืม… แล้ว บิ๊กซิสฯ เขามีพลังพิเศษแบบไหนล่ะ?”
“…เรื่องนั้นยังไม่มีการยืนยันที่แน่ชัด …แต่ว่ากันว่าพลังของเธอก็คือการควบคุม ‘เวลา’ น่ะ…”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของซาลก็เบิกโพลงขึ้นมาเพราะความทึ่ง
“ควบคุมเวลาได้เหรอ? หมายถึง… หยุดเวลาน่ะเหรอ?”
“…อืม …ก็ไม่รู้เหมือนกันนะ แต่ดูเหมือนว่าเธอจะมีความสามารถเกี่ยวกับเวลาหลายอย่าง …เช่นตอนที่สร้างอาณาจักรลิลลี่โฮไรซอนเนี่ย เธอก็ประกาศดินแดนกินพื้นที่ของอินิสตร้ากับอลาเรียไปด้วยหลายส่วน เพื่อให้อาณาจักรมีรูปร่างคล้ายกับดอกลิลลี่อย่างที่เธอต้องการ …และเพราะไม่มีใครรู้ว่าเธอเป็นใครมาจากไหน ทั้งอินิสตร้าและอลาเรียจึงยกทัพมาโจมตีลิลลี่โฮไรซอนเพื่อยึดดินแดนคืน…”
“แล้วผลเป็นยังไงเหรอ?”
“…กองทัพของอินิสตร้ากับอลาเรียแบ่งการโจมตีออกเป็นสี่สาย โจมตีจากสี่ทิศทางพร้อมกัน …แต่พี่สาวก็ไปปรากฏตัวที่สมรภูมิทั้งสี่พร้อม ๆ กัน และจัดการกับกองทัพทั้งหมดด้วยตัวคนเดียว…”
เรื่องที่แซนโดรเล่าออกมา ทำให้ซาลยิ่งรู้สึกตกตะลึงมากขึ้นไปอีก
“หมายถึงตัวจริงไปปรากฏตัวที่สนามรบทั้งสี่แห่งพร้อมกัน? ไม่ใช่การแยกร่างเหรอ?”
“…เรื่องนั้นไม่มีใครรู้หรอกนะ แต่จะเป็นร่างจริงรึร่างแยกก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ …ถ้าเป็นตัวจริงก็แปลว่าเธอสามารถเดินทางข้ามเวลาไปปรากฏตัวทุกที่ได้ในเวลาเดียวกัน …แต่ถ้าเป็นร่างแยกมันก็สามารถสยบกองทัพนับหมื่นของอาณาจักรต่าง ๆ ได้ด้วยตัวคนเดียวอยู่ดี …ไม่ว่าจะแบบไหนก็น่ากลัวทั้งนั้น…”
“หวา… น่ากลัวจริง ๆ ด้วยแฮะ… งานนั้นคงมีคนตายไปเยอะเลยสินะ?”
“…เปล่าหรอก ไม่มีใครตายเลยสักคน เพราะบิ๊กซิสฯ ไม่ได้ฆ่าใครเลยแม้แต่คนเดียว แค่เอาชนะแล้วก็ไล่ทุกคนกลับไป …ระดับพลังมันต่างกันขนาดนั้นแหละ…”
ซาลนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งเพื่อทบทวนในสิ่งที่แซนโดรพูด ผู้ปกครองของลิลลี่โฮไรซอนคนนี้ดูจะเป็นตัวตนที่ร้ายกาจยิ่งกว่าเทพหรือมารซะอีก ทำให้ความคิดของเขาเกี่ยวกับผู้มีอำนาจในโลกเริ่มเปลี่ยนไป
“อืม… มีพลังขนาดนี้ แถมยังเอาชนะสิบนักปราชญ์ได้ด้วย แปลว่าเขาจะทำอะไรก็ได้ไม่ใช่เหรอเนี่ย? แบบนี้จะเปลี่ยนแปลงโลกให้เป็นยังไงก็ได้ตามต้องการเลยนี่นา?”
“…ก็ไม่ขนาดนั้นหรอก …ตำแหน่งของบิ๊กซิสฯ น่ะคือผู้ตัดสินข้อเสนอของสิบนักปราชญ์ ไม่มีอำนาจในการเสนอการเปลี่ยนแปลงด้วยตัวเอง …และเธอก็ไม่เคยสนใจที่จะเสนอการเปลี่ยนแปลงด้วย ยกเว้นแค่เพียงครั้งหนึ่งเท่านั้น …รู้จักกฎเรื่อง ‘เทพพิทักษ์แห่งสตรี’ รึเปล่า?…”
กฎ ‘เทพพิทักษ์แห่งสตรี’ เป็นกฎที่คนทั่วไปรับรู้กันดี ว่าห้ามทำการล่วงละเมิดทางเพศต่อสตรี มิเช่นนั้นจะถูกลงโทษโดยสวรรค์ เป็นสิ่งที่ถูกสอนให้กับเด็กผู้ชายทุกคนตั้งแต่อายุยังน้อย ซึ่งซาลก็รู้เรื่องนี้เหมือนกับคนอื่น ๆ แต่ในส่วนของการล่วงละเมิดทางเพศ เขาเข้าใจว่ามันคือการฝืนใจให้ฝ่ายหญิงยอมนอนด้วยเท่านั้น (เป็นการนอนที่มีความหมายตรงตามตัวอักษร) แม้เขาจะไม่รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่เลวร้ายเท่าไหร่ แต่ในเมื่อขนบธรรมเนียมประเพณีกำหนดว่ามันเป็นเรื่องที่ผิด เขาก็ยึดถือตามนั้น
“กฎสวรรค์ที่ว่า หากชายใดกระทำมิดีมิร้ายต่อผู้หญิง หรือล่วงละเมิดทางเพศ จะถูกสวรรค์ลงโทษสินะ? เรื่องนี้น่ะผมถูกสอนมาตั้งแต่ตอนเล็ก ๆ แล้ว”
“…อืม …ความจริงกฎนี้ไม่ใช่กฎของสวรรค์หรอกนะ แต่เป็นกฎที่พี่สาวหาทางหลอกล่อให้มีการเสนอเรื่องเข้าไปยังที่ประชุมนักปราชญ์ และทำให้มันเป็นจริงขึ้นมา …เธอยังรู้อะไรอีกบ้าง?…”
“เห? เอ่อ… ก็รู้ว่าหากเราไปล่วงละเมิดทางเพศผู้หญิงเข้า จะมีทูตสวรรค์มาจับตัวไปสอบสวน และอาจถูกคุมขังไว้จนไม่ได้กลับมายังโลกอีกเลยน่ะ”
“…ความจริงผู้ที่มาจับตัวไม่ใช่ทูตสวรรค์ แต่เป็นตุลาการที่พี่สาวสร้างขึ้น พวกนั้นเป็นมือปราบที่ไร้จิตใจซึ่งจะปรากฏตัวทันทีที่มีการทำผิดกฎ …และที่ ๆ พวกนั้นพาผู้กระทำความผิดไปก็ไม่ใช่สวรรค์ ไม่ใช่การสอบสวนด้วย…”
“อ้าว? แล้วเขาพาไปที่ไหนกันล่ะ?”
“…เธอรู้จักวงแหวนของดวงอาทิตย์รึเปล่า?…”
ดวงอาทิตย์ของโลกใหม่จะมีวงแหวนเพลิงคาดอยู่ด้วย แม้จะไม่ใช่สิ่งที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าและผิดไปจากลักษณะเดิมของดวงอาทิตย์ แต่วงการวิทยาศาสตร์ก็ได้ทำการบันทึกลักษณะพิเศษนี้ไว้ในแบบเรียน เพราะมันเป็นลักษณะทางกายภาพของดวงอาทิตย์ในปัจจุบันนี้
“อื้ม วงแหวนเพลิงที่ยู่รอบดวงอาทิตย์สินะ ทำไมเหรอ?”
“…เดิมทีดวงอาทิตย์ไม่ได้มีวงแหวนอยู่หรอกนะ …วงแหวนนั่นถือกำเนิดขึ้นมาหลังจากมีการบังคับใช้กฎนี้ต่างหาก…”
“เอ๋? หมายความว่าไงอะ?”
“…ผู้ที่ทำผิดกฎและพยายามล่วงละเมิดทางเพศอิสสตรี จะถูกตุลาการจับขึ้นไปแขวนไว้ที่วงโคจรรอบนอกของดวงอาทิตย์ เป็นจุดที่ถูกแสงอาทิตย์แผดเผาจนร่างกายมอดไหม้เป็นเปลวไฟ …วงแหวนรอบดวงอาทิตย์นั่นเกิดจากผู้ชายที่ทำผิดกฎนับล้านคนกำลังมอดไหม้อยู่บนนั้นไงล่ะ…”
“หา!? แต่… เดี๋ยวก่อนสิ ถ้าถูกเอาไปเผาแบบนั้น แป๊บเดียวก็ต้องไหม้หมดแล้วไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไมยังเกิดวงแหวนให้เห็นได้อีกล่ะ?”
“…ก็เพราะผู้ที่ละเมิดกฎทุกคนยังไม่ตายไงล่ะ…”
คำพูดนั้นทำให้ซาลยิ่งรู้สึกสับสน เพราะมันฟังดูไม่มีเหตุผลเลย
“อ้าว? ก็ถูกเผาเป็นถ่านไปแล้ว ทำไมจะไม่ตายล่ะ?”
“…เพราะเวทที่ใช้กักตัวผู้กระทำความผิดถูกออกแบบมาให้พวกเขามีชีวิตอยู่แบบนั้นตลอดไป ไม่มีวันตาย ….แปลว่าผู้ที่ละเมิดกฎนี้จะต้องถูกแขวนไว้บนชั้นบรรยากาศของดวงอาทิตย์ ให้แสงอาทิตย์แผดเผาทั้งเป็นไปชั่วนิรันดร…”
เมื่อได้ยินความจริงนี้ ซาลก็ถึงกับขนลุกซู่ แถมยังมีเหงื่อไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว
เขาเหลือบไปมองดวงอาทิตย์แวบหนึ่งก่อนจะหลบสายตาจากแสงเจิดจ้านั้นกลับมา แค่คิดว่าในขณะนี้ก็ยังมีคนเป็น ๆ ถูกเผาอยู่บนดวงอาทิตย์เป็นจำนวนนับไม่ถ้วนก็ทำให้ท้องไส้ของเขาปั่นป่วนแล้ว
เรื่องนี้ปกติจะเป็นเรื่องที่บอกกับเด็กหนุ่มในโลกใหม่เมื่ออายุครบสิบสองปีเท่านั้น แต่แซนโดรเห็นว่าอีกไม่กี่ปีซาลก็อายุครบเกณฑ์แล้ว ถึงบอกไปก่อนก็คงจะไม่เป็นไร
“…รู้สึกกลัวเลยใช่มั้ยล่ะ? …นั่นแหละคือสิ่งที่ทำให้กฎนี้ได้ผล …เพราะแบบนี้โลกใหม่ก็เลยไม่มีคดีข่มขืนกระทำชำเรามามากกว่าสองร้อยปีแล้ว …ส่วนหนึ่งก็เพราะทุกคนกลัวที่จะต้องรับบทลงโทษนี้ อีกส่วนหนึ่งคือถ้ามีคนพยายามทำ ก็ต้องถูกตุลาการจับไปก่อนอยู่ดี…”
“ตะ.. แต่ว่าแบบนี้มัน… โหดเกินไปหน่อยรึเปล่า? การลงโทษที่ไม่มีวันจบสิ้นนี่น่ะ”
“…การลงโทษนั่นมีเพื่อย้ำเตือนไม่ให้มีใครกล้าทำตามอย่างไงล่ะ …และบทลงโทษนี้ก็เป็นสิ่งที่เหมาะสมกับความผิดหรือความพยายามกระทำผิดนั้นแล้ว …พี่สาวก็เป็นคนแบบนั้นแหละ…”
ซาลสงบใจและตั้งสติอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จะรวบรวมความคิดและหันมาพูดกับแซนโดรต่อ
“เขาแน่ใจได้ยังไงว่าคนที่จับไปลงโทษเป็นคนที่ทำผิดจริง ๆ น่ะ”
“…พวกตุลาการจะปรากฏตัวเมื่อสัมผัสได้ถึงความหื่นกระหายของฝ่ายชาย และความหวาดกลัวสุดชีวิตของฝ่ายหญิง …หลังจากนั้นก็จะอ่านใจผู้กระทำผิดและพิจารณาโทษด้วยมาตรฐานการพิจารณาที่พี่สาวเป็นคนถ่ายทอดให้กับพวกตุลาการเอง …โอกาสผิดพลาดจึงต่ำมาก ๆ …”
“……ถ้าใช้กฎแบบนี้กับทุกเรื่องก็สามารถสร้างโลกในฝันได้เลยรึเปล่า? โลกที่ไม่มีการฆ่าฟัน ไม่มีการปล้นชิง ไม่มีพวกปิศาจ อะไรแบบนี้น่ะ”
“…ดูเหมือนจะมีเหตุผลเกี่ยวกับความสมดุลของโลกอยู่ทำให้ไม่สามารถออกกฎครอบคลุมทุกเรื่องแบบนั้นได้ …ลำพังแค่กฎ ‘เทพพิทักษ์แห่งสตรี’ ของบิ๊กซิสฯ ก็นับว่าทำให้วงจรธรรมชาติเสียสมดุลไปพอสมควรแล้ว …ว่ากันว่าหากโลกเสียสมดุลจนถึงจุดหนึ่งอาจต้องมีการลบแล้วสร้างโลกใหม่ขึ้นมา ทำให้นี่ไม่ใช่กฎที่ควรจะมีอยู่ตั้งแต่แรก …แต่เพราะไม่มีใครสู้เธอได้ก็เลยถอนกฎนี้ออกจากโลกไม่ได้…”
“ยังไงผมก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ทำไมทำแบบนี้ได้ แต่ทำแบบนั้นไม่ได้ล่ะ?”
“…ไม่ใช่ว่ามันเป็นเรื่องที่ทำได้ แค่ถูกฝืนทำอยู่ …อย่างที่บอกว่ามันเป็นของที่ไม่ควรจะมีอยู่ตั้งแต่แรก เพราะเป็นการบิดเบือนชะตากรรมและขัดต่อกฎของธรรมชาติ ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อสมดุลของสรรพสิ่ง …แต่สำหรับบิ๊กซิสฯ แล้ว การล่วงละเมิดทางเพศเป็นสิ่งที่เธอจะไม่ยอมให้เกิดขึ้นเด็ดขาด จึงตั้งกฎนี้ขึ้นมาไงล่ะ …พูดง่าย ๆ ว่าเธอเป็นคนประเภทที่จะยอมอยู่ในโลกที่มีความเสี่ยงต่อการล่มสลาย มากกว่าโลกที่ปล่อยให้ผู้หญิงถูกย่ำยีนั่นเอง…”
ซาลไม่เข้าใจความร้ายแรงของการล่วงละเมิดทางเพศสักเท่าไหร่เพราะเขายังไม่รู้เรื่องราวทางด้านนี้มากนัก จึงได้แต่คิดในใจว่า บิ๊กซิสฯ ผู้นี้ช่างเป็นคนที่เอาแต่ใจซะจริง ๆ
——————————————————————————————————–
Part 5
ระหว่างที่คุยกันอยู่ รถม้าก็เดินทางมาจนใกล้จะถึงเส้นเขตแดนของลิลลี่โฮไรซอนแล้ว แต่แซนโดรก็สั่งหยุดรถและบอกให้ทุกคนลงจากรถ ซึ่งสร้างความแปลกใจให้กับทุกคนเล็กน้อย
แซนโดรเดินนำซาลและคนอื่น ๆ เดินต่อมายังเส้นเขตแดนระหว่างอลาเรียและลิลลี่โฮไรซอน
อีกฟากหนึ่งของเส้นเขตแดนคือถนนที่ทอดยาวเข้าไปยังทุ่งดอกลิลลี่สีขาวกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา
ที่ข้างทางก่อนถึงเส้นแบ่งเขตแดนก็มีป้ายประกาศขนาดใหญ่อันหนึ่งตั้งอยู่ด้วย
บนป้ายนั้นมีข้อความเขียนว่า
[เขตแดนลิลลี่โฮไรซอน]
[ดินแดนศักดิ์สิทธิ์สำหรับสุภาพสตรี]
[อนุญาตให้เฉพาะผู้หญิงเท่านั้นที่เข้าไปได้]
เมื่อเห็นข้อความบนป้ายนั้น ซาลก็หันมาถามแซนโดรด้วยสีหน้างุนงง
“อ้าว? เขาไม่ให้ผู้ชายเข้าไปนี่นา แล้วแบบนี้ผมจะเข้าไปได้ยังไงกันล่ะ?”
“…เขาอนุญาตให้เฉพาะผู้หญิงเท่านั้นที่เข้าไปได้ …แต่ก็ไม่ได้ห้ามไม่ให้ผู้ชายเข้าไปหรอกนะ…”
“เห? พูดอะไรน่ะ ไม่เห็นจะเข้าใจเลย…”
“…อยากรู้ก็ลองเดินเข้าไปสิ เดี๋ยวก็จะได้รู้เอง…”
เมื่อได้ยินที่แซนโดรพูด ลานาเทลก็แอบยิ้มออกมา เพราะเธอเข้าใจในเจตนาบางอย่างของแซนโดรแล้ว
อัลติม่าเองก็มีสีหน้างวยงงเพราะไม่เข้าใจสิ่งที่แซนโดรพยายามจะทำเช่นกัน ส่วนนิโคลก็มีท่าทางเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง เธอรู้สึกเหมือนเคยรู้ข้อมูลเรื่องนี้ของลิลลี่โฮไรซอนมาก่อน แต่จำรายละเอียดของมันไม่ได้ จึงพยายามนึกอยู่
ระหว่างนั้นเอง แซนโดรก็เดินข้ามเขตเข้าไปยังดินแดนลิลลี่โฮไรซอน ก่อนจะหันกลับมาเพื่อแสดงทีท่าว่ากำลังรออยู่
ลานาเทลก็เดินข้ามแดนเข้าไปยืนข้าง ๆ แซนโดรอีกคนโดยที่ยังหุบยิ้มไม่ลงจนต้องเอามือช่วยป้องปาก ส่วนซาลแม้จะรู้สึกแคลงใจอยู่บ้างแต่ก็ค่อย ๆ เดินตามทั้งสองคนเข้าไป
ทันทีที่ซาลก้าวข้ามเส้นแบ่งระหว่างดินแดนอลาเรียกับลิลลี่โฮไรซอน ก็เกิดแสงสว่างวาบเปล่งออกมาจากพื้นที่เขาเหยียบ ทำให้ทั้งเจ้าตัวและนิโคลกับอัลติม่าที่อยู่ด้านหลังต่างก็แสดงอาการตกใจออกมา แต่แซนโดรกับลานาเทลที่ยืนรออยู่ด้านหน้าดูจะไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่
“ตะกี้นี้มัน…… …!?”
ทันทีที่เอ่ยคำพูดออกมา ซาลก็รู้สึกได้ว่าน้ำเสียงของตัวเองเล็กแหลมขึ้นกว่าเดิม และพอสังเกตตามตัวดูดี ๆ ร่างกายของเขายังหดลงจนทำให้ชุดที่สวมใส่อยู่หลวมขึ้นในระดับหนึ่งด้วย
แซนโดรกับลานาเทลจ้องมองมายังเขาด้วยสีหน้าพึงพอใจ แซนโดรถึงกับแสยะยิ้มออกมาเล็กน้อย ทำให้ซาลยิ่งรู้สึกงุนงงมากขึ้น เขาจึงหันกลับไปหานิโคลกับอัลติม่า แต่ทันทีที่เห็นใบหน้าของเขา ทั้งสองคนก็แสดงอาการตกใจออกมาโดยพร้อมเพรียงกัน
เพราะใบหน้าของซาลตอนนี้ดูจิ้มลิ้มน่ารัก ราวกับเป็นเด็กผู้หญิงจริง ๆ ไม่ใช่แค่เป็นเด็กผู้ชายหน้าใสเหมือนเช่นปกติ
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของทั้งสองคน ซาลก็ยิ่งมั่นใจว่าเกิดความผิดปกติขึ้นกับร่างกายตัวเอง เขาจึงเอามือลูบคลำตามร่างกายเพื่อสำรวจตัวเองอีกครั้ง และพบว่าซาลารัสน้อยได้หายไปแล้ว
“นะ… นี่มันหมายความว่ายังไงกันน่ะ!?”
ซาลหันกลับไปตะโกนถามแซนโดรด้วยน้ำเสียงใสแจ๋วของเด็กผู้หญิง ทำให้แซนโดรยิ่งรู้สึกชอบใจเข้าไปอีก แต่ก็พยายามหุบยิ้ม ก่อนจะตอบกลับมาด้วยสายตาที่แสดงความพึงใจสุด ๆ
“…ก็อย่างที่ป้ายบอกนั่นแหละ …ดินแดนนี้อนุญาตให้เฉพาะผู้หญิงเข้าได้เท่านั้น …เพราะงั้นถ้าผู้ชายย่างกรายเข้ามาละก็จะถูกเปลี่ยนให้เป็นผู้หญิงไงล่ะ…”
“ว่าไงน๊าาาาาา!?”
ซาลกับอัลติม่าร้องเสียงหลงขึ้นมาพร้อม ๆ กันด้วยสีหน้าตกใจสุดขีด ส่วนนิโคลก็ยังอยู่ในอาการตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก
“โธ่เอ๊ย! ถ้างั้นแค่ออกจากลิลลี่โฮไรซอนก็จะกลับเป็นผู้ชายสินะ!”
ซาลวิ่งผ่านเส้นแบ่งเขตแดนเพื่อกลับไปยังเขตอลาเรีย แต่แม้ว่าจะกลับไปอยู่ฝั่งอลาเรียแล้วร่างกายของเขาก็ยังเป็นผู้หญิงเหมือนเดิมโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ
“ทะ.. ทำไมถึงไม่เปลี่ยนล่ะ!?”
ในระหว่างที่เขายังคงสับสนและลุกลี้ลุกลน แซนโดรก็กับลานาเทลก็ค่อย ๆ เดินเข้ามาหาเขาด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่มบนใบหน้า ก่อนแซนโดรจะเอ่ยคำพูดที่ทำให้ทุกคนต้องตกตะลึงไปอีกครั้ง
“…เสียใจด้วยนะ …ดินแดนลิลลี่โฮไรซอนนี่น่ะ ถ้าได้ย่างกรายเข้ามาสักครั้งแล้วละก็ ต้องกลายเป็นผู้หญิงไปตลอดชีวิตนั่นแหละ…”
“วะ… ว่าไงน๊าาาาาาาาาา!?!?”
ซาลกับอัลติม่าร้องเสียงหลงขึ้นมาอีกครั้ง จนเสียงของทั้งสองคนดังก้องไปทั่วท้องทุ่งดอกลิลลี่ที่ปลิวไสวอยู่