Doombringer the 5th - ตอนที่ 75
Ch.75 – ลิลลี่โฮไรซอน
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 75
ลิลลี่โฮไรซอน
Part 1
ที่เส้นแบ่งเขตพรมแดนระหว่างอลาเรียกับลิลลี่โฮไรซอน
ทั้งซาลและอัลติม่ากำลังอยู่ในอาการตกใจกับคำพูดของแซนโดร ที่บอกว่าเมื่อย่างกรายเข้ามาในลิลลี่โฮไรซอนแล้วจะต้องกลายเป็นผู้หญิงไปตลอดชีวิต
ซาลทั้งรู้สึกตกใจและโกรธจนหน้าตาบูดเบี้ยว พอเห็นปฏิกิริยาแบบนั้นแล้ว แซนโดรก็ยิ่งยิ้มออกมาด้วยท่าทางพึงพอใจขึ้นไปอีก
อัลติม่าก็รู้สึกตกใจไม่แพ้กัน แต่พอเห็นหน้าตาของซาลที่น่ารักขึ้นกว่าเดิมเพราะกลายเป็นเด็กผู้หญิงไปแล้วกำลังบิดเบี้ยว เบะปาก น้ำตาคลอเบ้า เหมือนกำลังจะร้องไห้ ภายในใจของอัลติม่าก็มีความรู้สึกแปลกประหลาดแทรกขึ้นมา
‘นะ… น่ารักเกินไปแล้ว… เห็นแบบนี้แล้วยิ่งอยากแกล้งเข้าไปอีก… แบบนี้ก็ไม่เลวแฮะ… เฮ้ย! นี่เราคิดอะไรอยู่เนี่ย!?’
อัลติม่าเริ่มรู้สึกสับสนในตัวเองเพราะความน่ารักน่าหยิกของซาลเวอร์ชั่นเด็กผู้หญิง
ยิ่งได้เห็นสีหน้าที่เหมือนกำลังจะร้องไห้นั่นแล้วก็ยิ่งรู้สึกหมั่นเขี้ยวเข้าไปอีก จนเริ่มคิดว่าแบบนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน แต่อีกใจก็ยังอยากให้เขาเป็นผู้ชายอยู่ เลยเกิดความสับสนมากขึ้นเรื่อย ๆ จนได้แต่เอามือขยี้หัวเพราะทำอะไรไม่ถูก
ทางด้านลานาเทลที่เห็นซาลทำท่าเหมือนกำลังจะร้องไห้ เลยเดินเข้าไปกระซิบกับแซนโดร
“แกล้งแค่นี้ก็พอแล้วมั้งคะ ถ้าทำมากไปเดี๋ยวจะง้อลำบากนะคะ”
“…หึ…”
แซนโดรมีท่าทางเหมือนจะยังอยากดูสีหน้าบิดเบี้ยวของซาลในร่างเด็กผู้หญิงต่ออีกสักหน่อย แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีคัดค้านอะไร ลานาเทลจึงเดินเข้าไปหาเขาเพื่อบอกความจริง
“ไม่ต้องห่วงนะคะคุณซาลารัส คุณแซนโดรแค่ล้อเล่นค่ะ การเปลี่ยนร่างเป็นผู้หญิงเพราะเข้ามาในดินแดนลิลลี่โฮไรซอนน่ะมีผลแค่ชั่วคราวเท่านั้นแหละ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนก็มีสีหน้าที่ผ่อนคลายลงบ้าง แต่ซาลที่ยังไม่ค่อยแน่ใจก็ถามย้ำกับลานาเทลอีกครั้งด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือ
“ละ.. แล้วทำไมพอออกมาจากลิลลี่โฮไรซอนแล้วถึงยังไม่กลับร่างเดิมล่ะ? จะกลับเป็นอย่างเดิมได้แน่ ๆ เหรอ?”
“ได้สิคะ แต่เพราะแม้จะออกจากลิลลี่โฮไรซอนแล้ว ผลของเวทมนตร์ก็ยังคงอยู่ไปอีกราว ๆ 24 ชั่วโมง เพราะงั้นถ้าคุณซาลารัสออกจากลิลลี่โฮไรซอนครบ 24 ชั่วโมงแล้วก็จะกลับเป็นอย่างเดิมเองแหละนะคะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซาลก็ปาดหยาดน้ำตาที่ล้นปริ่มอยู่ออก และมองไปทางแซนโดรด้วยสายอาฆาต ส่วนอีกฝ่ายก็พยายามหุบยิ้มแล้วนำรถม้าออกมาอีกครั้งเพื่อใช้ในการเดินทางต่อ
พอทุกคนกลับขึ้นมาบนรถแล้ว ซาลก็ต่อว่าแซนโดรไม่หยุดที่หลอกให้เขาตกใจ
“แซนโดรน่ะบ้าที่สุดเลย! เอาเรื่องแบบนี้มาล้อเล่นได้ยังไงกันหา!? ผมเกือบจะหัวใจวายตายแล้วนะรู้ป่าว!!”
ซาลพยายามตะคอกด้วยน้ำเสียงขึงขัง แต่เพราะปกติเสียงของเขาก็ยังไม่แตกหนุ่มอยู่แล้ว พอตอนนี้กลายเป็นผู้หญิงไปมันก็ยิ่งกลายเป็นเสียงที่เล็กแหลมขึ้นไปอีก แซนโดรจึงรู้สึกชอบใจกับเสียงเจื้อยแจ้วนั้นจนหุบยิ้มไม่ลง
“…ถ้าตกใจตายเพราะเรื่องแค่นี้ก็ไปหาอย่างอื่นทำเถอะ …อย่ามาเป็นผู้สร้างหายนะให้เสียเวลาดีกว่า…”
“หนอย… จำเอาไว้เถอะ! แค้นนี้น่ะ สักวันผมจะต้องเอาคืนให้ได้!”
“…เป็นลูกผู้ชายอย่าคิดเล็กคิดน้อยให้มันมากนักจะได้มั้ย? …เอ๊ะ หรือจิตใจก็กลายเป็นผู้หญิงไปแล้ว? …หรือจริง ๆ แล้วเป็นแบบนี้มาแต่แรก? …ไม่เคยสังเกตมาก่อนเลยนะเนี่ย… อืม ๆ …”
“ฮึ่มมมม…”
เพราะสู้ฝีปากของฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ ซาลจึงได้แต่ออกอาการกระฟัดกระเฟียดด้วยความเจ็บใจ
นิโคลที่เพิ่งจะนึกเรื่องของลิลลี่โฮไรซอนออกจึงเอ่ยปากขอโทษซาลพร้อมกับลูบหลังเพื่อปลอบใจเขา
“ขอโทษด้วยนะคะ ความจริงฉันเคยรู้เรื่องลักษณะเฉพาะของลิลลี่โฮไรซอนมาแล้ว แต่ดันนึกไม่ออกเลยไม่ได้บอกไป คงทำให้ตกใจแย่เลย”
“นั่นไม่ใช่ความผิดของนิโคลซะหน่อย เป็นความผิดของคนที่นิสัยไม่ดีชอบแกล้งคนอื่นต่างหาก”
ซาลารัสพูดพลางมองค้อนไปทางแซนโดร แซนโดรจึงตอบกลับมาโดยที่ยังก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสืออยู่
“…พูดถึงตัวเองอยู่เหรอ?…”
คำย้อนของแซนโดรทำให้ซาลยิ่งเจ็บใจมากขึ้น แต่ทันใดนั้นเขาก็นึกอะไรได้บางอย่าง
“……..จะว่าไปแล้ว ดินแดนลิลลี่โฮไรซอนเนี่ยทำให้ผู้ชายกลายเป็นผู้หญิงสินะ? แล้วทำไมแซนโดรยังไม่เห็นกลายเป็นผู้หญิงเลยล่ะ? …อ๊อกกก!”
ทันทีที่พูดจบประโยค ซาลารัสก็โดนอะไรบางอย่างกระแทกเข้าที่ท้องจนตัวงอลงไป ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นมาจ้องแซนโดรที่นั่งอ่านหนังสือเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว
นิโคลที่ไม่อยากให้ทั้งสองคนกระทบกระทั่งกันมากไปกว่านี้จึงพยายามชวนคุยต่อเพื่อเปลี่ยนเรื่อง
“รู้สึกว่าเวทมนตร์ที่ปกคลุมดินแดนลิลลี่โฮไรซอนทั้งอาณาจักรนี่จะเรียกว่า ‘พรแห่งลิลลี่’ สินะคะ? แต่เหมือนจะเคยอ่านเจอว่านอกจากทำให้ทุกคนที่ย่างกรายเข้ามากลายเป็นผู้หญิงแล้ว ยังมีผลกับเงื่อนไขอื่น ๆ อีกด้วยนี่นา…”
“…ใช่แล้วล่ะ …’พรแห่งลิลลี่’ เป็นเวทมนตร์ที่บิ๊กซิสฯ ออกแบบขึ้นเพื่อสร้างดินแดนในอุดมคติของเธอขึ้นมา …นอกเหนือจากเรื่องทำให้ผู้ชายที่ย่างกรายเข้ามากลายเป็นผู้หญิงแล้วก็ยังมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกหลายอย่าง …เช่นว่า หากมีกิจกรรมทางเพศขณะที่อยู่ในร่างหญิงละก็ เวทมนตร์นี้จะไม่มีทางถูกยกเลิก และจะต้องกลายเป็นผู้หญิงตลอดไปจริง ๆ …”
“กิจกรรมทางเพศเหรอ?”
ซาลเอียงคอถามด้วยความข้องใจ เพราะเขาไม่ค่อยเข้าใจความหมายของสิ่งที่แซนโดรพูดสักเท่าไหร่นัก ซึ่งทุกคนที่อยู่ที่นั่นต่างก็นิ่งเงียบเพราะไม่รู้จะอธิบายยังไงเช่นกัน เว้นแต่คนเพียงคนเดียว
“อ๋อ~ ก็ไอ้นั่นไงล่ะ แอ๊กกก!”
ระหว่างที่อัลติม่ากำลังจะพูด นิโคลก็กางปีกข้างหนึ่งออกมาผลักอีกฝ่ายจนบีบอัดไปกับผนังของรถม้า ก่อนจะหันมาพูดกับซาลารัสต่อ
“เรื่องนั้นน่ะถ้ายังไม่รู้ก็ดีแล้วล่ะค่ะ แปลว่าไม่มีอะไรต้องกังวลไงล่ะคะ”
“…ก็ไม่เชิงหรอก เพราะการ ‘เล่นสนุกกับตัวเอง’ ก็ถือเป็นกิจกรรมทางเพศอย่างหนึ่งที่เข้าข่ายนะ …เธอคอยดูเจ้าเด็กนี่ไว้ให้ดี ๆ ก็แล้วกัน…”
“คุณซาลารัสไม่ทำแบบนั้นหรอกค่ะ! ยังไม่ถึงวัยซะหน่อย! คิดว่านะคะ…”
ซาลยังคงมีสีหน้างุนงงสงสัยเพราะไม่เข้าใจเรื่องที่นิโคลกับแซนโดรคุยกันเลย ส่วนลานาเทลก็รู้สึกขบขันกับบทสนทนานั้นแต่ก็พยายามเก็บอาการเอาไว้
ระหว่างที่คุยกันอยู่ รถม้าก็แล่นเลยเขตทุ่งดอกลิลลี่สีขาวมาจนมองเห็นเมืองของลิลลี่โฮไรซอนปรากฏอยู่เบื้องหน้า
——————————————————————————————————–
Part 2
เขตเมืองของลิลลี่โฮไรซอนมีลักษณะแปลกตาไปจากเมืองที่ซาลารัสเคยเห็นมาทั้งหมด
แซนโดรอธิบายว่ามันเป็นสถาปัตยกรรมที่มีต้นแบบมาจากโลกเก่าสมัยช่วงต้นของปี 2000 ซึ่งอาคารบ้านเรือนและสถาปัตยกรรมต่าง ๆ จะมีรูปแบบที่ทันสมัยกว่าบ้านเรือนโดยทั่วไปของโลกใหม่ เธอยังบอกว่าบ้านเรือนในอาณาจักรคามิเท็นก็มีลักษณะแบบเดียวกันนี้ผสมผสานอยู่ด้วย
บริเวณรอบนอกของเมืองเป็นอาคารบ้านเรือนขนาดเล็กและขนาดกลาง มีความสูงเพียงไม่กี่ชั้น แต่เมื่อมองลึกเข้าไปในเมืองชั้นในซาลก็มองเห็นหอคอยขนาดใหญ่ที่มีความสูงนับสิบชั้นและรายล้อมไปด้วยหน้าต่างกระจกรอบทิศ เป็นอาคารสูงยุคใหม่ที่เขาเคยเห็นจากในหนังสือหรืออินเตอร์เน็ทมาแล้ว แต่เพิ่งจะเคยเห็นของจริงเป็นครั้งแรก
ผู้คนที่เดินไปมาในเมืองล้วนแล้วแต่เป็นผู้หญิงทั้งสิ้น ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะเวทมนตร์ที่ปกคลุมอาณาจักรอยู่ทำให้เป็นแบบนั้นอยู่แล้ว แต่ซาลก็ยังสังเกตเห็นสิ่งที่น่าสนใจอีกสองอย่างด้วยกัน
อย่างแรกคือในเมืองมีแต่ผู้หญิงวัยรุ่นหรือวัยสาวเป็นส่วนใหญ่ แทบจะไม่มีคนแก่ให้เห็นเลย แม้แต่ผู้คนที่ควรจะเป็นคนวัยทำงาน เช่นเจ้าของร้านค้าตามข้างทาง ก็ดูจะมีอายุราว ๆ 30 ต้น ๆ เท่านั้น ซึ่งเขาคิดว่าอาจเป็นเพราะย่านนี้ของเมืองมีแต่คนวัยสาวก็ได้
อย่างที่สองคือสาว ๆ ทุกคนในเมืองล้วนแล้วแต่สวมชุดยูนิฟอร์มนักเรียนหญิงด้วยกันทั้งสิ้น แทบจะหาคนที่ใส่ชุดธรรมดาไม่ได้เลย ราวกับคนทั้งเมืองเป็นนักเรียนด้วยกันทั้งหมด
พอกวาดสายตามองไปรอบ ๆ อีกครั้ง ซาลก็สังเกตเห็นว่าเมืองนี้มีสถานศึกษาอยู่เยอะมาก ตั้งแต่โรงเรียนอนุบาล ไปจนถึงโรงเรียนมัธยมต้นและมัธยมปลาย เรียกว่ามองไปทางไหนก็จะเห็นอาคารที่มีลักษณะเหมือนโรงเรียนตั้งอยู่ทั่วทุกหนแห่ง
“สมกับที่ถูกเรียกว่า ‘นครแห่งการศึกษา’ เลยนะ มองไปทางไหนก็มีแต่โรงเรียนกับนักเรียนแบบนี้เนี่ย ยังกับเมืองนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อนักเรียนเลย”
“…จะว่าแบบนั้นก็ได้ …มันเป็นความตั้งใจของบิ๊กซิสฯ แหละ…”
“ว่าแต่ผู้ใหญ่ในอาณาจักรนี้ไปไหนกันหมดล่ะ? มองไปแล้วแทบไม่เห็นคนอายุเกิน 30 เลย ยังกับวาลาเซีย (เมืองของพวกแวมไพร์) แน่ะ”
“…เหล่าคนที่ ‘นับอายุแล้ว’ ส่วนใหญ่จะไปอาศัยอยู่ที่ฝั่งตะวันตกของอาณาจักร …มีเพียงจำนวนน้อยที่มาประกอบอาชีพในส่วนอื่น ๆ ของลิลลี่โฮไรซอน …หรือถึงมีก็มักทำงานนั่งโต๊ะและปล่อยให้พวกวัยรุ่นทำงานหน้าร้านแทน เลยดูเหมือนมีแต่คนวัยสาวไงล่ะ…”
“หืม? คนที่ ‘นับอายุแล้ว’ เนี่ยคือยังไงเหรอ?”
“…’พรแห่งลิลลี่’ น่ะนอกจากจะเปลี่ยนผู้ชายให้กลายเป็นผู้หญิงแล้ว ยังมีผลอีกหลายอย่าง …หนึ่งในนั้นก็คือเหล่าสาวพรหมจรรย์ที่อยู่ในลิลลี่โฮไรซอนจะหยุดเติบโตเมื่อมีอายุครบ 20 ปี บางคนก็เรียกสิ่งนี้ว่า ‘พรแห่งวัยเยาว์’ …แปลว่าถ้ารักษาพรหมจรรย์ไว้ละก็ จะมีชีวิตเป็นอมตะในดินแดนนี้ได้ไงล่ะ…”
“พรหมจรรย์งั้นเหรอ…”
ซาลยังทำหน้างงเหมือนไม่เข้าใจความหมายของคำ ๆ นั้น เพราะมันไม่ใช่คำที่เด็กวัยเขาจะได้ยินบ่อยนัก แซนโดรจึงต้องอธิบายเพิ่มเติมโดยใช้คำอย่างระมัดระวังที่สุด
“…ก็ผู้หญิงที่ยังไม่เคยทำเรื่องที่ทำได้เฉพาะกับคู่แต่งงานไงล่ะ…”
“อืม… อ๋อ! หมายถึงนอนจับมือกันน่ะเหรอ?”
คำพูดของซาลทำให้ทุกคนมองไปยังเขาเป็นสายตาเดียวกันจนเจ้าตัวเริ่มสงสัยว่าเขาพูดอะไรผิดไปรึเปล่า แต่แซนโดรก็ไม่ได้แก้ความเข้าใจผิดนั้นและอธิบายต่อไป
“…ถึงจะตกหล่นรายละเอียดไปบ้าง แต่มันก็ประมาณนั้นแหละนะ …เรื่องที่ขาดไปเอาไว้โตก่อนค่อยรู้ก็แล้วกัน …ก็อย่างที่ว่าแหละ ผู้หญิงที่ยังครองพรหมจรรย์อยู่จะหยุดการนับอายุไว้เมื่ออายุครบ 20 ปี …แต่หากไป ‘นอนจับมือ’ กับใครเมื่อไหร่ พรแห่งลิลลี่ ในส่วนของการหยุดนับอายุขัยก็จะคลายลง ทำให้เริ่มนับอายุอีกครั้ง…”
“แต่เมืองนี้มีแต่ผู้หญิงนี่นา ปกติแล้วการ ‘นอนจับมือกัน’ จะนับเฉพาะถ้าเป็นผู้หญิงกับผู้ชายไม่ใช่เหรอ? แปลว่าทุกคนที่นี่ก็น่าจะเป็นอมตะกันหมดรึเปล่า?”
“…ผิดแล้วล่ะ …เงื่อนไขของเวทนี้ บิ๊กซิสฯ เป็นผู้กำหนดด้วยบรรทัดฐานของตัวเอง …และตามความคิดของเธอ มันไม่ใช่เรื่องของเพศแต่เป็นเรื่องของจิตใจ …ดังนั้นแม้จะเป็นการ ‘นอนจับมือกัน’ ระหว่างหญิงสาวก็ถือว่าเป็นการสูญเสียพรหมจรรย์แล้ว…”
“อืม… แบบนั้นเองเหรอเนี่ย แปลว่าคนที่เริ่มนับอายุต่อเขาไปอยู่ฝั่งตะวันตกกันหมด เลยมีแต่คนวัยสาวให้เห็นสินะ?”
“…ก็ไม่เชิงหรอก …เห็นพวกคนวัยทำงานที่ยังดูสาวอยู่นั่นรึเปล่า? …พวกนั้นส่วนใหญ่มีอายุจริงเกิน 40-50 ปีแล้วทั้งนั้น …แต่ยังรักษารูปลักษณ์ของหญิงสาวเอาไว้ได้ เพราะรักษาพรหมจรรย์มาโดยตลอดไงล่ะ…”
“เห? แปลว่ายอมครองตัวเป็นโสดเพื่อชีวิตอมตะเหรอ? แบบนั้นมันก็…”
“…เปล่าหรอก …พวกเขาส่วนใหญ่ก็มีคู่รักหรือแต่งงานแล้วกันทั้งนั้นแหละ …แค่ยังรักษาพรหมจรรย์อยู่เท่านั้นเอง…”
“เอ๋? ถ้าแต่งงานแล้วทำไมถึงยังรักษาพรหมจรรย์เอาไว้ได้ล่ะ? พอแต่งงานกันแล้วก็ต้องนอนจับมือกันตั้งแต่คืนแรกเลยไม่ใช่เหรอ?”
ความเข้าใจของซาลทำให้ทุกคนรู้สึกตะหงิด ๆ ทุกครั้งที่เขาพูดมันออกมา เว้นแต่ลานาเทลที่แทบจะกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่จนต้องเอามือจิกเบาะไว้แน่นและบิดตัวหนีไปทางอื่น
“…นั่นเป็นผลอย่างที่สามของ ‘พรแห่งลิลลี่’ โดยปกติความรักโดยทั่วไปจะทำให้เกิดความปรารถนาตามมา …แต่ ‘พรแห่งลิลลี่’ จะทำให้เกิดความอบอุ่นและความสงบสุขขึ้นในจิตใจแทน …พูดง่าย ๆ ว่าจะไม่ปรารถนาถึงร่างกายของอีกฝ่าย แต่จะได้รับความสุขและความอบอุ่นใจเพียงแค่ได้อยู่ใกล้ ๆ …ทำให้แค่ได้นอนเคียงข้างกันก็รู้สึกอิ่มเอมละมีความสุขโดยไม่ต้องทำอะไรแล้ว…”
“เฮอะ! ของแบบนั้นน่ะมันก็ไม่ต่างจากการล้างสมองนั่นแหละ อาณาจักรนี้มันบิดเบี้ยวผิดธรรมชาติชัด ๆ ”
อัลติม่าพูดแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด เพราะในมุมมองของเธอแล้วเธอรู้สึกเหมือนกับว่าลิลลี่โฮไรซอนเป็นแค่สวนสัตว์หรืออ่างปลาที่บิ๊กซิสฯ ตั้งกฎขึ้นมาตามความพอใจของตนเอง ให้ผู้คนในนั้นใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเธอต้องการ แต่เพราะการใช้คำพูดที่สื่อไปอีกอย่างทำให้ไม่มีใครเข้าใจความคิดที่แฝงอยู่ในคำพูดนั้น
ซาลไม่ค่อยเห็นด้วยกับความคิดของอัลติม่าซะทีเดียว แต่ก็ไม่คิดที่จะต่อล้อต่อเถียงอะไร จึงหันไปคุยกับแซนโดรต่อ
“ถ้าแบบนั้นแล้วทำไมถึงยังมีคนที่ถูกนับอายุต่อได้ล่ะ? ในเมื่อเขาไม่ได้ไปนอนจับมือกับใครนี่นา?”
“…พรแห่งลิลลี่มันไม่ใช่การล้างสมองอย่างที่อัลติม่าว่าหรอก …คนที่ยังไม่พอใจกับเพียงความอบอุ่นหรือความสุขอันเรียบง่ายก็มีเหมือนกัน …โดยเฉพาะพวกที่เคยเป็นผู้ชายมาก่อนดูเหมือนว่ายังไงก็ยังมีความปรารถนาหลงเหลืออยู่ ทำให้นำไปสู่การเสื่อมคลายของพรแห่งวัยเยาว์ในที่สุด …แต่ถึงจะเป็นคนที่ครองพรหมจรรย์มาตลอดก็จะเสียพรแห่งวัยเยาว์ไปเมื่อมีลูกอยู่ดี…”
“หืม…? เอ๋? มีลูกเหรอ? แต่ดินแดนนี้มีแต่ผู้หญิงไม่ใช่เหรอ?”
“…หากคู่รักใดต้องการจะมีลูก และทั้งสองคนมีความปรารถนาที่ตรงกัน เมื่อ ‘นอนจับมือ’ กันแล้ว ฝ่ายที่พร้อมทั้งกายและใจมากกว่าก็จะตั้งครรภ์ …ในเวลาเดียวกันนั้นทั้งสองคนก็จะสูญเสียพรแห่งวัยเยาว์ไป ทำให้อายุขัยดำเนินไปตามปกติ …นี่ก็เป็นผลจาก ‘พรแห่งลิลลี่’ เหมือนกัน…”
“อา… เป็นอาณาจักรที่… ไม่เหมือนใครดีนะ… แต่เวทมนตร์ทั้งหมดนี่ก็เป็นความสามารถของบิ๊กซิสฯ เหรอ? ไม่ใช่ว่าพลังของเขาคือการควบคุมเวลาหรอกเหรอ?”
“…การควบคุมเวลาเป็นความสามารถเฉพะตัว …ส่วนการสร้างเวทมนตร์ชนิดใหม่ขึ้นมาเป็นความสามารถของการเป็นสิบนักปราชญ์คนที่สิบเอ็ด …ทว่าเวทมนตร์ที่มีผลในระดับเปลี่ยนแปลงกฎของโลกได้แบบนี้จะใช้งานได้เฉพาะในพื้นที่ซึ่งได้รับอนุญาตเท่านั้น ก็คือใช้ได้เฉพาะในดินแดนลิลลี่โฮไรซอนนี่แหละ…”
เมื่อฟังคำพูดของแซนโดรแล้ว ซาลก็คิดว่าบิ๊กซิสฯ คนนี้คงอยู่ในระดับไร้เทียมทาน หรือมีความสามารถใกล้เคียงกับพระเจ้าเลยทีเดียวถ้าอยู่ในดินแดนลิลลี่โฮไรซอน เพราะสามารถสร้างเวทมนตร์เพื่อทำอะไรก็ได้
แต่ถึงอยู่นอกลิลลี่ฮไรซอน ความสามารถในการควบคุมเวลาและฝีมือของเธอก็ยังเป็นอะไรที่น่ากลัวมากอยู่ดี การที่แซนโดรคิดจะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับคนแบบนี้จึงนับว่าเป็นทางเลือกที่ชาญฉลาดแล้ว
รถม้าของแซนโดรมาหยุดที่ในที่ลับตาแห่งหนึ่ง จากนั้นเธอก็แจกจ่ายเสื้อผ้าที่มีดีไซน์ทันสมัย เข้ากับผู้คนในลิลลี่โฮไรซอนให้ทุกคนใส่กัน เพื่อที่จะได้เดินทางในเมืองได้โดยไม่ผิดสังเกต
แต่ทันทีที่ได้รับชุด ซาลก็โวยวายขึ้นมาอีกครั้ง เพราะชุดของเขาเป็นชุดนักเรียนหญิงซึ่งมีกะโปรงสั้นแค่เหนือเข่า แถมยังมีถุงน่องแบบครึ่งขามาให้ด้วย ทำให้เจ้าตัวยืนกรานไม่ยอมใส่เด็ดขาด
หลังจากถกเถียงกันอยู่เป็นเวลานาน ในที่สุดแซนโดรก็ยอมผ่อนปรนให้และนำชุดลำลองที่เป็นกางเกงขายาวออกมาแทน แม้จะไม่ค่อยเต็มใจนัก ทำให้เรื่องจบลงด้วยดี แต่ซาลไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองรึเปล่า ที่เห็นคนอื่น ๆ ต่างก็แสดงสีหน้าที่สื่อถึงความเสียดายออกมาเมื่อเขาไม่ต้องใส่กะโปรง แม้แต่นิโคลก็ยังเบือนหน้าไปทางอื่นเพื่อปกปิดอาการนั้นด้วย
อย่างไรก็ตาม เมื่อทุกคนเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว แซนโดรก็ร่ายเวทเพื่อกางแผนที่ของเมืองลิลลี่โฮไรซอนออกมาเพื่อบอกเล่าแผนการ
——————————————————————————————————–
Part 3
“…จากสายสืบของกลุ่มผู้ใช้ศาสตร์มืดที่ฉันให้มาดูลาดเลา เขารายงานกลับมาว่าตอนนี้บิ๊กซิสฯ ไม่ได้อยู่ในเมืองเช่นเคย เธอจะกลับมาทุก ๆ ช่วงต้นเดือนเพื่อรับรายงานความเคลื่อนไหวต่าง ๆ จากทางสภานักศึกษา ซึ่งครั้งล่าสุดเพิ่งผ่านไปเมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อน ดังนั้นเราน่าจะมีเวลาอีกราว ๆ สามสัปดาห์ก่อนที่เธอจะกลับมา…
…สำหรับวงเวทเคลื่อนย้ายนั้น ความจริงมหาวิทยาลัยลิลลี่โฮไรซอนมีวงเวทเคลื่อนย้ายอยู่หลายวงด้วยกัน แต่วงที่สามารถส่งผู้เดินทางไปยังที่ใดในโลกก็ได้มีเพียงวงเดียว คือวงที่อยู่ในอาคารธุรการของมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นที่ตั้งของห้องอธิการบดีด้วย …แต่ห้องของอธิการน่ะอยู่ชั้นบน ส่วนวงเวทจะอยู่ในห้องโถงชั้นล่างสุด เป็นส่วนที่ใคร ๆ ก็เข้าไปได้ไม่ยาก ดังนั้นถ้าเราได้แหวนมาก็เท่ากับแผนการนี้สำเร็จลุล่วงไปกว่าครึ่งแล้ว…”
แซนโดรกล่าวอธิบายสถานการณ์ก่อน ซึ่งทุกคนก็ตั้งใจฟังเป็นอย่างดี จากนั้นเธอก็เริ่มเข้าสู่เรื่องของแผนการในการชิงแหวนรหัสสำหรับใช้เปิดวงเวทเคลื่อนย้าย
“…จุดที่เราอยู่คือตรงนี้ เป็นย่านพักอาศัยของกลุ่มคนวัยทำงาน ช่วงนี้ถึงได้เงียบเป็นพิเศษเพราะยังไม่ถึงเวลาเลิกงานตามปกติ …ส่วนที่อยู่ถัดออกไปอีกราว ๆ สามบล็อกนี่คือเขตหอพักของนักศึกษามหาวิทยาลัยลิลลี่โฮไรซอน ถัดไปอีกหน่อยก็จะเป็นตัวมหาวิทยาลัย ส่วนพื้นที่ตรงกลางที่อยู่ระหว่างย่านหอพักกับมหาวิทยาลัยนี้จะเป็นย่านร้านค้าและสวนสาธารณะ นั่นเป็นจุดที่เราจะลงมือ…”
เมื่อพูดจบ แซนโดรก็เปิดภาพของนักศึกษาหญิงคนหนึ่งขึ้นมา เธอเป็นหญิงสาวผู้มีผมสีทองยาวสลวย มีดวงตาสีฟ้าใสอันกลมโต ดูเป็นหญิงสาวที่ร่าเริงและเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา
“…เธอคนนี้ชื่อว่า ฟินาเล่ ทาเลนเทีย เป็นประธานชมรมบันเทิง ชมรมที่ว่างงานที่สุดในมหาวิทยาลัยลิลลี่โฮไรซอน และมีความสนิทสนมกับเหล่าสมาชิกสภานักศึกษามาก จนบ่อยครั้งที่จะได้รับการไหว้วานจากทางสภานักศึกษาให้ไปทำภารกิจต่าง ๆ แทนด้วย เธอคือเป้าหมายของเรา…”
“เอ๋? ทำไมถึงเลือกคนนี้แทนที่จะเป็นสมาชิกสภานักศึกษาล่ะคะ? แล้วเธอจะมีแหวนเหรอคะ?”
ลานาเทลเอ่ยถามเพราะรู้สึกแปลกใจที่เป้าหมายไม่ใช่หนึ่งในสภานักเรียน แซนโดรจึงอธิบายต่อ
“…ชมรมของเธอมักจะได้รับการไหว้วานให้ทำงานของทางสภานักศึกษาอยู่บ่อย ๆ จึงได้รับมอบแหวนรหัสสำหรับใช้วงเวทเคลื่อนย้ายมาหนึ่งวงเพื่อใช้ในงานของสภานักศึกษา …อีกอย่างหนึ่ง ที่เลือกเธอคนนี้เพราะถ้าเทียบกับเหล่าสมาชิกสภานักศึกษาแล้ว เธอเป็นคนที่เลินเล่อกว่ามาก เพราะเอาแต่ใช้ชีวิตเฮฮาไปวัน ๆ ไม่ค่อยจะใส่ใจหรือระแวดระวังอะไรเท่าไหร่ อีกทั้งยังหาตัวง่ายกว่าด้วยเพราะเธอจะวนเวียนอยู่แค่ห้องชมรม, ย่านการค้า, และหอพัก สามแห่งนี้เท่านั้น ไม่เหมือนพวกสมาชิกสภานักศึกษาที่มักจะเดินทางไปไหนมาไหนตลอด แถมยังชอบอยู่กันเป็นกลุ่ม ทำให้ลงมือยาก…”
เมื่อได้ฟังคำอธิบาย ลานาเทลก็พยักหน้าด้วยความเข้าใจ และถามต่อ
“แล้วเราจะลงมือกันที่ไหนยังไงบ้างคะ?”
“…แหวนรหัสนั่นเธอน่าจะเก็บเอาไว้ในช่องมิติเก็บของ แต่ฉันก็พอจะมีวิธีเอาออกมาได้อยู่ …วิธีนี้ต้องทำในขณะที่เป้าหมายอยู่นิ่ง ๆ และต้องใช้เวลาสักหน่อย ฉันเลยคิดว่าจะลงมือที่หอพักของเธอ ตอนที่เธอกำลังนอนหลับ จะได้ไม่ต้องไปแอบจับตัวเธอมาให้เป็นเรื่องเอิกเกริกด้วย เพราะถ้าขโมยแหวนมาได้โดยอีกฝ่ายไม่รู้ตัวก็จะเป็นการดีต่อแผนการขั้นต่อไปของเรามากที่สุด…
…อีกเดี๋ยวฉันจะไปติดต่อกับสายของผู้ใช้ศาสตร์มืดเพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติมและไปจองที่พักด้วย ส่วนพวกเธอก็เดินเที่ยวชมเมืองกันตามสบายละกัน แล้วฉันจะติดต่อไป”
เมื่อแซนโดรพูดจบ ทุกคนก็ทยอยกันเดินลงจากรถ โดยนิโคลกับอัลติม่ามีสีหน้าตื่นเต้นเล็กน้อยที่จะได้เที่ยวเล่นในเมือง แต่ยังไม่ทันที่ใครจะได้เดินออกจากลานกว้างหลังอาคารที่รถม้าจอดอยู่ ซาลก็เหลือบไปเห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าทางออกของลานกว้าง โดยสายตาของเธอกำลังจ้องเขม็งมายังพวกเขา
เด็กผู้หญิงคนนั้นเป็นเด็กสาวร่างเล็ก น่าจะมีอายุราว ๆ 13-14 ปี เธอไว้ผมยาวสีดำขลับ สวมชุดนักเรียนหญิงซึ่งเป็นชุดยูนิฟอร์มสีน้ำเงินเข้มตัดด้วยลายสีขาวบริเวณข้อมือและปกเสื้อ ใส่คู่กับผ้าพันคอสีแดง กระโปรงที่เธอสวมนั้นยาวลงไปจนเกือบจะถึงตาตุ่ม นับว่าผิดจากชุดยูนิฟอร์มนักเรียนทั่ว ๆ ไปที่จะยาวถึงแค่บริเวณหัวเข่า
นอกจากผ้าพันคอที่เป็นส่วนหนึ่งของชุดยูนิฟอร์มแล้ว เธอยังมีผ้าพันคอสีแดงผืนใหญ่สำหรับใส่ในฤดูหนาวอีกผืนหนึ่งพันอยู่รอบคอด้วย และเพราะความใหญ่ของมันจึงทำให้ผืนผ้าพันคอล้นขึ้นมาปกปิดบริเวณใบหน้าของเธอไปเกือบครึ่ง จนโผล่ให้เห็นแค่ดวงตากลมโตสีดำสนิท ราวกับเป็นความตั้งใจที่ไม่ต้องการให้ใครได้เห็นใบหน้าของเธอ
เด็กสาวเดินตรงเข้ามาทางรถม้าด้วยท่าทีที่เป็นธรรมชาติ ไร้ซึ่งกลิ่นอายของการคุกคามใด ๆ ทุกคนจึงได้แต่มองหน้ากันไปมาด้วยความสงสัย แต่ก็ไม่มีใครแสดงทีท่าว่าเคยรู้จักกับเด็กคนนี้มาก่อนเลย
แม้จะดูไม่มีพิษภัย แต่แซนโดรก็ยังคงไม่ไว้ใจ เธอจึงก้าวออกไปข้างหน้าและเอ่ยทักเด็กสาวก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินมาถึง
“…มีธุระอะไรกับพวกเราเหรอ?…”
เด็กสาวคนนั้นไม่ได้ตอบคำถามของแซนโดรในทันที เธอหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าของทุกคน และกวาดสายตามองดูแต่ละคนด้วยแววตาที่เหมือนกำลังพิจารณาอะไรบางอย่าง ก่อนจะเอ่ยคำพูดออกมา
“ลิช… แวมไพร์… มังกรน้ำแข็ง… ปิศาจ… และโลลิครึ่งเทพงั้นรึ? เป็นคณะเดินทางที่เหมือนกับหลุดมาจากเทพนิยายเลยนะ… หรือควรจะบอกว่าหลุดมาจากนิยายฮาเร็มเซอร์วิสเอาใจชายหนุ่มดีล่ะ?”
เมื่อได้ยินคำพูดของเด็กสาวซึ่งระบุตัวตนที่แท้จริงของแต่ละคนได้อย่างชัดเจน สีหน้าของทุกคนก็ถึงกับแปรเปลี่ยนไปในทันที
อัลติม่ากับนิโคลก้าวออกมาเพื่อบังซาลเอาไว้จากฝ่ายตรงข้าม ส่วนลานาเทลก็เดินออกไปยืนเคียงข้างแซนโดรพร้อมกับเตรียมตัวรับเหตุที่ไม่คาดฝันด้วย
แซนโดรใช้เวทตรวจสอบเพื่อวิเคราะห์ตัวตนของฝ่ายตรงข้าม แต่ก็ไม่สามารถอ่านความผิดปกติอะไรได้ คนที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้ควรจะเป็นเด็กผู้หญิงธรรมดา ๆ เท่านั้น แต่เธอก็ยังไม่คลายความระวังตัวลง และถามอีกฝ่ายกลับไป
“…เธอเป็นใคร? …ทำไมถึงรู้ตัวตนของพวกเราได้?…”
“โลกนี้มีคนโง่อยู่มากมายที่คิดแต่จะสะสมทรัพย์สมบัติโดยมองแค่ราคาของมัน แต่ไม่คิดจะทำความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับตัวทรัพย์สมบัติเหล่านั้น เพราะเห็นมันเป็นแค่สิ่งของที่มีราคา ไม่ได้คิดว่ามันเป็นของที่มีคุณค่าต่อจิตใจ หรือเป็นรางวัลแห่งชีวิตจริง ๆ แต่สำหรับฉันน่ะต่างกัน หากเป็นสมบัติของฉันละก็ ฉันจะให้ความสำคัญและความทะนุถนอมดุจดั่งเลือดเนื้อ การจะรู้ซึ้งถึงทุกรายละเอียดของสมบัติแต่ละชิ้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับฉัน”
คำตอบของอีกฝ่ายทำให้แซนโดรขมวดคิ้วเพราะความข้องใจ เนื่องจากสิ่งที่เธอพูดออกมานั้นฟังดูไม่น่าจะเกี่ยวกับเรื่องที่คุยกันอยู่เลย แม้แต่คนอื่น ๆ ที่กำลังฟังอยู่ก็มีสีหน้าของใจเช่นกัน
“…พูดอะไรของเธอน่ะ? เธอต้องการจะบอกอะไรกันแน่?…”
“ก็ผู้หญิงทั้งโลกนี้คือสมบัติของฉันไงล่ะ”
เมื่อได้ยินคำนั้น แซนโดรก็ถึงกับหน้าถอดสี
ในตอนที่สิบนักปราชญ์สร้างกฎ ‘เทพพิทักษ์แห่งสตรี’ ขึ้นมา ทั้งโลกต่างก็ตั้งคำถามว่าทำไมต้องดึงดันสร้างกฎที่เป็นการฝืนต่อวัฏจักรตามธรรมชาติซึ่งเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของสรรพสิ่งแบบนี้ออกมาด้วย
คำตอบที่สิบนักปราชญ์คนที่สิบเอ็ดตอบกลับไปก็คือ ‘เพราะผู้หญิงทั้งโลกคือสมบัติของฉัน ใครที่กล้ามาทำลายสมบัติของฉัน มันต้องชดใช้ด้วยความทรมานไปชั่วนิรันดร์’ เป็นคำประกาศเหตุผลอันเอาแต่ใจซึ่งกลายมาเป็นความชอบธรรมในการออกกฎนี้ขึ้นมาในที่สุด
เมื่อคำพูดนี้ ประกอบกับความสามารถของอีกฝ่ายที่ระบุตัวตนของทุกคนได้อย่างถูกต้องด้วยการมองเพียงแวบเดียว ก็ทำให้แซนโดรนึกถึงความเป็นไปได้อันน่าสะพรึงกลัวออกมา
นั่นก็คือเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้านี้ คือซิสเตอร์ ผู้ปกครองแห่งลิลลี่โฮไรซอนนั่นเอง