Doombringer the 5th - ตอนที่ 76
Ch.76 – ซิสเตอร์
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 76
ซิสเตอร์
Part 1
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายอาจเป็นซิสเตอร์ คนที่ไม่ควรตอแยด้วยที่สุด แซนโดรจึงผงะถอยหลังออกมาทันที
แม้คนอื่น ๆ จะยังไม่ค่อยแน่ใจในสถานการณ์นัก แต่ด้วยปฏิกิริยานี้ก็ทำให้เข้าใจว่าเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้านี้เป็นตัวอันตราย จึงตั้งท่าเตรียมพร้อมไปด้วย
ทางด้านเด็กสาว แม้จะเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามเริ่มแสดงท่าทีไม่เป็นมิตร แต่เธอก็ยังคงยืนมองทุกคนด้วยท่าทางสบาย ๆ และสายตาอันเฉยเมย เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“จะตื่นเต้นกันไปทำไม? คิดจะมาทำเรื่องไม่ดีที่นี่งั้นเหรอ?”
คำพูดนั้นทำให้แซนโดรฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าพวกเธอยังไม่ได้ทำอะไรที่เป็นการล่วงเกินฝ่ายตรงข้ามเลย จึงไม่มีเหตุผลให้ต้องกลัวในตอนนี้ แต่เพราะเผลอแสดงปฏิกิริยาตอบสนองไปตามสัญชาติญาณจึงทำให้คนอื่น ๆ แสดงท่าทีเป็นปฏิปักษ์ไปด้วย เธอจึงพยายามสำรวมท่าทีลง ก่อนจะถามอีกฝ่ายเพื่อความแน่ใจ
“…เธอคือ ‘ซิสเตอร์’ งั้นเหรอ?…”
“ความจริงแล้วฉันไม่อยากให้เรียกชื่อนั้นเท่าไหร่หรอกนะ ช่วยเรียกว่า ‘ท่านพี่’ ได้รึเปล่า? โอ้ อยู่ในร่างนี้มันคงจะกระดากปากสินะ… เอ้า”
เมื่อพูดจบ ร่างกายของเด็กสาวก็ค่อย ๆ เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว จากเด็กสาวรูปร่างเล็ก กลายเป็นสาวแรกรุ่น และกลายเป็นหญิงสาวเต็มตัวไปในที่สุด ทำให้ชุดนักเรียนที่ดูเทอะทะในทีแรกกลายเป็นชุดที่พอดีตัวจนเกือบจะรัดรูปขึ้นมา กระโปรงที่เคยยาวถึงตาตุ่มก็เหลือความยาวแค่เลยเข่าเพียงเล็กน้อย แต่ผ้าพันคอสีแดงผืนใหญ่ที่ปกปิดใบหน้าของเธออยู่เกือบครึ่งนั้นก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ทำให้สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาของทุกคนมีเพียงดวงตาของเธอที่ตอนนี้เรียวลงและดูทรงเสน่ห์ ผิดกับก่อนหน้านี้ที่กลมโตดูไร้เดียงสา
มันไม่ใช่ความสามารถในการแปลงกายหรือจำแลงร่างด้วยเวทมนตร์ แต่เป็นการ ‘ปรับช่วงเวลา’ ของตัวเองให้ก้าวข้ามจากวัยเด็กสู่วัยผู้ใหญ่ เมื่อได้เห็นความสามารถนี้ อีกทั้งเจ้าตัวยังยอมรับออกมาเองด้วย จึงไม่มีข้อสงสัยแล้วว่าผู้หญิงคนนี้คือซิสเตอร์ แน่นอน
แม้ทุกอย่างจะผิดจากแผนที่ตั้งใจเอาไว้ในทีแรกมาก แต่แซนโดรก็คิดเผื่อสำหรับกรณีแบบนี้เอาไว้แล้ว จึงพยายามทำใจดีสู้เสือและพูดคุยเจรจากับอีกฝ่ายดู
“…เธอต้องการอะไรจากพวกเรางั้นรึ?…”
“ก็บอกให้เรียกว่า ‘ท่านพี่’ ไง”
ซิสเตอร์ พูดด้วยน้ำเสียงและสายตาที่แสดงความแง่งอนออกมา แม้จะไม่รู้ว่านั่นเป็นการแสดงอารมณ์จริง ๆ หรือว่าแค่แหย่เล่นเพื่อหยั่งเชิง แต่แซนโดรก็ไม่ต้องการให้อีกฝ่ายรู้สึกขุ่นเคือง จึงยอมทำตามอย่างว่าง่าย
“…ท่านพี่ต้องการอะไรจากพวกเรางั้นรึ?…”
เมื่อได้ยินแซนโดรเรียกว่า ‘ท่านพี่’ สีหน้าของอีกฝ่ายก็ดูเป็นมิตรขึ้นมาในทันที แม้จะมีผ้าพันคอผืนใหญ่ปกปิดใบหน้ากว่าครึ่งอยู่ แต่แค่มองก็ดูออกว่าเธอกำลังยิ้มอยู่ เธอตอบคำถามกลับมาด้วยน้ำเสียงที่เป็นกันเอง
“ก็ไม่มีอะไรมากหรอก ฉันแค่ต้องการเด็กคนนั้นน่ะ”
หญิงสาวพูดพลางชี้ไปยังซาลที่ยืนอยู่ด้านหลังสุด ทำให้ทุกคนต่างก็ต้องตกตะลึง และมีสีหน้าตึงเครียดขึ้นมาอีกครั้ง แม้ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะต้องการตัวเขาเพื่อไปทำอะไร แต่ในที่นี้ก็ไม่มีใครที่คิดจะให้เธอพาตัวเขาไปได้ง่าย ๆ แน่
แซนโดรย่อมสัมผัสได้ถึงความตึงเครียดจากทุกคนดี เธอเองก็ไม่คิดจะให้อีกฝ่ายพาตัวซาลไปง่าย ๆ เช่นกัน จึงพยายามเจรจาต่อรองดูก่อน
“…เธอ ..ท่านพี่น่ะต้องการเด็กคนนี้ไปทำไมรึ?…”
“ขอบอกตามตรงเลยก็แล้วกันนะ ฉันกำลังต้องการคนที่มีสายเลือดของชาวสวรรค์เพื่อเปิดการทำงานของอาติแฟคบางอย่างน่ะ อืม… ถ้าเป็นเธอคงพอจะรู้รายละเอียดอยู่แล้วสินะ ว่าฉันกำลังหาวิธีกลับไปยังโลกเก่าอยู่ หลายปีที่ผ่านมานี้ก็ทำให้ฉันหาวิธีได้แล้วล่ะ แม้แต่ ‘กุญแจแห่งโลก’ ก็ได้มาแล้วด้วย ติดตรงที่ถ้าไม่ใช่คนที่มีสายเลือดของชาวสวรรค์ก็ไม่สามารถทำได้มันทำงานได้
ทางสวรรค์น่ะติดข้อตกลงกับพีชคีปเปอร์เลยส่งทูตสวรรค์มายังโลกไม่ได้ พีชคีปเปอร์ก็ไม่ยอมบอกที่อยู่ทายาทของซารามอธกับฉันด้วย ดูเหมือนว่าไม่ว่าใครก็กลัวว่าฉันจะไปทำอะไรแปลก ๆ หรือทำเรื่องที่ส่งผลร้ายต่อโลกกันทั้งนั้น… แย่จริง ๆ เล้ย~ แต่ความจริงแค่คิดว่าฉันอาจไปค้นพบขุมพลังหรืออาติแฟคจากที่นั่นจนเป็นตัวอันตรายมากกว่านี้ก็คงจะเป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้แล้วล่ะมั้ง เพราะเหตุนี้ก็เลยไม่มีใครยอมร่วมมือด้วยเลยน่ะ”
เธออธิบายด้วยสีหน้าที่แสดงความเหนื่อยหน่ายระคนหงุดหงิดออกมา แต่มันก็ไม่ใช่ท่าทางที่แสดงอารมณ์โกรธเกรี้ยวหรือไม่พอใจแต่อย่างใด ออกจะเหมือนกับน้อยใจมากกว่า
จากสิ่งที่เธอพูด ทำให้แซนโดรพอจะสรุปใจความได้ว่า ซิสเตอร์ ได้ออกค้นหาวิธีกลับไปยังโลกเก่าจนพบแล้ว และได้แม้กระทั่งกุญแจมาครอบครอง ขาดก็แต่ผู้มีสายเลือดของชาวสวรรค์ซึ่งจะทำให้กุญแจทำงานได้เท่านั้น ซึ่งไม่รู้ว่าเพราะวิธีใด ทำให้เธอรู้ว่ามีผู้สืบสายเลือดของชาวสวรรค์อย่างซาลเข้ามาในดินแดนลิลลี่โฮไรซอน จึงได้มาปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน
เรื่องนี้นับว่าไม่เป็นผลดีเท่าไหร่ เพราะแซนโดรเคยคิดว่าถ้าอีกฝ่ายยังไม่มีกุญแจ ก็ยังพอจะใช้เป็นเครื่องต่อรองได้ แต่ตอนนี้เธอต้องการแค่ซาลคนเดียว ทำให้ทางเลือกในการต่อรองลดลงไปมาก
แต่ถึงจะมีทางเลือกน้อยลง แซนโดรก็ยังคิดว่าทุกอย่างยังอยู่ในขอบเขตที่เจรจาได้ จึงพยายามยื่นข้อเสนอให้ฝ่ายตรงข้าม
“…เรื่องนั้น ทางเรามีเงื่อนไขนิดหน่อย…”
“หืม? ไม่ ๆ เธอเข้าใจผิดแล้วล่ะ”
คำปฏิเสธอย่างกะทันหันของอีกฝ่าย ทำให้ทั้งแซนโดรและคนอื่น ๆ ต่างก็แสดงสีหน้างงงวยออกมา
“ฉันแค่มาบอกเฉย ๆ น่ะ ว่าจะพาตัวเขาไป ไม่ได้จะมาขออนุญาตหรอกนะ ขอโทษทีที่ทำให้เข้าใจผิด เอ้า ส่งเด็กคนนั้นมาให้ฉันได้แล้ว”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หนังตาของแซนโดรก็กระตุกขึ้นมาเพราะความหงุดหงิด ความจริงเธอเองก็พอจะจินตนาการนิสัยของซิสเตอร์ เอาไว้ในระดับหนึ่งแล้ว แต่ไม่นึกว่าตัวจริงจะทั้งเอาแต่ใจและพูดจาไม่มีเหตุผลกว่าที่คาดเอาไว้หลายเท่านัก
ไม่เพียงแซนโดร แต่คนอื่น ๆ ที่ฟังอยู่ต่างก็เริ่มแสดงสีหน้าที่มีโทสะออกมา ทั้งด้วยความไม่พอใจต่อคำพูดของฝ่ายตรงข้าม และไม่ต้องการให้อีกฝ่ายพาตัวซาลไปด้วย
แม้จะไม่ได้พูดคุยหรือให้สัญญาณอะไรกัน แต่ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าการต่อสู้นี้คงจะเลี่ยงไม่ได้แล้ว
——————————————————————————————————–
Part 2
เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าว่าจะต่อสู้ หญิงสาวผู้ปกปิดใบหน้าด้วยผ้าพันคอสีแดงก็กางมือทั้งสองออกข้างตัว เหมือนเตรียมจะร่ายเวทอะไรบางอย่าง ทำให้ทุกคนรีบถอยห่างออกจากเธอ
แต่เพียงพริบตา ทิวทัศน์โดยรอบก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ลานกว้างด้านหลังอพาร์ทเม้นท์ใจกลางเมืองซึ่งทุกคนเคยยืนอยู่ ตอนนี้กลับกลายเป็นทุ่งหญ้าอันเขียวขจีกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา อาคารและสิ่งก่อสร้างโดยรอบต่างก็อันตรธานหายไปหมดสิ้น ไม่เหลือเค้าโครงของย่านพักอาศัยซึ่งอยู่ใกล้กับเขตใจกลางเมืองของอาณาจักรลิลลี่โฮไรซอนให้เห็นอีกเลย ราวกับพวกเธอทั้งหมดถูกส่งมายังสถานที่อื่นโดยไม่รู้ตัว
ทว่าสิ่งที่ทำให้แซนโดรแปลกใจมากที่สุดก็คือภูเขาลูกเล็ก ๆ ที่เคยเห็นโผล่พ้นอาคารบ้านเรือนออกมา มันก็ยังคงตั้งอยู่ที่เดิม เช่นเดียวกับก้อนเมฆบนท้องฟ้าที่ยังเรียงตัวกันในลักษณะเดิม ราวกับพวกเธอยังคงยืนอยู่ที่เดิม แต่สิ่งที่หายไปคือตัวเมืองและสิ่งก่อสร้างเท่านั้น
เมื่อเห็นท่าทางประหลาดใจของทุกคน ผู้ที่ก่อให้เกิดปรากฏการณ์นี้ก็กล่าวคำอธิบายออกมา
“ที่นี่คือลิลลี่โฮไรซอนเมื่อสามร้อยปีก่อน พอดีเห็นว่าตั้งท่าจะสู้ ก็เลยไม่อยากให้ตัวเมืองเสียหายหรือมีพวกสาว ๆ ต้องมาโดนลูกหลงน่ะ ฉันเลยทำการปรับสภาพพื้นที่นิดหน่อย ถ้าเป็นลิลลี่โฮไรซอนในช่วงเวลานี้ละก็ คงอาละวาดกันได้ตามใจโดยไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครมาโดนลูกหลงแน่”
คำพูดของเธอ ทำให้ทุกคนต่างก็มีสีหน้าตกตะลึงไปตาม ๆ กัน
“…หมายความว่าเธอพาพวกเราย้อนเวลากลับมางั้นเหรอ?…”
“อ้อ ไม่ใช่หรอก แค่ย้อนเวลาของผืนดินเฉพาะในเขตลิลลี่โฮไรซอนน่ะ ตัวเรายังคงอยู่ในโลกปัจจุบันในศักราชที่ 310 แค่พื้นดินที่ยืนอยู่นี้เป็นผืนดินของลิลลี่โฮไรซอนเมื่อศักราชที่ 10 เฉย ๆ ”
คำตอบนั้นทำให้หลายคนยังรู้สึกสับสนอยู่ แต่แซนโดรก็พอจะเข้าใจความหมายของมันแล้ว
ซิสเตอร์ไม่ได้ทำการย้อนเวลาของโลก แค่ย้อนเวลาของดินแดนลิลลี่โฮไรซอนให้ย้อนกลับไป 300 ปีก่อน ที่ยังไม่มีบ้านเรือนและผู้คนอยู่ จึงเหลือแต่เพียงพวกเธอยืนอยู่บนที่อันเวิ้งว้างแห่งนี้เท่านั้น แต่หากออกนอกเขตลิลลี่โฮไรซอนไป มันก็จะเป็นโลกในปี 310 ดังเดิม เพราะพื้นที่ซึ่งถูกย้อนเวลาถูกจำกัดอยู่แค่ในเขตนี้
พูดง่าย ๆ ว่านี่เป็นเพียงการจัดเตรียมสถานที่ต่อสู้เฉย ๆ ไม่ได้มีเจตนาจะกักขังหรือหน่วงเหนี่ยวพวกเธอเอาไว้ในช่วงเวลาแต่อย่างใด
ลานาเทลสยายผ้าคลุมเลือดออกมา ก่อนจะก้าวออกไปด้วยสีหน้าที่เก็บซ่อนความรู้สึกตื่นเต้นระคนดีใจเอาไว้ไม่มิด ทำให้แซนโดรต้องเอ่ยทักขึ้น
“…ลานาเทล?…”
“หุหุหุ จะเป็นการเอาแต่ใจเกินไปหน่อยรึเปล่าคะ ถ้าฉันจะขอเป็นคนสู้คนแรกน่ะ?”
“…อย่าพูดบ้า ๆ น่ะ อีกฝ่ายไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่เธอสามารถเอาชนะได้ด้วยตัวคนเดียวหรอกนะ…”
“อันนั้นก็พอจะรู้นะคะ แต่ถึงยังไงก็อยากจะลองดูอยู่ดีค่ะ”
สีหน้าของลานาเทลแสดงความตื่นเต้นออกมาอย่างชัดเจนจนแม้แต่แก้มยังแดงระเรื่อ แซนโดรพบว่าในดวงตาของเธอมีความหวาดหวั่นปนอยู่ด้วย แสดงว่าเธอเองก็ไม่ได้ประมาทคู่ต่อสู้ และรู้ว่านี่เป็นการเผชิญหน้าที่อันตรายแค่ไหน แต่ด้วยนิสัยชอบความท้าทายจึงไม่อาจข่มกลั้นความปรารถนาที่ต้องการจะประมือกับผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดคนหนึ่งของโลกได้
เพราะรู้ว่าถึงห้ามไปก็คงไม่มีประโยชน์ แซนโดรจึงหันมาเตรียมตัวเข้าไปช่วยเสริมหลังจากลานาเทลเปิดการโจมตีแทน
ทางด้านซิสเตอร์ เมื่อเห็นลานาเทลเดินนำออกมาก่อนเพียงลำพังก็แสดงสีหน้าพึงพอใจออกมา อาจเป็นเพราะความชื่นชมที่เห็นฝ่ายตรงข้ามกล้าเผชิญหน้ากับตนเองแบบตัวต่อตัว ทำให้เธอมีสีหน้าแบบนั้น
ลานาเทลชักดาบเคลย์มอร์คู่ใจออกมา ก่อนจะถีบเท้าลงกับพื้นและพุ่งตัวเข้าหาอีกฝ่ายด้วยความเร็วสูง ผ้าคลุมผืนใหญ่ของเธอที่ปกติจะโบกสะบัดอยู่บนอากาศราวกับเป็นผืนน้ำตอนนี้ได้เปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นปีกทรงสามเหลี่ยมอันแบนราบคล้ายกับปีกเครื่องบิน ทำให้ความเร็วในการพุ่งทะยานของเธอไม่ถูกฉุดรั้งด้วยความเทอะทะของมัน ทั้งยังเคลื่อนไหวได้อย่างเฉียบคมขึ้นด้วย
เธอแทงดาบเข้าใส่ซิสเตอร์ ด้วยความเร็วที่เหมือนกับลูกธนู แต่อีกฝ่ายก็เบี่ยงตัวหลบออกไปได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ลานาเทลคาดเอาไว้อยู่แล้ว จึงกางปีกทรงสามเหลี่ยมนั้นกวาดเข้าใส่ในขณะที่ตัวเธอพุ่งผ่านไปด้วย เป็นการโจมตีจังหวะที่สอง แต่ซิสเตอร์ ก็เอนตัวหงายหลังจนช่วงไหล่เกือบจะลงไปแตะสัมผัสกับพื้นเพื่อหลบการเฉือนของใบปีกอันคมกริบนั้นได้
ในจังหวะนั้นเอง เธอก็คว้าข้อเท้าของลานาเทลที่กำลังจะพุ่งผ่านไปเอาไว้ ก่อนจะดีดตัวกลับขึ้นมาพร้อมกับเหวี่ยงข้อเท้าที่จับอยู่ไปด้วย ทำให้ร่างของลานาเทลถูกฉุดดึงและเหวี่ยงข้ามตัวของซิสเตอร์ กลับมายังด้านหน้าแทน
แต่ยังไม่ทันจะถูกเหวี่ยงพ้นช่วงเหนือศีรษะของอีกฝ่าย ลานาเทลก็แปรสภาพข้อเท้าให้เป็นของเหลวจนหลุดจากการฉุดดึงไปได้ และอาศัยแรงเหวี่ยงที่เหลืออยู่ในการหมุนตัวตวัดดาบเข้าโจมตีอีกฝ่ายจากกลางอากาศ ทว่ายังไม่ทันที่คมดาบจะสัมผัสกับเป้าหมาย มือของเธอก็ถูกจับเอาไว้ ทำให้การโจมตีหยุดชะงัก
ซิสเตอร์ บีบมือของลานาเทลที่กุมดาบอยู่จนกระดูกแหลกละเอียดทำให้เธอแสดงสีหน้าเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสออกมา ก่อนที่จะถูกดึงกระชากเพื่อแย่งดาบออกจากมือไปทั้งอย่างนั้น ทำให้มือของลานาเทที่อยู่ในสภาพยับเยินถูกฉีกหลุดตามด้ามดาบออกมาด้วย
ทันทีที่ได้ดาบมาไว้ในมือ ซิสเตอร์ ก็ตวัดมันเพื่อทำการโจมตีอย่างรวดเร็ว แม้สายตาของลานาเทลจะเห็นการตวัดดาบเพียงแค่สองครั้ง แต่ตอนนี้ทั้งแขนและขาทั้งสองข้างของเธอต่างก็ถูกหั่นจนหลุดออกจากร่างกายไปแล้ว
คนอื่น ๆ ที่เห็นลานาเทลพลาดท่าในเวลาอันรวดเร็วก็เริ่มเคลื่อนไหวเพื่อตอบสนองกับสถานการณ์
แซนโดรกลับคืนสู่ร่างลิชและแผ่พลังเวทมนตร์อันมหาศาลออกมา แม้มันจะไม่ใช่ร่างที่มีพลังเทียบเท่ากับตอนโจมตีอินิสตร้า เพราะเธอคงสติและจิตสำนึกทั้งหมดเอาไว้ แต่ก็เป็นร่างที่มีพลังเวทสูงสุดเท่าที่จะทำได้
อัลติม่าก็กลับคืนสู่ร่างที่แท้จริงเช่นกัน ทำให้เธอกลายเป็นปิศาจสีแดงที่ห่อหุ้มด้วยเกราะสีขาวทั่วทั้งร่างกายและใบหน้า เธอลอยตัวอยู่กลางอากาศด้วยปีกสีดำสนิททั้งหกข้างที่โบกสะบัดอยู่บนกลางหลัง, ศีรษะ, และบั้นเอว ราวกับเป็นเทพมรณะ
ทางด้านนิโคลก็ให้ซาลรีบวิ่งออกห่างจากจุดปะทะไปให้ไกลที่สุด ก่อนที่เธอเองจะกลับคืนสู่ร่างมังกร ทำให้เกิดไอเย็นแผ่พุ่งไปทั่วบริเวณและมีมังกรตัวใหญ่ซึ่งมีเกล็ดเกราะสีเทาอันหยาบหนาราวกับหินผาปกคลุมไปทั่วทั้งตัวปรากฏออกมา ทั้งร่างของมันยังแผ่ออร่าสีฟ้าที่ลุกโชนราวกับเปลวเพลิงอยู่ตลอดเวลาด้วย
ตัวตนทั้งสามต่างก็แผ่กระแสพลังงานเฉพาะตัวออกมาจนส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมโดยรอบ ทั้งผืนดินที่เกิดการสั่นไหว ใบหญ้าบนพื้นก็เริ่มแห้งกรอบและแตกสลายกลายเป็นเศษธุลีไป ก้อนเมฆบนท้องฟ้าก็แยกตัวออกเป็นรูโหว่พร้อมทั้งเกิดแสงฟ้าแลบแปลบปลาบ แม้แต่ผืนฟ้าที่เคยเป็นสีครามสว่างก็เริ่มอับแสงลงราวกับกลายเป็นยามสนธยา
ซาลวิ่งห่างออกมาจากที่แห่งนั้นพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเพราะความเจ็บใจ
นี่เป็นอีกครั้งหนึ่งแล้วที่เขาไม่สามารถทำอะไรได้ ทั้งยังต้องหนีเอาตัวรอดเพื่อไม่ให้เป็นภาระของคนอื่นอีกด้วย ทำให้รู้สึกสมเพชตัวเองจนบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูก แต่ก็ทำได้แค่ตั้งหน้าวิ่งต่อไปโดยพยายามที่จะไม่หันกลับมามอง อย่างน้อยก็จนกว่าจะถึงจุดที่เขาคิดว่าปลอดภัย
อีกด้านหนึ่ง ลานาเทลที่เพิ่งจะถูกกุดแขนกุดขาและลอยเคว้งอยู่กลางอากาศก็แสยะยิ้มออกมา
ซิสเตอร์ เป็นคนที่แข็งแกร่งมากจริง ๆ การเคลื่อนไหวนั้นไม่ใช่การเร่งความเร็วด้วยความสามารถพิเศษอย่างที่คาดไว้ในทีแรก และไม่ใช่การอ่านทางล่วงหน้าเหมือนกับออแลนด์ด้วย เป็นเพียงแค่การตอบสนองด้วยปฏิกิริยาอันรวดเร็ว และหลบไปอย่างฉิวเฉียดด้วยศักยภาพทางร่างกายอันเหนือมนุษย์ ไม่ได้ใช้ความสามารถพิเศษอะไรเป็นตัวช่วยเลยด้วยซ้ำ ลานาเทลจึงยอมรับความพ่ายแพ้ทั้งกายและใจ
แต่นั่นเป็นแค่การยอมแพ้ในฐานะนักดาบเท่านั้น
นัยน์ตาของเธอแปรเปลี่ยนจากสีขาวกลายเป็นสีดำสนิท ส่วนม่านตาที่เคยเป็นสีม่วงราวกับอเมทิสต์ตอนนี้ก็กลับกลายเป็นสีเหลืองอำพันไปแทน ทำให้ดวงตาที่เคยดูงดงามเย้ายวนและน่าหลงใหล กลายเป็นดวงตาของสัตว์ร้ายที่น่าขนลุก
เลือดสีแดงสดพุ่งกระฉูดออกจากรอยตัดที่ต้นแขนและต้นขาของลานาเทล แต่แทนที่มันจะหยาดหยดลงบนพื้นอย่างที่ควรจะเป็น กระแสเลือดเหล่านั้นกลับพุ่งตรงไปยังแขนและขาของเธอที่ถูกตัดออกจากร่างและยังลอยเคว้งอยู่ ราวกับงูสีเลือดที่เลื้อยไปบนอากาศ เมื่อพุ่งไปถึงปากเผลของอวัยวะที่ถูกตัด มันก็ฉุดดึงอวัยวะเหล่านั้นกลับมาต่อยังร่างของเธอจนสมบูรณ์อีกครั้ง แม้แต่มือที่ถูกบีบจนแหละเละไปก็กลายสภาพเป็นของเหลวสีแดงสดก่อนจะคืนสภาพกลับมาด้วย
หลังจากฟื้นฟูอาการบาดเจ็บจนกลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง ผ้าคลุมของลานาเทลก็เริ่มแปรสภาพกลายเป็นปีกค้างคาวขนาดใหญ่ ส่วนที่เหลือของผ้าคลุมก็กลายเป็นของเหลวสีดำและไหลโชลมไปตามร่างกายของเธอก่อนจะก่อตัวขึ้นใหม่เป็นอาภรณ์สีดำสนิทที่ปกคลุมทั่วทั้งร่างขึ้นมาจนถึงต้นคอ เป็นชุดราตรีแนบเนื้อที่ส่วนปกชูช่อขึ้นราวกับกลีบดอกไม้ ทำให้ลานาเทลตอนนี้ดูเหมือนกับเป็นดอกกุหลาบสีดำที่เบ่งบานในยามราตรี
ลานาเทลสร้างดาบเล่มใหญ่อีกเล่มหนึ่งขึ้นมาจากเลือด มันเป็นดาบที่มีขนาดใหญ่กว่าดาบเคลย์มอร์ที่เธอใช้ตามปกติร่วมสามเท่า ใบดาบยังคงเป็นสีดำสนิทเพราะเกิดจากการอัดแน่นของเม็ดเลือดจนมีสีเข้ม เธอใช้มือข้างเดียวเหวี่ยงดาบเล่มโตนั้นเข้าใส่ศัตรูที่อยู่ตรงหน้าด้วยความเร็วสูง ทำให้เกิดเสียงกึกก้องกัมปนาทราวกับเสียงฟ้าผ่าเพราะคลื่นกระแทกที่เกิดจากการแหวกอากาศด้วยความเร็วเหนือเสียงของคมดาบ
ทุกอย่างเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในเสี้ยววินาที
ประสาทสัมผัสของลานาเทลได้ถูกกระตุ้นจนเฉียบคมถึงขีดสุด ทำให้ตอนนี้เธอเห็นทุกอย่างเป็นเหมือนกับภาพสโลว์โมชั่น คมดาบของเธอกำลังจะสับเข้าที่ลำตัวของซิสเตอร์ โดยที่อีกฝ่ายยังไม่ทันได้หันกลับมามองเลย
แต่จู่ ๆ เธอก็หันกลับมา
เธอหันกลับมาด้วยความเร็วปกติในขณะที่ทุกอย่างในสายตาของลานาเทลยังคงดำเนินไปอย่างเชื่องช้า ราวกับอีกฝ่ายเป็นผู้ที่อยู่เหนือกาลเวลา และเป็นผู้เดียวที่มีอิสระในการเคลื่อนไหวตามใจชอบในห้วงเวลาที่ผ่านไปอย่างเชื่องช้าแห่งนี้
“แบบนี้ก็ดูสวยไปอีกแบบนะ ดวงตาสีดำนั่นน่ะ”
ซิสเตอร์ เอ่ยคำพูดออกมาด้วยสีหน้าสบาย ๆ ราวกันเป็นการพูดทักทายตามปกติ นั่นเป็นประโยคที่ลานาเทลได้ยินอย่างชัดเจน ก่อนที่การรับรู้ของเธอจะขาดหายไป และถูกแทนที่ด้วยความมืด
เพราะทันทีที่พูดจบ อีกฝ่ายก็หวดกำปั้นเข้าใส่เธอด้วยความเร็วที่แม้แต่ประสาทรับรู้ที่เห็นทุกอย่างเป็นภาพช้าของลานาเทลยังไม่สามารถมองได้ทัน
ความรุนแรงของหมัดนั้น ทำให้ร่างของเธอแตกสลายกลายเป็นละอองเลือดและสาดกระจายอาบไปทั่วบริเวณ ไม่เหลือแม้แต่ชิ้นส่วนให้นับเป็นอวัยวะของมนุษย์ได้อีกเลย
ภาพอันน่าตกตะลึงนั้นทำให้ทั้งแซนโดร, นิโคล, และอัลติม่า ต่างก็ตัดสินใจโจมตีโดยพร้อมเพรียงกัน
แซนโดรยิง ‘เดธเซนเทนซ์’ ที่รวบรวมพลังไว้ออกมา พลันก็เกิดลำแสงสีเขียวเข้มพุ่งลงไปยังจุดที่อีกฝ่ายยืนอยู่ ทำให้ผืนดินเกิดการสั่นสะเทือนไปทั่วบริเวณ และยังมีแผ่นดินแยกแตกแขนงออกมาจากจุดที่พลังงานตกกระทบด้วย
ในเวลาเดียวกันนิโคลก็พ่นไอเย็นอันเข้มข้นเข้าเสริมด้วย ไอเย็นนี้มีลักษณะเหมือนกับพายุหิมะที่ถูกบีบอัดเข้าด้วยกันจนมีความหนาแน่นราวกับกลายเป็นลำแสงสีขาวนวล พื้นดินที่ถูกไอเย็นนี้พุ่งผ่านต่างก็เข้าสู่จุดเยือกแข็งในพริบตา ทำให้ใบหญ้าบนพื้นต่างก็จับตัวเป็นน้ำแข็งสีขาวโพลนจนดูเหมือนกับมีหิมะปกคลุมไปทั่ว ส่วนจุดที่ไอเย็นนี้ตกกระทบก็เกิดการควบแน่นของไอน้ำในอากาศจนก่อตัวเป็นผลึกน้ำแข็งสีขาวใสแผ่กว้างออกไปเรื่อย ๆ ราวกับที่ตรงนั้นกำลังกลายเป็นพื้นน้ำแข็งขั้วโลก
อัลติม่าซึ่งมีบอลแสงสีขาวจำนวนมากลอยอยู่รอบตัวก็ปลดปล่อยการโจมตีเป็นลำดับสุดท้าย ทันทีที่เธอชี้มือออกไปด้านหน้า บอลแสงทุกลูกก็พุ่งตรงเข้าใส่จุดที่ซิสเตอร์ ยืนอยู่อย่างพร้อมเพรียงกัน ความเร็วของมันทำให้เกิดภาพติดตาจนทิ้งเส้นแสงสีขาวไว้เบื้องหลังเป็นทางยาว ราวกับแสงเลเซอร์จำนวนนับไม่ถ้วนกำลังถูกระดมยิงไปยังที่แห่งนั้น และทันทีที่มันไปถึงก็ทำให้เกิดการระเบิดอย่างรุนแรงจนมีแสงสว่างเจิดจ้าประดุจพระอาทิตย์ยามเช้าที่เพิ่งจะโผล่พ้นขอบฟ้าเปล่งออกมากลืนทิวทัศน์โดยรอบให้หายลับไป
ซาลรู้สึกตกใจกับเสียงกึกก้องกัมปนาทราวกับวันสิ้นโลกที่ดังมาจากทางด้านหลัง ทั้งยังมีแสงสว่างวาบลามมาถึงจนเงาร่างของตัวเขาเองทอดยาวออกไปเบื้องหน้า ทำให้เขาหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง แม้จะรู้สึกกังวลและอยากหันกลับไปมอง แต่ที่สุดแล้วเขาก็กลั้นใจวิ่งต่อไป พลางขบเม้มริมฝีปากด้วยความเจ็บใจจนเริ่มมีเลือดไหลซึมออกมา
ไม่มีช่วงเวลาไหนที่เขาจะรู้สึกรังเกียจความอ่อนแอของตัวเองมากไปกว่าตอนนี้อีกแล้ว
อีกด้านหนึ่ง
ยังไม่ทันที่แสงสว่างอันเจิดจ้าจากการระเบิดนั้นจะดับลง
เงาร่างของคนผู้หนึ่งก็ทาบทับลงบนร่างของแซนโดร เพราะคนผู้นั้นได้เข้ามาประชิดตัวเธอจนบังแสงจากการระเบิดที่อยู่ด้านหน้าเอาไว้เกือบมิด
เพียงพริบตาที่แซนโดรรู้สึกถึงการมาของฝ่ายตรงข้าม ร่างที่เป็นโครงกระดูกใต้ผืนผ้าคลุมของเธอก็ถูกแรงอัดจนแตกกระจายกลายเป็นเศษกระดูกโปรยปรายไปทั่ว แม้แต่ผ้าคลุมที่สวมอยู่ก็แทบจะแยกส่วนจนกลับเป็นเส้นด้าย ด้วยพลังหมัดอันรุนแรงของซิสเตอร์ เพียงแค่หมัดเดียว
ทั้งนิโคลและอัลติม่าต่างก็ตกตะลึงกับการโจมตีนี้ เพราะเพียงแค่จังหวะที่พวกเธอหันไปมอง ที่ตรงนั้นก็เหลือแค่ซิสเตอร์ ยืนอยู่ในท่าปล่อยหมัด โดยมีผ้าคลุมของแซนโดรที่กลายเป็นเศษผ้าโปรยปรายอยู่บนอากาศ
ยังไม่ทันที่ทั้งคู่จะขยับตัว ฝ่ายตรงข้ามก็หายไปจากระยะสายตาอีกครั้ง ก่อนที่อัลติม่าจะรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือน พร้อมกับความเจ็บปวดที่แล่นพล่านไปทั่วร่าง
เมื่อเหลือบตาลงมอง เธอก็พบว่าซิสเตอร์ ได้พุ่งเข้ามากระแทกหมัดเข้าที่ช่วงท้องของเธอแล้ว แม้จุดที่ถูกชกเข้าจะเป็นช่วงท้อง แต่เปลือกสีขาวที่หุ้มร่างของเธออยู่ราวกับชุดเกราะก็เกิดรอยร้าวแผ่ลามไปทั่ว ไม่เว้นแม้กระทั้งบริเวณหน้ากาก
ในระหว่างที่แรงหน่วงยังทำงานอยู่ เกราะทั่วร่างของอัลติม่าก็แตกกระจายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แม้แต่ส่วนหน้ากากก็แตกออก เผยให้เห็นใบหน้าที่บิดเบี้ยวไปด้วยความเจ็บปวดของเธอ ก่อนที่แรงปะทะที่ตามมาจะส่งร่างของเธอให้ลอยกระเด็นออกไปในพริบตา ที่ตรงนั้นจึงเหลือเพียงซิสเตอร์ ยืนอยู่ท่ามกลางเศษเกราะสีขาวของอัลติม่า ที่กำลังโปรยปรายลงมาราวกับเกล็ดหิมะ
นิโคลที่เห็นเช่นนั้นก็โถมตัวเข้าใส่และตะปบกรงเล็บลงไปอย่างรวดเร็ว ด้วยร่างอันใหญ่โตและพละกำลังมหาศาลของมังกรทำให้พื้นดินโดยรอบถูกแรงอัดจนยุบตัวลงเป็นแอ่งราวกับหลุมอุกาบาต แต่เธอก็ไม่รู้สึกว่าการโจมตีนี้โดนเป้าหมายอยู่ดี
ในพริบตานั้น เธอก็เห็นซิสเตอร์ ที่กระโดดหลบการโจมตีขึ้นมากำลังลอยตัวอยู่ตรงปลายจมูกของเธอ และบรรจงใช้มือแตะสัมผัสมันอย่างแผ่วเบา
“ฉันไม่ทำอะไรเด็กคนนั้นหรอกน่า ไม่ต้องเป็นห่วงนะ”
เมื่อพูดจบ เธอก็จับส่วนปลายจมูกของนิโคลเหวี่ยงลงไปด้านล่างอย่างแรง ทำให้ช่วงหัวของนิโคลถูกแรงเหวี่ยงสะบัดลงไปกระแทกกับพื้นจนจมลงไปในดินกว่าครึ่ง เหลือเพียงส่วนเขาของเธอที่โผล่พ้นพื้นดินขึ้นมาให้เห็น แล้วร่างของเธอก็แน่นิ่งไป
ทางด้านซาล เมื่อพบว่าเสียงของการต่อสู้ได้เงียบหายไปแล้ว จิตใจของเขาก็เกิดความหวาดหวั่นจนรู้สึกเย็นเยียบไปถึงสันหลัง ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดว่าหากทุกคนร่วมมือกันก็ไม่น่าจะมีศัตรูที่ไม่สามารถเอาชนะได้ แต่เมื่อได้เจอกับคนที่สามารถที่พลิกฟ้าเปลี่ยนผืนดินได้ดั่งใจแบบนี้ ทำให้เขาตระหนักว่าโลกนี้ยังกว้างใหญ่นัก และผลของการต่อสู้ในครั้งนี้ก็เป็นสิ่งที่ยากจะคาดเดาได้
เขายั้งเท้าลงและรวบรวมความกล้า ก่อนจะหันกลับไปมองเพื่อดูผลลัพธ์ของการต่อสู้
แต่ทันทีที่หันกลับไป เขาก็พบกับหญิงสาวผมดำที่มีผ้าพันคอสีแดงปกปิดเกือบครึ่งใบหน้ากำลังยืนจ้องมองลงมาที่เขา เธอเอ่ยคำพูดออกมาด้วยสายตาที่แสดงความเป็นกันเอง
“อยากจะชมว่าวิ่งเร็วดีอยู่หรอกนะ แค่แป๊บเดียวก็วิ่งมาได้ตั้งไกลขนาดนี้แล้ว… แต่พูดแบบนั้นมันจะกลายเป็นการดูถูกไปรึเปล่าน้อ~ ชมว่าหนีเร็วเนี่ย… เอาเป็นว่า ขอโทษที่ทำให้เหนื่อยก็แล้วกันนะ”
เมื่อพูดจบ เธอก็แตะสัมผัสที่ไหล่ของเขา ทันใดนั้นทุกอย่างรอบข้างในสายตาของซาลก็กลายเป็นสีขาวโพลน พร้อมกับสติของเขาที่เริ่มจะเลือนหายไป
——————————————————————————————————–
Part 3
เมื่อซาลรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้งเขาก็พบว่าตัวเองกำลังนั่งอยู่บนม้านั่งในสวนหย่อมแห่งหนึ่ง
มันเป็นสวนหย่อมที่รายล้อมไปด้วยพุ่มไม้สีเขียวซึ่งเรียงกันเป็นแนวรั้วเตี้ย ๆ แซมด้วยดอกไม้สีขาวที่บานสะพรั่ง ดูเป็นสถานที่ซึ่งสงบและร่มรื่น ให้บรรยากาศอบอุ่นและเย็นสบาย
เขากวาดสายตามองไปรอบ ๆ จนมาสะดุดตากับหญิงสาวที่กำลังนั่งเหยียดขาอย่างสบายอารมณ์อยู่บนม้านั่งตัวเดียวกัน ห่างจากตัวเขาไปไม่ถึงคืบ เธอก็คือคนร้ายที่ลักพาตัวเขามานั่นเอง
เมื่อเห็นอีกฝ่ายในระยะประชิด ซาลก็รู้สึกตกใจจนรีบกระโดดผึงออกจากม้านั่ง และค่อย ๆ เดินถอยจากอีกฝ่ายด้วยท่าทีระมัดระวัง ในขณะที่ตามหน้าผากและมือของเขาเริ่มมีเหงื่อหลั่งออกมาจนเปียกชุ่ม
พอเห็นท่าทีของเขาแบบนั้น อีกฝ่ายจึงเอ่ยคำพูดออกมาด้วยสายตาที่แสดงความข้องใจเล็กน้อย
“ไม่ต้องทำท่าทางแบบนั้นก็ได้ ฉันไม่กัดหรอกน่า… ถ้าไม่หมั่นเขี้ยวจริง ๆ น่ะนะ”
“พูดแบบนั้นมันทำให้สบายใจขึ้นตรงไหนเนี่ย!? แล้วนี่ทุกคนอยู่ไหน!?”
ซาลตวาดออกมาด้วยท่าทีอันร้อนรน เพราะการที่อีกฝ่ายพาตัวเขามาได้ แปลว่าทุกคนถูกเล่นงานจนพ่ายแพ้ไปหมดแล้ว และในกรณีที่เลวร้ายที่สุดคืออาจถูกฆ่าไปหมดแล้วก็ได้ แต่เขาก็พยายามข่มความคิดนั้นไว้ และบอกตัวเองไม่ให้กลัว ทั้งที่ความจริงกำลังกลัวจนแทบจะยืนไม่อยู่แล้ว สีหน้าของเขาจึงปะปนไปด้วยความรู้สึกอันหลากหลาย ทั้งความเศร้า ความโกรธ และความหวาดหวั่น
เมื่อเห็นสีหน้าแบบนั้นของเขา อีกฝ่ายก็ถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะพูดปลอบให้เขาสงบลง
“ไม่ต้องกังวลไปหรอกน่า สาว ๆ ที่เธอรวบรวมมาน่ะเป็นพวกที่ตายยากตายเย็นกันทั้งนั้น บางคนถ้าไม่ใช้วิธีการพิเศษก็ฆ่าไม่ได้หรอก และฉันก็ไม่มีเจตนาจะฆ่าพวกเธอด้วย เสียของเปล่า ๆ เพราะฉะนั้นวางใจได้ มานั่งลงแล้วคุยกันดี ๆ เถอะนะ”
“ไม่เอาด้วยหรอก! ผมจะกลับไปหาทุกคน!”
ซาลหันหลังและทำท่าจะวิ่งออกไปแม้จะไม่รู้ทิศทาง แต่ก็ถูกหญิงสาวทักขึ้นมาซะก่อน
“ถ้าจะไปจริง ๆ ฉันก็ไม่ห้ามหรอกนะ แต่ก็เท่ากับ… อ้าว ไปซะแล้ว…”
เพราะซาลตัดสินใจวิ่งออกไปโดยไม่ฟังคำพูดของอีกฝ่าย ทำให้เขาไม่ได้ยินในสิ่งที่เธอพูด หญิงสาวจึงได้แต่เกาหัวแกรก ๆ ก่อนจะเคลื่อนย้ายตัวเองไปดักที่ด้านหน้าของเขาในพริบตาด้วยวิธีการอะไรบางอย่าง และพูดกับเขาอีกครั้ง
“ถ้าจะไปจริง ๆ ฉันก็ไม่ห้ามหรอกนะ แต่ว่า…”
พูดยังไม่ทันจบ ซาลที่ปลดสร้อยแรงดึงดูดออกจากคอแล้ววิ่งผ่านด้านข้างของเธอไปอย่างรวดเร็ว ทำให้หญิงสาวหรี่ตาลงด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะเคลื่อนย้ายตัวเองตามไปอีกครั้ง
คราวนี้เธอมาโผล่ที่ด้านหน้าของซาล ก่อนจะพุ่งสไลด์เสียบเข้าที่ปลายเท้าของเขาเพื่อสกัดการวิ่งให้หยุดลง
“หัดฟังที่คนอื่นเขาพูดมั่งเซ่! เจ้าเด็กบ้า!!”
“ว๊ากกก”
ซาลที่โดนเสียบสกัดเข้าที่ปลายเท้าจนหน้าคะมำก็กลิ้งโค่โร่ไปตามทางอีกหลายตลบกว่าจะหยุดลงได้ ซึ่งที่ตรงนั้นก็มีหญิงสาวในผ้าพันคอแดงมายืนรออยู่แล้ว และเธอยังคงเอ่ยคำพูดเหมือนเดิม
“ถ้าจะไปจริง ๆ ฉันก็ไม่ห้ามหรอกนะ แต่ว่า…”
“ปากบอกว่าไม่ห้ามแล้วที่ทำอยู่นี่มันอะไรเนี่ย!?”
“ก็บอกให้ฟังก่อนไงเล่า! ไม่เคยมีใครสอนรึไงว่าควรฟังที่ผู้ใหญ่พูดให้จบก่อนน่ะหา?”
ทั้งสองคนโต้เถียงกันไปมาด้วยสีหน้าบูดบึ้งราวกับเป็นการทะเลาะเบาะแว้งของพี่น้อง
ซาลไม่ค่อยพอใจการกระและคำพูดที่เอาแต่ใจตัวเองของหญิงสาวสักเท่าไหร่ แต่ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกได้ว่าตัวเองไม่ได้รับบาดเจ็บจากการล้มกลิ้งเมื่อสักครู่นี้เลย ไม่มีทั้งรอยขีดข่วนฟกช้ำหรือความรู้สึกเจ็บ ราวกับถูกพลังงานบางอย่างช่วยห่อหุ้มป้องกันเอาไว้ในตอนนั้น ซึ่งนี่น่าจะเป็นฝีมือของหญิงสาวเช่นกัน แม้การกระทำของเธอจะดูห่าม ๆ ไปหน่อย แต่มันก็ไม่ใช่การกระทำที่ไม่นึกถึงผู้อื่นซะทีเดียว เขาจึงเหลือบตาขึ้นไปมองฝ่ายตรงข้ามอีกครั้ง และยอมฟังในสิ่งที่เธอจะพูด
“ถ้าเธอคิดจะไปจริง ๆ ฉันก็ไม่ห้ามหรอกนะ แต่นั่นก็เท่ากับเป็นการปฏิเสธข้อเสนอด้วย”
คำพูดของเธอ ทำให้ซาลแสดงสีหน้าสับสนและข้องใจออกมา
“ข้อเสนอเหรอ? หมายความว่ายังไง?”
“ฉันเป็นคนแฟร์อยู่แล้ว ไม่ใช้งานเธอเปล่า ๆ หรอก คราวนี้ฉันต้องการให้เธอช่วยเปิดการทำงานของอาติแฟคหลายชิ้น ก็ต้องมีค่าตอบแทนให้อยู่แล้วล่ะ จะได้ยุติธรรมไง”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซาลก็มีสีหน้าที่แสดงความข้องใจออกมามากยิ่งขึ้น
“ตะกี้แซนโดรก็จะขอคุยเรื่องนี้แหละ ทำไมพี่สาวถึงไม่ฟังเขาก่อนล่ะ?”
พอได้ยินที่ซาลบอก อีกฝ่ายก็ตาเบิกโพลงเหมือนกำลังแสดงสีหน้าตื่นตระหนกออกมา ทำให้เขาขมวดคิ้วด้วยความข้องใจ
“นี่ไม่รู้จริง ๆ เรอะ!?”
“ล้อเล่นน่า ใครจะไม่รู้กันล่ะ ก็อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้นั่นแหละ คนอื่นฉันไม่สนหรอก ฉันสนแค่เธอคนเดียวเท่านั้น… อ๊ะ ฟังไปเหมือนกับเป็นการสารภาพรักเลยนะเนี่ย~ อย่าเก็บไปคิดมากล่ะ”
หญิงสาวปรับเปลี่ยนสีหน้าในพริบตาและพูดด้วยท่าทางที่ไม่สื่อความรู้สึกใด ๆ ก่อนจะตบท้ายด้วยมุขประหลาด ๆ ที่ชงเองกินเองเสร็จสรรพ ทำให้ซาลปรับอารมณ์ตามแทบไม่ทัน เขาดูไม่ออกเลยจริง ๆ เลยว่าผู้หญิงคนนี้ ตอนไหนเธอพูดจริง ตอนไหนเธอพูดเล่นกันแน่
“ยังไงฉันก็คิดจะพาเธอไปแค่คนเดียวอยู่แล้ว ซึ่งดูท่าคนอื่น ๆ คงไม่ยอมหรอกง่าย ๆ หรอกมั้ง ดังนั้นใช้วิธีนี้เลยจะประหยัดเวลาได้มากกว่า ฉันไม่อยากเสียเวลาน่ะ ทีนี้ก็เหลือแต่เธอแล้วว่าจะยอมรับข้อเสนอรึเปล่า? ถ้ายอมช่วยฉันละก็ ฉันจะให้รางวัลตอบแทนเธอหนึ่งอย่าง”
คำพูดนั้นทำให้ซาลต้องครุ่นคิดอีกครั้ง แต่สิ่งที่อีกฝ่ายบอกออกมาก็ยังคลุมเครือเกินไป เขาจึงอยากจะถามให้ชัดเจน
“รางวัลตอบแทนที่ว่านั่นคืออะไรกันล่ะ?”
“ยังไม่ได้คิดไว้เลย”
“อ้าว!?”
คำตอบของอีกฝ่ายทำให้ซาลต้องขมวดคิ้วขึ้นอีกครั้ง
เขาจำได้แล้วว่าเคยพบกับความรู้สึกแบบนี้ที่ไหน มันเป็นความรู้แบบสึกเดียวกับตอนที่ได้รู้จักกับแซนโดรใหม่ ๆ นั่นเอง ตอนนั้นแซนโดรก็ชอบพูดจาให้เขาสับสนและหงุดหงิดอยู่เรื่อย แต่ถ้าเทียบกันจริง ๆ แล้ว ระดับความยียวนของหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้านี้เหนือกว่าแซนโดรชนิดที่เทียบกันไม่ติด
“เอาเป็นว่าเธออยากได้อะไรก็บอกมาละกัน ถ้ามันเป็นสิ่งที่ฉันทำได้และอยากทำให้ ฉันก็จะทำ โอเคนะ?”
“โอเคอะไรกันล่ะ!? เงื่อนไขเลื่อนลอยแบบนั้นน่ะ! แปลว่าถ้าไม่อยากทำให้ก็จะไม่ทำไม่ใช่เหรอ!?”
“อย่ามองโลกในแง่ลบสิ คนเราควรจะมองอะไร ๆ ในแง่บวกเข้าไว้ มันแปลว่าถ้าเป็นเรื่องที่ฉันอยากทำให้ฉันก็จะทำให้ทันทีไง ไม่ดีเหรอ?”
ใบหน้าของซาลบิดเบี้ยวเพราะความรู้สึกหงุดหงิดจนบรรยายไม่ถูก ในที่สุดเขาก็ถอดใจที่จะพูดเหตุผลกับคนที่อยู่ตรงหน้า และพยายามมุ่งเน้นไปที่เนื้อหาสาระของการเจรจาแทน
“แล้ว… พี่สาวต้องการให้ผมทำอะไรบ้างล่ะ?”
“อืม เรื่องแรกก็คือช่วยใช้ ‘กุญแจแห่งโลก’ ในการผ่านเขตคุ้มกันที่ขวางกั้นระหว่างโลกใหม่กับโลกเก่าอยู่ และอีกเรื่องก็คือฉันอยากให้เธอใช้อาติแฟคชิ้นหนึ่งของโลกเก่าในการปลดปล่อยวิญญาณของผู้คนในนั้นออกมา”
คำพูดของอีกฝ่ายทำให้ซาลเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย โดยเฉพาะเรื่องที่พูดถึงวิญญาณของผู้คนในโลกเก่าด้วย
“คนในโลกเก่า และวิญญาณของคนที่ตายในช่วงเวลาแห่งการล่มสลายของโลก ต่างก็ถูกเคลื่อนย้ายมายังโลกใหม่หมดแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“เรื่องนั้นก็ใช่ แต่คนที่ตายไปก่อนหน้านั้นไม่ได้ถูกนำพาดวงวิญญาณขึ้นมาด้วย วิญญาณของพวกเขายังคงวนเวียนอยู่ในโลกเก่า เพราะกฎของทั้งสองโลกนี้มีความแตกต่างกัน มันเป็นความสะเพร่าของเหล่านักปราชญ์ในวันแห่งการกอบกู้ ทำให้ลืมนึกถึงวิญญาณเหล่านี้ไป… เรื่องนี้จะโทษเจ้าพวกนั้นอย่างเดียวก็ไม่ได้ เพราะแม้แต่ฉันเองก็นึกไม่ถึงด้วยว่าถ้าไม่เจาะจงรายละเอียดให้ดีก็จะทำให้เกิดผลที่ไม่ครอบคลุม ดังนั้นจะเรียกว่านี่เป็นการเก็บกวาดงานที่เคยทำค้างไว้ก็ได้”
พอได้ยินเช่นนั้น ซาลก็รู้สึกข้องใจขึ้นมา
“เรื่องนี้ถ้ารู้แล้วก็น่าจะทำการแก้ไขด้วยพลังแห่งสิบนักปราชญ์ได้ไม่ใช่เหรอ?”
“อำนาจของสิบนักปราชญ์… ไม่สิ แม้แต่อำนาจของ ‘ผู้เฝ้าดู’ ต่างก็จำกัดอยู่แค่โลกนี้เท่านั้น เพราะการสร้างโลกใหม่ด้วยกฎใหม่ทำให้ต้องทำการตัดขาดกับโลกเก่าโดยสมบูรณ์ ที่นั่นจึงเป็นเหมือนกับเขตแดนพิเศษที่ทั้งเหล่านักปราชญ์และสวรรค์ไม่สามารถใช้อำนาจแก้ไขได้น่ะ”
“เห? ‘ผู้เฝ้าดู’ เหรอ?”
“ก็คนที่พวกเธอเรียกกันว่าพระเจ้าไง”
“แล้วทำไมไม่เรียกว่าพระเจ้าล่ะ?”
“ก็เจ้านั่นมันเป็นแค่ผู้เฝ้าดูนี่นา”
คำพูดนั้นทำให้ซาลยิ่งรู้สึกสงสัยมากยิ่งขึ้น แต่เพื่อไม่ให้เป็นการออกนอกประเด็นมากจนเกินไป เขาจึงกลับเข้าเรื่องอีกครั้ง
“สรุปว่าแค่ให้ช่วยใช้อาติแฟคเปิดทาง และใช้อาติแฟคอีกชิ้นนำพาวิญญาณของผู้คนในโลกเก่าขึ้นมายังโลกใหม่สินะ? ถ้าแค่นั้นละก็ ผมยินดีทำให้อยู่แล้ว”
“อืม ถ้างั้นก็ดี ทีนี้ก็มาถึงการทดสอบคุณสมบัติของเธอบ้าง”
“เห? ทดสอบคุณสมบัติ? หมายถึงทดสอบว่าผมมีสายเลือดของชาวสวรรค์จริงรึเปล่าน่ะเหรอ?”
“เรื่องนั้นไม่จำเป็นหรอก ฉันแค่อยากทำความรู้จักกับตัวตนและแนวความคิดของเธอมากกว่า ว่าสามารถไว้ใจให้ใช้งานอาติแฟคชิ้นที่สองได้รึเปล่า เพราะอาติแฟคชิ้นนั้นเป็นของที่มีพลังมหาศาล หากไปอยู่ในมือของคนผิดก็อาจทำให้เกิดหายนะได้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซาลก็ยิ่งแน่ใจว่าอาติแฟคชิ้นที่สองที่หญิงสาวพูดถึงคือ ‘เอกสิทธิ์แห่งผู้สร้าง’ ที่ทุกคนตั้งใจจะลงไปหาตั้งแต่แรก เขาแอบคิดว่าในเมื่อเป็นแบบนี้ก็ต้องหาทางร่วมข้อตกลงให้ได้ เมื่อได้อาติแฟคชิ้นนั้นมา และปลดปล่อยวิญญาณของผู้คนในโลกเก่าเสร็จแล้ว ก็จะเก็บอาติแฟคชิ้นนี้เอาไว้ใช้งานเอง
หากมันเป็นของที่ทรงอำนาจมหาศาลอย่างที่แซนโดรบอกเอาไว้ละก็ ต่อให้ไม่สามารถเอาชนะ ‘ซิสเตอร์’ คนนี้ได้ ก็น่าจะเอาตัวรอดจากเธอได้ล่ะ
“ถ้างั้นก็เริ่มได้เลยครับ”
“โอเค ถ้างั้น อย่างแรกก็… เธอคิดยังไงกับโลกที่เป็นอยู่ตอนนี้บ้าง?”
แม้จะเป็นคำถามที่ฟังดูง่าย แต่มันก็ทำให้ซาลต้องครุ่นคิดไปเป็นเวลานาน เพราะนั่นเป็นคำถามเชิงตรรกะ ไม่ใช่คำถามตื้น ๆ ที่เขาคาดไว้ในทีแรก
เขาคิดว่าโลกที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ไม่ใช่โลกที่แย่อะไร แต่ก็ยังมีสิ่งไม่ดีอีกหลายอย่างที่ควรจะได้รับการแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงเช่นกัน ที่สำคัญคือเพราะไม่แน่ใจว่าควรจะตอบอย่างไรจึงจะเป็นคำตอบที่ทำให้อีกฝ่ายพอใจ เขาเลยไม่รู้ว่าจะตอบยังไงดี
หญิงสาวคนนี้คือหนึ่งในเหล่านักปราชญ์ผู้สร้างโลก หากบอกว่าโลกที่เป็นอยู่นี้ไม่ดี มันจะเป็นการล่วงเกินและทำให้เธอไม่พอใจรึเปล่า?
แต่โอกาสแบบนี้ก็ไม่ใช่โอกาสที่หาได้ง่ายๆ เพราะนี่คือการได้สนทนาและชี้ปมปัญหาให้กับผู้ที่มีหน้าที่ดูแลและแก้ไขโลกโดยตรง หากแกล้งพูดเยินยอว่าโลกนี้เป็นที่ ๆ ดีแล้ว ก็เท่ากับละทิ้งโอกาสในการเปลี่ยนแปลงโลกนี้ไปเฉย ๆ ที่สำคัญคือกับคนระดับนี้ มีรึที่เธอจะดูไม่ออกว่าเขาพูดออกมาจากใจจริงหรือเสแสร้ง
หลังจากชั่งใจอยู่พักหนึ่ง ซาลก็ตัดสินใจพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดออกมา
“โลกนี้มัน… ควรจะดีกว่านี้ได้ไม่ใช่เหรอครับ? ทำไมถึงต้องสร้างโลกให้มีความเจ็บปวด มีความขัดแย้ง มีการแก่งแย่งฆ่าฟันกันด้วยล่ะ? ไหน ๆ ก็สร้างโลกใหม่ขึ้นมาแล้ว จะสร้างโลกที่มีแต่ความสงบสุขและปรองดองกันไม่ได้เหรอ?”
หญิงสาวนิ่งเงียบไปเมื่อได้ยินคำตอบของเขาเพราะเธอไม่คิดว่าจะได้ยินคำตอบแบบนี้จากเด็กอายุเพียงเท่านี้
ดวงตาของเธอแสดงความรู้สึกประหลาดใจออกมาเล็กน้อย ก่อนที่มันจะหรี่ลงอีกครั้งเหมือนกับกำลังยิ้มอยู่ แต่เพราะผ้าพันคอผืนใหญ่ที่ปกปิดใบหน้าไปเกือบครึ่งก็ทำให้มองไม่เห็นว่าเธอกำลังแสดงสีหน้าแบบใดอยู่กันแน่
“เป็นคำตอบที่ดีนะ… สิ่งนั้นเป็นความตั้งใจในครั้งแรกที่พวกเราสร้างโลกขึ้นมาเหมือนกัน น่าเสียดายที่โลกในอุดมคติแบบนั้นมันไม่สามารถทำให้เกิดขึ้นจริงได้… ไม่สิ ถึงเป็นจริงได้ มันก็ไม่ใช่สิ่งที่เราปรารถนาต่างหาก…”
คำพูดที่เป็นเหมือนกับปริศนานั้นทำให้ซาลขมวดคิ้วด้วยความข้องใจ เพราะมันเป็นเรื่องที่ฟังดูไม่ค่อยมีเหตุผลเลย เขาไม่เข้าใจว่าทำไมมนุษย์ถึงจะไม่ปรารถนาหาความสุขกันล่ะ
“ทำไมล่ะครับ? ในเมื่อพวกคุณสามารถสร้างโลกให้เป็นแบบใดก็ได้ตามต้องการแล้ว ก็น่าจะสร้างโลกในอุดมคติได้นี่นา ทำไมถึงไม่ลองสร้างโลกแบบนั้นดูก่อนล่ะครับ?”
“เราเคยลองแล้วล่ะ”
“เอ๋?”
“โลกนี้น่ะ ไม่ใช่โลกแบบแรกที่ถูกสร้างขึ้นมาหรอกนะ”
คำพูดของหญิงสาว ทำให้ซาลชะงักไปเพราะเขาคิดตามความหมายของมันไม่ทัน ความเงียบจึงปกคลุมไปทั่วบริเวณ จนเหลือแต่เพียงเสียงน้ำไหลจากน้ำพุที่อยู่ใกล้ ๆ ที่ดังแว่วมาเท่านั้น