Doombringer the 5th - ตอนที่ 77
Ch.77 – โลกที่สมบูรณ์แบบ
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 77
โลกที่สมบูรณ์แบบ
Part 1
ซาลครุ่นคิดอยู่พักใหญ่แต่ก็ยังไม่เข้าใจในสิ่งที่หญิงสาวพูดอยู่ดี จึงย้อนถามเธออีกครั้ง
“ไม่ใช่โลกแบบแรก? หมายถึงไม่ใช่โลกใบแรกที่ถูกสร้างขึ้นเหรอ?”
“เปล่า ก็โลกใบเดียวกันนี่แหละ แค่ตอนแรกไม่ได้สร้างด้วยกฎที่ใช้อยู่ตอนนี้”
“แปลว่าเคยลองสร้างโลกในอุดมคติขึ้นมาแล้ว แต่ไม่สำเร็จ ก็เลยทำลายทิ้งแล้วสร้างใหม่เหรอ?”
“ไม่ได้ทำลายทิ้ง แค่ใช้อาติแฟคที่ ‘ผู้เฝ้าดู’ ให้มาในการหมุนเวลากลับไปวันแรกของการสร้างโลกอีกครั้ง จะเรียกว่าเป็นการ ‘รีเซ็ท’ โลกก็ได้ ซึ่งกว่าจะได้โลกที่เป็นอย่างทุกวันนี้ก็ต้องทำการรีเซ็ทไปไม่น้อยอยู่”
“เอ๋? มีของแบบนั้นอยู่ด้วยเหรอเนี่ย?”
“มันเป็นของที่ ‘ผู้เฝ้าดู’ ให้มาตั้งแต่ก่อนจะทำการออกแบบและสร้างโลกอีกน่ะ เพราะเจ้านั่นรู้อยู่แล้วว่าความพยายามในการสร้างโลกที่สมบูรณ์แบบต้องล้มเหลว ก็เลยให้อาติแฟคชิ้นนี้ไว้แต่แรก”
“อืม… ก็เป็นพระเจ้านี่นะ ย่อมต้องรู้อนาคตอยู่แล้ว (ว่าแต่เรียกพระเจ้าว่า ‘เจ้านั่น’ เลยเรอะ…)”
“ผิดแล้วล่ะ ถึงเป็น ‘ผู้เฝ้าดู’ ก็ใช่ว่าจะมองเห็นอนาคตหรอก แค่เจ้านั่นเคยพยายามสร้างโลกที่สมบูรณ์แบบเมื่อนานมาแล้ว แต่พยายามยังไงก็ไม่สำเร็จ เขาได้บอกเรื่องนี้กับเราเช่นกัน แต่ตอนนั้นไม่มีใครเชื่อ… ไม่สิ ต้องบอกว่าไม่มีใครเข้าใจว่าทำไมมันถึงไม่ได้ผล เหมือนกับเธอตอนนี้ไงล่ะ เจ้านั่นก็เลยให้อาติแฟคชิ้นนี้กับเราไว้ เพราะคิดว่ายังไงก็คงได้ใช้แน่”
แม้จะเข้าใจเรื่องการรีเซ็ทโลกแล้ว แต่ซาลก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมความพยายามสร้างโลกที่สมบูรณ์แบบถึงล้มเหลวอยู่ดี
“แล้วทำไมมันถึงไม่ได้ผลล่ะ?”
“เธอคิดว่าถ้าจะสร้างโลกที่ไม่มีความขัดแย้ง ไม่มีการแก่งแย่ง จะต้องทำยังไงบ้างล่ะ?”
“เอ่อ… ก็… ความขัดแย้งและการแก่งแย่งมักมีต้นเหตุมาจากความขาดแคลนและความต้องการที่ไม่ได้รับการตอบสนอง หากสามารถเติมเต็มความต้องการและความปรารถนาของมนุษย์ทุกคนได้ก็จะทำให้เป็นโลกที่ไม่มีความขัดแย้งและการแก่งแย่ง”
คำตอบของซาลทำให้อีกฝ่ายตาโตด้วยความประทับใจอีกครั้ง ก่อนจะกล่าวชมเชยพลางอธิบาย
“โอ้~ ไม่เลวนี่นา นั่นแหละคือสิ่งที่เราทำ ในการสร้างโลกครั้งแรกเราทำให้มันเป็นโลกที่สมบูรณ์พร้อมทุกอย่าง มีทรัพยากรที่ไม่จำกัด ใช้เท่าไหร่ก็ไม่หมด มีแหล่งความรู้ที่ไม่จำกัด สามารถพัฒนาและสร้างสรรค์วิทยาการใหม่ ๆ ได้ตามใจชอบ ทำให้มันเป็นโลกที่แสนสะดวกสบาย มีทุกอย่างที่มนุษย์ต้องการ แม้แต่เรื่องความรักก็มี ‘พรแห่งคู่ชีวิต’ ทำให้ทุกคนจะได้พบคู่แท้ของตัวเองทันทีเมื่อถึงวัย และใช้ชีวิตด้วยกันไปจนแก่เฒ่า”
“หวาว แม้แต่เรื่องความรักด้วยเหรอเนี่ย อันนี้คิดไม่ถึงเลย”
“ใช่แล้ว ด้วยพรทั้งหมดนี้ ทำให้มนุษย์ชาติมีพัฒนาการแบบก้าวกระโดด ในเวลาไม่กี่สิบปีเทคโนโลยีของมนุษย์ก็มีความล้ำหน้าไปกว่าสมัยโลกเก่านับพันปี จนถึงจุดที่สามารถสังเคราะห์สสารทุกชนิดขึ้นมาได้ ไม่ว่าจะเป็นน้ำ อาหาร หรือสิ่งอุปโภคบริโภคต่าง ๆ มนุษย์ทุกคนจึงไม่จำเป็นต้องทำงานอีกต่อไป เพราะปัจจัยสังเคราะห์เหล่านี้ไม่มีต้นทุนจึงแจกจ่ายให้กับทุกคนได้ฟรี ๆ แม้แต่ของใช้ฟุ่มเฟือยก็ฟรีทุกอย่าง ใครอยากได้อะไรก็แค่เดินเข้าไปหยิบจากร้านหรือจะสั่งให้ร้านมาส่งก็ได้ การแบ่งปันทุกอย่างเป็นไปโดยอัตโนมัติด้วยระบบปัญญาประดิษฐ์อันชาญฉลาดและไม่มีวันทรยศ โรคภัยไข้เจ็บก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะไม่มีโรคใดที่วิทยาการยุคนั้นรักษาไม่ได้ เป็นยุคสมัยแห่งความรุ่งโรจน์ที่มนุษย์ทุกคนใช้ชีวิตกันได้อย่างอิสระ และหาความสุขในชีวิตได้อย่างเต็มที่”
ซาลจินตนาการภาพตามที่อีกฝ่ายบรรยาย และคิดว่ามันเป็นโลกที่สมบูรณ์แบบไร้ที่ติจริง ๆ จึงยึงไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงล้มเหลว
“ก็ฟังดูดีนี่นา แล้วมันมีปัญหาตรงไหนเหรอ?”
“ปัญหามันเริ่มปรากฏเมื่อช่วงเวลาที่เรียกว่ายุคทองนี้ดำเนินไปได้ร้อยกว่าปี เพราะความที่มีทุกอย่างสมบูรณ์พร้อม ไม่จำเป็นต้องทำงานก็มีกินมีใช้ ความรักก็ไม่ต้องไปแสวงหาแต่จะได้พานพบกันเอง ความสะดวกสบายนี้กลายเป็นพิษที่ทำให้มนุษย์แบ่งออกเป็นสามจำพวกด้วยกัน
พวกแรกคือผู้ที่พึงพอใจกับความสุขและสะดวกสบายนั้น จนสูญเสียความปรารถนา ความทะเยอทะยานไป คิดว่าชีวิตแบบนี้ก็สุขสบายดีแล้ว ใช้ชีวิตอย่างเกียจคร้าน ไม่คิดจะแสวงหาสิ่งใดเพิ่ม แค่ใช้ชีวิตอันสะดวกสบายไปวัน ๆ ก็พอ ทายาทของคนเหล่านี้ก็เติบโตมาเป็นคนรุ่นใหม่ที่ใช้ชีวิตแบบ กิน-อยู่ หาความสุขไปวัน ๆ เช่นกัน นี่เป็นกลุ่มที่มีมากที่สุด ทำให้พัฒนาการของมนุษย์เริ่มเสื่อมถอยลง
พวกที่สองคือพวกที่เบื่อหน่ายกับชีวิตอันเรียบง่ายปราศจากการดิ้นรนนี้ แม้จะมีการสร้างและพัฒนาสื่อบันเทิงชนิดใหม่ ๆ ออกมาเรื่อย ๆ แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้คนเหล่านี้หายเบื่อได้ สุดท้ายเลยมีคนคิดค้นยาสำหรับหยุดการทำงานของร่างกายและสมองขึ้นมา เพื่อให้คนที่เบื่อหน่ายต่อโลกนี้กิน”
เมื่อฟังถึงตรงนี้ ซาลก็เลิกคิ้วขึ้นด้วยความตกใจ
“นั่นมันเป็นการฆ่าตัวตายไม่ใช่เหรอ!?”
“ใช่ ก็เป็นการฆ่าตัวตายนั่นแหละ เราวิเคราะห์กันว่าอาจเพราะธรรมชาติของบางคนเป็นพวกที่ต้องการใช้ชีวิตอย่างมีเป้าหมายและอยู่อย่างมีความหมาย แต่เพราะโลกได้มาถึงจุดสูงสุดที่แทบไม่เหลือเป้าหมายอะไรให้พวกเขาได้ทำหรือค้นหาแล้ว เลยได้แต่ใช้ชีวิตอยู่ไปวัน ๆ เท่านั้น ทำให้คนเหล่านี้รู้สึกว่าการมีชีวิตอยู่ต่อไปมันไร้ค่า ไม่มีความหมาย จึงเลือกการตายเป็นทางออก”
ซาลลองนึกทบทวนดูอีกครั้งตามคำพูดนั้น และพบว่าหากตัวเองได้ไปอยู่ในโลกนั้นจริง ๆ ก็คงรู้สึกเบื่อน่าดูเหมือนกัน เพราะทุกสิ่งทุกอย่างต่างเป็นของที่ได้มาโดยไม่ต้องดิ้นรน ของที่ได้มาโดยง่ายแบบนั้นผู้คนจะเห็นค่ามันได้นานสักเท่าไหร่? ยิ่งถ้าโลกนี้ไม่เหลือความสำเร็จอะไรให้บรรลุหรือค้นหาแล้ว การที่หลายคนจะรู้สึกขาดเป้าหมายในชีวิตให้ทำไปด้วยก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
“อืม… แล้วกลุ่มที่สามล่ะ?”
“กลุ่มที่สามนี่มีพื้นฐานคล้าย ๆ กับกลุ่มที่สอง คือรู้สึกเบื่อกับความเรียบง่ายและจำเจของชีวิต ไม่ว่าสื่อบันเทิงใด ๆ ก็ไม่สามารถมอบความรู้สึกพึงพอใจให้กับพวกเขาได้ คนเหล่านี้จึงเริ่มแสวงหาความบันเทิงด้วยกระบวนการผิดๆแทน ไม่ว่าจะเป็นยาเสพติด, เซ็กส์แบบวิตถาร, รวมไปถึงการทรมานมนุษย์จนตายด้วย”
เมื่อได้ยินวิธีหาความบันเทิงประเภทสุดท้าย ซาลก็ต้องเอ่ยแทรกด้วยความตกใจ
“หาความบันเทิงจากการฆ่าคนเหรอ!?”
“อืม เพราะชินชากับความบันเทิงแบบอื่น ๆ จนแทบไม่รู้สึกอะไรแล้ว คนกลุ่มนี้เลยแสวงหากิจกรรมแปลก ๆ สารพัดชนิดที่จะทำให้พวกเขารู้สึกตื่นเต้นเร้าใจขึ้นมาอีกครั้งได้ และในที่สุดก็ได้มาพบกับการทรมานคนทั้งเป็น วิทยาการ ความรู้ และสติปัญญาที่สั่งสมมาหลายร้อยปีถูกนำมาประยุกต์ให้เป็นสารพัดวิธีวิจิตรพิสดารในการทรมานคนแบบที่สุดจะจินตนาการได้ กลายเป็นอาการเสพติดชนิดใหม่ คือเสพติดความสุขจากการทรมานคนขึ้นมา ซึ่งนับวันจะยิ่งมีจำนวนผู้เสพติดการทรมานมากขึ้นเรื่อย ๆ จากช่วงแรก ๆ ที่เป็นพฤติกรรมหลบซ่อนที่แอบ ๆ ทำ แต่ภายในเวลาไม่ถึงสิบปีมันก็แทบจะกลายเป็นพฤติกรรมปกติที่พบเห็นได้ทั่วไป”
“แล้วไม่มีใครออกมาควบคุมหรือยับยั้งการกระทำผิดบ้างเลยเหรอ? ปล่อยให้เป็นแบบนั้นได้ยังไง?”
“ระบบรักษาความสงบของโลกในยุคนั้นเป็นระบบอัตโนมัติเกือบทั้งหมด แถมกลุ่มผู้รักสงบก็อยู่ในภาวะที่เสื่อมถอยลงเพราะการใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย บวกกับทุ่มเทการวิจัยไปที่สื่อบันเทิงมากกว่า ทำให้วิทยาการหยุดการพัฒนาและขาดคนดูแล ผิดกับฝ่ายผู้เสพการทรมานที่ยังคงมีเป้าหมายมีแรงจูงใจอยู่ พวกนั้นจึงหาทางหลบเลี่ยงและจัดการกับระบบรักษาความปลอดภัยอันล้าหลังได้ไม่ยาก จนในที่สุดวันหนึ่งฝ่ายผู้เสพการทรมานก็สามารถปิดระบบรักษาความปลอดภัยที่มีอยู่ทั้งหมดได้
และแล้วงานชุมนุมแห่งการทรมานคนครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ก็เริ่มต้นขึ้น เหล่าผู้รักสงบถูกลากออกจากบ้านของตัวเองมาตามท้องถนน และพวกผู้เสพการทรมานก็แข่งขันกันว่าใครจะทำให้เหยื่อของตัวเองทรมานได้มากที่สุดแต่ขาดใจตายช้าที่สุด เป็นวันที่เสียงโหยหวนแห่งความเจ็บปวดทรมานดังระงมไปทั่ว พร้อม ๆ กับอารยะธรรมอันรุ่งโรจน์ของมนุษย์ในยุคทองที่มาถึงจุดสิ้นสุด… โลกอันสมบูรณ์แบบใบแรกที่เราสร้างขึ้นมาก็ปิดฉากลงแบบนี้แหละ”
แค่ได้ฟังคำบอกเล่าของหญิงสาว ซาลก็ถึงกับหน้าถอดสีและรู้สึกผะอืดผะอมจนอยากจะอาเจียนแล้ว แต่เขาก็พยายามตั้งสติเอาไว้
ฝ่ายหญิงสาวที่เห็นอีกฝ่ายมีสีหน้าไม่ค่อยดีก็ไม่พูดอะไรต่อ เพื่อให้เขาได้หยุดพัก
——————————————————————————————————–
Part 2
หลังจากพักสูดลมหายใจได้ครู่หนึ่ง ซาลก็หันไปถามหญิงสาวถึงเรื่องราวต่าง ๆ อีกครั้ง
“ทำไมพระเจ้ากับสิบนักปราชญ์ถึงปล่อยให้โลกเป็นแบบนั้นได้ล่ะ ทำไมถึงไม่ยื่นมือลงไปช่วยหรือแก้ไขก่อนที่มันจะไปถึงจุดนั้น?”
“เพื่อให้มนุษย์ได้เรียนรู้ถึงเหตุผลของความผิดพลาดด้วยตัวเอง ‘ผู้เฝ้าดู’ จึงให้เหล่านักปราชญ์ทำงานโดยไม่เข้ามายุ่ง ส่วนสิบนักปราชญ์ก็มีแนวคิดว่าโลกที่ต้องคอยให้คนมาดูแลประคับประคองตลอดเวลาก็เป็นผลงานที่ใช้ไม่ได้เช่นกัน เหมือนกับเด็กที่ไม่ยอมโต ต้องให้พ่อแม่คอยเลี้ยงดูตลอด ก็ถือว่าเป็นมนุษย์ที่ล้มเหลวใช่มั้ยล่ะ? ในการสร้างโลกจึงกำหนดกฎเกณฑ์และรูปแบบของโลกเอาไว้เป็นการเริ่มต้น แล้วปล่อยให้โลกดำเนินไปถึงที่สุดโดยไม่มีการแทรกแซงจากผู้ใด เพื่อดูว่ากฎเกณฑ์ที่ออกแบบมานั้นสามารถสร้างโลกที่ดีและคงอยู่ด้วยตัวเองได้หรือไม่ นั่นคือกฎเมื่อสมัยนั้นน่ะนะ”
“แต่ว่า… แนวคิดที่จะสร้างโลกแบบนั้นมันก็ไม่ผิดนี่นา แค่ว่าครั้งแรกอาจให้ความสะดวกสบายกับมนุษย์มากเกินไปเท่านั้น ถ้าปรับลดอะไรลงมาสักหน่อยละก็…”
“อืม เหล่านักปราชญ์ก็คิดเช่นนั้น เลยทดลองสร้างโลกในรูปแบบเดียวกันขึ้นมาอีกหลายครั้ง โดยปรับลดสัดส่วนของปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ เพื่อหาจุดที่เหมาะสม แต่ปรากฏว่า ไม่ว่าจะยังไงมนุษย์ก็ดำเนินไปในเส้นทางแห่งการล่มสลายเหมือนเดิม ต่างกันแค่ช้าหรือเร็วเท่านั้น”
“หมายความว่า ธรรมชาติของมนุษย์แสวงหาความชั่วร้าย… และไม่ว่ายังไงก็ต้องล่มสลายงั้นเหรอ…”
“ไม่หรอก เพียงแค่ว่าความต้องการของมนุษย์นั้นไร้ที่สิ้นสุด เมื่อเราเติมเต็มความต้องการด้านสว่างจนครบแล้ว ความต้องการด้านมืดก็จะกลายเป็นสิ่งที่ขาดอยู่แทน มันไม่ใช่ว่าธรรมชาติของมนุษย์แสวงหาความชั่วร้าย แต่ธรรมชาติของสรรพสิ่งจะแสวงหาความสมดุลต่างหาก
ส่วนปลายทางที่ยังไงก็ไปสู่การล่มสลาย นี่ก็เป็นกฎของธรรมชาติเหมือนกัน ทุกอย่างย่อมมีอายุขัยและช่วงเวลาของตัวเอง เมื่อผ่านจุดสูงสุดก็จะเริ่มเข้าสู่จุดเสื่อมถอย พอเราเร่งการพัฒนาให้เร็วขึ้น ทำให้มนุษย์ไปถึงบั้นปลายของอารยะธรรมและความรุ่งโรจน์อย่างรวดเร็ว การเสื่อมถอยก็เลยมาถึงเร็วขึ้นด้วย
แต่เหตุผลที่แท้จริงของเรื่องนี้ยังมีอยู่อีกอย่างหนึ่ง รู้รึเปล่าว่าคืออะไร?”
ซาลนิ่งเงียบไปพักหนึ่งเพื่อคิดทบทวนคำถามนั้น ซึ่งฝั่งหญิงสาวก็ให้เวลาเขาคิดอย่างเต็มที่
“ผมคิดว่า… เป็นเพราะการพัฒนาแต่ด้านวัตถุอย่างรวดเร็ว ไม่ได้พัฒนาด้านจิตใจควบคู่ตามไปด้วย ทำให้ความรุ่งโรจน์เหล่านั้นกลายเป็นพิษที่ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเองในที่สุด”
เมื่อได้ยินคำตอบนั้น หญิงสาวจ้องมองซาลด้วยสายตาที่แสดงความพึงพอใจออกมา
“ถูกต้องแล้วล่ะ เพราะเรามุ่งเน้นการตอบสนองความต้องการด้านวัตถุมากเกินไปจนละเลยเรื่องของจิตใจ หลังจากนั้นเราเลยพยายามสร้างกฎต่าง ๆ เพื่อให้มนุษย์สามารถพัฒนาทางด้านจิตใจได้เร็วขึ้น แต่การจะพัฒนาจิตใจไม่สามารถทำได้ด้วยการให้พบกับความสุขความสมหวังแค่เพียงอย่างเดียว มันต้องอาศัยการเผชิญหน้ากับความทุกข์ ความยากลำบาก และการเอาชนะด้านมืดของตัวเอง จึงจะสามารถพัฒนาจิตใจได้ นั่นทำให้พวกเราย้อนกลับมาสู่จุดเดิมคือ ท้ายที่สุดแล้วก็ต้องปล่อยให้มนุษย์อยู่ในโลกที่มีทั้งความทุกข์และความสุขคละเคล้ากันไป ก็คือโลกที่มีความขัดแย้งเหมือนเดิมนั่นเอง”
คำอธิบายนั้นทำให้ซาลนิ่งเงียบไปอีกครั้ง เพราะเมื่อทบทวนตามคำพูดของอีกฝ่ายดูแล้ว ทุกอย่างก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ความคิดที่ว่าจะให้มนุษย์พัฒนาจิตใจไปพร้อม ๆ กับให้อยู่อาศัยในโลกที่ไร้ซึ่งความทุกข์ยากนั้นเป็นเรื่องที่ขัดกันเอง ซึ่งเขาไม่เคยมองมันในแง่มุมนี้มาก่อน แต่เขาก็ยังคิดว่าน่าจะมีวิธีอื่นอยู่
“พี่สาวกับเหล่านักปราชญ์น่ะ… ไม่สามารถตั้งกฎให้แก้ไขที่ตัวมนุษย์ได้เหรอ?”
“นั่นก็เป็นสิ่งที่เราเคยทำเหมือนกันนะ เพราะปัญหาทั้งหมดทั้งมวลเกิดจากความต้องการอันไม่สิ้นสุดของมนุษย์ ก็คือกิเลส ครั้งหนึ่งเราจึงสร้างโลกที่ไม่มีกิเลสขึ้นมา ลองทายซิว่าจะเป็นยังไง?”
“ถ้าไม่มีกิเลส ก็ไม่มีความต้องการ และไม่มีความขัดแย้ง ถึงการพัฒนาอาจจะช้าหน่อยเพราะไม่มีกิเลสเป็นแรงผลักดัน แต่ก็น่าจะเป็นโลกที่สงบสุขดีนะ”
“นั่นก็ถูก โลกที่ไม่มีกิเลสก็ไม่มีความขัดแย้ง ทุกคนก็อยู่ร่วมกันอย่างสงบเพราะไม่มีใครต้องการอะไรมากไปกว่าสิ่งที่ตัวเองมีหรือหามาได้ แต่ในขณะเดียวกันมันก็เป็นโลกที่ไม่มีพัฒนาการเลย เพราะทุกคนพึงพอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ ไม่คิดจะขวนขวายหรือพัฒนาอะไรให้มันดีขึ้น เก็บผักผลไม้ป่า ล่าสัตว์ประทังชีวิต อยู่กระท่อมยังไงก็อยู่อย่างงั้น ใช้ชีวิตเหมือนมนุษย์ยุคหินกันเป็นเวลาร่วมร้อยปีก็ไม่มีอะไรพัฒนา เนื่องจากไม่มีกิเลสเป็นแรงผลักดันให้อยากพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น จริง ๆ คนในโลกนั้นก็อยู่กันอย่างมีความสุขในแบบของพวกเขาล่ะนะ แต่สำหรับเหล่านักปราชญ์ที่เฝ้าดูอยู่แล้ว มนุษย์ที่หยุดการพัฒนาอยู่แค่นั้นก็ไม่ต่างไปจากผลงานที่ล้มเหลวเลย”
“อืม… งั้นถ้าตั้งกฎให้มนุษย์ทุกคนเป็นคนดีล่ะ? พอจะทำได้รึเปล่า?”
“นั่นก็เป็นสิ่งที่เคยทำแล้วเหมือนกัน เราสร้างโลกที่ทุกคนเป็นคนดี ใช้คุณธรรม จริยธรรม มโนธรรม เป็นตัวนำในการดำเนินชีวิต ทุกคนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน ทำในสิ่งที่ถูกต้อง เป็นโลกที่สงบสุขและรื่นรมย์มากทีเดียว”
“เห~ ก็น่าจะไปได้สวยนี่นา แล้วทำไมถึง…”
“เพราะมันเป็นการฝืนธรรมชาติไงล่ะ ยังไงมนุษย์ก็ไม่เคยพอใจในสิ่งที่เป็นอยู่ เมื่อโลกอันแสนสงบสุขดำเนินไปได้ราว ๆ ร้อยปี มนุษย์ก็เริ่มเบื่อหน่ายและชินชากับความสงบสุขนั้น แรก ๆ มันก็เป็นความสุขที่ได้ใช้ชีวิตอย่างถูกต้อง ไร้ซึ่งความขัดแย้ง แต่พอนาน ๆ ไปสิ่งที่เป็นความสุขก็กลายเป็นเรื่องธรรมดาเพราะเจอมาจนชินแล้ว สุดท้ายเลยไม่มีอะไรที่เรียกว่าเป็นความสุขได้เลยเพราะจิตใจอันชินชากับสิ่งเดิม ๆ
แต่เพราะคราวนี้มีกฎที่ทำให้ทุกคนเป็นคนดีอยู่ จึงไม่มีใครแหวกกฎทำเรื่องเลวร้ายเหมือนกับในครั้งแรก ได้แต่ใช้ชีวิตอย่างเบื่อหน่าย ไม่สุขไม่ทุกข์ต่อไป ท้ายที่สุดแล้วมนุษย์ทั้งหมดก็มีสภาพเหมือนกับเป็นพืช คือไม่มีความยินดียินร้าย ชินชากับทุกอย่าง ใช้ชีวิตประจำวันไปเรื่อย ๆ พร้อมกับอารมณ์ความรู้สึกที่ค่อย ๆ เลือนหายไปทีละน้อย กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ไปวัน ๆ เท่านั้น”
“แต่ทุกคนก็อยู่กันอย่างสงบไม่ใช่เหรอ? แบบนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไรมั้ง…”
“ถึงจะอยู่กันอย่างสงบสุขได้ก็จริง แต่สภาพการดำเนินชีวิตแบบนั้นยังเรียกว่าเป็นมนุษย์ได้อีกเหรอ? อยู่ไปวัน ๆ ไร้ซึ่งความรู้สึก ไม่มีความยินดียินร้าย เป็นเหมือนกับพืชอีกชนิดหนึ่งที่เติบโตอยู่บนโลกเท่านั้นเอง นั่นคือวิถีชีวิตที่มนุษย์ควรจะเป็นงั้นเหรอ?”
เมื่อถูกย้อนถาม ซาลก็นิ่งเงียบไป แต่แม้จะคิดอยู่เป็นเวลานาน เขาก็นึกคำตอบอื่น ๆ ที่จะโต้แย้งกลับไปไม่ออกอยู่ดี
——————————————————————————————————–
Part 3
ในเมื่อทุกแนวคิดที่เขาพอจะนึกออกต่างก็เป็นแนวคิดที่เคยทำมาแล้ว และได้ล้มเหลวไปแล้ว ทั้งอีกฝ่ายก็ยังอธิบายเหตุผลอย่างละเอียดจนเขาไม่สามารถโต้แย้งได้ ซาลจึงยอมรับในเรื่องนี้ และหันไปถามเรื่องอื่น ๆ แทน
“นี่พี่สาวกับเหล่านักปราชญ์สร้างโลกมากี่ครั้งแล้วเนี่ย?”
“ไม่มีใครนับแบบจริง ๆ จัง ๆ หรอก ที่ยกตัวอย่างมาให้ฟังนี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ความจริงเรายังทดลองสร้างโลกแบบต่าง ๆ อีกมากมายจนนับไม่ถ้วน เพราะไม่เชื่อคำพูดของ ‘ผู้เฝ้าดู’ ที่ว่าได้ลองมาหมดทุกแบบแล้วไงล่ะ แต่สุดท้ายก็เป็นอย่างที่เจ้านั่นพูดจริง ๆ …”
หญิงสาวพูดออกมาด้วยสายตาที่แสดงความหงุดหงิดเล็กน้อย มันก็เป็นเรื่องปกติสำหรับคนที่ไม่เชื่อคำพูดของคนอื่นและพยายามพิสูจน์สิ่งนั้นอย่างเต็มความสามารถ แต่สุดท้ายก็ต้องยอมรับว่าตนเองเป็นฝ่ายคิดผิด เป็นเรื่องที่ต้องกล้ำกลืนฝืนใจมากทีเดียว
“งั้นโลกที่เป็นอยู่ตอนนี้คือแบบที่ดีที่สุดแล้วงั้นเหรอ?”
“เรื่องนั้นยังสรุปไม่ได้หรอกนะ บอกได้แค่ว่าเป็นรูปแบบที่ค่อนข้างสมดุล และการอยู่มาได้ถึงสามร้อยปีก็นับเป็นสถิติใหม่เลยล่ะ”
“แต่ทั้งมีการแทรกแซงจากสวรรค์ ทั้งมีพี่สาวลงมาตั้งเมืองของตัวเองแบบนี้ ไม่เห็นจะตรงกับเงื่อนไขที่บอกไว้ทีแรกเลยนี่นา”
“เพราะท้ายที่สุดแล้วเราได้ข้อสรุปว่าพวกเราหลงตัวเองเกินไปไงล่ะ ที่พยายามสร้างโลกอันสมบูรณ์แบบให้กับมนุษย์ที่เต็มไปด้วยข้อบกพร่อง แถมโลกนี้มันก็ไม่เหมือนกับโลกเก่า มันไม่ใช่โลกที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติแต่แรก สิ่งที่เราเพิ่มเติมลงไปโดยหวังว่าจะให้โลกเป็นไปในแนวทางที่ต้องการก็มีมากมาย
หากไม่คอยกำกับดูแลหรือปรับแต่งอย่างใกล้ชิดคงเป็นการยากที่จะให้โลกดำเนินไปในทางที่ถูกที่ควร เราเลยตัดสินใจจะอยู่กำกับดูแลควบคู่ไปด้วยจนถึงที่สุด และเพราะไม่คิดเรื่องการสละตำแหน่งหน้าที่แล้ว นักปราชญ์หลาย ๆ คนเลยทำการตั้งรกรากบนโลกตามใจชอบแทน ซึ่งสำหรับฉันก็คืออาณาจักรนี้ไงล่ะ”
ทำพูดนั้นทำให้ซาลเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสนใจ
“หมายความว่ายังมีนักปราชญ์คนอื่น ๆ ลงมาตั้งอาณาจักรอีกเหรอ?”
“ไม่หรอก เจ้าพวกนั้นส่วนใหญ่ไม่ชอบเรื่องยุ่งยากและอยากใช้ชีวิตอิสระมากกว่า ดังนั้นคงเลือกที่จะเป็นคนธรรมดาใช้ชีวิตอย่างสุขสบายอยู่ในอาณาจักรที่ตัวเองชอบสักแห่งนั่นแหละ”
“อืม…”
“เอาล่ะ ทีนี้ก็มาถึงคำถามอย่างเป็นทางการข้อต่อไปล่ะนะ ความปรารถนาสูงสุดของเธอคืออะไร?”
ซาลชะงักไปเล็กน้อยเพราะถูกถามแบบไม่ทันตั้งตัว แต่เขาก็ตอบเธอกลับไปด้วยสายตาอันมุ่งมั่น
“ผมอยากจะพาทุกคนในครอบครัวกลับมาอยู่ร่วมกันอย่างพร้อมหน้าครับ”
หญิงสาวฟังคำตอบนั้นก็จ้องมองซาลอยู่เพักหนึ่งเหมือนกำลังพิจารณาอะไรบางอย่าง ก่อนจะละสายตาไปมองน้ำพุที่อยู่ตรงหน้าและพูดกับเขาอีกครั้ง
“นั่นรวมถึงพ่อกับแม่ของเธอด้วยงั้นเหรอ?”
“ใช่ครับ!”
“อืม… มันก็ยากอยู่นา… คนหนึ่งอยู่บนสวรรค์ อีกคนหนึ่งก็อยู่ในนรกแบบนี้น่ะ”
“แต่ว่า! อะ… เอ๋? พี่สาวรู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ?”
“คิดว่าในโลกนี้มีลูกครึ่งทูตสวรรค์อยู่สักกี่คนกัน? โดยเฉพาะคนที่น่าจะเป็นรุ่นสุดท้ายอย่างเธอน่ะมีแค่สองคนเท่านั้นแหละ ทีแรกยังนึกว่าเป็นคนน้องด้วยซ้ำนะเนี่ย”
เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดถึงน้องสาว ดวงตาของซาลก็เบิกโพลงขึ้น
“รู้จักน้องของผมด้วยเหรอ!? แล้วรู้รึเปล่าว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน!?”
“ก็แค่รู้ว่าลูกครึ่งรุ่นสุดท้ายเป็นเด็กฝาแฝดชายหญิงน่ะ ไม่เคยเจอตัวจริงหรอก ส่วนน้องสาวของเธอ… ถึงพวกพีชคีปเปอร์จะไม่ยอมบอกว่าอยู่ที่ไหน แต่เขาก็น่าจะอยู่ในที่ ๆ ปลอดภัย ใช้ชีวิตสุขสบายดี ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะ”
“ฮึ่ม… พี่สาวน่ะเก่งออกขนาดนี้ ไม่เห็นจะต้องไปเกรงใจพีชคีปเปอร์เลยนี่นา! ทำไมไม่ซัดเจ้าพวกนั้นจนกว่าจะยอมบอกล่ะ!?”
เพราะอยากรู้เรื่องของน้องสาว บวกกับความไม่พอใจที่มีต่อพีชคีปเปอร์ ซาลจึงหลุดคำพูดด้วยอารมณ์ออกไป และเขาก็นึกขึ้นได้ว่าไม่ควรแสดงท่าทีแบบนั้นให้อีกฝ่ายคิดว่าเขาเป็นคนโหดร้ายหรือชอบความรุนแรง แต่มานึกได้ตอนนี้ก็ออกจะสายไปสักหน่อย
ทางด้านหญิงสาวก็มีอาการประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนจะแสดงสายตาที่เหมือนกำลังยิ้มอยู่ออกมา และกล่าวต่อ
“มันน่าหงุดหงิดก็จริงอยู่นะ แต่คนเราจะใช้กำลังแก้ไขปัญหาทุกอย่างไม่ได้หรอก อีกอย่างคือตอนนี้ฉันในตอนนี้ไม่ใช่คนพเนจรไร้หน้าไร้ชื่อที่จะทำอะไรก็ได้เหมือนเมื่อก่อน ฉันมีลิลลี่โฮไรซอน มีผู้คนที่เคารพบูชาและมองฉันเป็นแบบอย่าง การกระทำต่าง ๆ จะส่งผลต่อพวกเขาทั้งในทางตรงและทางอ้อม เลยไม่สามารถทำอะไรตามใจได้มากนัก ไม่งั้นจะเกิดปัญหาตามมาทีหลัง… เรียกว่าเป็นเรื่องยุ่งยากที่ฉันหาเหาใส่หัวเองก็ได้ แต่โลกนี้มันก็ไม่มีอะไรที่ได้มาเปล่า ๆ อยู่แล้วล่ะนะ”
หญิงสาวพูดอธิบายโดยในบางช่วงบางตอนเธอก็แสดงสีหน้าเบื่อหน่ายออกมาด้วย แต่ซาลก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของเธอดี และนั่นทำให้เขาเริ่มคิดว่าผู้หญิงคนนี้ก็ไม่ใช่คนที่ทำอะไรตามใจโดยไม่สนเหตุผลหรือผู้อื่นซะทีเดียว
ระหว่างที่ซาลกำลังพิจารณาเรื่องนั้นอยู่ อีกฝ่ายก็เอ่ยคำพูดที่ทำให้เขาต้องแปลกใจออกมา
“ฉันถือว่าเธอผ่านการทดสอบก็แล้วกัน”
“เอ๋? จริงเหรอครับ!?”
“อื้ม”
แม้จะรู้สึกสับสนนิดหน่อยที่การทดสอบจบลงแบบง่าย ๆ แต่เขาก็คิดว่านับเป็นเรื่องที่ดีแล้ว
ระหว่างนั้น หญิงสาวทอดสายตาไปยังด้านหลังของซาลเหมือนกับเธอกำลังมองอะไรบางอย่าง ทำให้เขารู้สึกสงสัยแต่หันไปมองบ้างก็ไม่พบว่ามีอะไรอยู่ตรงนั้นเลย เขาจึงหันกับมามองอีกฝ่ายด้วยท่าทางงุนงง
“ไม่มีอะไรหรอก อย่าไปใส่ใจเลย เอ้า ไปเดินเที่ยวมหาลัยกันดีกว่า ฉันจะเป็นคนพาทัวร์เอง เผื่อจะสนใจอยากเรียนต่อที่นี่ไงล่ะ”
คำชวนที่ไม่มีปี่มีขลุ่ยนั้นทำให้ซาลต้องขมวดคิ้วอีกครั้ง
“หา!? ไม่เอาด้วยหรอก! ขืนอยู่ที่นี่ก็ต้องเป็นผู้หญิงไปตลอดน่ะสิ!”
“ถ้างั้นข้อตกลงก็เป็นอันยกเลิก”
“อ้าว!?!? ทำไมถึงเป็นแบบนั้นไปได้ล่ะเนี่ย!?”
ซาลยิ่งมีสีหน้าบิดเบี้ยวขึ้นอีกเพราะไม่เข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายว่าจะเอายังไงกันแน่ ส่วนหญิงสาวก็ยังคงพูดด้วยสีหน้าและแววตาที่จริงจังต่อไป
“คนที่ปฏิเสธวิถีแห่งยูริน่ะเป็นคนที่ไว้ใจไม่ได้ ฉันคงปล่อยให้ครอบครอบอาติแฟคชิ้นนั้นไม่ได้หรอก”
“นี่ล้อเล่นใช่มั้ยเนี่ย!?”
“ก็ล้อเล่นน่ะสิ ใครจะไปเอาเรื่องพวกนี้มาปนกันล่ะ แต่ที่ให้เดินชมมหาลัยน่ะเป็นเรื่องจริงนะ ความจริงเรามีแผนก ม.ต้น กับ ม.ปลาย ด้วย ฉันจะพาไปดูให้ทั่วเลย มาเถอะ”
เธอปรับสีหน้าอย่างกะทันหันกลายเป็นสีหน้าล้อเล่นและจูงมือซาลเดินออกไปจากสวนหย่อม โดยไม่สนใจสีหน้าของเจ้าตัวที่ทั้งงุนงงและสับสนเพราะปรับอารมณ์ตามไม่ทัน
นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าแซนโดรเป็นคนที่น่ารักกว่าเยอะเลย
ถ้านำมาเทียบกับผู้หญิงคนนี้ละก็