Doombringer the 5th - ตอนที่ 78
Ch.78 – คนเป็นในโลกที่ตายแล้ว
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 78
คนเป็นในโลกที่ตายแล้ว
Part 1
หญิงสาวพาซาลเดินชมมหาวิทยาลัยลิลลี่โฮไรซอนจนเกือบทั่ว
เหล่านักศึกษาสาวที่เดินไปมาอยู่ในบริเวณมหาลัยนี้ต่างก็สวมชุดยูนิฟอร์มแบบเดียวกันทำให้เขารู้สึกสงสัยเล็กน้อยเพราะปกติระดับมหาวิทยาลัยจะไม่มียูนิฟอร์มเฉพาะ แต่ให้ทุกคนสวมใส่ชุดสุภาพแบบไหนก็ได้ตามใจชอบ ที่เขารู้เรื่องนี้เพราะเซย์ พี่สาวของเขาเคยเล่าให้ฟัง
แต่นักศึกษาทุกคนในนี้กลับสวมชุดยูนิฟอร์มแบบเดียวกันหมด มันเป็นชุดกระโปรงวันพีชที่ดูเรียบร้อยราวกับเป็นชุดของพวกนักบวชหญิง สวมทับด้วยเสื้อสูทแบบครึ่งตัวดูเป็นทางการ นับว่าดูแปลกตาดี แต่นอกจากนั้นแล้วก็ไม่มีอะไรที่เขารู้สึกว่าน่าสนใจเท่าไหร่
อันที่จริงไม่ใช่ว่าเขาไม่สนใจความแปลกตาของทิวทัศน์ในลิลลี่โฮไรซอน แต่เพราะใจเขาไม่สงบนักเนื่องจากยังไม่รู้ชะตากรรมที่แน่ชัดของทุกคน ส่วนบิ๊กซิสฯ ก็บอกแค่ว่าทุกคนยังไม่ตาย ซึ่งไม่ใช่คำตอบที่น่าพอใจสักเท่าไหร่ เขาจึงไม่มีกะจิตกะใจจะชมทิวทัศน์ในตอนนี้
หญิงสาวพาเขาเดินเลยไปจนถึงแผนกมัธยมปลายที่อยู่ใกล้ ๆ กัน ซึ่งก็ไม่ทำให้เขารู้สึกแตกต่างกันนัก แถมยิ่งเวลาผ่านไปก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดเพราะเหมือนกับกำลังเสียเวลาเปล่า จึงเอ่ยถามอีกฝ่ายไปตรง ๆ
“ไหนพี่สาวบอกว่าไม่อยากเสียเวลาไงล่ะ? พามาเดินชมเมืองแบบนี้ไม่ใช่การเสียเวลาเหรอ?”
“ก็ไม่อยากเสียเวลาคุยกับแม่หนูคนนั้น (แซนโดร) แต่การพาเธอชมเมืองมันเป็นเรื่องที่เสียเวลาได้ไง”
“สรุปว่าจริง ๆ แล้วก็ว่างนี่นา! ไม่เห็นจะรีบร้อนตรงไหนเลย!”
“คนเราว่างหรือไม่ว่างมันก็ขึ้นกับความพึงพอใจในการใช้เวลาทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ? เธอไม่เคยเป็นรึไง ที่อ้างกับคนอื่นไปว่าไม่มีเวลา ทั้งที่ความจริงแล้วมีเวลาเหลือเฟือ แค่เอามันไปทำอย่างอื่นจนหมดน่ะ หรือเวลามีคนถามว่าว่างพอจะทำอะไรบางอย่างรึเปล่า คำตอบก็ขึ้นกับว่าเธออยากจะทำสิ่งนั้นมั้ย ถ้าไม่ก็ขอนั่งเฉย ๆ ดีกว่า เลยตอบไปว่าไม่ว่าง อะไรแบบนี้น่ะ นี่ก็เป็นเหตุผลเดียวกันนั่นแหละ”
หญิงสาวตอบกลับมาอย่างเปิดเผยทุกถ้อยคำ ทำให้เขาโต้แย้งกลับไปไม่ออก แต่ก็ยังรู้สึกหงุดหงิดอยู่ดี เพราะสุดท้ายแล้วมันก็เป็นความเอาแต่ใจนั่นแหละ
ระหว่างเดินชมวิวต่อไป เขาก็นึกคำถามบางอย่างขึ้นมาได้อีก
“นี่… พี่สาว พอจะคะเนจำนวนครั้งของการสร้างโลกได้รึเปล่า? ว่าเคยสร้างมากี่ครั้งแล้ว”
“จำไม่ได้หรอก แต่ก็น่าจะหลายพัน หรือหลายหมื่นแล้วล่ะมั้ง คิดว่านะ”
“แต่ละรอบก็ใช้เวลาเป็นร้อยปี แบบนี้มิเท่ากับว่าพี่สาวกับเหล่านักปราชญ์ต้องทำหน้าที่มาเป็นเวลานับแสน ๆ ปีเลยเหรอ?”
“ไม่หรอก ตอนที่พวกเรายังเป็นแค่ ‘คนนอก’ ซึ่งกำหนดกฎแล้วปล่อยให้โลกดำเนินไปด้วยตัวเองน่ะ เราสามารถเร่งเวลาของโลกได้ ปกติแล้วจะตั้งความเร็วเอาไว้ที่ประมาณ 1 ปีของโลกเท่ากับ 1 นาทีของที่ประชุมนักปราชญ์ มีการหยุดหรือชะลอเวลาบ้างในบางครั้งเพื่อสังเกตการเปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิด ดังนั้นการเฝ้าดูโลกแต่ละรอบก็จะใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง”
“อ๋อ แบบนี้นี่เอง ถ้าโลกอยู่ได้สักสองร้อยปี ก็จะใช้เวลาเฝ้าดูราว ๆ สามชั่วโมงสินะ?”
“หากเห็นว่าพัฒนาการเป็นไปอย่างเชื่องช้า หรือไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรสำคัญ ๆ เราก็จะทำการเร่งเวลาขึ้นด้วยน่ะ ดังนั้นเวลาที่ใช้ในการเฝ้าดูโลกแต่ละครั้งจึงไม่แน่ไม่นอน”
“อืม… แต่นั่นคือตอนที่บอกว่าเป็น ‘คนนอก’ แล้วตอนนี้มันต่างไปยังไงเหรอ?”
“เพราะตอนนี้เหล่านักปราชญ์ลงมาใช้ชีวิตอยู่บนโลกด้วยแล้ว พวกเราจึงไม่ใช่คนนอกอีกต่อไป แต่เป็นเหมือนกับผู้อาศัยบนโลกนี้คนหนึ่งเช่นเดียวกัน ตอนนี้เวลาของพวกเราจึงดำเนินไปพร้อมกับโลกนี่แหละ”
“งั้นพี่สาวก็อายุแค่ราว ๆ สามร้อยกว่าปีสินะ? นึกว่าเป็นแสนปีแล้วซะอีก”
“ทางเทคนิคแล้วอาจนับเป็นแสนปีได้เหมือนกันนะ”
“ไม่ถือเรื่องอายุด้วย! ใจกว้างจริงๆ”
“เธอชอบยั่วโมโหคนเป็นงานอดิเรกเหรอ?”
“เปล่าซะหน่อย! ก็แค่ว่า… มันช่วยให้รู้จักกับอีกฝ่ายมากขึ้นไงล่ะ”
“อืม… ปีนี้เธออายุเท่าไหร่?”
“อ่า… เก้าขวบ กับอีกเจ็ดเดือนครับ
“แปลว่าออกจากโรงเรียนอีจิสตอนช่วงที่เป็นนักผจญภัยรุ่นเยาว์ใช่มั้ย?”
“ผมไม่ได้ออกซะหน่อย โรงเรียนมันเจ๊งไปเองต่างหาก (จริง ๆ คือเจ๊งเพราะแซนโดรอะนะ)”
“หุหุหุ พูดเล่นได้แบบนี้แปลว่าไม่ติดใจอะไรแล้วสินะ?”
หญิงสาวกล่าวหยอกล้อ แต่นั่นกลับทำให้ซาลนิ่งเงียบไปและมีแววตาที่เศร้าหมองลงเล็กน้อย ทำให้เธอคิดว่าอีกฝ่ายก็ยังไม่ลืมเรื่องของโรงเรียนอีจิสซะทีเดียว แต่นั่นก็อาจเป็นเรื่องที่ดีก็ได้
หญิงสาวพาซาลเดินวนมายังสวนสาธารณะขนาดเล็กใกล้ ๆ กับลานกว้างด้านหลังอพาร์ทเมนท์ซึ่งแซนโดรนำรถม้าเข้ามาจอดเพื่อพูดคุยแผนการก่อนจะเจอกับบิ๊กซิสฯ เข้า เขาจึงรู้สึกสงสัยเล็กน้อยว่าทำไมเธอจึงพาวนกลับมาที่เดิม
แต่เมื่อมองไปที่ลานกว้างนั้น เขาก็พบกับภาพที่ทำให้ต้องตกใจ
เพราะที่ลานกว้างนั้น มีบิ๊กซิสฯ ในร่างเด็ก กำลังยืนเผชิญหน้ากับแซนโดร, ลานาเทล, นิโคล, อัลติม่า, และตัวเขาเอง เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
——————————————————————————————————–
Part 2
ซาลที่รู้สึกประหลาดใจอย่างมากหันไปถามหญิงสาวที่อยู่ข้าง ๆ ด้วยอาการลุกลี้ลุกลน
“นั่นมัน! พวกเราไม่ใช่เหรอ!? ทำไมกันล่ะ!?”
“ไม่ต้องตกใจไป ก็พวกเธอนั่นแหละ”
“หมายความว่ายังไงกันแน่เนี่ย!?”
“ลองมองดูพระอาทิตย์ให้ดี ๆ สิ”
เมื่อได้ยินที่หญิงสาวพูด ซาลก็หันไปมองดูดวงอาทิตย์ตามที่เธอบอก แต่ก็ไม่เห็นความผิดปกติอะไรในทีแรก ทว่าเมื่อลองพิจารณาดูดี ๆ แล้วเขาก็พบความผิดปกติอย่างหนึ่ง
“ตอนที่พวกเรามาถึงที่นี่ก็เป็นช่วงเวลาบ่ายแก่ ๆ แล้วนี่นา… แล้วพี่สาวก็พาผมไปคุยกับเดินรอบมหาลัยอีก รวมเวลาทั้งหมดน่าจะเกือบสองชั่วโมงได้ ตอนนี้ก็น่าจะเข้าช่วงเย็นแล้ว… แต่พระอาทิตย์ยังอยู่ในตำแหน่งเหมือนเป็นช่วงบ่ายอยู่เลย?”
“ใช่แล้วล่ะ ตอนนี้ยังเป็นช่วงบ่ายอยู่ ช่วงเวลาเดียวกับที่พวกเธอเพิ่งจะมาถึงไงล่ะ”
“แปลว่าพี่สาวพาผมย้อนเวลากลับมางั้นเหรอ?”
“อืม ความจริงแล้วตอนที่แตะสัมผัสตัวเธอครั้งแรก ฉันก็พาเธอย้อนเวลากลับมาเมื่อตอนเที่ยงด้วยน่ะ”
“ที่ว่ามีความสามารถในการควบคุมเวลาก็คือแบบนี้เองเหรอเนี่ย!? ไร้เทียมทานไปเลยนี่นา!”
“มันไม่ใช่ของที่สะดวกสบายแบบนั้นหรอกนะ ความสามารถนี้ยังมีเงื่อนไขจุกจิกมากมาย ทำให้ไม่ค่อยมีประโยชน์น่ะ”
“จะไม่มีประโยชน์ได้ยังไงกันล่ะ? ย้อนเวลาได้ก็เท่ากับแก้ไขประวัติศาสตร์ได้เลยไม่ใช่เหรอ? เป็นความสามารถที่สุดยอดเลยนะ!”
“ถึงย้อนกลับไปแก้ไขอดีต ก็เปลี่ยนปัจจุบันไม่ได้หรอก”
“เห? ทำไมล่ะ?”
“ต้องอธิบายก่อนว่า ความสามารถของฉันคือการ ‘ควบคุมเวลาของตัวเอง’ ไม่เชิงว่าจะเป็นความสามารถที่ใช้ควบคุมเวลาหรือเดินทางข้ามเวลาได้ตามใจชอบ ที่สำคัญคือมีกฎอยู่ว่าตัวตนของฉันจะผูกมัดอยู่กับเส้นเวลานี้ซึ่งเป็นเส้นเวลาหลัก ทำให้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรด้วยการเดินทางข้ามเวลาได้”
ซาลไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายอธิบายเลยสักนิดจึงได้แต่แสดงสีหน้างงงวยออกมา
“เอ่อ… รู้สึกงงอยู่ดีอะ”
“อืม… ก็สมมุติว่าถ้าฉันย้อนเวลากลับไปเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่างหนึ่งในประวัติศาสตร์ ทำให้ประวัติศาสตร์เปลี่ยนแปลงไป มันจะเป็นการสร้างเส้นเวลาใหม่แตกแขนงออกไปจากเส้นเวลาเดิม เป็นโลกใหม่อีกโลกหนึ่งที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์นั้น
แต่เมื่อกลับมายังปัจจุบัน ตัวฉันจะกลับมายังเส้นเวลาเดิมที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ ไม่ใช่ปัจจุบันของอีกเส้นเวลาที่ประวัติศาสตร์เปลี่ยนแปลงไปแล้ว เพราะตัวตนของฉันผูกมัดอยู่กับเส้นเวลานี้ สรุปว่าไม่ว่าจะย้อนกลับไปแก้ไขประวัติศาสตร์ยังไงก็ไม่มีประโยชน์ เพราะต้องกลับมายังปัจจุบันที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ไงล่ะ”
“อา… เหมือนจะพอเข้าใจอยู่บ้าง… แล้วถ้าเดินทางข้ามเวลาไปดูอนาคตล่ะ?”
“ฉันเดินทางไปอนาคตไม่ได้หรอก”
“อ้าว? ทำไมล่ะ? ถ้าเดินทางย้อนไปอดีตได้ก็น่าจะไปอนาคตได้ด้วยนี่นา”
“ความสามารถของสิบนักปราชญ์รวมถึงตัวฉันเองได้มาจากพรของ ‘ผู้เฝ้าดู’ ซึ่งจะแปรเปลี่ยนปณิธานให้กลายเป็นเอกสิทธิ์ส่วนบุคคล ลักษณะความสามารถพิเศษที่ได้มาจึงขึ้นกับปณิธานนี้ คงต้องบอกว่าฉันเองเป็นคนที่ไม่สนใจเรื่องของอนาคตเท่าไหร่ สนใจแค่ปัจจุบันและอดีตเท่านั้น เลยได้ความสามารถในลักษณะนี้มา”
“อา… เดินทางไปได้แค่ในอดีต แต่ก็เปลี่ยนแปลงปัจจุบันไม่ได้ เป็นความสามารถที่ไร้ประโยชน์จริง ๆ ด้วยแฮะ… เอ๋? แต่พี่สาวก็เคยต้านสี่กองทัพในเวลาเดียวกันไม่ใช่เหรอ? นั่นไม่ใช่การย้อนเวลากลับมาแก้ประวัติศาสตร์หรอกเหรอ?”
“เพราะนั่นเป็นการทำตามประวัติศาสตร์ ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์”
“เห… ชักจะงงเข้าไปใหญ่แล้วนะเนี่ย”
“เพราะตัวฉันในตอนนั้นตั้งใจเอาไว้ว่าในอนาคตจะย้อนเวลากลับมาเพื่อรับมือกับอีกสามทัพที่เหลือ ทำให้ช่วงเวลาปัจจุบันถูกกำหนดเอาไว้แล้วว่าฉันจะสู้กับการโจมตีทั้งสี่ด้านพร้อมกัน เป็นการสร้างประวัติศาสตร์ในปัจจุบันขึ้นโดยความตั้งใจ
พอตัวฉันในอนาคตย้อนกลับมาทำตามความตั้งใจนั้นเลยไม่ถือเป็นการเปลี่ยนประวัติศาสตร์ ไม่ทำให้เกิดเส้นเวลาใหม่ เพราะกลับมาทำในสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์อยู่แล้วนั่นเอง จึงเป็นการทำตามประวัติศาสตร์ เหมือนกับที่เราทำอยู่ตอนนี้ไงล่ะ ตัวฉันตรงโน้นตั้งใจเอาไว้อยู่แล้วว่าจะพาเธอกลับมาที่นี่ มันจึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามประวัติศาสตร์ที่ฉันต้องการจะให้เป็น แต่ถึงจะฟังดูดี มันก็ไม่ใช่อะไรที่ทำได้ง่าย ๆ แบบนั้นหรอกนะ ยังมีข้อจำกัดและเรื่องที่ทำไม่ได้อีกเยอะ”
“อา… บอกตรง ๆ ว่าแทบไม่เข้าใจเลยอะ แต่พอจะสรุปได้ว่า ถ้าตั้งใจและวางแผนไว้ ก็สามารถส่งตัวเองจากอนาคตกลับมายังปัจจุบันได้สินะ? แบบนี้ก็น่าจะให้ตัวเองในอนาคตกลับมาบอกเรื่องราวในอนาคตล่วงหน้าได้ไม่ใช่เหรอ?”
“ถ้าทำแบบนั้นจะถือเป็นการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ และทำให้ช่วงเวลาปัจจุบันกลายเป็นเส้นเวลาใหม่ที่เกิดจากการล่วงรู้อนาคต ส่วนอนาคตที่จากมาจะถูกปกป้องด้วยกฎของเส้นเวลาหลัก ทำให้มันยังคงเป็นเส้นเวลาหลักต่อไป เช่นเดียวกับตัวของฉันที่มาจากอนาคตก็จะกลายเป็นตัวจริง
สติสัมปชัญญะของตัวฉันในปัจจุบันจะถูกถ่ายทอดไปยังตัวตนในอนาคตพร้อม ๆ กับการได้รับความทรงจำในอนาคตจากร่างนั้นมา สุดท้ายแล้วฉันก็จะกลายเป็นร่างจากอนาคตที่กำลังมองดูร่างในปัจจุบันซึ่งกลายเป็นตัวตนและประวัติศาสตร์ในอีกเส้นเวลาหนึ่งแทน พอกลับไปยังช่วงเวลาของตัวเอง มันก็จะเป็นเส้นเวลาหลักที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเหมือนเดิม”
“เอ่อ… ผมเริ่มปวดหัวแล้ว… เราเปลี่ยนเรื่องคุยกันเถอะ…”
“เอาเถอะ มันเป็นเรื่องที่อธิบายยากและเข้าใจยากน่ะนะ หลาย ๆ อย่างก็เกิดขึ้นเพราะเงื่อนไขของความสามารถของฉันเองด้วย ไม่ใช่ว่ากฎของการเดินทางข้ามเวลามั้นเป็นแบบนี้หรอก เพราะงั้นอย่าไปคิดมากเลย ตอนนี้น่าจะได้เวลาแล้วล่ะ รีบตามไปกันดีกว่า เดี๋ยวจะทำตามประวัติศาสตร์ที่ตั้งใจเอาไว้ไม่ทันนะ”
“ช่วยหยุดพูดคำว่าประวัติศาสตร์ซะทีเถอะครับ…”
“ประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์”
“……………….”
พอขอร้องว่าอย่าทำ อีกฝ่ายก็จงใจทำเพิ่มเป็นสามเท่าซะอย่างงั้น ทำให้ซาลแสดงสีหน้าหงุดหงิดระคนเบื่อหน่ายออกมา
ทางด้านหญิงสาว เมื่อเห็นว่าล้อเล่นพอแล้ว ก็คว้ามือของเขาขึ้นมา ก่อนจะกล่าวต่อ
“เธอเองก็คงจะอยากกลับไปเจอกับทุกคนเร็ว ๆ สินะ ถ้างั้นก็ไปกันเถอะ”
คำพูดนั้นทำให้ซาลต้องแสดงสีหน้าสงสัยออกมาอีกครั้ง
“เอ๋? ไปไหนเหรอ?”
“ก็โลกเก่าไง”
ทันทีที่พูดจบ ทิวทัศน์โดยรอบในสายตาของซาลก็ถูกแทนที่ด้วยความว่างเปล่าสีขาวโพลนอีกครั้ง และร่างของเขากับบิ๊กซิสฯ ก็หายลับไปจากสวนสาธารณะที่ทั้งคู่เคยยืนอยู่
——————————————————————————————————–
Part 3
เมื่อซาลลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็พบว่าตัวเองกำลังลอยอยู่บนท้องฟ้า ณ จุดที่สูงมาก ๆ จนแทบจะเห็นเส้นขอบฟ้าเป็นวงโค้งได้ ทำให้รู้สึกตกใจมากเพราะคิดว่าตัวเองกำลังจะตกลงจากฟ้า แต่ปรากฏว่าตัวเขาสามารถยืนอยู่บนท้องฟ้านี้ได้ราวกับมีพื้นแข็ง ๆ รองรับอยู่ ทั้งที่ตรงนั้นไม่ได้มีอะไรอยู่เลย
เมื่อหันไปมองด้านข้างเขาก็พบกับหญิงสาวที่พาตัวเขามา ในขณะที่กำลังจะเอ่ยปากถาม เขาก็สังเกตว่าเธอกำลังก้มมองอะไรบางอย่างอยู่ เขาจึงมองตามลงไปด้วย
เบื้องล่างนั้นเป็นห้วงมหาสมุทรอันไพศาล ซึ่งมีเกาะรูปทรงเหมือนกับหลุมอุกาบาตขนาดยักษ์อยู่ตรงกับจุดที่เขายืนอยู่ และถัดออกไปก็เป็นเกาะรูปทรงหกเหลี่ยมเรียงกันอีกหลายเกาะ ทอดยาวไปจนถึงแผ่นดินใหญ่ที่อยู่ไกลออกไป
“เกาะทรงหกเหลี่ยมแบบนั้น… ดินแดนซินเทซิสเหรอ?”
“ใช่แล้วล่ะ และเราก็กำลังอยู่เหนือแผ่นดินอัลธัม ดินแดนที่เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างโลกนี้กับโลกเก่า”
ซาลมองลงไปยังเกาะที่อยู่เบื้องล่างอีกครั้ง พบว่าภายในปากปล่องของเกาะที่มีรูปทรงเหมือนหลุมอุกาบาตนั้นเป็นหลุมลึกอันดำมืดที่มีความกว้างเกือบเทียบเท่ากับบริเวณขอบริมของเกาะ ทั้งยังมีความลึกสุดจะหยั่งถึงอีกด้วย
“หมายความว่า ประตูที่เชื่อมระหว่างโลกนี้กับโลกเก่า อยู่ในหลุมของอัลธัมนั่นน่ะเหรอ?”
“อืม… ต้องพูดว่าอัลธัมนั่นแหละคือประตูระหว่างโลกนี้กับโลกเก่า ไม่ใช่ว่ามีประตูอยู่ในนั้นหรอก”
“แปลว่าถ้าลงไปในหลุมนั้นก็จะข้ามมิติไปโผล่ที่โลกเก่าได้สินะ?”
“ไม่ได้ข้ามมิติไปไหน แค่ไปโผล่ที่โลกเก่าเฉย ๆ ”
“หา? หมายความว่าโลกเก่าอยู่ในหลุมนั้นน่ะเหรอ? เป็นไปได้ยังไงกันน่ะ?”
ซาลเอ่ยถามด้วยสีหน้างุนงง เพราะมันผิดจากความเข้าใจของคนทั่วไปที่เชื่อกันว่าโลกเก่ากับโลกใหม่เป็นดาวคนละดวงมาก ซึ่งนั่นก็เป็นความคิดที่ไม่ผิด แต่ก็ไม่ถูกไปซะทั้งหมด ฝ่ายหญิงสาวจึงเริ่มอธิบาย
“หลาย ๆ คนอาจเข้าใจผิดว่าเราละทิ้งโลกเก่าเอาไว้ในมิติเดิมแล้วมาสร้างโลกใหม่ในอีกมิติหนึ่ง แต่ความจริงแล้วไม่ใช่หรอก โลกใหม่ถูกสร้างขึ้นมาบนท้องฟ้าของโลกเก่านั่นแหละ”
“เอ๋?”
“เดี๋ยวจะงงไปกันใหญ่… คือตอนที่สร้างโลกใหม่น่ะ เราค่อย ๆ สร้างแผ่นดินขึ้นมาบนท้องฟ้าของโลกเก่า แล้วแผ่ขยายแผ่นดินนั้นออกไปเรื่อย ๆ จนแผ่นดินทั้งผืนเชื่อมต่อกันหมด เสร็จแล้วจึงค่อยเทน้ำทะเลลงไป จนเกิดเป็นโลกใหม่ขึ้นมาไงล่ะ”
“แปลว่าโลกเก่าถูกฝังอยู่ใต้โลกใหม่มาโดยตลอดงั้นเหรอ!?”
“ถูกแล้วล่ะ เพราะงั้นพวกซินเทซิสที่เป็นจักรกลของโลกเก่าถึงได้ขุดพื้นดินจากโลกเก่าขึ้นมาได้จนเกิดเป็นรูโบ๋แบบนี้ไงล่ะ”
หญิงสาวอธิบายพลางชี้ลงไปยังหลุมลึกอันดำมืดขนาดไพศาลของอัลธัม ทำให้ซาลพอจะเข้าใจขึ้นมาแล้ว
ในระหว่างนั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียงคล้ายกับเสียงระเบิดซึ่งแว่วมาจากพื้นที่อันห่างไกล จึงกวาดสายตามองไปรอบ ๆ และพบกับแสงระยิบระยับที่ส่องประกายแปลบปลาบมาจากบริเวณรอบเกาะของอัลธัม
“เอ๋? นั่นมันอะไรน่ะ?”
“ความจริงถ้าทำเรื่องขอผ่านทางมาก่อนก็คงไม่มีปัญหาอะไรน่ะนะ แต่แบบนั้นมันเสียเวลาน่ะ ฉันก็เลยพาเธอมาที่นี่เลย ตอนนี้ระบบรักษาความปลอดภัยน่าจะเริ่มทำงานแล้วล่ะ”
เมื่อหญิงสาวพูดจบ ก็เป็นเวลาเดียวกับที่ต้นเสียงที่เขาได้ยินเดินทางมาจนอยู่ในระยะที่ตาเปล่าของเขาสามารถมองเห็นได้ มันคือกระสุนแสงรวมไปถึงจรวดมิไซล์จำนวนมหาศาลซึ่งถูกยิงขึ้นมาราวกับห่าฝน
ก่อนที่เขาจะได้ขยับตัวทำอะไร หญิงสาวก็เอามือแตะสัมผัสที่ไหล่ของเขา แล้วเขาก็รู้สึกว่ากระสุนแสงกับมิไซล์เหล่านั้นค่อย ๆ เคลื่อนที่ช้าลงเรื่อย ๆ จากความเร็วราวกับลูกธนูที่พุ่งเข้ามาก็ค่อย ๆ ช้าลงจนแทบจะหยุดนิ่ง
“นี่มัน…. เวลาโดยรอบกำลังช้าลง?”
“เวลาของพวกเราเร็วขึ้นต่างหากล่ะ เอาล่ะ ไปกันเถอะ หวังว่ากุญแจแห่งโลกนั่นจะใช้งานได้จริง ๆ นะ”
เมื่อพูดจบ หญิงสาวก็พาเขาเทเลพอร์ทมาอีกครั้ง ทำให้ทั้งคู่มาปรากฏตัวที่บริเวณใจกลางปากหลุมของอัลธัมในทันที ซึ่งเมื่ออยู่ตรงนี้ทำให้ซาลรู้ว่าหลุมที่เขาเห็นจากบนฟ้านั้นแท้จริงมีขนาดใหญ่มาก จากจุดที่เขาอยู่แทบจะมองเห็นขอบแต่ละด้านของหลุมเป็นเหมือนสันเขาที่อยู่ปลายเส้นขอบฟ้าเลยทีเดียว
หลังจากการเทเลพอร์ทครั้งนี้ ทั้งสองคนก็ค่อย ๆ ร่วงลงไปในหลุมตามแรงโน้มถ่วงของโลก ทำให้ความเร็วของทั้งคู่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ซาลจึงเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมา แต่หญิงสาวก็เอามือโอบตัวเขาไว้อย่างแนบแน่น ทำให้เขารู้สึกอุ่นใจขึ้นบ้าง
หลังจากร่วงลงไปในหลุมได้ไม่นานนัก จู่ ๆ ก็เกิดอักขระแสงปรากฏขึ้นกลางห้วงอากาศเบื้องหน้าของทั้งคู่
อักขระแสงนั้นก่อตัวอย่างรวดเร็วและแผ่ออกไปไกลสุดลูกหูลูกตา ราวกับเป็นม่านกั้นไม่ให้ผู้ที่มาจากเบื้องบนสามารถผ่านลงไปยังปลายทางที่อยู่เบื้องล่างได้
แต่เมื่อพวกเขาลอยลงไปจนใกล้จะปะทะเข้ากับกำแพงอักขระนั้น ลวดลายอักขระที่ทับซ้อนกันอยู่ก็ค่อย ๆ คลายออก จนเกิดเป็นช่องโหว่ของกำแพงให้ทั้งสองคนผ่านเข้าไปได้ หญิงสาวจึงเอ่ยออกมา
“โอ้ ใช้ได้จริง ๆ ด้วยแฮะ ดีจัง”
“ถ้าไม่แน่ใจก็อย่าลงมาซะเร็วขนาดนั้นเซ่!”
“แบบนี้มันตื่นเต้นกว่าไม่ใช่เหรอ? เป็นวัยรุ่น อย่าคิดเรื่องจุกจิกมากนักเลยน่า”
“เฮ้อ… สิบนักปราชญ์เป็นแบบนี้กันหมดทุกคนเลยรึเปล่าเนี่ย?”
“ฉันว่าฉันเป็นคนที่ปกติที่สุดแล้วนะ แต่นั่นมันก็เป็นความเห็นส่วนตัวน่ะ”
ซาลารัสรู้สึกเหนื่อยใจกับคำพูดของหญิงสาวจนไม่รู้จะหาคำใด ๆ มาตอบโต้กลับไป จึงได้แต่แสดงสีหน้าปลงชีวิตออกมา
ในระหว่างที่คุยกันอยู่ ทั้งสองคนก็ลอยลงมาจนมองเห็นพื้นดินเบื้องล่างซึ่งถูกแสงสว่างจากโพรงด้านบนสาดส่องลงมาถึง
มันเป็นผืนดินจุดเดียวที่มีแสงสว่าง ส่วนนอกเหนือจากนี้ล้วนแล้วแต่ถูกปกคลุมด้วยความมืดมิด
เมื่อลงมาใกล้พื้นดิน ความเร็วในการร่วงหล่นก็ค่อย ๆ ชะลอลงทีละน้อย จนกระทั่งเท้าของทั้งคู่ลงมาสัมผัสพื้นดินในที่สุด
สิ่งแรกที่ซาลสังเกตเห็นคือ ผืนดินของโลกเก่านี้เป็นพื้นดินอันแห้งแล้งที่ถูกทับถมไปด้วยวัสดุหยาบ ๆ คล้ายกับเศษซากของวัตถุ มีทั้งปูนและเหล็กปะปนกัน จนบางแห่งดูเหมือนกับเป็นกองขยะ
นอกเหนือจากบริเวณนี้ที่แสงจากรูโหว่บนท้องฟ้าสาดส่องถึงแล้ว บริเวณโดยรอบที่อยู่ไกลออกไปล้วนถูกปกคลุมด้วยเงาที่มืดสนิทของแผ่นดินที่ปกปิดท้องฟ้าอยู่ จนแทบมองอะไรไม่เห็นเลย
“แล้วไงต่อล่ะ พี่สาวคงมีวิธีหา ‘เอกสิทธิ์แห่งผู้สร้าง’ อยู่แล้วใช่มั้ย? …เอ๋?”
เพราะเห็นอีกฝ่ายนิ่งเงียบไปตั้งแต่ตอนที่ลงมาถึงทำให้ซาลรู้สึกแปลกใจ เขาจึงเงยหน้าขึ้นไปมองหญิงสาวอีกครั้ง และพบว่าเธอกำลังจับจ้องอะไรบางอย่างอยู่ด้วยสายตาที่แสดงอาการข้องใจออกมา
เมื่อมองตามไปยังทิศที่เธอมองอยู่ ซาลก็พบหญิงสาวอีกคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนกองซากปรักหักพังซึ่งอยู่ห่างจากพวกเขาไปไม่ไกลนัก และส่งยิ้มมาทางพวกเขา
เธอเป็นผู้หญิงผิวขาวนวล มีเส้นผมสีขาวราวกับเส้นไหมและดวงตาสีฟ้าอ่อน เธอสวมชุดกาวน์สีขาวเหมือนกับชุดของแพทย์หรือนักวิทยาศาสตร์ เพราะมีสีขาวปลอดตลอดทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า ทำให้ทีแรกซาลคิดว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นรูปปั้นหรือรูปสลักซะมากกว่า
“นั่นมัน… คน?”
“เธอมองเห็นผู้หญิงคนนั้นด้วยเหรอ?”
“เอ๋? ก็ต้องเห็นสิ”
“แปลว่าไม่ใช่ผีสินะ… แต่ก็ไม่แน่แฮะ…”
“อ้าว? ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ?”
“โลกเก่านี่น่ะ ไม่ควรจะมีคนอยู่หรอกนะ มนุษย์ทั้งหมดในโลกเก่าได้ถูกเคลื่อนย้ายขึ้นไปยังโลกใหม่ตั้งแต่วันแห่งการกอบกู้แล้ว ที่นี่จึงไม่ควรจะมีมนุษย์เหลืออยู่เลยแม้แต่คนเดียว”
“เอ๋?”
เมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย ซาลจึงหันไปมองผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง
“ถ้างั้นผู้หญิงคนนั้น… เป็นใครกันล่ะ?”