Doombringer the 5th - ตอนที่ 79
Ch.79 – ผู้รอดชีวิต
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 79
ผู้รอดชีวิต
Part 1
เพราะซิสเตอร์บอกว่าในโลกเก่านี้ไม่ควรจะมีมนุษย์อยู่ ซาลจึงรู้สึกสงสัยมากว่าผู้หญิงสีขาวที่นั่งอยู่เพียงลำพังกลางดินแดนอันรกร้างแห่งนี้เป็นใครกันแน่
“พี่สาวน่ะมองไม่ออกเหรอ? เห็นตอนเจอพวกแซนโดรก็ดูตัวจริงทุกคนออกหมดนี่นา?”
“ถ้าเป็นผู้หญิงของโลกใหม่ละก็ ฉันสามารถตรวจสอบรายละเอียดทั้งหมดได้ด้วยการมองดูน่ะ แต่นั่นเป็นความสามารถเฉพาะในลิลลี่โฮไรซอนด้วยน่ะนะ เพราะที่นั่นเป็นดินแดนของฉัน ทำให้ใช้งานเวทพิเศษที่สร้างขึ้นมาเองได้ แต่อยู่ข้างนอกนี่ฉันก็ไม่ได้มีสิทธิพิเศษเหนือกว่าคนอื่นสักเท่าไหร่”
“เทเลพอร์ทข้ามทวีปมาได้ชั่วพริบตาแบบนี้ยังบอกว่าไม่มีสิทธิพิเศษอีกเหรอ?”
“ก็แค่เรื่องเล็กน้อยน่ะ โลกนี้ก็เปรียบเสมือนดันเจียนขนาดยักษ์ที่สภานักปราชญ์สร้างขึ้นมานั่นแหละ การเทเลพอร์ทไปมาในดันเจียนเป็นสิทธิ์ของเราอยู่แล้ว”
“พอได้ยินแบบนี้ก็รู้สึกแปลก ๆ ยังไงไม่รู้แฮะ…”
“ไม่ต้องคิดมากหรอกน่า ฉันแค่เปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นเท่านั้นเอง ความจริงรายละเอียดมันมีความต่างกันเยอะ”
ระหว่างที่พูดคุยกันอยู่ หญิงสาวสีขาวก็ลุกลงจากซากปรักหักพังที่เธอนั่งอยู่ ก่อนจะเดินตรงเข้ามาหา ทำให้ทั้งสองคนต้องหันไปให้ความสนใจกับเธออีกครั้ง
เมื่อหญิงสาวเดินเข้ามาได้เพียงครึ่งทาง ซิสเตอร์ก็เดินเข้าไปหาอีกฝ่าย โดยไม่มีท่าทีกลัวเกรงใด ๆ
ทั้งสองคนยืนเผชิญหน้ากันในระยะประชิด หญิงสาวสีขาวจ้องมองอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มที่ยังไม่จางไปจากใบหน้า ส่วนซิสเตอร์ก็พิจารณามองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย ก่อนจะยื่นมือออกไปบีบหน้าอกของฝ่ายตรงข้าม
ฝ่ายหญิงสาวแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาเล็กน้อยก่อนจะยิ้มออกมาอีกครั้ง ในขณะที่ซิสเตอร์รำพึงรำพันออกมา
“ไม่ใช่ผีจริง ๆ ด้วยแฮะ… อืม…”
พอเห็นอีกฝ่ายไม่ว่าอะไร เธอก็เอามือลูบคลำไปเรื่อย ตั้งแต่ใบหน้า หัวไหล่ ท่อนแขน เอว สะโพก ไล่ลงไปจนถึงต้นขา ก่อนจะกอดอีกฝ่ายแน่นแล้วก็หมุนตัวกลับมาพูดกับซาลทั้ง ๆ ที่ยังกอดหญิงสาวอยู่
“รู้สึกว่าจะไม่ใช่ผีล่ะ”
“รู้สึกว่าเรอะ!? ทำขนาดนี้แล้วน่ะ!!”
ซาลตวาดใส่ด้วยความหงุดหงิด ส่วนซิสเตอร์ก็หมุนตัวกลับไปและปล่อยหญิงสาวออกจากอ้อมแขนให้เธอยืนด้วยตัวเองอีกครั้ง ก่อนจะถามคำถามกับเธอ
“จากสัมผัสแล้ว น่าจะเป็นมนุษย์สินะ?… เธอเป็นใคร? ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?”
หญิงสาวสีขาวจ้องมองดวงตาของฝ่ายตรงข้ามอยู่พักหนึ่งราวกับกำลังค้นหาอะไรบางอย่างที่อยู่ภายในนั้น ก่อนที่เธอจะตอบกลับมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเหมือนเช่นเคย
“คนแถวนี้เรียกฉันว่า ‘เนเมซิส’ ส่วนฉัน พอรู้ตัวก็อยู่ที่นี่แล้วล่ะ”
“คนแถวนี้เหรอ? หมายความว่าที่นี่ยังมีมนุษย์คนอื่น ๆ อยู่อีกเหรอ?”
“มีสิ”
คำตอบนั้นยิ่งทำให้ซิสเตอร์มีสีหน้างุนงงขึ้นกว่าเดิมจนต้องหันกลับไปมองซาล ซึ่งตอนนี้เขาก็ทำหน้างงไม่แพ้กัน
“อืม… แล้วเธอใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ยังไงเหรอ?”
“ปกติฉันก็เดินเล่นอยู่ในเขตที่มีแสงสว่างนี่แหละ ส่วนตอนกลางคืนก็มีออกไปเดินเล่นที่อื่นบ้าง พอมีแสงสว่างอีกก็กลับมาแถวนี้ใหม่”
“ฉันหมายถึงเธอกินอยู่ยังไงน่ะ”
“อ้อ ใต้ดินมีน้ำอยู่น่ะ ส่วนอาหารก็หาเอาจากแถว ๆ นี้แหละ”
หลังจากได้ยินคำตอบนั้น ซิสเตอร์ก็กวาดสายตามองไปรอบ ๆ แต่ก็ไม่เห็นวี่แววว่าแถวนี้มีอะไรพอจะใช้กินเป็นอาหารได้เลย มันเป็นดินแดนรกร้างที่ไร้ซึ่งวี่แววของสิ่งมีชีวิต แม้จะพอมีต้นกล้าของพืชขึ้นอยู่ตามซอกหลืบบ้าง แต่ดูไปก็ไม่น่าจะใช่ของที่ใช้กินประทังชีวิตได้
“แล้ว… คนอื่น ๆ ตอนนี้อยู่ที่ไหนเหรอ?”
“ฉันไม่รู้หรอก พวกนั้นเขาไม่ค่อยชอบฉันเท่าไหร่ ฉันรู้แต่ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหนสักแห่งในดินแดนแห่งความมืดนั่นแหละ”
เธอพูดพลางชี้มือไปยังดินแดนอันมืดมิดที่อยู่นอกเขตที่แสงสว่างส่องถึงนี้ ซึ่งแม้ซิสเตอร์กับซาล จะพยายามมองตามไปก็ไม่สามารถเห็นอะไรอยู่ในปลายทางนั้นได้
“แปลว่าเธออยู่ที่นี่คนเดียวมาตลอดงั้นเหรอ?”
“อื้ม”
หญิงสาวสีขาวยังคงตอบกลับมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มราวกับมันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร ทำให้ซิสเตอร์ยิ่งรู้สึกข้องใจมากขึ้นอีก
“ฉันจะไปดูรอบ ๆ ซะหน่อย เธอจะไปกับพวกเรารึเปล่า?”
“อืม~ ไม่ดีกว่า ฉันไม่ชอบออกจากที่นี่จนกว่าแสงจะหมดไปน่ะ อีกอย่างคือคนอื่น ๆ ไม่ค่อยชอบฉันด้วย พวกเธอไปกันตามลำพังน่าจะดีกว่านะ”
“อืม… ถ้างั้นก็ขอตัวก่อนนะ”
“อื้ม ๆ ”
เมื่อร่ำลากันเสร็จ ซิสเตอร์ก็พาซาลเดินจากมา เพื่อมุ่งหน้าไปยังดินแดนที่ถูกความมืดปกคลุมอยู่
หลังจากเดินออกมาได้สักพัก ซาลที่รู้สึกข้องใจตั้งแต่เมื่อสักครู่นี้แล้วจึงเอ่ยถามขึ้น
“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่น่ะ? หมายความว่าตอนสร้างโลกใหม่มีการเคลื่อนย้ายคนขึ้นไปไม่หมดงั้นเหรอ?”
“เรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้หรอกนะ ตอนที่ร่ายเวทเคลื่อนย้ายน่ะ เราระบุให้เคลื่อนย้าย ‘มนุษย์’ ทั้งหมดขึ้นไปยังโลกใหม่แล้ว มันเป็นเงื่อนไขที่ชัดเจน เวทนี้ไม่มีทางผิดพลาดแน่”
“งั้นทำไมที่นี่ถึงยังมีคนอยู่ได้ล่ะ?”
“ถ้ามีคนอยู่ที่นี่ แปลว่าในตอนนั้นพวกเขาไม่ได้เป็นมนุษย์น่ะสิ”
“เห? แต่พี่สาวก็ตรวจสอบแล้วว่าเขาเป็นมนุษย์นี่นา”
“ถึงสัมผัสจะเหมือน แต่เป็นมนุษย์แน่รึเปล่าก็ยังไม่แน่ใจน่ะนะ รู้แค่ว่าไม่ใช่ผีเท่านั้น”
“อืม… รึว่า… ผมเคยอ่านเจอในบันทึกบางเล่ม เกี่ยวกับการแช่แข็งมนุษย์เพื่อหลีกเลี่ยงยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ บางทีพวกเขาอาจเป็นมนุษย์ที่ถูกแช่แข็งอยู่ในตอนนั้น ก็เลยไม่ถูกเคลื่อนย้ายขึ้นไปก็ได้”
“นั่นก็เป็นไปไม่ได้หรอก เงื่อนไขของเวทคือเคลื่อนย้ายมนุษย์ที่ยังมีชีวิตทั้งหมดไปยังโลกใหม่ ต่อให้มีพวกที่จำศีลหรือถูกแช่แข็งอยู่ก็ต้องถูกเคลื่อนย้ายขึ้นไปด้วยแน่ ไม่มีใครถูกปล่อยเอาไว้หรอก”
“อ้าว งั้นคนพวกนี้ทำไมถึงยังอยู่ที่นี่ล่ะ?”
คำตอบที่ซิสเตอร์พอจะคิดได้ก็คือ ในตอนที่มีการเคลื่อนย้าย คนพวกนี้ไม่ได้มีชีวิตอยู่ด้วย แต่นั่นก็เป็นคำตอบที่ไม่ค่อยจะสมเหตุสมผลอยู่ดี เธอจึงได้แต่เก็บความคิดนี้เอาไว้ในใจ
อีกด้านหนึ่ง หญิงสาวสีขาวก็เดินกลับไปนั่งบนซากปรักหักพังที่เธอเคยนั่งอยู่ ก่อนจะหันกลับไปมองผู้มาเยือนทั้งสองที่เดินห่างออกไปจนใกล้จะลับสายตาแล้ว
หญิงสาวหยิบของบางอย่างที่อยู่ด้านหลังซากปรักหักพังขึ้นมาแทะกินต่อในระหว่างที่จ้องมองทั้งสองคนซึ่งกำลังเดินออกจากเขตแห่งแสงสว่างนี้ไปด้วย
ของที่เธอกำลังกินอยู่นั้นก็คือ ท่อนแขนของมนุษย์
——————————————————————————————————–
Part 2
เมื่อเดินออกมาห่างจากบริเวณที่แสงส่องถึงพอสมควรแล้ว พื้นที่รอบ ๆ ก็เริ่มมืดลงเรื่อย ๆ ทำให้ต้องใช้เวท ‘แสงเทียน’ (Candle Light) สร้างบอลแสงลูกเล็ก ๆ ขึ้นมาให้แสงสว่างในการเดินทาง
พื้นที่โดยรอบยังคงเป็นดินแดนอันเปลี่ยวร้างที่ไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิตใด ๆ มีแต่ซากปรักหักพังของอาคารบ้านเรือนหรือเศษวัสดุกองทับถมกันอยู่ทั่วไปหมด สื่อถึงซากอารยะธรรมที่เคยรุ่งเรืองของโลกเก่าซึ่งบัดนี้เป็นเพียงอดีตไปแล้ว
ในทีแรกซาลคิดว่าซิสเตอร์กำลังพาไปยังที่อยู่ของ ‘เอกสิทธิ์แห่งผู้สร้าง’ แต่หลังจากเดินตามมาได้พักหนึ่งแล้วเขาก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังเดินไปเรื่อย ๆ แบบไร้จุดหมายมากกว่า จึงเอ่ยถามขึ้น
“นี่พี่สาวรู้ที่อยู่ของ ‘เอกสิทธิ์แห่งผู้สร้าง’ รึเปล่าเนี่ย? คงไม่ใช่ว่าหลงทางหรอกนา”
“เรื่องนั้นฉันรู้น่า แต่ตอนนี้มีอย่างอื่นที่อยากไปดูก่อนน่ะ”
“อย่างอื่นเหรอ?”
“ก็คนอื่น ๆ ที่อยู่ในโลกนี้ไงล่ะ เรื่องนี้มันพิลึกเกินไปแล้ว ฉันเลยอยากจะตรวจสอบดูให้แน่ชัดว่ามันเป็นยังไงกันแน่”
ความจริงซาลก็อยากจะจบการเดินทางให้เร็วที่สุด แต่อีกใจหนึ่งเขาก็อยากรู้ความจริงของเรื่องประหลาดที่เพิ่งจะได้พบเช่นกัน จึงไม่ได้ทักท้วงอะไรและเดินตามอีกฝ่ายต่อไป
หลังจากเดินมาอีกได้สักพัก ทั้งสองคนก็ได้ยินเสียงเหมือนกับการต่อสู้ดังแว่วมา
“เสียงนั้นมัน!?”
“อืม… ตามมา ทางนี้”
ซิสเตอร์รีบเดินนำซาลไปทางต้นเสียงที่พวกเขาได้ยิน
มันเป็นเสียงปืนที่ดังเป็นชุด ๆ สลับกับเสียงระเบิด คละเคล้ากับเสียงเครื่องจักรที่ดังก้องราวกับการคำรามของสัตว์ร้าย
เมื่อเข้ามาใกล้ต้นตอของเสียง พี่สาวก็จับที่หลังคอเสื้อของซาลแล้วพากระโจนขึ้นไปบนดาดฟ้าของอาคารสามชั้นที่อยู่ใกล้ ๆ นั้น ก่อนจะเดินจ้ำไปที่ระเบียงเพื่อดูการต่อสู้เบื้องล่าง
ซาลรีบวิ่งตามอีกฝ่ายเพื่อมาเกาะขอบระเบียงดูด้วยเช่นกัน และสิ่งที่เขาเห็นก็คือกลุ่มทหารในชุดเกราะแบบคลุมทั้งตัวอันดูแปลกตาซึ่งใช้ปืนยาวเป็นอาวุธ กำลังสู้กับฝูงอสูรกายรูปร่างแปลกประหลาดอยู่
มันเป็นอสูรกายที่มีผิวนอกเป็นโลหะ หลาย ๆ ส่วนของร่างกายก็มีความคล้ายคลึงกับเครื่องจัก แต่บางส่วนกลับมีผิวหนังและกล้ามเนื้อปกคลุมอยู่ราวกับเป็นสิ่งมีชีวิต อสูรกายเหล่านี้มีรูปลักษณ์ที่ทำให้ซาลนึกถึงพวกจักรกลผสมชีวะ (Cyborg) ที่เขาเคยอ่านเจอในบันทึกแห่งโลกเก่า
เหล่าทหารพยายามต่อสู้กับพวกอสูรกายอย่างเต็มที่ แต่อาวุธของพวกเขาดูจะไม่ค่อยมีผลกับพวกมันสักเท่าไหร่นัก แถมพวกอสูรกายยังมีจำนวนมากกว่า ทำให้พวกเขาค่อย ๆ ถูกสังหารไปทีละคน
“จักรกลพวกนั้น… ถึงการมีจักรกลรุ่นเก่าของซินเทซิสหลงเหลืออยู่ที่นี่จะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่ก็ไม่น่าจะเป็นไซบอร์กนี่นา… ที่สำคัญคือคนพวกนั้น…”
ซิสเตอร์พูดพลางพิจารณาชุดเกราะที่เหล่าทหารสวมใส่อยู่ เธอจำได้ว่ามันคือชุดรบของพวกทหารในช่วงปลายยุคของโลกเก่าที่มีสงครามและการรบพุ่งอยู่ทั่วไปหมด
ระหว่างนั้นซาลที่รู้สึกร้อนใจจึงเร่งให้พี่สาวลงไปช่วยคนที่อยู่ด้านล่าง
“นี่! จะไม่ลงไปช่วยเขาเหรอ!?”
“อืม… เธอรออยู่ตรงนี้ก็แล้วกัน เดี๋ยวฉันกลับมา”
เมื่อพูดจบ เธอก็กระโดดข้ามระเบียงเพื่อลงไปร่วมการต่อสู้เบื้องล่างในทันที
ระหว่างที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ ซิสเตอร์ก็นำค้อนศึกขนาดใหญ่ที่มีด้ามจับยาวเกือบเท่ากับตัวคนออกมาจากช่องมิติเก็บของ ส่วนหัวของค้อนเป็นโลหะสีดำทะมึนมีภาพสลักรูปหัวหมาป่าประทับอยู่ด้านข้าง แสงสีส้มอ่อน ๆเรืองรองออกมาจากลวดลายสลักบนตัวค้อนราวกับภายในนั้นบรรจุด้วยลาวาที่กำลังคุกรุ่นอยู่
ทันทีที่ลงไปถึง เธอก็ทุบค้อนเข้ากับอสูรกายตนหนึ่งอย่างเต็มแรง ทำให้ร่างของมันถูกบดลงกับพื้นจนแหลกเป็นเสี่ยง ๆ พื้นดินที่ถูกทุบก็ยุบลงไปจนเป็นแอ่ง มีเปลวไฟจากตัวค้อนแผ่ออกไปโดยรอบทันทีที่หัวค้อนสัมผัสกับพื้นราวกับเกิดการระเบิด ชิ้นส่วนที่เหลืออยู่ของเจ้าอสูรกายจึงถูกเป่ากระจัดกระจายไปคนละทิศคนละทาง
หลังจากเห็นพวกเดียวกันถูกสังหาร อสูรตัวอื่น ๆ ก็ละความสนใจจากกลุ่มทหารและหันมาโจมตีศัตรูที่เพิ่งจะปรากฏตัวขึ้นมาแทน แต่เธอก็เคลื่อนไหวร่างกายอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่พวกมันจะตามทันได้และไล่ทำลายพวกมันไปทีละตัว เมื่อเธอแกว่งค้อนไปทางไหน อสูรกายที่อยู่ทางนั้นก็จะถูกแรงอัดอันมหาศาลเข้ากระแทกจนร่างแตกกระจายไป ราวกับพวกมันเป็นเพียงตุ๊กตาที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยฝุ่นทราย
การเคลื่อนไหวนั้นรวดเร็วมาก ราวกับมันเป็นภาพที่ถูกเร่งเวลาให้เร็วขึ้นจากเดิมอีกหลายเท่า ยิ่งอยู่ห่างแบบนี้ซาลจึงแทบมองตามการเคลื่อนไหวนั้นไม่ทันเลย ได้แต่เพียงมองตามเส้นแสงสีส้มที่เกิดจากการกวัดแกว่งค้อนไปมาเท่านั้น ทำให้เขารู้สึกทึ่งกับความสามารถของอีกฝ่ายเป็นอย่างมาก
“ยอดเลย… มีทั้งความเร็วและพลัง จัดการกับอสูรพวกนั้นได้ราวกับเป็นการบี้มดปลวก… ไม่รู้ว่าอสูรพวกนั้นมีพลังอยู่ในระดับไหน แต่ฝีมือของพี่สาวก็เจ๋งสุด ๆ อยู่ดี”
ในระหว่างที่กำลังทึ่งกับการต่อสู้ของซิสเตอร์อยู่นั้นเอง ซาลก็รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนจากพื้นที่เขายืนอยู่ ทั้งยังได้ยินเสียงคล้ายกับโลหะเบียดกันดังเอี๊ยดอ๊าดค่อย ๆ ใกล้เข้ามาด้วย
เมื่อหันกลับไปมอง เขาก็พบว่ามีอสูรจักรกลอีกหลายตัวปีนขึ้นมาทางด้านหลังตึกที่เขายืนอยู่ และตอนนี้พวกมันก็กำลังจ้องมาที่เขาแล้ว
“ซะ.. ซวยแล้วไง!”
พวกอสูรพุ่งเข้าหาเด็กน้อยที่อยู่ตรงหน้าในทันที ทำให้เขาต้องรีบหาทางป้องกันตัว ซึ่งสิ่งแรกที่เขานึกออกก็คือสมุนคู่ใจทั้งสองคนนั่นเอง
“อัลดูอิน! วาเคีย!”
ทันทีที่การอัญเชิญเสร็จสิ้น อัลดูอินกับวาเคียก็พุ่งออกมาจากวงเวทอัญเชิญตรงปลายมือของซาล และพุ่งเข้าปะทะกับพวกอสูรจักรกลในทันที
อัลดูอินบินตรงเข้าชนอสูรตัวหนึ่งจนแผ่นโลหะบนหน้าอกของมันยุบลงและเซล้มไป ก่อนจะบินโฉบกลับมาพ่นไฟซ้ำ แต่เจ้าอสูรตนนั้นก็ยังลุกขึ้นมาได้
อีกด้านหนึ่ง วาเคียก็พุ่งสวนกับอสูรเหล็กอีกตนและใช้หอกตวัดขาข้างหนึ่งของมันจนขาดออกจากตัว แต่นั่นก็ทำให้มันเสียสมดุลไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ยังมีอสูรอีกตนที่ปีนขึ้นมาบนตึกและตรงเข้าหาซาล ทำให้เขาต้องอัญเชิญสมุนตัวอื่น ๆ ออกมาเพิ่ม ที่เขาเลือกใช้ก็คือมังกรระดับเจ็ดสองตัวซึ่งถูกสั่งให้ตรงเข้าไปรับมืออสูรเหล็กในทันที แต่สมุนธรรมดากลับมีการตอบสนองช้าและหลบการโจมตีของอสูรจักกลไม่ได้
มังกรตัวหนึ่งถูกขาของมันเสียบแทงเข้าไปหลายครั้งจนสลายหายไปในที่สุด ส่วนมังกรอีกตัวก็โดนปืนแสงที่ติดอยู่บนไหล่ของอสูรเหล็กยิงเข้าใส่เต็ม ๆ จนร่างสลายไปเช่นกัน
เมื่อหลุดจากการสกัดมาได้ เจ้าอสูรเหล็กก็พุ่งเข้าหาซาลในทันที ทำให้เขาต้องปลดสร้อยถ่วงน้ำหนักออกเพื่อเตรียมต่อสู้ด้วยตัวเอง
การเคลื่อนไหวของอสูรเหล็กจัดว่ารวดเร็วมากสำหรับร่างกายที่ดูใหญ่โตเทอะทะของมัน แต่ซาลก็ยังพอจะมองเห็นการเคลื่อนไหวนั้นและหลบหลีกการโจมตีด้วยขาของมันไปได้
เขานำดาบออกมาและผนึกจิตต่อสู้ลงไปแบบเต็มพิกัด ก่อนจะตวัดดาบสวนกลับไปในระหว่างที่หลบหลีกการโจมตีอยู่ ทำให้สามารถตัดขาที่เหมือนกับขาแมลงของมันจนขาดกระเด็นไปได้อย่างง่ายดาย
“แทบไม่มีแรงต้านทานเวทหรือจิตต่อสู้เลย เป็นแค่โลหะธรรมดาสินะ? ถ้าแบบนี้ละก็!”
ซาลพุ่งตัวลอดใต้ขาของอสูรเหล็กจนมาถึงด้านหลังของมัน ก่อนจะรวมรวมพลังเวทขึ้นอีกครั้ง ในขณะที่มันพยายามหันตัวตามเขามา
เมื่อตั้งหลักได้แล้ว เขาก็ชูดาบขึ้นฟ้าอีกครั้ง ทันใดนั้นก็ปรากฏกลุ่มก้อนพลังงานก่อตัวกันจนมีรูปร่างเหมือนกับขวานขนาดยักษ์ขึ้นที่เหนือหัวของเจ้าอสูร และทันทีที่เขาตวัดดาบลง ขวานยักษ์นั้นก็สับลงบนกลางตัวของอสูรเหล็กจนตัวมันถูกกดทะลุพื้นอันเปราะบางของชั้นดาดฟ้าและตกลงไปยังชั้นล่าง
ทางด้านอื่น ๆ อัลดูอินกับวาเคียก็สามารถจัดการกับคู่ต่อสู้ได้เช่นกัน เพราะแม้พวกอสูรเหล็กจะมีการโจมตีที่รุนแรง แต่ร่างกายของพวกมันไม่ได้ทนทานต่อการโจมตีมากนัก ทว่าเพราะการโจมตีของซาลทำให้ตัวตึกที่ค่อนข้างจะเปราะบางอยู่แล้วเกิดความเสียหายมากขึ้น อาคารทั้งหลังจึงเริ่มสั่นไหวและทำท่าว่าจะถล่มลงมา
“แย่แล้ว!”
ซาลเตรียมจะอัญเชิญร่างเสมือนของไซล่าร์ออกมาเพื่อใช้ในการลอยตัว แต่ทันใดซิสเตอร์ก็พุ่งกลับขึ้นมาบนชั้นดาดฟ้าแล้วคว้าตัวของเขาเอาไว้ ก่อนจะพาเขากระโจนออกไป โดยทิ้งอาคารที่กำลังทรุดตัวเอาไว้เบื้องหลัง
——————————————————————————————————–
Part 3
หลังจากพาซาลหลบมายังที่ปลอดภัยแล้ว พี่สาวก็เอ่ยปากชมทั้งที่ยังอุ้มเขาไว้ข้างเอว
“ขอโทษทีที่ไปช้านะ ไม่นึกว่าจะมีพวกมันแอบขึ้นไปบนตึก แต่เธอก็ไม่เลวนี่นาจัดการกับอสูรพวกนั้นได้ด้วย พลังโจมตีกับความเร็วของพวกมันน่ะจัดว่าสูงเลยนะ ให้เป็นพวกนักผจญภัยมีระดับมาเจอเข้ายังอาจจะแย่เลยนะเนี่ย…”
ระหว่างที่พูดอยู่ เธอก็เหลือบไปเห็นอัลดูอินที่หิ้ววาเคียบินตามทั้งสองคนมา ทำให้เธอหันไปให้ความสนใจกับทางนั้นแทน
“นะ… นี่มัน!?”
พี่สาวปล่อยตัวซาลลงอย่างกะทันหันจนเขาเกือบจะหยั่งขาลงยืนกับพื้นไม่ทัน ทำให้เขาหันไปมองด้วยสายตาไม่พอใจ แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้สนใจเขาแล้ว
เธอเดินเข้าไปหาวาเคียอย่างรวดเร็วและเอามือลูบคลำใบหน้าโดยไม่มีท่าทีเกรงใจ ทำให้เจ้าตัวออกอาการอึดอัดนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้ขัดขืนหรือพูดห้ามอะไร
“นี่คือ… สมุนอัญเชิญของเธองั้นเหรอ? น่ารักชะมัดเลย! แต่ดูจะต่างจากสมุนทั่ว ๆ ไปอยู่นะเนี่ย?”
“อืม… จะเรียกว่าสมุนก็ไม่เชิง ผมอยากเรียกว่า ‘เพื่อนอัญเชิญ’ มากกว่าน่ะ”
“คำ ๆ นั้นถ้าเป็นสมัยโลกเก่าละก็มันจะให้ความรู้สึกหดหู่มากเลยนะ แบบว่าต้องสร้างเพื่อนในจินตนาการขึ้นมาเองเนี่ย แต่ช่างเถอะ ดูเหมือนฉันจะมองข้ามเรื่องนี้ไปจริง ๆ แฮะ ไม่เคยลองฝึกวิชาสายสร้างร่างอัญเชิญมาก่อนเลย”
“ชะ… ช่วยปล่อยซะทีจะได้มั้ยครับ?”
วาเคียที่โดนลูบคลำใบหน้าอยู่เป็นเวลานานเริ่มรู้สึกอึดอัดจนต้องพูดออกมา แต่นั่นยิ่งทำให้อีกฝ่ายรู้สึกสนใจเข้าไปอีก
“พูดได้ด้วย!? ไม่สิ มีความรู้สึกนึกคิดด้วยงั้นเหรอ!?”
“ทำไมพี่สาวต้องทำท่าทางตกใจขนาดนั้นด้วยล่ะ อย่างพี่สาวน่ะน่าจะรู้ทุกเรื่องบนโลกอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?”
“ถึงจะเคยได้ยินเรื่องของร่างอัญเชิญที่มีวิญญาณเทียมมาบ้างแต่ก็ไม่เคยเห็นของจริงมาก่อนเลย ความจริงคือฉันไม่ได้รู้ทุกเรื่องของโลกหรอกนะ รู้แค่ว่ามีคนนำวิทยาการไปพัฒนาต่อจนสร้างเวทมนตร์แบบนี้ขึ้นมาได้ แต่เห็นว่ามีปัญหาก็เลยเลิกใช้ไปแล้วนี่นา… เอ๊ะ? เมื่อกี้พูดว่าครับงั้นเหรอ?”
“เรื่องนั้นมันยาวน่ะ เอาไว้คุยกันทีหลังเถอะ ตอนนี้พี่สาวควรจะไปคุยกับทางโน้นมากกว่าไม่ใช่เหรอ?”
ซาลชี้ไปทางกลุ่มทหารในชุดเกราะที่อยู่ในสภาพสะบักสะบอมและเหลือรอดกันอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น ทำให้ซิสเตอร์นึกขึ้นมาได้ จึงละมือออกจากวาเคียแล้วเดินตรงไปหาพวกเขาแทน
แม้ผู้หญิงที่เดินเข้ามาหาจะเป็นเพียงหญิงสาวในชุดนักเรียนที่ดูไม่มีพิษภัยอะไร แต่เพราะเหล่าทหารได้เห็นฝีมือในการกำจัดเหล่าอสูรเหล็กราวกับบี้มดปลวกของเธอแล้วจึงอดรู้สึกพรั่นพรึงไม่ได้ อีกทั้งเธอยังปกปิดใบหน้าด้วยผ้าพันคอผืนใหญ่ทำให้ดูไม่น่าไว้วางใจอีก ทุกคนจึงยกปืนขึ้นมาเล็งในท่าเตรียมพร้อมด้วยความหวาดระแวง แต่หญิงสาวก็ไม่ได้แสดงท่าทีกังวลอะไรเพราะสังเกตเห็นว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามต่างหากที่กำลังจับปืนด้วยมืออั่นสั่นเทาเพราะความกลัวอยู่ เธอค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้พวกเขาอย่างช้า ๆ หนึ่งในกลุ่มทหารจึงตะโกนถามออกมาด้วยเสียงคล้ายกับเสียงวิทยุจากหมวกที่ปกปิดใบหน้าอย่างมิดชิดนั้น ด้วยน้ำเสียงกล้า ๆ กลัว ๆ
“ทะ… เธอเป็นใครกันน่ะ!?”
“ฉันก็… เป็นคนแถวนี้แหละ แค่กลับมาเยี่ยมบ้านน่ะ แถวนี้ดูเปลี่ยนไปเยอะเลยนะเนี่ย~ ว่าแต่พวกเธอพักอยู่แถวไหนเหรอ? ถ้าไม่รังเกียจช่วยพาไปที่บ้านของพวกเธอหน่อยสิ ฉันมีเรื่องอยากจะคุยเยอะเลยน่ะ”
“พูดบ้าๆน่ะ! จะให้เราเปิดเผยฐานที่มั่นกับคนนอกงั้นเหรอ!? เราจะรู้ได้ยังไงว่านี่ไม่ใช่เล่ห์เหลี่ยมของเนเมซิสน่ะ!?”
“อา… แย่จังเลยแฮะ… งั้นจะทำยังไงดีล่ะเนี่ย…”
ซิสเตอร์เริ่มรู้สึกลำบากใจเพราะเธออยากจะรีบจบเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด แต่การจะเกลี้ยกล่อมทหารพวกนี้ให้เชื่อใจเธอก็ดูจะเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลานาน จึงกำลังคิดว่าจะจับตัวประกันสักคนแล้วบีบให้คนอื่นพากลับไปยังฐานที่มั่นดีรึไม่
ระหว่างนั้นเองซาลที่เก็บอัลดูอินกับวาเคียกลับเข้าคฤหาสน์ต่างมิติไปแล้วก็เดินอ้อมมาทางด้านหน้าของซิสเตอร์ก่อนจะพูดกับเหล่าทหาร
“พวกคุณคือคนที่เหลือรอดบนโลกนี้สินะครับ? เราเองก็เป็นชาวโลกเหมือนกัน พวกเรากลับมาเพื่อช่วยทุกคนไงล่ะ”
คำพูดของเขาทำให้เหล่าทหารมองหน้ากันไปมาด้วยความแปลกใจ แม้แต่ซิสเตอร์เองก็แสดงสีหน้าประหลาดใจในทีแรก แต่พอนึก ๆ ดูแล้ว นี่ก็เป็นไอเดียที่ไม่เลวทีเดียว จึงปล่อยให้เขาพูดต่อไป
“กลับมาช่วยเราเหรอ? พวกเธอเป็นใครกันแน่?”
“เราคือผู้ที่หนีออกไปจากโลกนี้ก่อนที่มันจะล่มสลายน่ะครับ ตอนนี้พวกเราตั้งรกรากบนโลกอีกใบได้อย่างมั่นคงแล้ว เลยย้อนกลับมาเพื่อค้นหาผู้รอดชีวิตในโลกนี้ครับ”
คำพูดของซาลารัสทำให้ทุกคนในที่นั้นยิ่งรู้สึกประหลาดใจขึ้นไปอีก แต่ก็ไม่ได้มีใครพูดอะไรอออกมา
ระหว่างนั้นซิสเตอร์ก็เอียงตัวเข้ามากระซิบกับเขา
“เธอน่าจะลงท้ายว่า ‘ค่ะ’ มากกว่านะ จะได้เข้ากับรูปลักษณ์น่ะ เดี๋ยวเขาก็เข้าใจผิดคิดว่าผู้หญิงบนโลกใหม่ทั้งหมดเป็นทอมบอยกันพอดี”
“อะ… จริงด้วยแฮะ… แต่ไม่เอาด้วยหรอก! ให้พูดว่า ‘ค่ะ’ เนี่ยนะ? กระดากปากจะตายไป”
ซาลกล่าวปฏิเสธด้วยท่าทางแง่งอน เพราที่เขาต้องอยู่ในสภาพนี้ก็เพราะเวทมนตร์ของลิลลี่โฮไรซอน จึงมองว่าซิสเตอร์เองก็มีส่วนรับผิดชอบด้วย ระหว่างนั้นก็มีทหารคนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้
ทหารคนนั้นหยิบเครื่องมือบางอย่างออกมาชี้ไปทางทั้งสองคนอย่างระมัดระวัง ครู่ต่อมาก็มีเส้นแสงคล้ายกับเลเซอร์ส่องออกมาจากอุปกรณ์นั้นและฉายผ่านร่างของทั้งสองคนตั้งแต่หัวจรดเท้า ซึ่งทั้งคู่ก็ปล่อยให้ทหารคนนั้นดำเนินการไป
“จากค่าที่อ่านได้นี่… ทั้งสองคนนี้เป็นมนุษย์จริง ๆ ค่ะผู้กอง ถะ… แถมยัง… ไม่มีไวรัสอยู่ในร่างกายด้วยค่ะ!”
“มะ… ไม่มีไวรัสงั้นเหรอ!? ทั้งที่เดินเปลือยเปล่าโดยไม่ได้สวมชุดป้องกันแบบนี้น่ะนะ!?”
“ค่ะ! ไม่ผิดแน่ค่ะ!”
การสนทนาของทหารทั้งสองทำให้ซาลรู้สึกสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย เพราะเสียงของทั้งสองคนเป็นเสียงของผู้หญิงทั้งคู่ แถมยังมีความคล้ายคลึงกันมาก แต่เขาก็คิดว่านั่นอาจเป็นเพราะการพูดผ่านหมวกทำให้โทนเสียงผิดเพี้ยนไป
“ถ้างั้น… เราคงจำเป็นต้องคุมตัวพวกเธอกลับไปตรวจสอบที่ฐานล่ะ อย่าคิดทำอะไรตุกติกล่ะ!”
ทหารหญิงที่มีตำแหน่งเป็นผู้กองใช้ปืนขู่และให้สัญญาณกับทหารด้านหลังเพื่อให้เข้าไปคุมตัวทั้งสองคนทำให้ซิสเตอร์กลอกตาด้วยเบื่อหน่ายให้เห็นแวบหนึ่ง แต่ก็ยอมทำตามที่อีกฝ่ายต้องการแต่โดยดี
แม้จะดูน่าอึดอัดนิดหน่อย แต่อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ยอมพาไปยังฐานที่มั่นแล้ว ทั้งซิสเตอร์และซาล จึงได้แต่อดใจรอดูว่าผู้คนที่เหลือรอดอยู่ในโลกเก่านี้เป็นใคร และรอดมาได้อย่างไรกันแน่