Doombringer the 5th - ตอนที่ 8
Ch.8 – เดธวิสเปอร์
Translator : YoyoTanya / Author
Part 1
ที่เชิงเขาด้านล่างใกล้ๆกับทางเข้าของมาลาไคท์คีป ซาลารัสกับแซนโดรกำลังเผชิญหน้ากัน
แซนโดรในชุดเกราะเต็มยศกำลังรวบรวมพลังเวทมหาศาลจนบรรยากาศโดยรอบแทบจะบิดเบี้ยว
ส่วนซาลารัสยืนอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก ตรงกลางระหว่างสองคนมีมังกรตัวเล็กๆซึ่งเป็นสมุนของซาลารัสยืนคั่นกลางอยู่
“…ถอยไปอีกหน่อยจะดีกว่านะ …ไม่สิ …เข้าไปหลบในคีปเลยจะดีกว่า…”
“แบบนั้นก็มองไม่เห็นน่ะสิ เอาเป็นสัก… แถวๆนี้ก็แล้วกันนะ”
ซาลารัสวิ่งขึ้นไปถึงหน้าทางเข้าคีป ก่อนจะหลบหลังเสาหน้าประตูแล้วหันกลับมาดู
เมื่อเห็นว่าซาลารัสถอยไปห่างพอแล้ว แซนโดรจึงเริ่มร่ายเวท
“…เดธเซนเทนซ์..”
ทันใดนั้นก็มีแสงสีเขียวส่องลงมาจากฟากฟ้า อาบร่างของมังกรตัวน้อยและพื้นที่โดยรอบราวกับแสงสปอตไลท์
พริบตาต่อมาลำแสงเวทมนตร์ความเข้มข้นสูงก็ถูกยิงลงมาครอบคลุมพื้นที่ซึ่งแสงสีเขียวอาบอยู่ทั้งหมดราวกับเป็นน้ำตกขนาดยักษ์
ลำแสงสีเขียวนั้นไม่ทำให้เกิดการระเบิด ไม่มีการแตกกระจาย มันเพียงพุ่งจากฟากฟ้าลงสู่ผืนดินราวกับสายน้ำที่ไหลผ่านไปโดยไม่มีอะไรมาขวางกั้น
เมื่อลำแสงหยุดลง พื้นที่ตรงนั้นก็กลายเป็นเพียงหลุมขนาดใหญ่ที่มีความลึกจนมองไม่เห็นก้นหลุมเลย
“หวาว ไม่เหลือซากเลย ไม่สิแม้แต่พื้นก็ไม่เหลือด้วย”
“…เป็นไงบ้าง…”
เมื่อแซนโดรถาม ซาลารัสก็เปิดผังโครงสร้างวงเวทของสมุนมังกรขึ้นมาดู พบว่ายังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
“ไม่มีปัญหา ยังอยู่เป็นปกติดี”
“…อืม …แปลว่าแรงช็อคจากการตายของร่างเสมือนไม่มีผลกับร่างจริงของสมุนอัญเชิญในวงเวท …เดิมทีมันก็เป็นเพียงการถ่ายทอดประสบการณ์ความรู้สึกอยู่แล้วน่ะนะ …สำหรับร่างอัญเชิญที่ไม่มีความรู้สึกก็ไม่น่าจะได้รับผล …แต่ยังไงชั้นก็อยากจะทำให้แน่ใจน่ะ…”
เพราะกังวลว่าถ้าร่างอัญเชิญเสมือนที่ซาลารัสค้นพบโดนเวทแรงๆจนตายจะทำให้ร่างจริงในวงเวทตายไปด้วยรึเปล่า แซนโดรจึงให้ซาลารัสลองอัญเชิญสมุนออกมารับการโจมตีดู แต่ดูเหมือนทุกอย่างจะไม่มีปัญหา
“…จากนี้เราจะมีการเปลี่ยนแปลงตารางเวลากันนิดหน่อย …เราจะมาเรียนเรื่องการสร้างดันเจียนกันก่อน …แล้วค่อยย้อนมาเรียนวิชาของนักเวทกับนักอัญเชิญกันในภายหลัง…”
เมื่อพูดจบแซนโดรก็เปลี่ยนเป็นชุดธรรมดาดังเดิมและพาซาลารัสเทเลพอร์ทกลับไปยังห้องสมุด
ทั้งสองคนกลับมายังห้องโถงกลางของห้องสมุด ที่นั่นมีโต๊ะตัวใหญ่ที่เต็มไปด้วยกองหนังสือซึ่งซาลารัสค้นมาวางอยู่อย่างระเกะระกะ ใกล้ๆกันนั้นมีกระดานขนาดใหญ่ซึ่งใช้เขียนหรือวาดทฤษฎีคร่าวๆสำหรับสอนวิชาให้กับซาลารัสตั้งอยู่
ซาลารัสเข้านั่งประจำที่ของตัวเอง ส่วนแซนโดรก็เดินไปยืนข้างๆกระดานเหมือนตอนสอนวิชาเวท
“…เอาล่ะ …เธอรู้อะไรเกี่ยวกับดันเจียนมิติบ้าง?…”
“อืม… ก็แบ่งเป็นดันเจียนมิติแบบปิด ซึ่งเป็นห้วงมิติที่แยกจากโลกจริง แค่มีประตูเชื่อมระหว่างภายนอกกับภายใน กับอีกแบบคือดันเจียนมิติแบบเปิด ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ของโลกจริง แค่มีสภาพแวดล้อมเปลี่ยนไป”
“…ถูกต้อง …แล้วรู้รึเปล่าว่าดันเจียนมิติเกิดขึ้นได้ยังไง?…”
“ดันเจียนมิติเกิดจากห้วงมิติบิดผันที่หินเวทมนตร์สร้างขึ้น แล้วค่อยๆขยายตัวออกไปเรื่อยๆ จนกลายสภาพเป็นดันเจียนในที่สุด…”
ซาลารัสตอบด้วยน้ำเสียงเอื่อยๆและท่าทีเบื่อหน่าย เพราะเขารู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกลองภูมิ เนื่องจากความรู้พวกนี้เป็นความรู้พื้นฐานที่นักผจญภัยทุกคนต้องรู้อยู่แล้ว
“…พื้นฐานการสร้างดันเจียนมิติก็ไม่ต่างจากการสร้างห้องมิติสำหรับเก็บของสักเท่าไหร่ …แค่สร้างห้องและทางเดินหลายๆอันมาเชื่อมต่อกันทีละนิดจนกลายเป็นดันเจียน …พลังเวทที่ใช้ก็เอามาจากหินเวทมนตร์ซึ่งเราจะกำหนดให้เป็นแกนกลางของมัน …เอาล่ะ ขั้นแรกเริ่มด้วยการสร้างห้องมิติขึ้นมาห้องหนึ่ง แล้วเขียนวงเวทที่มีโครงสร้างตามนี้ลงไป…”
แซนโดรพูดพลางชี้ไปยังรูปแบบวงเวทที่เขียนขึ้นบนกระดาน
เมื่อซาลารัสสร้างห้องมิติและวาดวงเวทเสร็จแล้ว แซนโดรก็ส่งหินเวทมนตร์ขนาดเล็กชิ้นหนึ่งให้
“…ทีนี้ก็วางหินเวทมนตร์เม็ดนี้ลงตรงกลางวงเวท …แล้วเปิดการทำงานของวงเวทซะ…”
ทันทีที่เปิดการทำงานของวงเวท หินเวทมนตร์ก็ค่อยๆลอยขึ้นจากพื้นและค้างอยู่บนอากาศแบบนั้น ส่วนวงเวทบนพื้นก็ค่อยๆจางหายไป
ครู่ต่อมาก็เกิดพลังงานกระชากวิ่งไปทั่วผนังของห้องมิติ จากนั้นซาลารัสก็รู้สึกได้ว่าตัวห้องมิติไม่ได้คงอยู่ด้วยพลังเวทของเขาอีกแล้ว แต่คงสภาพได้ด้วยตัวมันเอง
“…การออกแบบโครงสร้างดันเจียนนั้นสามารถทำได้โดยอิสระ …แต่ครั้งนี้เพื่อประหยัดเวลาก็สร้างตามแผนผังนี่ไปก่อนละกัน …ไว้ตอนว่างๆเธอค่อยลองออกแบบดันเจียนด้วยตัวเองดู…”
แซนโดรเอานิ้วเคาะที่กระดาน จากนั้นรูปวงเวทบนกระดานก็เปลี่ยนเป็นภาพโครงสร้างคร่าวๆของดันเจียนขึ้นมาแทน มันดูเหมือนแผนที่ดันเจียนซึ่งมองจากมุมมองด้านบน
ซาลารัสมองแผนผังตัวอย่างแล้วสร้างส่วนต่อขยายเพิ่มเติมตามที่เห็น การสร้างห้องและทางเดินต่างๆนั้นทำได้ง่ายดายราวกับวาดภาพทีเดียว เพียงไม่นานโครงสร้างของดันเจียนทั้งชุดก็เสร็จสมบูรณ์
“…ดันเจียนอันนี้ …ชั้นคิดว่าจะวางทางเข้าไว้ในป่า …เพราะงั้นก็ควรปรับสภาพแวดล้อมภายในให้ดูเป็นป่าด้วย …คนที่เข้าไปจะได้ไม่ผิดสังเกต …เพ่งสมาธิไปที่หินเวทมนตร์แล้วจินตนาการสภาพแวดล้อมที่ต้องการเพื่อเปลี่ยนสภาพแวดล้อมของดันเจียนซะ…”
ซาลารัสนึกถึงดันเจียนที่เขาพบกับแซนโดรเป็นครั้งแรกเพราะคิดว่าน่าจะเหมาะดี ทันใดนั้นสภาพแวดล้อมภายในดันเจียนก็กลายเป็นโถงทางเดินและห้องที่เกิดจากการเรียงตัวของแนวไม้อันรกทึบไปในทันที
“ว้าว ง่ายกว่าที่คิดเยอะเลยนะเนี่ย”
“…สำหรับซัมมอนเนอร์ซึ่งเป็นคลาสที่เชี่ยวชาญด้านการสร้างของต่างๆด้วยจินตนาการอยู่แล้วมันก็เป็นเรื่องที่ง่ายแหละ …ทีนี้ก็เพิ่มโครงสร้างเวทมนตร์ชุดนี้ลงไปในวงเวทอัญเชิญของสมุนที่เธอต้องการจะให้ปรากฏในดันเจียนซะ…”
แซนโดรเคาะกระดานอีกครั้ง ภาพบนกระดานก็เปลี่ยนเป็นอักขระเวทชุดหนึ่งแทน ซาลารัสคัดลอกอักขระเวทชุดนั้นและบรรจุลงไปยังวงเวทอัญเชิญของสมุนที่เขามีจนครบทุกตัว
“…อักขระชุดนี้เรียกว่า ‘ดันเจียนบาวด์’ (Dungeon Bound) …มันจะเชื่อมโยงวงเวทอัญเชิญเข้ากับมิติของดันเจียนที่สร้างขึ้นโดยมีอักขระชุดเดียวกัน …ทำให้เธอสามารถอัญเชิญสมุนไปโผล่ยังจุดไหนในดันเจียนก็ได้ โดยตัวเธอเองไม่จำเป็นต้องไปที่นั่น…”
“หวาว เจ๋งเป้งไปเลย! ไม่ยักรู้ว่ามีวิธีแบบนี้อยู่ด้วย”
“…ต่อจากนี้เราต้องไปวางทางเข้าดันเจียนในที่ๆเหมาะสม…”
แซนโดรสัมผัสไหล่ของซาลารัสเพื่อเทเลพอร์ทพร้อมกับเขาไปยังที่แห่งหนึ่ง
ทั้งสองคนเทเลพอร์ทมายังหอคอยหลังหนึ่งในมาลาไคท์คีป ดูจากความสูงแล้วน่าจะเป็นส่วนที่ใกล้ๆกับยอดของหอคอย
ผนังทุกด้านของชั้นนั้นเปิดโล่งจนมองเห็นทิวทัศน์ได้โดยรอบ ตรงกลางห้องมีแท่นศิลาขนาดใหญ่หนึ่งอันซึ่งมีแท่นซิลาเล็กๆอีกหกอันล้อมเป็นวงกลม
“นี่มัน? รึว่าจะเป็นหินเทเลพอร์ท?”
“…ใช่แล้ว …ชั้นวางจุดเทเลพอร์ทเอาไว้ตามที่ต่างๆหลายแห่ง …เพื่อที่จะใช้ในการเดินทาง …ตามมาสิ…”
แซนโดรเดินนำซาลารัสเข้าไปยังภายในวงเวทที่แท่นหินรอบนอกล้อมอยู่
เมื่อซาลารัสตามเข้าไปแซนโดรก็แตะสัมผัสกับแท่นศิลาอันใหญ่ ทันใดนั้นวงเวทบนพื้นก็เริ่มเปล่งแสงสีฟ้าออกมาจนหุ้มอาณาเขตในวงเวทราวกับหลอดแก้ว แล้วร่างของทั้งสองก็หายวับไป
———————————————————————————————————-
Part 2
เมื่อซาลารัสลืมตาขึ้นเขาก็พบว่าเขากับแซนโดรได้มายืนอยู่ ณ ซากปรักหักพังแห่งหนึ่ง
ที่นั่นเหมือนเป็นป้อมปราการเก่าแก่ที่เสียหายและถูกทิ้งร้าง ผนังกว่าครึ่งก็พังทลายลงจนมองเห็นข้างนอกได้ ดูเหมือนพวกเขาจะอยู่บนชั้นสองของป้อม
ด้านหน้าของป้อมนั้นเป็นที่ราบที่ดูรกร้างไม่แพ้กัน แต่ก็ยังพอเห็นเส้นถนนเก่าๆที่มีหญ้าแทรกขึ้นมาตามช่องหิน ทอดยาวไปยังถนนสายหลักที่อยู่ห่างไปไม่ไกลนัก
“วงเวทเคลื่อนย้ายนี่สะดวกดีนี่นา ทำไมทีแรกไม่ใช้ไอ้นี่เดินทางไปที่คีปล่ะ?”
“…มาลาไคท์คีปน่ะตั้งอยู่ในมิติพิเศษ …ถ้าเธอไม่มีแหวนที่ลงรหัสของมิติเอาไว้ก็จะใช้การเคลื่อนย้ายเข้าไปไม่ได้หรอก …เพราะงั้นแหวนนั่นน่ะ รักษาให้ดีๆ อย่าทำหายล่ะ…”
“เอ๋ แหวนสื่อสารอันนี้ใช้ทำแบบนั้นด้วยเหรอเนี่ย เข้าใจล่ะ”
“…อีกอย่างคือ The Peace Keeper น่ะ มีเครือข่ายตรวจจับการใช้งานเวทเคลื่อนย้ายอยู่ …ถ้าเทเลพอร์ทในระยะไกลๆจะทำให้เกิดคลื่นสะท้อนจนพวกนั้นสงสัยและอาจส่งคนมาตรวจสอบได้ …ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยจึงควรใช้วงเวทเคลื่อนย้ายแค่ในระยะใกล้ๆเท่านั้น…”
“ใช้เคลื่อนย้ายไกลๆไม่ได้งั้นเหรอ? ว่าไปแล้ว เราอยู่ที่ไหนกันน่ะ?”
“…ที่นี่คือเขตตะวันตกของเลนเทีย …อยู่ทางใต้จากจุดที่เป็นทางเข้ามาลาไคท์คีปลงมานิดหน่อย…”
“เลนเทียเหรอ!? นี่มันอีกฟากของอาณาจักรเลยนี่นา!? วันนั้นเราเดินทางกันไกลขนาดนี้เลยเหรอ!?”
เลนเทียคือเขตสุดขอบตะวันตกของอาณาจักรจูริส มันอยู่ห่างจากเขตอีจิสซึ่งอยู่สุดขอบตะวันออกราวๆเก้าร้อยกิโลเมตรได้
“…ช่วงกลางคืนชั้นก็ใช้การเคลื่อนย้ายในบางช่วงด้วยน่ะเลยทุ่นเวลาไปได้เยอะ …ถ้าเป็นการเคลื่อนย้ายที่ไม่ไกลเกิน 150 กิโลเมตรก็จะไม่ถูกตรวจพบ …แต่เพื่อความแน่ใจชั้นเลยเคลื่อนย้ายครั้งละไม่เกิน 120 กิโลเมตรเท่านั้น…”
“ตกใจเลยแฮะ ไม่นึกว่าจะมาไกลขนาดนี้ ผมเพิ่งเคยเดินทางไกลขนาดนี้เป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ย”
“…ความรู้สึกช้าเกินไปแล้ว…”
“ก็แซนโดรไม่บอกนี่นา! ว่าแต่เราจะสร้างดันเจียนกันที่นี่เลยเหรอ?”
“…ไม่ใช่หรอก …ต้องเดินทางกันไปอีกหน่อย …เราไม่ควรให้พวกนักผจญภัยมาป้วนเปี้ยนแถวๆที่มีวงเวทเคลื่อนย้ายซ่อนอยู่ …ตามชั้นมา…”
แม้จะไม่มีบันได แต่ซากปรักหักพังก็ทับถมกันเป็นทางลาดจนเดินลงจากชั้นสองได้
เมื่อลงมาถึงหน้าถนน แซนโดรก็นำรถม้าออกมาและพาซาลารัสเดินทางต่อ
หลังจากแล่นตามถนนเก่าอันขรุขระได้ไม่นาน รถม้าก็เข้าสู่ถนนใหญ่ ซาลารัสแหวกม่านของรถม้าเพื่อมองดูทิวทัศน์รอบๆไปตลอดทางในขณะที่แซนโดรนั่งอ่านหนังสืออยู่เงียบๆ
ไม่นานรถม้าก็แล่นมาถึงเขตชายป่า แซนโดรใช้เวทมนตร์เรียกดูแผนที่ของแถวนี้อยู่สักพัก จึงตัดสินใจหยุดรถที่ชายป่าด้านหนึ่ง
“…แถวๆนี้น่าจะได้แล้วล่ะ…”
แซนโดรเดินลงจากรถและเก็บรถม้า จากนั้นก็เดินนำเข้าไปในป่าโดยมีซาลารัสเดินตามไปไม่ห่าง
เมื่อเดินไปสักระยะหนึ่งแซนโดรก็เห็นว่าเข้ามาลึกพอแล้ว จึงเริ่มมองหาที่ๆเหมาะจะใช้ในการวางทางเข้าดันเจียน
“…อืม …โพรงไม้นี่น่าจะใช้ได้นะ…”
หลังจากเจอจุดที่เหมาะสม แซนโดรก็วาดวงเวทอันหนึ่งขึ้นมาบนอากาศให้ซาลารัสดู
” …นี่คือวงเวทสำหรับสร้างทางเข้าดันเจียน …สังเกตเห็นอักขระชุดนี้มั้ย? …นี่คืออักขระที่ใช้ระบุเอกลักษณ์ของดันเจียน …ถ้าอักขระนี้ตรงกับอักขระที่ใช้สร้างดันเจียน ทางเข้าก็จะเชื่อมต่อกับดันเจียนนั้น…”
“อ๋อ นี่เป็นอักขระชุดเดียวกับที่ให้เพิ่มลงในวงเวทอัญเชิญด้วยนี่นา ก็ด้วยเหตุผลเดียวกันสินะ”
“…ใช่ ถ้ามีอักขระตรงกันก็จะอัญเชิญสมุนเข้าไปในดันเจียนได้เลย …แต่ถ้าอักขระไม่ตรงก็จะทำไม่ได้ …ดังนั้นถ้าสร้างดันเจียนใหม่ก็อย่าลืมเพิ่มอักขระชุดใหม่เข้าไปด้วย…”
“เข้าใจล่ะ”
ซาลารัสหยิบสมุดเล่มเล็กๆขึ้นมาจดสิ่งที่แซนโดรสอน เสร็จแล้วจึงวาดวงเวทลงในโพรงไม้และเปิดการทำงาน สักพักวงเวทก็จางหายไปและเกิดการบิดตัวของมิติขึ้นตรงโพรงไม้นั้น ในที่สุดมันก็กลายสภาพเป็นทางเข้าดันเจียน
“…ทีนี้ก็มีเรื่องที่ต้องทำอีกแค่นิดหน่อย …ตามมา…”
แซนโดรเดินเข้าไปในดันเจียน ส่วนซาลารัสก็รีบตามเข้าไป เมื่อเข้ามาถึงก็พบว่าแซนโดรได้วาดอักขระเวทชุดหนึ่งไว้บนอากาศ
“…นี่เป็นเวทสำหรับใช้เคลื่อนย้ายภายในดันเจียน …ผู้เป็นเจ้าของดันเจียนสามารถจะใช้เวทนี้เทเลพอร์ทไปยังจุดไหนของดันเจียนก็ได้ …ลองใช้มันเทเลพอร์ทไปยังแกนของดันเจียนดูสิ…”
เมื่อพูดจบแซนโดรก็เอามือแตะไหล่ของซาลารัสและรอให้เขาร่ายเวท
ซาลารัสเปิดดูผังของดันเจียนเพื่อหาตำแหน่งของแกนดันเจียนจากนั้นก็ร่ายเวทที่แซนโดรให้มา ทั้งสองก็เทเลพอร์ทมายังห้องที่มีแกนของดันเจียนในทันที
เมื่อมาถึง แซนโดรก็เริ่มวาดวงเวทอีกวงขึ้นตรงพื้นด้านล่างของหินเวทมนตร์ซึ่งเป็นแกนของดันเจียน
“เห? จะทำอะไรเหรอ?”
“…นี่คือเวท ‘โซลพริซั่น’ (Soul Prison) …เป็นเวทอีกระดับของ ‘โซลแทรป’ ที่ใช้ดักจับวิญญาณสิ่งมีชีวิตมาเก็บใน โซลสโตน …หากร่ายเวทนี้ไว้ที่แกนของดันเจียน มันจะทำให้ทั้งดันเจียนมีผลของเวท ‘โซลแทรป’ …วิญญาณของสิ่งมีชีวิตที่ตายในนี้จะถูกดักเอาไว้และบรรจุลงในโซลสโตนที่เราต้องการ…”
“หืม… แต่แซนโดรก็มีหินเวทมนตร์ไว้ใช้เยอะแยะอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ? ไม่เห็นต้องทำแบบนี้เลย”
“…ผิดแล้ว …เพราะทำแบบนี้ถึงมีหินเวทมนตร์ไว้ใช้เยอะแยะต่างหากล่ะ …ชั้นใช้วิธีนี้สร้างโซลสโตนคุณภาพสูงแล้วนำมาหลอมเป็นหินเวทมนตร์ …ถ้าโชคดีอาจได้หินเวทมนตร์ที่เกรดดีกว่าอันที่ใช้เป็นแกนดันเจียนนี่ซะอีก …หรืออาจได้เกรดเดียวกันอีกหลายเม็ด …และเราจะใช้มันสร้างดันเจียนต่อไปหรือเอาไปทำอย่างอื่นได้…”
“หา!? มีวิธีสร้างหินเวทมนตร์ขึ้นเองแบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย! เดี๋ยวซิ แบบนี้ก็เท่ากับว่าเราแทบจะไม่เสียอะไรเลยนี่นา แถมยังได้กำไรด้วย! สุดยอด!”
“…มันก็ไม่เสมอไปหรอกนะ …ถ้ามีมอนสเตอร์หลงเข้ามาในดันเจียนน้อยๆ ก็อาจทำให้รวบรวมวิญญาณได้น้อยไปด้วย …แต่ปกติแค่มีมอนสเตอร์สักสี่หรือห้าตัวมาตายในดันเจียนก็จะได้วิญญาณมากพอที่จะสร้างหินเวทมนตร์เกรด E แล้วล่ะ…”
เมื่อเปิดการทำงานของวงเวทเสร็จเรียบร้อย วงเวทบนพื้นก็ค่อยๆจางหายไป จากนั้นแซนโดรก็ให้ซาลารัสพาเทเลพอร์ทออกมาที่หน้าทางเข้าดันเจียน
“…ขั้นตอนสุดท้ายก็คือไอ้นี่ …นี่คือเวทดึงดูดมอนสเตอร์ (Monster Lure) …มันจะทำให้พื้นที่โดยรอบมีความเข้มข้นของพลังเวทขึ้นชั่วคราว …สามารถดึงดูดมอนสเตอร์และสัตว์เวทมนตร์ในรัศมีหลายกิโลเมตรให้เข้ามาใกล้ได้ …ลองร่ายดูสิ…”
“เอ๋? ทำไมต้องเรียกมอนสเตอร์มาด้วยล่ะ? นี่เป็นดันเจียนที่จะให้สมุนของผมอยู่ไม่ใช่เหรอ?”
“…หากในดันเจียนมีแต่มอนสเตอร์ที่เป็นสมุนอัญเชิญมันจะผิดสังเกตได้ …คนจะดูออกว่าเป็นดันเจียนที่ถูกสร้างขึ้นมา …อีกอย่างคือวิญญาณของพวกมันนี่แหละที่เราจะดักจับด้วย ‘โซลพริซั่น’ …ถ้าไม่มีมอนสเตอร์เข้าไปเลยก็สร้างโซลสโตนไม่ได้น่ะสิ…”
“งี้นี่เอง ตะกี้ก็สงสัยอยู่ว่าจะเอาวิญญาณมาจากไหน… กำลังลำบากใจอยู่เลย นึกว่าแซนโดรจะให้ฆ่านักผจญภัยที่หลงเข้ามาซะอีก”
“…บอกไว้ก่อนเลยนะว่าห้ามฆ่าคน …และห้ามพลั้งเผลอทำให้คนตายในนั้นด้วย …เจ็บหนักก็ไม่ได้…”
“เห? ใจดีผิดคาดแฮะ นึกว่าจะเห็นชีวิตคนเป็นผักปลาซะอีก”
“…ชั้นไม่ได้สนใจชีวิตของพวกนั้นหรอก …แต่ว่าถ้าเกิดมีคนตายหรือบาดเจ็บหนักขึ้นมา …ดันเจียนนี้จะถูกยกระดับความอันตรายขึ้น แล้วจะมีนักผจญภัยที่ระดับสูงขึ้นถูกส่งมาแทน …พวกนั้นจะเคลียร์ดันเจียนทิ้งทันที ทำให้เราใช้งานมันได้น้อยลง …กรณีเลวร้ายอาจมีคนขององค์กรเข้ามาตรวจสอบดันเจียนหาความผิดปกติก็ได้…”
“ถ้ามีนักผจญภัยมาเจอ ดันเจียนก็ต้องถูกเคลียร์ทันทีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”
“…ตามกฎพื้นฐานของนักผจญภัยแล้วมันก็ควรเป็นเช่นนั้น …แต่ในความเป็นจริงพวกนักผจญภัยส่วนใหญ่จะชอบเข้ามาเคลียร์มอนสเตอร์เฉยๆแล้วปล่อยดันเจียนทิ้งไว้ก่อน …เพื่อว่าจะได้กลับมาฟาร์มมอนสเตอร์ในดันเจียนซ้ำได้อีกในวันต่อๆไป …รอจนใกล้ๆจะหมดเวลาภารกิจถึงจะเคลียร์ดันเจียนแล้วไปส่งภารกิจกับสมาคม …ดังนั้นถ้าไม่ไปเจอพวกรีบทำภารกิจ ดันเจียนนี้น่าจะใช้งานได้ราวๆหนึ่งอาทิตย์ก่อนจะถูกเคลียร์…”
“เห? จงใจปล่อยดันเจียนทิ้งไว้แบบนั้นมันผิดกฎนี่นา”
“…พวกนักผจญภัยก็แบบนี้แหละ …เน้นผลประโยชน์ของตัวเองเอาไว้ก่อน …ยิ่งถ้าในดันเจียนมีมอนสเตอร์ที่ดรอปวัตถุดิบหายากอยู่บางคนอาจยอมปล่อยให้หมดเวลาภารกิจเพื่อไปรับภารกิจใหม่อีกรอบด้วยซ้ำ …จะได้ฟาร์มวัตถุดิบหายากได้นานๆ …ที่ให้ล่อมอนสเตอร์ตามธรรมชาติมาไว้ในดันเจียนก็ด้วยเหตุผลนี้เหมือนกัน…”
“แต่แบบนี้ พวกมอนสเตอร์ตามธรรมชาติมันจะไม่โจมตีสมุนอัญเชิญของผมเหรอ?”
“…สมุนของเธอถูกสร้างด้วยวงเวทที่มีอักขระชุดเดียวกับดันเจียน …ดังนั้นมันจะปล่อยคลื่นความถี่ระดับเดียวกับดันเจียนออกมา …พวกมอนสเตอร์จะมองสมุนของเธอเป็น ‘ผู้อาศัย’ ของดันเจียนนั้น และไม่ทำอันตรายพวกมันหรอก…”
“อ๋อ แบบนี้นี่เอง… ถ้างั้นละก็ เริ่มเลยละกันนะ”
ซาลารัสร่ายเวทดึงดูดมอสเตอร์ในทันที เขารู้สึกเหมือนมีก้อนอากาศมารวมกันที่ฝ่ามือ ก่อนจะแตกตัวออกเป็นสายลมเบาๆพัดออกไปทุกทิศทาง
เมื่อเสร็จสิ้นทุกอย่างแล้วทั้งสองคนก็เดินออกมาจากป่า
เมื่อถึงถนนแซนโดรนำรถม้าออกมาอีกครั้งและทั้งสองคนก็ขึ้นไปนั่งประจำที่
“ความจริงเทเลพอร์ทกลับไปที่วงเวทเคลื่อนย้ายเลยก็น่าจะได้ไม่ใช่เหรอ?”
“…เรายังมีอีกที่นึงที่จะต้องไป…”
“เอ๋? ที่ไหนเหรอ?”
“…สมาคมนักผจญภัย (Adventure Guild) ไงล่ะ…”
———————————————————————————————————-
Part 3
หลังจากนั่งรถม้ามาตามถนนใหญ่ได้ราวๆยี่สิบนาที ทั้งสองคนก็มาถึงเขตชานเมือง ทำให้พบเห็นสิ่งที่บ่งบอกถึงความเป็นพื้นที่ใกล้เขตชุมชนมากมาย
ทั้งไร่นา, ฟาร์มปศุสัตว์, และบ้านคน รวมถึงผู้คนที่ใช้เส้นทางสัญจรก็เริ่มเยอะขึ้นด้วย ทำให้รถม้าของแซนโดรต้องลดความเร็วลง
เป้าหมายของแซนโดรคือเมืองลินซ์ เมืองหลักของเขตเลนเทียซึ่งเป็นที่ตั้งของสมาคมนักผจญภัยประจำเขตด้วย
“…ในดันเจียนเป็นไงบ้าง? …ลองเปิดผังดันเจียนดูซิ…”
เมื่อแซนโดรถามขึ้น ซาลารัสจึงกางแบบจำลองของดันเจียนออกมาดู
ในแบบจำลองสามมิตินี้แสดงภาพของมอนสเตอร์หลายตัวซึ่งตอนนี้เข้ามาอยู่ในดันเจียนด้วย
“เห~ แสดงภาพของมอนสเตอร์ในดันเจียนด้วยเหรอเนี่ย! ยังกับตู้ปลาแน่ะ! ยอดเลย!”
“…สามตัวงั้นเหรอ …เดี๋ยวคงมีมาเพิ่มอีกมั้ง …แต่แค่นี้ก็ใช้ได้แล้วล่ะ…”
ไม่นานนักรถก็แล่นมาจนถึงทางเข้าเมืองลินซ์ มันเป็นเมืองขนาดใหญ่ที่ให้บรรยากาศแตกต่างจากเมืองในอีจิสอย่างสิ้นเชิง
ตัวเมืองรายล้อมไปด้วยกำแพงสูงและหอคอยขนาดใหญ่ที่ดูแข็งแกร่ง ให้ความรู้สึกเหมือนกับเป็นปราการขนาดยักษ์มากกว่าที่จะเป็นเมือง
อาคารบ้านเรือนส่วนใหญ่ก็สร้างขึ้นมาจากหินและศิลา ดูทนทานแข็งแรง ผิดกับอาคารทรงยุโรปที่สร้างจากอิฐและไม้ในเขตอีจิส
“เห~ เมืองฝั่งตะวันตกนี่น่ะให้บรรยากาศผิดกับฝั่งตะวันออกคนละเรื่องเลยนะ”
“…ใช่ …เพราะฝั่งตะวันตกน่ะอยู่ใกล้กับเขตที่เคยถูกรุกรานโดยผู้สร้างหายนะมาก่อน …แม้แต่ประตูนรกก็ยังคงตั้งอยู่ที่อาณาจักรโครซิสทางตะวันตกเฉียงใต้ …ดังนั้นทั้งผู้คนและสถาปัตยกรรมตั้งแต่ฝั่งตะวันตกของจูริส ไล่ไปถึงอาณาจักรเอ็นซิสและโครซิส จะมีรูปแบบที่ดุดันและพร้อมรบกว่าฝั่งตะวันออก…”
ระหว่างนั้นแซนโดรก็หยิบเอาหูสัตว์ที่มีขนปุกปุยคล้ายๆกับหูสุนัขมาสวมให้กับซาลารัส
“เอ๋? อะไรเนี่ย?”
“…ดวงตาสีทองน่ะเป็นสิ่งที่โดดเด่นในหมู่มนุษย์ แต่ถ้าเป็นพวกฮาลฟ์บีส (กึ่งสัตว์) จะมีดวงตาสีเหลืองหรือสีส้มก็เป็นเรื่องปกติ …ถ้าสวมหูนี่ไว้ให้ดูเหมือนพวกฮาลฟ์บีส ถึงจะมีคนเห็นสีตาของเธอก็คงไม่ผิดสังเกตอะไร…”
“งี้นี่เอง ว่าแต่ทำไมคราวก่อนไม่เห็นเอาออกมาให้ใส่เลยล่ะ?”
“…ตอนนั้นไม่ได้พกติดตัวมาด้วยน่ะ…”
“หืม? แปลว่าปกติจะพกติดตัวไว้งั้นเหรอ? พกไว้ทำไมอะ?”
แซนโดรไม่ได้ตอบคำถามของซาลารัสและทำเป็นก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือต่อไป
ที่ประตูเมืองมีทหารยามเฝ้าตรวจตราอย่างเข้มงวด แม้จะไม่ได้ตรวจทุกคนแต่พวกเขาก็สกัดรถม้าหรือรถขนของเกือบทุกคันที่พยายามจะเข้าเมืองเพื่อตรวจสอบ รวมไปถึงรถม้าของแซนโดรด้วย
เมื่อทหารเข้ามาประชิดรถ แซนโดรก็เปิดม่านหน้าต่างออก ทันทีที่ทหารยามเห็นหน้าของแซนโดรก็ทำท่าทางเกรงใจแล้วปล่อยให้รถม้าผ่านเข้าไปในเมืองทันที
แม้ซาลารัสจะสงสัยนิดหน่อยแต่ตอนนี้เขากำลังตื่นตาตื่นใจกับเมืองอยู่ ก็เลยไม่ได้ถามอะไรออกไป
เมื่อเข้ามาในเมืองได้สักพัก รถม้าก็มาถึงอาคารหลังใหญ่ซึ่งมีรูปทรงราวกับป้อมปราการที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง มันคือสมาคมนักผจญภัยประจำเมืองลินซ์นั่นเอง
แซนโดรลงจากรถม้าและเดินตรงเข้าไปในสมาคม ส่วนซาลารัสก็รีบตามลงไปโดยพยายามสอดส่ายสายตามองรอบๆไปด้วย
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้มายังเมืองใหญ่ขนาดนี้ แถมเพิ่งเคยมาสมาคมนักผจญภัยเป็นครั้งแรกด้วยทำให้รู้สึกตื่นเต้นมาก
สมาคมนักผจญภัยของเมือนลินซ์นั้นจัดว่าเป็นสถานที่ซึ่งค่อนข้างพลุกพล่าน
ตั้งแต่หน้าทางเข้าก็มีนักผจญภัยหลากหลายกลุ่ม หลากหลายคลาส เดินเข้าเดินออกกันอย่างขวักไขว่
ภายในสมาคมแม้จะมีห้องโถงขนาดใหญ่เป็นส่วนรับแขก แต่ด้วยปริมาณของนักผจญภัยที่เข้ามาออกันอยู่ในนั้นก็ทำให้พื้นที่ดูแคบลงไปถนัดตา
แซนโดรไม่ได้สนใจส่วนบริการนักผจญภัยแต่ตรงไปยังเคาเตอร์บริการประชาชนสำหรับยื่นคำร้องหรือแจ้งข่าวสารกับทางสมาคม ซึ่งพื้นที่ฝั่งนี้ดูโล่งกว่าฝั่งบริการนักผจญภัยอย่างเห็นได้ชัด
ซาลารัสยังเฝ้ามองเหล่านักผจญภัยที่เดินไปเดินมาในสมาคมอย่างตื่นเต้น เขาหยุดยืนอยู่แถวๆกลางห้องโถงเพื่อสังเกตนักผจญภัยโดยรอบด้วยแววตาอันอยากรู้อยากเห็น แซนโดรเห็นเช่นนั้นจึงปล่อยให้เขาใช้เวลาตามสบาย
“มีอะไรให้ช่วยเหรอคะ? เอ๋~ คุณแซนดร้านี่เอง ไม่เจอกันนานเลยนะคะ”
เมื่อไปถึงหน้าเคาเตอร์ พนักงานต้อนรับซึ่งเป็นสาวน้อยผมสั้นหยักศกสีน้ำตาลก็ทักทายแซนโดรด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ดูเหมือนเธอจะรู้จักแซนโดรอยู่แล้ว แต่ในชื่ออื่น
“…สวัสดีเรลิก้า …ชั้นมาแจ้งข่าวน่ะ …แล้วก็ได้รับการฝากคำร้องมาด้วย…”
“แจ้งข่าวและฝากคำร้องงั้นเหรอคะ?”
“…คือว่าดูเหมือนจะมีดันเจียนเกิดขึ้นในป่าทางตะวันตกเฉียงเหนือน่ะ …มีชาวบ้านฝากคำร้องมาอยากให้ช่วยส่งคนไปจัดการให้หน่อย …พวกเขาฝากเงินมาเป็นรางวัลในการเคลียร์ดันเจียนด้วยนะ เอ้านี่ ห้าสิบโกลด์…”
“แหม ไม่เห็นต้องลำบากกันเลยนะคะ ดันเจียนแถบนี้เนี่ยทางสมาคมมีค่าตอบแทนในการเคลียร์ให้อย่างต่ำหนึ่งร้อยโกลด์อยู่แล้ว บอกพวกเขาให้รับเงินคืนไปก็ได้นะคะ”
“…ไม่เป็นไร …ดูเหมือนว่าพวกเขาจะอยากให้มีคนไปจัดการให้เร็วๆน่ะ …ถ้าเพิ่มรางวัลขึ้นอีกสักหน่อยก็น่าจะมีนักผจญภัยรีบมารับภารกิจไปใช่มั้ยล่ะ …ลงทะเบียนไปตามนี้เถอะ..”
“ก็ได้ค่ะ ดิชั้นจะเอาภารกิจเข้าระบบเดี๋ยวนี้เลย จากนั้นจะส่งคนไปสอดแนมดันเจียนเพื่อกำหนดระดับที่เหมาะสมสำหรับภารกิจ ภายในเย็นนี้ก็น่าจะเอาภารกิจขึ้นบอร์ดได้ค่ะ”
“…โอเค …ฝากด้วยนะ…”
“ด้วยความยินดีค่ะ เอ่อ… ว่างๆก็แวะมาอีกนะคะ”
พนักงานสาวกล่าวลาแซนโดรด้วยท่าทางเขินอายนิดๆ ส่วนแซนโดรก็พยักหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉยแล้วเดินออกจากเคาเตอร์มา
แซนโดรเดินกลับมายังห้องโถงกลางและมองหาซาลารัส พบว่าเขากำลังยืนอยู่หน้าบอร์ดประกาศภารกิจสำหรับนักผจญภัย
“…มัวทำอะไรอยู่ …ไปกันได้แล้วล่ะ…”
“นี่ๆแซนโดร! เรามาทำภารกิจกันเถอะ!”
แซนโดรทำหน้าละเหี่ยใจ ก่อนจะเอาสันมือสับลงไปเบาๆบนหน้าผากของซาลารัส
“…อย่าพูดอะไรบ้าๆจะได้มั้ย …ลืมเป้าหมายไปแล้วรึไง …นี่ไม่ใช่เวลามาทำเรื่องพวกนั้นซะหน่อย…”
“นั่นสิ แล้วเรามาทำอะไรกันที่นี่เหรอ?”
แซนโดรเริ่มทำหน้าหงุดหงิดนิดๆ เพราะเธอบอกเรื่องนี้กับซาลารัสไปแล้วบนรถ นี่แปลว่าเขาไม่ได้ฟังอะไรเลย แซนโดรจึงเอานิ้วดีดหน้าผากซาลารัสดังเพี๊ยะ
“โอ๊ย!”
“…เรามาที่นี่เพื่อแจ้งข่าวเรื่องดันเจียนไงเล่า …และเพื่อตั้งรางวัลภารกิจด้วย …จะได้มีนักผจญภัยไปที่ดันเจียนเร็วๆน่ะ…”
“อ๋อ เพราะเรื่องนี้นี่เอง ลืมไปเลย… ว่าแต่ไหนๆก็มาถึงนี่แล้ว ลองรับภารกิจมาทำกันดูเถอะ!”
สีหน้าของแซนโดรบ่งบอกความเซ็งมากกว่าเดิม ซาลารัสเหมือนจะรู้ชะตากรรมเลยรีบเอามือทั้งสองข้างกุมปิดหน้าผากเอาไว้ แต่โดนแซนโดรใช้มือดึงแก้มทั้งสองข้างแทน
“โอ๊ยๆๆๆ”
“…ก็บอกแล้วไงว่าไม่ใช่เวลาจะมาทำเรื่องแบบนั้น …รีบกลับกันได้แล้ว…”
ซาลารัสเอามือคลึงแก้มทั้งสองเพื่อบรรเทาอาการปวด ดวงตาของเขามีหยดน้ำตาเล็ดออกมานิดๆ
“โธ่เอ๊ย ยังไงก็อยากจะลองทำภารกิจดูสักครั้งจัง… ไม่สิ แซนโดรน่ะคงรับภารกิจไม่ได้อยู่แล้วนี่นา ก็เป็นผู้ใช้ศาสตร์มืดนี่นะ ถึงผมจะมีบัตรนักผจญภัยรุ่นเยาว์ก็เถอะ”
“…คนที่รับภารกิจไม่ได้มันเธอต่างหาก …ขืนเอาบัตรนั่นไปยื่นรับภารกิจก็โดนเจอตัวกันพอดีน่ะสิ …ส่วนชั้นน่ะไม่มีปัญหาอยู่แล้ว…”
“เอ๋? ไม่มีปัญหางั้นเหรอ? แซนโดรมีบัตรนักผจญภัยด้วยเหรอ?”
แซนโดรไม่ตอบคำถามแต่ชี้ไปยัง ‘วอลออฟเฟรม’ ของสมาคมซึ่งมีหน้าและชื่อของนักผจญภัยระดับท็อปติดประดับอยู่มากมายหลายคน
รายชื่อที่อยู่บนสุดใน ‘วอลออฟเฟรม’ นั้นคือ แซนดร้า เดธวิสเปอร์ (Sandra Deathwhisper) เป็นนักผจญภัยระดับ SSS
ใบหน้าของเธอเป็นหญิงสาวผมยาวสีเทา มีดวงตาสีเขียวมรกต
“แซนดร้า เดธวิสเปอร์? หน้าดูคุ้นๆนะเนี่ย… นี่มัน?… เอ๋!? นี่มัน!?”
ใบหน้านั้นคือใบหน้าของแซนโดรไม่ผิดแน่นอน เธอเป็นนักผจญภัยระดับ SSS ของสมาคมนักผจญภัยแห่งเมืองลินซ์ ภายใต้ชื่อของ แซนดร้า เดธวิสเปอร์
“นี่มันแซนโดรไม่ใช่เหรอ!?”
ซาลารัสพยายามพูดด้วยเสียงกระซิบ แต่ก็ยังเก็บอาการลุกลี้ลุกลนเอาไว้ไม่อยู่
“…ก็ตามนั้นแหละ…”
“ทำไมถึงเป็นนักผจญภัยได้ล่ะ!? แถมยังเป็นระดับท็อปอีกต่างหาก!”
“…มันก็มีช่วงที่อยากรู้เรื่องในสมาคมนักผจญภัยอยู่น่ะนะ …แล้วที่ไหนจะหาข้อมูลได้ดีไปกว่าภายในสมาคมล่ะ…”
“แล้วทำไมต้องขึ้นซะระดับท็อปเลยเล่า!? ไม่ใช่ว่าต้องพยายามทำตัวไม่ให้เป็นจุดสนใจหรอกเหรอ!?”
“…เรื่องนั้นมันก็ …ด้วยเหตุผลหลายๆอย่างน่ะ …หลักๆก็คืออารมณ์มันพาไป …พอรู้สึกตัวอีกทีก็อยู่ระดับ SSS ซะแล้ว…
…แต่การได้เป็นนักผจญภัยระดับสูงมันก็สะดวกดีในหลายๆแง่น่ะนะ …ยิ่งเคยทำผลงานดีๆไว้เยอะ …เป็นแบบอย่างของนักผจญภัย …คนก็ยิ่งไม่มีทางสงสัยเลยว่าชั้นเป็นผู้เกี่ยวข้องกับศาสตร์มืด…”
ซาลารัสรู้สึกอึ้งกับเรื่องที่ได้ยินจนพูดไม่ออก ระหว่างนั้นเขาก็สังเกตเห็นนักผจญภัยโดยรอบเริ่มจับกลุ่มกระซิบกระซาบคุยกันพลางมองมาที่พวกเขาแล้ว แซนโดรจึงพาซาลารัสเดินออกจากสมาคมไป
เมื่อกลับขึ้นมาบนรถม้าแล้วทั้งสองคนจึงเริ่มบทสนทนากันต่อ
“ผมชักไม่แน่ใจแล้วล่ะว่า The Peace Keeper น่ะเป็นองค์กรที่น่ากลัวอะไรขนาดนั้นจริงรึเปล่า ขนาดมีผู้ใช้ศาสตร์มืดตัวเบ้งอย่างแซนโดรเป็นนักผจญภัยระดับท็อปก็ยังไม่รู้เนี่ย…”
“…เขาถึงว่าบางครั้งที่ๆอันตรายที่สุดคือที่ๆปลอดภัยที่สุดไงล่ะ …พวกนั้นน่ะเอาแต่มองหาในเงามืด …จนละเลยในที่ๆสว่างไป …อีกส่วนนึงคือชั้นพอจะรู้วิธีการทำงานของพวกนั้นด้วย …ถ้าไม่ทำอะไรให้ผิดสังเกตก็ไม่มีปัญหาหรอก…”
“ชื่อกะนามสกุลบอกยี่ห้อขนาดนั้นน่ะนะไม่ผิดสังเกต? ‘เดธวิสเปอร์’ เลยนะ”
“…นักผจญภัยหลายๆคนก็ใช้ชื่อหรือนามสกุลแบบนี้แหละน่า …ตั้งชื่อเท่ๆไว้ก่อนไม่เห็นจะเสียหายตรงไหน …การกระทำต่างหากที่สำคัญกว่า …พวกที่ทำตัวหลบๆซ่อนยังจะน่าสงสัยกว่าอีก…”
ซาลารัสยังรู้สึกคัดค้านอยู่ แต่การที่แซนโดรยังอยู่มาได้โดยไม่ถูกเปิดโปงจนป่านนี้ก็เป็นเรื่องจริง จึงต้องยอมรับว่าแนวคิดของแซนโดรนั้นได้ผล เขาเลยไม่ได้โต้แย้งอะไรอีก
เมื่อรถม้าออกมาห่างจากเมืองแล้วแซนโดรก็ใช้เวทเคลื่อนย้ายกลับไปที่ซากปรักหักพังและเทเลพอร์ทกลับไปยังหอคอยของมาลาไคท์คีปด้วยวงเวทของที่นั่น
เมื่อกลับมาถึงแซนโดรก็ให้ซาลารัสฝึกการใช้เวทต่อ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ค่อยมีสมาธิเท่าไหร่เพราะมัวตื่นเต้นกับการรอว่าเมื่อไหร่จะมีนักผจญภัยเข้ามาในดันเจียน
พอแซนโดรบอกว่ามันต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อยหนึ่งวันกว่าจะมีคนมาจริงๆ ซาลารัสก็ทำหน้าผิดหวังนิดหน่อย
ในคืนนั้นซาลารัสก็ยังคงเฝ้ามองผังดันเจียนแบบไม่วางตา
ตอนนี้มีมอนสเตอร์เข้ามาอยู่ในดันเจียนแปดตัวแล้ว เป็นมอนสเตอร์รูปร่างคล้ายลิงสามตัว คล้ายหมู่ป่าสองตัว คล้ายกิ้งก่าขนาดยักษ์อีกสองตัว และคล้ายหมีอีกหนึ่งตัว
เพราะมันแสดงภาพสามมิติของมอนสเตอร์ที่เข้ามาอยู่ในดันเจียนด้วยทำให้มันดูเหมือนเป็นสวนสัตว์ขนาดเล็กซึ่งซาลารัสดูเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ
เขาเฝ้ามองดูสวนสัตว์เล็กๆนี้ตลอดทั้งคืนจนกระทั่งหลับไป
———————————————————————————————————-
Part 4
การฝึกในช่วงเช้าของวันนี้ดำเนินไปตามตารางปกติ
ซาลารัสร่ายเวทด้วยมือเปล่าได้ในระดับมาตรฐาน ‘ขั้นต่ำ’ ของแซนโดรแล้ว เธอจึงเน้นการเรียนไปที่การศึกษาและจดจำเวทพื้นฐานของแอพเพรนทีสแทน
“ต้องจำทั้งหมดนี่เลยจริงๆน่ะเหรอ… น่าเบื่อจัง…”
“…คลาสระดับแรกของนักเวทน่ะมีไว้เพื่อปลูกฝังพื้นฐาน …ในคลาสระดับสูงๆจะต้องเรียนเวทที่มีความซับซ้อนกว่านี้เยอะ หรือต้องเรียนการผสานเวทด้วย …ดังนั้นถ้าพื้นฐานไม่แน่นละก็จะทำให้มีปัญหาได้…”
แม้จะยังบ่นอุบอิบแต่ซาลารัสก็ท่องจำและทดลองการใช้เวทตามที่แซนโดรสั่งไปเรื่อยๆ
ระหว่างนั้นเองเขาก็รู้สึกได้ถึงแรงสั่นอ่อนๆจากห้องมิติ พอรวบรวมสมาธิดูก็พบว่าแรงสั่นนั้นมาจากดันเจียนที่สร้างขึ้นนั่นเอง
ซาลารัสเปิดผังของดันเจียนขึ้นมาดู แรงสั่นจึงหายไป แต่ตอนนี้ภาพโครงสร้างสามมิติของดันเจียนที่เคยเป็นสีเขียวกลับกลายเป็นสีส้มแล้ว
เมื่อกวาดสายตามองไปรอบๆซาลารัสก็เห็นภาพร่างของคนสามคนที่แสดงภาพเป็นสีแดงยืนอยู่ตรงปากทางเข้าของดันเจียน
“แซนโดร… นี่มัน?”
“…อืม …มีนักผจญภัยเข้ามาในดันเจียนแล้วไงล่ะ…”
———————————————————————————————————-
ภาคผนวก – แผนที่ทวีปจูริส
1. JURIS – อาณาจักรจูริส ศูนย์กลางของทวีป เป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ The Peace Keeper
2. ZENITHAL – ดินแดนตอนเหนือที่เต็มไปด้วยเทือกเขา ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาว Nord ซึ่งเป็นเผ่านักรบที่แข็งแกร่ง ทางฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือเป็นเทือกเขาซึ่งเป็นที่อยู่ของเหล่ามังกรน้ำแข็ง (Frost Dragon)
3. ENSIS – อาณาจักรนักรบซึ่งเคยเผชิญหน้ากับการรุกรานมาก่อนจึงทำให้มีนักรบชั้นยอดมารวมตัวกันเป็นจำนวนมาก สุดขอบตะวันตกเป็นที่ตั้งของอาณาจักรคนแคระ (Dwarf) และทางตอนเหนือก็มีเมืองของเหล่าแวมไพร์ที่รักสันติตั้งอยู่
4. KROSIS – เดิมทีเคยเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักร ENSIS แต่จากการรุกรานของผู้สร้างหายนะทำให้ดินแดนเสื่อมโทรมลง แม้ปัจจุบันมนุษย์จะยึดครองพื้นที่ทั้งหมดได้โดยสมบูรณ์แล้วแต่ประตูนรกก็ยังคงอยู่ พื้นที่โดยรอบอาณาจักรจึงมีดันเจียนเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก ที่นี่จึงกลายเป็นดินแดนสำหรับนักผจญภัยที่ต้องการมาลุยดันเจียนระดับสูงๆ
5. SYLVAN – อาณาจักรที่เต็มไปด้วยพืชพรรณและป่าเขาลำเนาไพร ฝั่งตะวันออกเป็นที่ตั้งของอาณาจักรเอลฟ์ (Elves) และใกล้กันนั้นก็เป็นที่ตั้งหมู่บ้านของเผ่ากึ่งสัตว์ (Half-Beast) ด้วย
6. TEMPERIA – อาณาจักรการค้าซึ่งเป็นเหมือนศูนย์กลางเชื่อมโยงการค้าขายระว่างทวีปจูริสและทวีปอื่นๆ ทางตอนเหนือเป็นที่ตั้งของเมืองฟิวเจอร์รีช (Future Reach) เมืองของเหล่านักวิทยาศาสตร์ซึ่งมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสูงมาก
7. SYNTHESIS – อาณาจักรของเผ่าพันธุ์จักรกล The Synthesis ซึ่งเป็นจักรกลจากโลกเก่าที่ตามมายังโลกใหม่เพื่อล้างพันธุ์มนุษย์ตามคำสั่งเดิม แต่ปัจจุบันเป็นเผ่าที่อยู่อย่างสงบและแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีรวมถึงวัฒนธรรมกับมนุษย์ในฟิวเจอร์รีชอย่างสันติ
8. ALTUM – ดินแดนรกร้างซึ่งอยู่ในการครอบครองของ The Synthesis น้อยคนที่จะรู้ว่ามีอะไรอยู่ที่นั่น