Doombringer the 5th - ตอนที่ 80
Ch.80 – เหตุแห่งการล่มสลาย
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 80
เหตุแห่งการล่มสลาย
Part 1
หลังจากเดินออกมาอีกเพียงเล็กน้อย ทุกคนก็พ้นจากเขตเมืองและมาพบกับรถหุ้มเกราะคันใหญ่จำนวนหนึ่งจอดรออยู่
พวกทหารนำร่างอันไร้วิญญาณของพวกพ้องขึ้นไปไว้บนรถแต่ละคัน ซึ่งซาลสังเกตว่ามีทหารบางคนลากชิ้นส่วนศพของพวกอสูรกายกลับมาและนำขึ้นรถด้วย
สำหรับซาลารัสกับซิสเตอร์ นายกองของเหล่าทหารเป็นคนคุมตัวขึ้นมาไว้บนรถคันหน้าด้วยตัวเอง ซึ่งเมื่อรถทุกคันพร้อมแล้ว ขบวนรถก็เริ่มออกเดินทางทันที
ทกคนนั่งโดยสารกันเงียบ ๆ โดยที่ไม่มีใครพูดอะไรกัน ทำให้ซาลรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย แต่หลังจากเดินทางมาได้ไม่นานเท่าไหร่รถก็เริ่มชะลอความเร็วลง เขาจึงคิดว่าคงใกล้จะถึงที่หมายแล้ว
เมื่อรถจอดสนิทแล้ว ประตูด้านหลังของห้องโดยสารก็เปิดออก ซึ่งนายกองที่นั่งอยู่ก็ให้ซาลกับซิสเตอร์ลงไปก่อน จากนั้นตัวเองจึงลงรถตามมา
พอลงจากรถซาลจึงพบว่าพวกเขาอยู่ในอุโมงค์ขนาดใหญ่แห่งหนึ่งเหมือนกับเป็นทางใต้ดิน ซึ่งนายกองพร้อมกับทหารอีกสองคนก็คุมตัวเขากับซิสเตอร์เดินต่อไปยังลิฟท์ที่อยู่ใกล้ ๆ นั้น
การโดยสารด้วยลิฟท์นี้ใช้เวลานานผิดปกติ แถมยังไม่ได้มีแค่การเคลื่อนที่ในแนวตั้งเพียงอย่างเดียว ซาลรู้สึกว่าในบางช่วงลิฟท์ก็มีการเคลื่อนที่ในแนวระนาบด้วย ทำให้คาดเดาได้ลำบากว่าปลายทางที่พวกเขากำลังจะไปนั้นคือที่แห่งใด แต่ในที่สุดตัวลิฟท์ก็หยุดการเคลื่อนที่
ทันที่ที่ประตูลิฟท์เปิดออก ซาลก็พบกับห้องโถงขนาดใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งมีชั้นลอยสำหรับสังเกตการณ์กั้นด้วยผนังกระจกขนาดใหญ่อยู่โดยรอบ บนชั้นสังเกตการณ์ก็มีผู้คนมากมายมายืนเรียงรายกันเพื่อมุงดูพวกเขาด้วยสีหน้าเคลือบแคลงใจ
สิ่งที่ทำให้เขาต้องแปลกใจขึ้นไปอีกก็คือ ทุกคนที่อยู่หลังกระจกนั้นล้วนแล้วแต่มีหน้าตาเหมือนกันหมด เป็นหญิงสาวผู้มีผมสีน้ำตาล มีดวงตาสีเขียวแก่ ราวกับเป็นฝาแฝดกันทุกคน แต่ด้วยจำนวนนับสิบที่เห็นอยู่นี้ทำให้ทุกคนไม่น่าจะเป็นฝาแฝดที่เกิดพร้อมกันได้เลย
ซาลกลับมามองกลุ่มทหารทางด้านหลังซึ่งกำลังถอดหมวกออก พบว่าพวกเธอก็มีใบหน้าเหมือนกับหญิงสาวทุกคนที่อยู่บนชั้นสังเกตการณ์เช่นกัน
“หุหุหุ น่าสนใจกว่าที่คิดนะเนี่ย”
ซิสเตอร์เผยรอยยิ้มและพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ด้วยท่าทางสนอกสนใจ ต่างกับซาลที่รู้สึกสับสนจนทำอะไรไม่ถูก
ก่อนที่จะมีใครพูดอะไร ก็ปรากฏภาพโฮโลแกรมของคนสามคนฉายขึ้นมาบริเวณกลางห้อง
พวกเขาเป็นชายแก่ที่สวมชุดกาวน์สีขาวเหมือนกับเป็นพวกนักวิทยาศาสตร์ แต่ละคนดูมีอายุค่อนข้างเยอะแล้ว ซึ่งชายแก่ที่อยู่ตรงกลางก็เริ่มพูดกับผู้มาเยือนในทันที
“พวกเธอบอกว่าเป็นผู้หนีรอดไปจากโลก ก่อนที่โลกนี้จะล่มสลายงั้นรึ?”
ชายแก่เอ่ยถามขึ้นทำให้ซาลก้าวออกไปเพื่อที่จะตอบ แต่ก็ถูกซิสเตอร์ยกมือบังไว้ ก่อนที่เธอจะก้าวออกไปพูดกับภาพสามมิติของชายแก่ด้วยตนเอง
“ใช่แล้วล่ะ พวกเราจากโลกนี้ไปนานมาก ไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาเลย พอจะเล่าเรื่องหลังจากที่พวกเราไปให้ฟังได้รึเปล่า?”
“หลังจากที่พวกเธอไปงั้นรึ? พวกเธอเคยอยู่ที่โลกนี้จนถึงปีที่เท่าไหร่ล่ะ?”
“ปี 2065”
“หืม… 2065 งั้นรึ… นั่นเป็นช่วงเวลาหลังจากที่เราลงมาใต้ดินอีกนี่นา… พวกเธอเป็นคนของประเทศไหน? แผนการอพยพของพวกเธอคืออะไรกันแน่?”
“แผนอพยพของพวกเราก็ประมาณ… หนีไปยังดาวดวงอื่นน่ะ ไม่ใช่แผนของประเทศใดประเทศหนึ่งหรอกนะ แค่เป็นการทดลองที่ประสบความสำเร็จแบบฟลุค ๆ ของคนกลุ่มเดียว”
ซาลรู้สึกตะหงิด ๆ นิดหน่อยที่พี่สาวตอบแบบสั่ว ๆ แถมยังเอาเรื่องไปดัดแปลงตามใจชอบ แต่เขาก็ได้แต่หวังว่าอีกฝ่ายจะไม่รู้สึกข้องใจกับคำตอบนี้จนเกินไป
ระหว่างนั้นก็มีอุปกรณ์มากมายโผล่มาจากพื้นและฉายเส้นแสงคล้ายกับแสงเลเซอร์ฉาบไปตามร่างกายของทั้งสองคนทีละส่วนทีละมุม ราวกับจะอ่านรายละเอียดของพวกเขาให้ครบทุกอณู
“ถ้าเข้าใจแล้วก็ช่วยเล่าเรื่องของฝั่งโน้นมามั่งสิ ช่วงที่เราไม่อยู่เนี่ยเกิดอะไรขึ้นบ้าง?”
เหล่าชายแก่นิ่งเงียบไปโดยไม่พูดอะไร ราวกับกำลังครุ่นคิดหรือปรึกษากัน แต่ภาพของพวกเขาก็ไม่ได้ขยับหรือมีทีท่าว่ากำลังพูดคุยกันแต่อย่างใด
ในที่สุดชายแก่ที่อยู่ตรงกลางก็เริ่มพูดกับทุกคนอีกครั้ง
“พวกเธอคงจะรู้เรื่องราวในช่วงสุดท้ายของโลกอยู่แล้วใช่มั้ย?”
ความจริงซิสเตอร์น่าจะรู้เรื่องราวพวกนี้ทั้งหมด แต่เธอก็ยังหันไปมองซาลเหมือนอยากให้เขาเป็นคนตอบคำถามนี้ อาจเพราะอยากทดสอบไหวพริบของเขาดูอีกที หรือแค่อยากแกล้งเขาก็ได้ ซาลจึงต้องตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้ไป
“อะ.. เอ่อ… เราก็รู้มาแค่บางส่วนเท่านั้น ไม่รู้ว่ามันจะถูกต้องตามประวัติศาสตร์จริง ๆ รึเปล่าเพราะเวลาก็ผ่านไปนานมากแล้ว ถ้ายังไงช่วยเล่าให้เราฟังตั้งแต่ต้นเลยได้มั้ยครับ?”
ซิสเตอร์มีสีหน้าพอใจกับคำตอบนั้น ก่อนจะหันกลับไปมองภาพสามมิติของชายแก่อีกครั้ง โดยไม่สนใจสายตาของซาลที่มองไปยังเธอด้วยความไม่พอใจเล็ก ๆ
ในระหว่างนั้นชายแก่ก็เริ่มเล่าเรื่องราวของโลกเก่าให้ทั้งสองคนได้ฟัง
——————————————————————————————————–
Part 2
ชายแก่เล่าเรื่องของโลกเก่าโดยเริ่มจากปีแรกที่เค้าลางของหายนะได้ปรากฏขึ้น
“ในปี 2025 ได้เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสที่ชื่อ X-Dominance ทำให้สิ่งมีชีวิตเพศผู้ค่อย ๆ ลดจำนวนลงเรื่อย ๆ โดยที่ไม่มีใครสังเกต กว่าจะมีคนรู้ตัวเรื่องนี้ก็ล่วงเข้าไปถึงปี 2030 ซึ่งไวรัสได้แพร่ระบาดไปจนทั่วทุกมุมโลกและไม่มีทางยับยั้งได้แล้ว ความเสื่อมโทรมของโลกก็ได้เริ่มขึ้น ณ จุดนั้น”
นี่เป็นเรื่องที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน เพราะมันไม่เคยถูกบันทึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์ คนทั่วไปรู้แค่ว่าโลกเสื่อมโทรมจากศีลธรรมและสงคราม แต่ไม่เคยมีใครพูดถึงไวรัสนี้ ทำให้ซาลประหลาดใจมาก
“เอ๋? ไวรัสที่ทำให้สิ่งมีชีวิตเพศผู้ลดลงเหรอครับ? หมายถึงทำให้ผู้ชายค่อย ๆ ตายลง? ทำไมถึงไม่มีคนสังเกตเรื่องนี้เลยจนผ่านไปถึงห้าปีล่ะครับ?”
“ไวรัสนี้ไม่ได้ทำให้สิ่งมีชีวิตเพศผู้ตายลง แต่มันทำให้ไม่มีสิ่งมีชีวิตเพศผู้เกิดขึ้นอีก”
ซาลยังคงมีสีหน้าเหมือนไม่เข้าใจในสิ่งที่ชายแก่พูด เขาจึงเริ่มอธิบายต่อ
“ไวรัสที่ชื่อ X-Dominance นี้จะไปทำลายโครโมโซม Y ภายในเซลล์สืบพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตที่ติดเชื้อ ทำให้เหลือแต่โครโมโซม X เมื่อสิ่งมีชีวิตนั้นสืบพันธุ์ตามธรรมชาติ ทายาทที่ออกมาจึงมีแต่เพศหญิง ไม่มีเพศชายเลย จำนวนผู้ชายในโลกจึงค่อย ๆ ลดลง ซึ่งในทีแรกไม่มีใครนึกสงสัยอะไร กว่าจะรู้ว่ามีไวรัสชนิดนี้อยู่ก็เป็นเวลาที่มันแพร่ระบาดจนพวกปศุสัตว์ติดเชื้อกันเกือบหมด ซึ่งเป็นเวลาที่ทุกอย่างสายเกินแก้แล้ว”
“แม้แต่สัตว์ก็ติดเชื้อได้ด้วยเหรอครับ?”
“ใช่ และนั่นก็คือสาเหตุที่ทำให้โลกเริ่มตกอยู่ในภาวะวิกฤติ การที่จำนวนประชากรเพศชายลดลงยังไม่ใช่ปัญหาใหญ่จนเกินจะแก้สำหรับพวกเรา แต่ที่เป็นปัญหาจริง ๆ คือเมื่อพวกปศุสัตว์เพศผู้ลดลงเรื่อย ๆ เราก็ไม่สามารถคงอัตราการผลิตปศุสัตว์เหมือนเช่นเมื่อก่อนได้ ทำให้อาหารประเภทเนื้อสัตว์เริ่มขาดแคลน
เมื่ออาหารหายากขึ้นจนมีราคาสูง ผู้คนจึงเริ่มไปล่าสัตว์ในธรรมชาติมาเป็นอาหาร ซึ่งสัตว์ในธรรมชาติก็ได้รับผลจากไวรัสชนิดนี้จนประชากรเพศผู้ลดลงเช่นกัน การไปล่าพวกมันมากินโดยไม่เลือกเพศยิ่งทำให้จำนวนประชากรของมันลดลงไปอีก แต่ผู้คนก็ยังล่าสัตว์กินกันต่อไป ทั้งสัตว์บก สัตว์น้ำ หรือสัตว์ปีก เพราะไม่มีทางเลือก
สิ่งนั้นยังทำให้เกิดผลกระทบตามมาก็คือ เมื่อสัตว์ในธรรมชาติโดยเฉพาะพวกนกถูกล่ากินจนลดจำนวนลงไปมาก ทำให้พวกสัตว์เล็ก ๆ หรือพวกแมลงเริ่มมีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ แทน สัตว์และแมลงพวกนี้เริ่มไปกัดกินต้นพืชในไร่นาจนเหี้ยนเตียน ทำให้แหล่งอาหารจากพืชซึ่งเดิมทีก็ไม่เพียงพอต่อการบริโภคอยู่แล้วยิ่งลดจำนวนลงไปเรื่อย ๆ ”
“ถ้าแบบนั้น ก็ยิ่งแย่เลยน่ะสิครับ?”
“ใช่ เพราะอาหารเริ่มขาดแคลนจนเข้าขั้นวิกฤติ หลาย ๆ ประเทศที่ทนไม่ไหวจึงเริ่มทำสงครามเพื่อแย่งชิงอาหารจากประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้กลายเป็นสงครามครั้งใหญ่ที่ต่างฝ่ายต่างก็ต้องต่อสู้เพื่อความอยู่รอด ลุกลามไปทั่วโลก”
นั่นน่าจะเป็นยุคสมัยแห่งสงครามที่เขาเคยได้ยินมาจากบันทึกทางประวัติศาสตร์ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รู้ว่าชนวนเหตุแห่งสงครามที่แท้จริงคืออะไร
“แล้วทำไมทุกคนถึงไม่ช่วยกันหาทางรักษาไวรัสชนิดนี้ล่ะครับ? หันมารบพุ่งแย่งชิงอาหารกันแบบนี้มันเป็นการแก้ที่ปลายเหตุนี่นา”
“เรื่องนั้นทุกประเทศในโลกต่างก็ระดมบุคลากรชั้นยอดของตัวเองทั้งแพทย์และนักวิทยาศาสตร์มาเข้าร่วมการวิจัยเพื่อค้นหาวิธีรักษาไวรัสชนิดนี้แล้ว แต่เวลาผ่านไปนับสิบปีก็ยังไม่เป็นผล ไม่ว่ายังไงก็ไม่สามารถหาทางต้านทานไวรัสชนิดนี้ได้เลย แถมยังได้รู้ความจริงที่น่าตกใจอีกอย่างหนึ่งว่า ไวรัสนี้ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่เป็นของที่ถูกสร้างขึ้น”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของซาลก็แปรเปลี่ยนไปเป็นความตกตะลึง
“ถูกสร้างขึ้น? แปลว่ามีคนจงใจสร้างไวรัสชนิดนี้ขึ้นมาทำลายโลกเหรอครับ?”
“ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้น… ไวรัสชนิดนี้เกิดจากการตัดแต่งพันธุกรรมให้มีประสิทธิภาพในการแพร่ระบาดและมีความสามารถในการปรับตัวดีกว่าไวรัสทั่ว ๆ ไปหลายสิบเท่า ทำให้ไม่ว่าเราจะลองใช้วิธีไหนในการต่อต้าน มันก็จะสามารถปรับตัวและกลายพันธุ์จนเหนือกว่าวัคซีนที่เราพยายามคิดค้นขึ้นมาได้ในที่สุด
มีความพยายามในการสืบย้อนกลับไปเพื่อหาตัวคนที่แพร่ไวรัสเหมือนกัน เผื่อว่าจะได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากไวรัสต้นแบบมาใช้ในการสร้างวัคซีน แต่สุดท้ายเราก็หาตัวผู้สร้างไวรัสไม่พบ และสงครามเพื่อแย่งชิงอาหารก็เริ่มปะทุขึ้น ทำให้การวิจัยต้องหยุดลง”
“นึกอออกแล้ว พวกนายคือกลุ่มคนที่อยู่ในโครงการโนอาห์ (Noah Project) สินะ? ชั้นเคยได้ยินเรื่องนี้มาเหมือนกัน”
คำพูดของซิสเตอร์ที่แทรกขึ้นมาทำให้ซาลและชายแก่หันไปมองเธอโดยพร้อมเพรียงกัน
“โครงการโนอาห์เหรอ?”
“มันเป็นโครงการที่จะอพยพผู้คนเข้าไปอยู่ในหลุมหลบภัยที่ปิดตายเพื่อรอจนกว่าหายนะทั้งหมดจะผ่านพ้นไปซึ่งประเมินกันว่าต้องใช้เวลาหลายร้อยปี คนทั้งหมดในโครงการจึงต้องอยู่ในสภาพจำศีลด้วยเทคโนโลยีแช่แข็ง เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมทุกคนก็จะถูกปลุกเพื่อกอบกู้โลกขึ้นมาอีกครั้ง”
หลังจากฟังที่อีกฝ่ายพูดจบ ซาลก็หันไปมองชายแก่อีกครั้ง ซึ่งเขาก็พยักหน้ารับก่อนจะพูดต่อ
“ใช่แล้ว พวกเราคือผู้ที่อยู่ในโครงการโนอาห์ และเพิ่งจะตัดสินใจกลับขึ้นไปบนพื้นโลกเมื่อสิบปีก่อนนี้เอง”
“อืม… แต่ดูเหมือนทุกอย่างมันจะไม่เป็นไปอย่างที่ควรนะ เกิดอะไรขึ้นล่ะ?”
เมื่อถูกถามด้วยคำถามนี้ ชายแก่ก็นิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะหันไปพูดกับเหล่าทหารที่อยู่ด้านหลังเพื่อออกคำสั่ง
“พวกเธอออกไปได้แล้ว”
แม้จะมีท่าทีไม่เห็นด้วยเหมือนยังไม่ไว้ใจที่จะปล่อยให้คนแปลกหน้าอยู่ในห้องนี้ตามลำพัง แต่เมื่อได้รับคำสั่งแล้วทหารทุกคนก็ยอมทำตามแต่โดยดี
เมื่อพวกเธอทั้งหมดออกไปจากห้อง ม่านเหล็กก็ค่อย ๆ รูดลงมาปิดกั้นผนังกระจกของห้องสังเกตการณ์ที่อยู่โดยรอบ ทำให้คนภายนอกไม่สามารถเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในห้องได้
หลังจากกันคนอื่นออกไปหมดแล้ว ชายแก่ก็หันมาพูดกับซิสเตอร์อีกครั้ง
“พวกเธอเป็นคนที่มาจากดาวดวงอื่นจริง ๆ น่ะเหรอ?”
“จะว่าแบบนั้นก็คงได้มั้ง”
“แปลว่ามนุษย์ชาติยังคงดำรงอยู่ ไม่ได้ล่มสลายไปแล้วสินะ?”
“อย่างน้อยก็ในตอนนี้น่ะนะ”
กลุ่มชายแก่นิ่งเงียบไปอีกพักหนึ่งจนทำให้ซิสเตอร์เริ่มรู้สึกรำคาญ เธอจึงนั่งชันเข่าลงและเอามือแตะสัมผัสกับพื้น ก่อนจะปรากฏอักขระเวทขึ้นมาทั่วบริเวณ
“พี่สาวจะทำอะไรน่ะ?”
“ฉันขี้เกียจรอคำตอบจากเจ้าโปรแกรมนี่แล้ว ดึงข้อมูลจากฐานข้อมูลออกมาดูโดยตรงเลยน่าจะเร็วกว่า”
“โปรแกรมเหรอ?”
“อื้ม เจ้าพวกนี้เป็นแค่โปรแกรมน่ะ อาจถูกเขียนขึ้น หรือเป็นการถ่ายทอดความคิดของผู้สร้างมาเก็บไว้ในรูปแบบซอฟท์แวร์ ตัวจริงของเจ้าพวกนี้น่าจะตายไปหมดแล้วล่ะ”
ระหว่างที่พูดอยู่ ภาพโฮโลแกรมของเหล่าชายแก่ก็เริ่มแสดงอาการผิดเพี้ยน ก่อนจะกลายเป็นภาพตัวเลขและตัวอักษรจำนวนมากวิ่งอยู่บนหน้าจอ
ซาลเข้าใจว่าเวทที่ซิสเตอร์กำลังใช้คือเวทสำหรับเจาะระบบซึ่งเขาเคยเห็นแซนโดรใช้กับอุปกรณ์เวทมนตร์มาแล้วหลายครั้ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นคนทำแบบนี้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าได้
“อืม… ข้อมูลที่น่าจะเป็นเรื่องราวเมื่อตอนกลับขึ้นมาบนโลกเมื่อสิบปีก่อน… หืม? คน ๆ นี้มัน?”
ซิสเตอร์มาสะดุดตากับไฟล์ข้อมูลของสมาชิกโครงการคนหนึ่ง นามว่า ‘เจส บริสตัน’
สิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกสะดุดตาก็คือในข้อมูลระบุว่าคน ๆ นี้เป็นเพศชาย แต่ใบหน้าของเขากลับเป็นหญิงสาวผู้มีผมสีน้ำตาล ดวงตาสีเขียวแก่ มันคือใบหน้าของทุกคนที่อยู่ในฐานแห่งนี้นั่นเอง
“อืม… หน้าตาแบบนี้ คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญสินะ เอาคนนี้แหละ”
เมื่อเลือกได้แล้ว ซิสเตอร์ก็ให้คอมพิวเตอร์แสดงข้อมูลที่เธอดึงออกมา จึงปรากฏเรื่องราวของ ‘เจส บริสตัน’ ขึ้นบนหน้าจอ โดยเป็นเรื่องราวที่ย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยที่เขาได้รับเลือกเข้าร่วมโครงการนี้