Doombringer the 5th - ตอนที่ 81
Ch.81 – ความหวังของมนุษยชาติ
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 81
ความหวังของมนุษยชาติ
Part 1
ปี 2045 โลกกำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤติจากไวรัส X-Dominance ที่ทำให้ประชากรเพศชายลดลงเรื่อย ๆ
รัฐบาลของหลายประเทศทั่วโลกได้ร่วมมือกันในโครงการที่ชื่อว่า ‘โครงการโนอาห์’ (Noah Project) ซึ่งจะทำการอพยพชายหญิงที่ยังไม่ติดเชื้อไปหลบซ่อนตัวในหลุมหลบภัยใต้ดินขนาดใหญ่ เพื่อรอวันที่วิกฤติการณ์บนโลกจะผ่านพ้นไป
เหล่าหนุ่มสาวผู้ถูกคัดเลือกจะได้รับการเก็บรักษาร่างกายด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัย ทำให้พวกเขาอยู่ในภาวะจำศีลได้หลายร้อยปี
‘เจส บริสตัน’ ผู้พันหนุ่มซึ่งเคยสร้างผลงานเอาไว้มากมายคือหนึ่งในผู้ถูกคัดเลือก ในฐานะของผู้บังคับบัญชากองกำลังติดอาวุธของฐานใต้ดินหมายเลข 101
แม้จะอาลัยและรู้สึกผิดกับคนที่ยังเหลืออยู่บนพื้นโลก แต่เจสก็พยายามกล้ำกลืนความรู้สึกนั้นไว้เพื่อโอกาสรอดของมนุษยชาติ ก่อนที่จะเข้าไปนอนในแคปซูลแช่แข็งที่ใช้ในการจำศีล เพื่อรอวันที่เขาจะถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง
ผู้ที่คอยดูแลระบบของหลุมหลบภัยในพื้นที่ต่าง ๆ คือสามนักวิทยาศาสตร์ผู้ริเริ่มโครงการนี้ ชาร์ล ออกัส, อเล็กซ์ โวลต้า, และ เกร็ก ไซม่อน ทั้งสามคนได้ทำการถ่ายทอดความคิดและสติปัญญาของตนเองลงบนระบบปฏิบัติการของโครงการโนอาห์ เพื่อให้ตัวตนของพวกเขาคงอยู่และดูแลโครงการนี้ได้ตลอดไปในฐานะของ ‘ผู้ดูแล’
ปี 2064 หลังจากเวลาผ่านไปได้สิบเก้าปี ศูนย์บัญชาการใต้ดินของโครงการโนอาห์ก็ขาดการติดต่อกับโลกเบื้องบนอย่างสิ้นเชิง ทำให้พวกเขาคาดกันว่ามนุษย์บนโลกได้ทำการรบพุ่งกันจนถึงภาวะดับสูญไปแล้ว
หลังจากผ่านไปสามร้อยปี เป็นเวลาที่เคยประเมินกันเอาไว้ว่าน่าจะเป็นช่วงที่ภาวะวิกฤติต่าง ๆ ได้ผ่านพ้นไปแล้ว ผู้ดูแลจึงส่งหุ่นสอดแนมขึ้นไปสำรวจโลกเบื้องบนและไม่พบการแพร่กระจายของไวรัสทั้งในอากาศและในน้ำ แต่โลกกลับตกอยู่ในความมืดมิดที่หาสาเหตุไม่ได้แทน
แม้จะหาสาเหตุของความมืดนี้ไม่ได้ แต่แค่ไม่พบร่องรอยของไวรัสอยู่บนพื้นโลกก็เป็นสิ่งที่น่าพอใจแล้ว ผู้ดูแลจึงทำการปลุกผู้คนในโครงการโนอาห์ทั้งหมด เพื่อให้พวกเขาได้กลับไปสร้างโลกขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
การตรวจสอบสภาพของโลกเบื้องบนถือเป็นภารกิจแรก ซึ่งในเรื่องนี้ เจส บริสตัน ผู้บังคับบัญชากองกำลังติดอาวุธของหลุมหลบภัยที่ 101 ก็ได้รับหน้าที่ให้นำหน่วยปฏิบัติการขึ้นไปสำรวจพื้นโลก
แม้การเดินทางออกจากอุโมงค์หลบภัยจะมีอุปสรรคบ้างเพราะโครงสร้างบางส่วนได้ถล่มลงมา แต่ในที่สุดพวกเขาก็ขึ้นมาถึงพื้นโลกได้โดยใช้เวลาเพียงครึ่งวัน
หลังออกจากอุโมงค์มาจนถึงพิกัดที่กำหนดเอาไว้ เจสก็นำทุกคนลงจากรถหุ้มเกราะ ซึ่งทีมสำรวจของเขาประกอบด้วยพลทหารสี่คน และนักวิทยาศาสตร์อีกหนึ่งคน
“มืดสนิทจริง ๆ แฮะ ทั้งที่ตามเวลาแล้วตอนนี้น่าจะเป็นช่วงเที่ยงวันแท้ ๆ แน่ใจนะว่านาฬิกาของระบบไม่ได้รวนน่ะ?”
“อย่าพูดโง่ ๆ น่า หุ่นสอดแนมของเราน่ะอยู่ที่นี่มา 48 ชั่วโมงแล้ว และในช่วงเวลานั้นก็ไม่มีแสงอาทิตย์ปรากฏให้เห็นเลยแม้แต่เสี้ยววินาที นี่ไม่ใช่ปรากฏการณ์ธรรมชาติหรอก”
คนที่ตอบกลับมาก็คือนักวิทยาศาสตร์สาว อาร์วิน สโลน ผู้ที่อาสาติดตามคณะสำรวจคณะแรกขึ้นมาสังเกตการณ์พื้นโลกด้วยตนเอง เพราะความข้องใจกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น
เธอเป็นหญิงสาวที่มีใบหน้าอันงดงาม มีเส้นผมสีขาวประดุจเส้นไหมยาวสลวยและมักจะยิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลา ทำให้แววตาอันคมกริบของเธอไม่ได้สร้างความอึดอัดให้กับผู้พบเห็นนัก แต่ในเวลานี้ทุกอย่างได้ถูกชุดป้องกันอันมิดชิดบดบังอยู่
“เธอจะบอกว่าดวงอาทิตย์ดับไปแล้วงั้นเหรอ? มันถึงได้มืดแบบนี้น่ะ?”
“ดวงอาทิตย์ไม่มีทางดับไปเฉย ๆ ในเวลาแค่สามร้อยปีได้หรอกนะ มันต้องขยายตัวเป็นดาวฤกษ์สีแดงซะก่อน ซึ่งหากเป็นงั้นจริงโลกก็คงไหม้เกรียมไปแล้ว หรือต่อให้ดวงอาทิตย์หายไปจริง ๆ อุณหภูมิของผิวโลกคงลดลงจนแทบถึงจุดเยือกแข็งเลยล่ะ สิ่งที่เราเจออยู่นี่น่ะเหมือนกับมีอะไรมาบดบังท้องฟ้ามากกว่า”
“หรือจะเป็นฝุ่นควันจากสงครามนิวเคลียร์?”
“ก็ไม่รู้นะ แต่ฉันเอาอุปกรณ์ทดสอบขึ้นมาด้วย เดี๋ยวลองยิงคลื่นแม่เหล็กขึ้นไปตรวจสอบดูก็น่าจะรู้แหละ”
อาร์วินเปิดการทำงานของอุปกรณ์ยิงคลื่นแม่เหล็กที่ติดอยู่กับรถหุ้มเกราะของพวกเขา ส่วนเจสก็สั่งให้พลทหารคนอื่น ๆ แยกย้ายกันไปเดินสำรวจดูโดยรอบในระหว่างรอการตรวจสอบ แต่ไม่นานนักเขาก็ได้ยินเสียงอาร์วินอุทานขึ้นมา
“นี่มัน… เป็นไปไม่ได้!”
“หืม? มีอะไรเหรอ?”
อาร์วินไม่ได้ตอบคำถามนั้นในทันที เธอยังคงตรวจสอบค่าต่าง ๆ ที่อ่านได้ และทำการยิงคลื่นแม่เหล็กขึ้นไปตรวจสอบซ้ำอีกหลายครั้ง จนเจสรู้สึกข้องใจ และหลังจากทำการตรวจสอบซ้ำเป็นครั้งที่สาม อาร์วินก็พูดถึงผลการตรวจสอบด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือซึ่งเจือไปด้วยความหวาดวิตก
“ค่าที่อ่านได้นี่… มันบอกว่าสิ่งที่บดบังท้องฟ้าอยู่เป็นแร่ธาตุ ประกอบขึ้นด้วยซิลิก้าและอลูมิน่า ไม่ใช่กลุ่มก๊าซ ชั้นบรรยากาศตั้งแต่ช่วงกลางของชั้นสตราโตสเฟียขึ้นไปได้ถูกแร่ธาตุพวกนี้บดบังเอาไว้ทั้งหมดเลย!”
“เอ๋? ซิลิก้า? อลูมิน่า? แล้วสตราโตสอะไรนะ?”
“ยังไม่เข้าใจอีกเหรอ!? ที่บดบังท้องฟ้านั่นอยู่เป็นชั้นดินและเนื้อหินแบบเดียวกับเปลือกโลก! สรุปว่าโลกนี้กำลังถูกฝังอยู่ไงล่ะ!”
เจสนิ่งเงียบไปพักหนึ่งเพราะสิ่งที่อาร์วินบอกกับเขานั้นฟังดูไม่มีเหตุผลจนเขาจับใจความของมันไม่ได้
แต่ในที่สุดเจสก็เข้าใจในสิ่งที่อาร์วินบอก ทว่านั่นกลับยิ่งทำให้เขาสับสนมากขึ้นกว่าเดิม
อะไรคือการที่โลกนี้ถูกฝัง? ทำไมโลกจึงถูกฝังได้? ในหัวของเขามีแต่คำถามเหล่านี้ซ้ำไปซ้ำมาในระหว่างที่เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่มีแต่ความมืดมิดนั้น
——————————————————————————————————–
Part 2
อาร์วินนำผลการทดสอบอันน่าตกตะลึงนี้กลับไปยังฐานเพื่อเปรียบเทียบผลการทดสอบกับฐานอื่น ๆ ที่อยู่ทั่วโลก แต่สิ่งที่เธอได้รับกลับมีแต่ความสิ้นหวัง
ทุก ๆ ฐานรายงานกลับมาว่าการทดสอบได้ผลแบบเดียวกัน แถมเมื่อตรวจสอบโครงสร้างอย่างละเอียดแล้วยังพบว่า ชั้นหินที่ปิดกั้นท้องฟ้าอยู่นี้ มีความหนานับสิบกิโลเมตร
มีฐานแห่งหนึ่งได้ทดลองนำเครื่องบินขึ้นไปบินตรวจสอบด้วยตัวเองและพบว่าท้องฟ้าได้ถูกชั้นหินขนาดยักษ์บดบังอยู่จริง ๆ แถมชั้นหินขนาดมโหฬารนี้ยังแผ่กว้างจนครอบคลุมโลกทั้งใบอีกด้วย
ความสับสนได้ปกคลุมเหล่าผู้รอดชีวิตในโครงการโนอาห์ทั้งหมด เพราะไม่มีใครรู้ว่าปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร และมีทางที่จะสามารถแก้ไขมันได้หรือไม่
บรรยากาศที่น่าอึดอัดนี้ทำให้เจสรู้สึกไม่ดีตามไปด้วยเช่นกัน แต่ในฐานะของผู้บังคับบัญชาจึงไม่สามารถแสดงความหวั่นไหวให้ลูกน้องเห็นได้ เขาจึงเดินตรวจตราส่วนต่าง ๆ ของฐานเพียงลำพังเพื่อเป็นการสงบใจไปด้วย
เมื่อเดินมาถึงส่วนของห้องวิจัย เจสก็ได้ยินเสียงร้องเพลงของหญิงสาวสองคนดังแว่วมา จึงเดินเข้าไปดู และพบอาร์วินกับนักวิทยาศาสตร์หญิงอีกคนหนึ่งกำลังร้องเพลงกันอย่างสนุกสนาน
นักวิทยาศาสตร์อีกคนเป็นหญิงสาวที่สวมแว่นอันกลมโตดูใสซื่อ เธอไว้ผมสั้นสีน้ำตาลอ่อน ทันทีที่รู้ตัวว่ามีคนอื่นเดินเข้ามา เธอก็หยุดร้องเพลงและเข้าไปหลบที่ด้านหลังของอาร์วินด้วยท่าทางเขินอาย
ทางด้านอาร์วินเมื่อเห็นเจสก็ไม่ได้มีท่าทีสะทกสะท้านอะไร แถมยังหันมาทักทายด้วยท่าทางปกติด้วย
“อ้าว ผู้พันเจส มาทำอะไรแถวนี้ล่ะ? หลงทางรึไง?”
“แค่เดินตรวจตราความเรียบร้อยน่ะ ขอโทษที่มาขัดจังหวะนะ แล้วนั่นคือ?…”
“อ๋อ นี่คือเอมิลี่ ลูกพี่ลูกน้องของฉันเอง แต่เราก็สนิทกันเหมือนกับพี่น้องแท้ ๆ แหละนะ เฮ้ เอมี่ อย่าเสียมารยาทสิ”
เมื่อถูกอาร์วินเตือน เอมิลี่ก็แนะนำตัวกับเจสแบบกล้าๆกลัวๆ โดยโผล่หน้าออกมาพ้นไหล่ของอาร์วินเพียงเล็กน้อย ดูเหมือนเธอจะยังมีอาการอายอยู่
“ฉะ.. ฉัน… เอมิลี่ สโลน หรือจะเรียกว่าเอมี่ก็ได้ค่ะ… ยะ… ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”
“ครับ ผม เจส บริสตัน ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ ว่าแต่อารมณ์ดีกันจังเลยนะ ทั้งสองคน”
“แหม~ ถ้าว่ากันตามจริงเราก็ไม่ได้ร้องเพลงกันมาตั้ง… สามร้อยปีแล้วนี่นา ก็เลยลองดูซะหน่อยน่ะ เสียงของเอมี่ยังใช้ได้เหมือนเดิมเลยนะเนี่ย”
คำพูดของอาร์วินทำให้เอมิลี่เขินอายเข้าไปอีก เจสที่ไม่รู้จะต่อบทสนทนานี้ยังไงจึงพยายามมองไปรอบ ๆ เพื่อเปลี่ยนเรื่องคุย
“อืม… ห้องทดลองนี่ กำลังทดลองเกี่ยวกับอะไรอยู่เหรอ?”
“อ๋อ หลัก ๆ ก็เกี่ยวกับการโคลนนิ่งน่ะ เรากำลังเตรียมการจะโคลนพวกปศุสัตว์ขึ้นมาเพื่อขยายพันธุ์ไว้เลี้ยงเป็นอาหารต่อไป แต่ก่อนหน้านั้นก็ต้องหาทางเพาะปลูกพืชพันธุ์ที่จะเป็นอาหารให้พวกมันซะก่อน แต่ด้วยภาวะที่ไม่มีแสงอาทิตย์แบบนี้มันก็นะ…”
เพราะไม่มีแสงจึงไม่สามารถเพาะปลูกพืชได้ การเลี้ยงสัตว์จึงทำไม่ได้ไปด้วย แม้จะมีวิธีปลูกพืชแบบไฮโดรโพนิคส์ที่ทำในร่มได้ แต่จำนวนที่เพาะปลูกได้ก็มีปริมาณจำกัด แทบไม่พอแจกจ่ายให้ทุกคนกินเป็นอาหารได้ด้วยซ้ำ เรียกว่านี่เป็นปัญหาที่ใหญ่มากสำหรับพวกเขาทุกคน
“เราคงโคลนสัตว์พวกนี้ขึ้นมาเป็นอาหารไม่ได้สินะ?”
“การโคลนสิ่งมีชีวิตเป็นเรื่องที่ต้องใช้ทรัพยากรค่อนข้างเยอะ และหากจะเร่งการเจริญเติบโตให้เป็นตัวเต็มวัยในเวลาอันสั้นก็ยิ่งสิ้นเปลืองทรัพยากรมากขึ้นอีก เราไม่ได้มีทรัพยากรเหลือเฟือขนาดจะเอามาโคลนสัตว์กินได้หรอก”
หลอดแก้วส่วนใหญ่ในห้องทดลองเป็นหลอดที่ว่างเปล่า ตรงกับที่อาร์วินบอกว่ายังไม่มีโครงการจะโคลนปศุสัตว์ขึ้นมาในตอนนี้ แต่เจสยังคงเดินดูรอบ ๆ จนไปสะดุดตากับหลอดอันหนึ่งที่บรรจุของเหลวเอาไว้เหมือนกับกำลังทำงานอยู่
หลอดแก้วอันนี้ยังมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างไปจากหลอดแก้วอื่นๆด้วย คือมีป้ายแปะอยู่ด้านล้าง เขียนว่า ‘Nemesis’
“แล้วหลอดที่ทำงานอยู่นี่ กำลังโคลนอะไรเหรอ?”
“อ้อ อันนั้นไม่ใช่หลอดโคลนหรอก แต่เป็นงานวิจัยที่สืบทอดมาน่ะ”
“งานวิจัย?”
“ฉันไปค้นเจองานวิจัยชิ้นนึงที่เรียกว่าโครงการเนเมซิส (Nemesis Project) เป็นโครงการที่จะสร้างอาวุธชีวภาพขึ้นมาเพื่อใช้ในสงคราม เห็นว่ามันน่าสนใจดีก็เลยลองเอามาพัฒนาต่อดู”
“อาวุธชีวภาพเหรอ? ยังไม่ทันจะฟื้นฟูโลกได้เธอก็คิดจะทำสงครามอีกแล้วรึไง!?”
เจสหันไปพูดกับอาร์วินด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่แสดงความไม่พอใจจนเอมิลี่ถึงกับสะดุ้ง แต่อาร์วินก็ยังยิ้มแย้มและตอบกลับมาอย่างสุภาพ
“ใจเย็น ๆ สิคุณทหาร อย่างแรกเลยคือฉันแค่ทำตามคำสั่งเท่านั้น เขาให้รับงานวิจัยนี้มาพัฒนาต่อ ฉันก็พัฒนา ถ้ามีปัญหาก็ไปบ่นกับเบื้องบนเองละก็ และอย่างที่สอง ฉันไม่ได้คิดจะพัฒนาโครงการนี้เพื่อสร้างอาวุธหรอก แต่งานวิจัยนี้น่ะมีแนวคิดที่จะสร้างสัตว์พันธุ์ใหม่ที่มีความสามารถในการดูดกลืนย่อยสลายสสารเกือบทุกชนิดและนำมาสร้างเนื้อเยื่อของตัวเองได้อย่างรวดเร็ว นั่นเป็นคุณสมบัติที่น่าสนใจมากเลยนะ นึกภาพออกมั้ยว่าเราอาจย่อยสลายอิฐหินดินทรายแล้วนำมาสร้างเป็นโปรตีน หรือเนื้อ แทนได้น่ะ ถ้าสำเร็จละก็สิ่งนี้จะช่วยแก้ปัญหาด้านอาหารของมนุษยชาติไปได้ตลอดกาลเลยนะ”
อาร์วินกล่าวอธิบายด้วยแววตาที่มุ่งมั่นไร้ซึ่งความหวั่นไหว เจสจึงเชื่อว่าเธอไม่ได้ปกปิดอะไรและมีเจตนาเช่นนั้นจริง ๆ จึงกล่าวขอโทษ
“อืม… ขอโทษทีนะที่เข้าใจเธอผิดไป นิสัยใจร้อนของฉันนี่แก้ไม่หายเลยแฮะ…”
“ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ถือหรอก แต่ทำให้เอมี่ตกใจแบบนี้ คงต้องมีอะไรมาชดใช้บ้างล่ะนะ”
แม้จะพูดในเชิงล้อเล่น แต่เจสก็รู้สึกผิดกับเอมิลี่ที่ยังมีท่าทางกลัวอยู่จริง ๆ จึงพยายามนึกหาอะไรที่จะมาแทนคำขอโทษได้ ทันใดนั้นเองก็มีเสียงเรียกจากเครื่องมือสื่อสารของทั้งสามคนดังขึ้น
มันเป็นสัญญาณเรียกตัวให้ไปรายงานยังห้องประชุม ทั้งสามคนจึงต้องรีบเดินทางไปในทันที
เมื่อมาถึงห้องประชุม ภาพโฮโลแกรมของผู้ดูแลก็ประกาศข้อมูลล่าสุดที่ค้นพบให้กับพวกเขาได้รู้ ทำให้ทุกคนมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง
ข้อมูลนั้นก็คือ พวกเขาค้นพบช่องโหว่ของกำแพงที่ปิดกันท้องฟ้านี้แล้ว
——————————————————————————————————–
Part 3
จากการใช้เครื่องบินสอดแนมแบบไร้คนขับตระเวนสำรวจความกว้างของชั้นหินที่ปิดกั้นท้องฟ้าอยู่ตลอดทั้งสัปดาห์ทำให้พบว่า ชั้นหินที่ปกคลุมโลกเกือบทั้งใบนี้มีโพรงอยู่แห่งหนึ่ง ซึ่งมีแสงอาทิตย์สาดส่องผ่านลงมาจากโพรงนั้น แปลว่ามันเชื่อมต่อกับอีกฟากหนึ่งของชั้นหิน และที่นั่นเป็นดินแดนที่แสงอาทิตย์ยังส่องถึงด้วย
ข่าวนี้สร้างความยินดีให้กับทุกคนในทีแรก จนกระทั่งรายงานฉบับที่สองถูกส่งมา นั่นก็คือบริเวณรูโหว่บนท้องฟ้านั้น มีกลุ่มจักรกลติดอาวุธไม่ทราบที่มาแน่ชัดเป็นผู้ควบคุมพื้นที่อยู่ แถมบริเวณปากหลุมก็มีการสร้างฐานทัพฝังไว้บนเพดานโดยรอบด้วย
เครื่องบินสอดแนมที่ส่งเข้าไปถูกทำลายในทันทีโดยไม่มีการแจ้งเตือน ทางผู้ดูแลพยายามติดต่อสื่อสารกับเหล่าจักรกลแล้ว แต่ก็ไม่มีการตอบสนองใด ๆ กลับมา จึงมีความเป็นไปได้สูงมากกว่าจักรกลเหล่านี้อาจเป็นศัตรูกับมนุษย์โลก
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะสรุปเรื่องราวต่าง ๆ จำเป็นต้องมีการติดต่อเจรจากับเหล่าจักรกลโดยตรงซะก่อน ซึ่งในเรื่องนี้ ทางผู้ดูแลก็มอบหมายให้เป็นหน้าที่ของเจส ในการนำฝูงบินคุ้มกันพาคณะทูตซึ่งเป็นตัวแทนของชาวโลกไปเจรจากับเหล่าจักรกล
อาร์วิน กับเอมิลี่ เฝ้าดูปฏิบัติการนี้ผ่านทางจอมอนิเตอร์ในห้องทดลองของพวกเธออย่างใจจดใจจ่อ เช่นเดียวกับสมาชิกโครงการโนอาห์คนอื่น ๆ ที่ตั้งความหวังกับเรื่องนี้เช่นกัน
“พี่คะ เป็นไปได้รึเปล่าว่าจักรกลพวกนั้นจะเป็นคนสร้างชั้นหินปิดกั้นท้องฟ้าขึ้นมา?”
“เป็นไปไม่ได้หรอก ดูจากสถาปัตยกรรมแล้ว จักรกลพวกนั้นเป็นเทคโนโลยีของโลก ไม่รู้ว่าใครเป็นคนสร้างเอาไว้ อาจเป็นช่วงหลังจากที่เราลงมาใต้ดินและมีใครบางคนสร้างพวกมันขึ้นมาเพื่อใช้ในสงคราม ซึ่งถ้าเป็นหุ่นของโลก พวกนั้นจะไปเอาทรัพยากรมาจากไหนกันล่ะ? เปลือกที่ห่อหุ้มท้องฟ้าอยู่นี่น่ะมีปริมาตรมากกว่าชั้นหินของโลกทั้งใบรวมกันด้วยซ้ำ ที่สำคัญ ลักษณะของบริเวณนั้นน่ะ…”
อาร์วินซูมภาพเพื่อดูฐานทัพของพวกจักรกลที่ห้อมล้อมปากหลุมบนท้องฟ้าอยู่อีกครั้ง พร้อมทั้งเรียกดูภาพภูมิทัศน์ระยะไกลของบริเวณที่อยู่ด้านล่างของหลุมจากจออีกจอหนึ่ง ก่อนจะอธิบายกับเอมิลี่ต่อ
“ฐานนี่น่ะมันเหมือนกับเป็นฐานขุดเจาะมากกว่า และดูภูมิประเทศด้านล่างนี่สิ มันสูงขึ้นกว่าระดับน้ำทะเลแบบผิดปกติมากเลยนะ ราวกับว่ามีการนำดินมาถมลงบริเวณนี้จนพื้นดินยกตัวสูงขึ้นมาหลายร้อยเมตรเลย”
“แปลว่าหลุมนั่นเป็นหลุมที่พวกจักรกลขุดขึ้นเพื่อจะออกไปยังด้านนอกเหรอคะ?”
“อืม ฉันคิดว่าน่าจะเป็นอย่างนั้นนะ”
“แต่ถ้าจักรกลพวกนั้นเป็นของที่มนุษย์สร้างขึ้นมา แปลว่าอาจยังมีผู้รอดชีวิตกลุ่มอื่นอยู่อีกรึเปล่าคะ? คนที่ควบคุมหุ่นเหล่านี้อยู่น่ะ ถ้าเราติดต่อเจรจากับพวกเขาได้ละก็ น่าจะขอให้พวกเขาช่วยเปิดทางได้นะคะ”
“ถ้ายังมีคนควบคุมอยู่น่ะนะ…”
ด้วยสภาพของโลกที่เป็นอยู่ตอนนี้ ทำให้อาร์วินคิดว่าเป็นการยากมาก ๆ ที่จะมีมนุษย์หลงเหลืออยู่ เพราะมนุษย์ที่อยู่บนโลกน่าจะสูญพันธุ์ไปหมดแล้วจากผลของไวรัส
หรือต่อให้มีคนเหลือรอดอยู่จริง ๆ โลกก็แทบไม่มีอาหารอะไรให้ใช้ในการประทังชีวิตได้เลย ไม่มีทั้งพืชและสัตว์เพราะแสงอาทิตย์ถูกบดบังมาเป็นเวลานาน เธอจึงคิดว่าจักรกลเหล่านั้นน่าจะเป็นสิ่งที่หลงเหลือจากสงครามมากกว่า
ด้วยเหตุนี้ อาร์วินจึงรู้สึกไม่ค่อยดีกับความพยายามในการเจรจากับพวกจักรกล เพราะหากพวกมันยังอยู่ในสภาพพร้อมรบ ก็อาจมองทุกคนที่เข้าใกล้ว่าเป็นศัตรูได้
และในเสี้ยววินาทีนั้นเอง ความกังวลของอาร์วินก็เป็นจริง
ยังไม่ทันที่จะเข้าใกล้ฐานทัพของเหล่าจักรกล พวกมันก็ระดมยิงโจมตีกองยานของคณะทูตด้วยปืนต่อต้านอากาศยาน และส่งเครื่องบินจู่โจมจำนวนมากออกมาด้วย
ยานขนส่งของคณะทูตหลายลำถูกยิงร่วงไปตั้งแต่การโจมตีระลอกแรก ส่วนที่เหลือก็รีบหันหัวกลับเพื่อจะหลบหนีจากการไล่ล่าของอากาศยานจู่โจม
เจสรีบออกคำสั่งให้ยานคุ้มกันทั้งหมดเข้าปะทะกับอากาศยานของพวกจักรกล เพื่อสกัดกั้นและเปิดทางให้คณะทูตส่วนที่เหลือหนีรอดไปได้ แต่อีกฝ่ายก็มีกำลังพลมากกว่า ทำให้อากาศยานขนส่งที่เชื่องช้าถูกสอยร่วงไปทีละลำจนไม่มีเหลือ
เพราะกำลังพลที่ต่างกันมาก ทำให้เจสไม่มีทางเลือกนอกจากสั่งให้ทุกคนรีบหนีออกจากแนวปะทะ แต่เนื่องจากพวกเขาอยู่กลางวงล้อมของศัตรูจำนวนมาก แถมยานบินของพวกจักรกลยังมีเทคโนโลยีที่เหนือกว่า ทำให้ฝูงบินของเจสค่อย ๆ ถูกยิงร่วงไปทีละลำ รวมถึงเครื่องของเจสด้วย
——————————————————————————————————–
Part 4
เหตุการณ์นี้สร้างความตกตะลึงกับทุกคนเป็นอย่างมาก เพราะไม่เพียงแค่ความหวังในการออกไปด้านนอกจะถูกทำลาย แต่พวกเขายังพบว่าตัวเองมีศัตรูเพิ่มขึ้นด้วย
ในระหว่างที่ทุกคนยังคงสับสน ทีมกู้ภัยก็ถูกส่งออกไปค้นหาผู้รอดชีวิตจากปฏิบัติการนี้ แต่ก็ได้ตัวผู้รอดชีวิตกลับมาเพียงหนึ่งคนเท่านั้น ก็คือผู้พัน เจส บริสตัน ทว่าอาการของเขาค่อนข้างหนักมาก
อาร์วินกับเอมิลี่รีบรุดไปที่ห้องผ่าตัดด้วยความเป็นห่วง ซึ่งหลังจากเฝ้ารออยู่หลายชั่วโมง หัวหน้าคณะแพทย์ก็ออกมาจากห้องผ่าตัดและแสดงความเสียใจกับทั้งสองคน เพราะอาการของเจสสาหัสเกินกว่าจะเยียวยาได้ จากความเห็นของหัวหน้าคณะแพทย์ เจสคงมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น
อาร์วินกับเอมิลี่เฝ้ามองเจสจากห้องสังเกตผู้ป่วยด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยเพราะไม่อาจทำอะไรได้ แม้จะได้รู้จักกันเพียงแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ แต่เอมิลี่รู้สึกเสียใจจนกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ เธอจึงเกาะไหล่ของอาร์วินเอาไว้แน่นและร้องไห้ออกมา
ในระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังทำใจอยู่นั้น ภาพโฮโลแกรมของ ชาร์ล ออกัส หนึ่งในผู้ดูแลก็ปรากฏขึ้นในห้องก่อนจะพูดกับพวกเธอ ทำให้ทั้งคู่รู้สึกแปลกใจ
“อาร์วิน สโลน และ เอมิลี่ สโลน ผู้ดูแลห้องวิจัยพันธุกรรม ฉันมีภารกิจที่จะมอบหมายให้กับพวกเธอ”
อาร์วินแสดงสีหน้าอันกล้ำกลืนเหมือนกับกำลังกินยาขมออกมา ทำให้เอมิลี่คิดว่าเธอคงไม่พอใจที่ผู้ดูแลเข้ามาสั่งงานโดยไม่ดูบรรยากาศ ซึ่งอาร์วินก็หลับตาสงบอารมณ์อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบผู้ดูแลกลับไป
“ค่ะ… มีอะไรให้พวกเรารับใช้เหรอคะ?…”
“ทรัพยากรบุคคลถือเป็นสิ่งมีค่าที่มิอาจหาอะไรมาทดแทนได้ และเราก็ไม่สามารถสูญเสียบุคลากรอันมีค่าแบบนี้ไปได้หรอกนะ เพราะฉะนั้น ชั้นขอมอบหมายหน้าที่ในการโคลนพันเอก เจส บริสตัน ให้กับพวกเธอ ช่วยนำเขากลับมาด้วย”
คำพูดของผู้ดูแลทำให้เอมิลี่หันไปมองร่างโปรงแสงที่เกิดจากโฮโลแกรมนั้นด้วยสายตาตื่นตะลึง ส่วนอาร์วินยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย เหมือนมันเป็นสิ่งที่เธอพอจะรู้อยู่แล้ว
“บะ… แบบนั้นมันผิดหลักมนุษย์ธรรมไม่ใช่เหรอคะ!? จู่ ๆ จะไปโคลนมนุษย์ขึ้นมาได้ยังไงกันล่ะคะ!?”
“ตอนนี้เรากำลังต่อสู้กับการสูญสิ้นเผ่าพันธุ์อยู่นะ หากมนุษยชาติต้องพบจุดจบ คำว่ามนุษย์ธรรมก็เป็นเพียงอุดมคติที่ไม่มีใครสานต่อเท่านั้น เราต้องทำทุกอย่างเพื่อให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ดำรงอยู่ต่อไปได้ ยิ่งในตอนนี้เรามีศัตรูที่ต้องสู้อยู่ตรงหน้า จึงจำเป็นต้องใช้ทุกอย่างที่เรามีเพื่อให้ฝ่าวิกฤติครั้งนี้ไปได้”
เอมิลี่ยังคงรู้สึกไม่เห็นด้วยกับผู้ดูแลแต่ก็นึกคำพูดมาโต้แย้งไม่ออก จึงหันไปหาอาร์วินแทน แต่อีกฝ่ายก็ได้แต่นิ่งเงียบเช่นกัน
“พี่คะ?”
“เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของเรา ทำใจยอมรับเถอะนะ”
“รึว่า… พี่จะรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว?”
“อืม… ฉันเคยได้รับการสรุปย่อให้ฟังแล้วล่ะ ว่าหากวันหนึ่งเกิดมีบุคลากรสำคัญประสบเหตุทำให้ถึงแก่ชีวิตไป แผนกวิจัยพันธุกรรมของเรามีหน้าที่ต้องโคลนร่างของพวกเขาขึ้นมาใหม่ เพื่อรักษาทรัพยากรบุคคลของโลกเอาไว้”
“แบบนั้นมันถูกต้องแล้วเหรอคะ!? ถึงจะสร้างร่างโคลนขึ้นมาใหม่ แต่นั่นก็เป็นคนอื่นที่ไม่ใช่คุณเจสอยู่ดี!”
“เรามีวิทยาการถ่ายทอดคลื่นสมองมาเก็บเอาไว้ในรูปแบบของข้อมูล โชคดีที่ตอนนี้เจสยังมีลมหายใจอยู่ เราน่าจะพอดึงข้อมูลความทรงจำของเขาทั้งหมดจนถึงตอนนี้ออกมาได้ จากนั้นก็จะถ่ายทอดความทรงจำนี้ไปให้กับร่างโคลนที่กำลังสร้าง เท่านี้ก็จะได้ เจส บริสตัน ที่มีอุปนิสัยและความทรงจำเทียบเท่ากับตัวจริงออกมาแล้ว”
“ถึงจะมีความทรงจำเทียบเท่าตัวจริง แต่นั่นก็เป็นแค่ตัวแทนอยู่ดีนะคะ!”
“เอมี่… มันก็เป็นอย่างที่ผู้ดูแลพูดไปนั่นแหละ เราต้องทำทุกอย่างเพื่อความอยู่รอด จริยธรรม คุณธรรมที่พยายามรักษาไว้นี่น่ะ หากเราตายกันหมดมันก็ไม่มีใครสานต่อหรือเล่าขานหรอกนะ ถ้าเธอไม่อยากทำก็ไม่เป็นไร เรื่องนี้ให้ฉันจัดการคนเดียวก็ได้”
เอมิลี่ยังคงมีสีหน้าไม่พอใจและไม่เห็นด้วย แต่เธอก็อดกลั้นคำพูดเอาไว้ก่อนจะวิ่งออกไปจากห้อง
อาร์วินก็รู้สึกลำบากใจกับเรื่องนี้เช่นกัน แต่เพื่อความอยู่รอดของมนุษยชาติแล้ว นี่คือสิ่งที่จำเป็นต้องทำ ไม่ว่าเธอจะชอบมันหรือไม่ก็ตาม
——————————————————————————————————–
Part 5
อาร์วินเริ่มกระบวนการโคลนนิ่งหลังจากที่เจสเสียชีวิตไปแล้ว เพราะเธอเห็นว่าอย่างน้อยนี่ก็เป็นการให้เกียรติแก่เจ้าตัวในระดับที่เธอพอจะทำได้
เธอถ่ายเทคลื่นสมองของเจสมาเก็บเอาไว้ก่อนที่เขาจะเสียชีวิต และเริ่มกระบวนการถ่ายทอดความทรงจำให้กับร่างโคลนในทันทีที่ส่วนสมองก่อตัวเป็นรูปร่าง
เพียงหนึ่งคืน ร่างโคลนของเจสก็เริ่มเข้าสู่ช่วงโตเต็มวัย อาร์วินคอยเฝ้าดูหน้าจอมอนิเตอร์อยู่ตลอดเวลาโดยไม่ได้หลับไม่ได้นอน ซึ่งกระบวนการโคลนและถ่ายเทความทรงจำก็ไม่มีอะไรติดขัด ทุกอย่างดูจะเป็นไปโดยราบรื่นและไม่มีปัญหา
แต่ในเช้าวันต่อมา เมื่ออาร์วินเดินไปดูหลอดแก้วที่บรรจุร่างโคลนของเจสอยู่ เธอก็ต้องตกตะลึง
เพราะร่างโคลนที่ควรจะเป็นผู้ชายนั้น กลับกลายเป็นร่างของหญิงสาวไปแทน
อาร์วินรีบกลับมาตรวจสอบดูกระบวนการโคลนว่ามีความผิดพลาดตรงไหน แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ เป็นเวลาเดียวกับที่เอมิลี่กลับมายังห้องทดลองพอดี ซึ่งเมื่อเห็นสิ่งนี้เข้า เธอก็รู้สึกตกใจเช่นกัน
“ทะ.. ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะคะ!?”
“ฉันก็ไม่รู้… กระบวนการโคลนก็ไม่มีความผิดพลาดอะไรนี่นา… ฉันลองตรวจสอบ DNA ของร่างโคลนในหลอดแก้วดูอีกครั้งแล้ว DNA ก็ตรงกับเจสแบบ 100% เลย ไม่มีอะไรผิดพลาดแน่”
“แล้วทำไมเขาถึงกลายเป็นผู้หญิงไปได้ล่ะคะ!?”
“เรื่องนั้น…”
อาร์วินเองก็หาคำตอบของความผิดปกตินี้ไม่ได้เช่นกัน แต่ก็มีความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัวของเธอ ซึ่งแม้เธอจะคิดว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่เพราะนึกหาสาเหตุอื่นไม่ออกเธอจึงลองตรวจสอบดู
ในระหว่างนั้นร่างโคลนของเจสก็เสร็จสมบูรณ์พอดี เอมิลี่จึงนำเจสที่มีร่างเป็นผู้หญิงออกมาจากหลอดแก้ว และพาไปพักฟื้นที่ห้องใกล้ ๆ แทน
ทางด้านอาร์วินที่กำลังวิเคราะห์ข้อสงสัยของเธออยู่ก็พบกับคำตอบที่น่าตกตะลึงยิ่งขึ้นไปอีก
“นี่มัน!?… บ้าชัด ๆ !”
เพราะอาร์วินสบถออกมาด้วยเสียงอันดัง ทำให้เอมิลี่ที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องพักได้ยินในทันที เธอจึงตรงไปถามอีกฝ่ายว่าเกิดอะไรขึ้น
“มีอะไรเหรอคะพี่? หาสาเหตุเจอแล้วเหรอ?”
อาร์วินนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่เจือปนไปด้วยความรู้สึกเจ็บแค้น
“มันคือ… X-Dominance…”
ชื่อนั้นทำให้เอมิลิตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ เพราะมันเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้เลย
“ไวรัสนั่นน่ะเหรอคะ!? แต่เราตรวจสอบโลกเบื้องบนอย่างละเอียดแล้วก็ไม่มีการปนเปื้อนของไวรัสนี่นา!? แถมนี่ยังเป็นการโคลนมนุษย์จากเซลล์โดยตรงด้วย ไม่ใช่การปฏิสนธิตามธรรมชาตินี่คะ!?”
“ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ไวรัสนี่ได้พัฒนาตัวเองไปจนเราคาดไม่ถึง การตรวจสอบของเราล้าหลังกว่ารูปแบบของมันไปมากทำให้ตรวจหามันไม่พบ แต่โครงสร้าง DNA แบบนี้คือ X-Dominance ไม่ผิดแน่… ที่เหนือกว่านั้นคือมันมีความสามารถเพิ่มขึ้นถึงขั้นตัดแต่งพันธุกรรมของเซลล์ที่ติดเชื้อได้ ทำให้แม้จะเป็นการโคลนนิ่งจากเซลล์ของผู้ชาย แต่ถ้าเซลล์นั้นติดเชื้อไปแล้วร่างโคลนที่ออกมาก็จะกลายเป็นผู้หญิงอยู่ดี…”
“ไม่จริงน่า… เรื่องแบบนั้น…”
ทั้งสองคนได้แต่นิ่งเงียบไปกับความจริงอันน่าตกใจนี้ จนกระทั่งอาร์วินเอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง
“เอมี่ ขอตัวอย่างเนื้อเยื่อของเธอหน่อยนะ ฉันอยากจะตรวจสอบอะไรเพิ่มเติมซะหน่อย”
“จะบอกว่าตอนนี้เราอาจติดเชื้อไปแล้วเหรอคะ?”
“อืม… ความจริงคือทุกคนในฐานนี้น่าจะติดเชื้อกันหมดแล้วล่ะ เพราะเราคิดว่าบนโลกไม่มีไวรัสอยู่แล้ว กระบวนการกักกันเชื้อจึงหละหลวมมาก… แต่ฉันก็อยากจะทดสอบให้แน่ใจก่อน”
“ค่ะ…”
แม้จะยังไม่มีผลการทดสอบเป็นที่ชัดเจน แต่อาร์วินก็รายงานเรื่องนี้ให้กับผู้ดูแลได้ทราบเพื่อหาทางรับมือและป้องกัน แม้มันอาจจะสายไปแล้วก็ตาม
เอมิลี่ขอแยกตัวไปดูแลเจสที่พักฟื้นอยู่ ในขณะที่อาร์วินยังคงทำการตรวจสอบรายละเอียดของไวรัสไปเรื่อย ๆ
แต่เมื่อเจสรู้สึกตัว เอมิลี่ก็ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก เพราะไม่รู้ว่าจะอธิบายกับเขาอย่างไรดี เธอจึงต้องรีบวิ่งไปเรียกอาร์วินให้มาช่วย
ในทีแรกอาร์วินตั้งใจจะปิดเรื่องที่เจสคนนี้เป็นร่างโคลนไว้เป็นความลับจากเจ้าตัว แต่ในเมื่อร่างโคลนที่ออกมากลายเป็นผู้หญิงไปแบบนี้คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากบอกความจริงไปเท่านั้น
ทันทีที่ได้รู้เรื่องนี้เจสก็ตกอยู่ในอารมณ์เกรี้ยวกราด ทั้งตวาดทั้งสองคนด้วยเสียงอันดัง และคว้าข้าวของที่อยู่ใกล้มือขว้างปาลงพื้น
“ไสหัวออกไปให้หมด! อย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก!!”
“จะ… ใจเย็นๆก่อนสิคะคุณเจส!”
“ใจเย็นงั้นเหรอ!? ไม่ใช่แค่โคลนร่างของฉันขึ้นมา แต่ยังทำให้กลายเป็นผู้หญิงแบบนี้! เคยคิดกันรึเปล่าว่าฉันจะรู้สึกยังไง!?”
เอมิลี่มีท่าทีหวาดกลัว แต่ก็พยายามรวบรวมความกล้าและพูดปลอบให้เจสสงบลง ทว่าพูดยังไงก็ก็ดูจะไม่เป็นผล อาร์วินจึงบอกให้เธอออกไปก่อน เพื่อจะได้พูดคุยกับเจสตามลำพัง
“เอมี่ ออกไปรอข้างนอกก่อนเถอะนะ”
“คะ… ค่ะ”
หลังจากเอมิลี่ออกไปแล้ว อาร์วินก็ยืนจ้องมองเจสด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทำให้เจสที่เห็นสายตาแบบนั้นรู้สึกหงุดหงิดขึ้นไปอีก
“เธอจะยังอยู่ที่นี่อีกทำไมเล่า!? ออกไปให้พ้น!!”
เจสคว้าแก้วน้ำสเตนเลสที่อยู่ใกล้ ๆ มือขว้างเข้าใส่อาร์วินอย่างเต็มแรง ส่วนขอบของแก้วไปโดนปลายคิ้วของเธอจนมีเลือดไหลออกมาเล็กน้อย ทำให้เจสชะงักไปเพราะเขาก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายอาร์วินให้ถึงขั้นเลือดตกยางออก แต่ก็ยังคงสายตาเป็นปรปักษ์กับเธออยู่
ในระหว่างที่เขายังลังเลว่าจะเอ่ยคำขอโทษดีหรือไม่ อาร์วินก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากออกมา
“พวกเราก็ไม่ต่างกันหรอก…”
“หา!? พูดอะไรของเธอน่ะ!?”
“ทั้งฉันและนาย… พวกเราไม่ได้ต่างกันหรอก”
“จะมาพูดปรัชญาบ้าบออะไรให้ชั้นฟังอีก!? เลิกเอาสำนวนนักวิทยาศาสตร์มาเล่นลิ้นกับฉันได้แล้ว!”
อาร์วินยังคงไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมาทางสีหน้าและหยิบเอาแทบเล็ทคู่กายออกมา ก่อนจะพูดกับเจสต่อ
“ฉันลองตรวจสอบเนื้อเยื่อดูแล้ว ทั้งฉันและเอมี่ต่างก็ติดเชื้อ X-Dominance ด้วยกันทั้งคู่ และเป็นไปได้ว่าทุก ๆ คนในฐานนี้ หรือแม้แต่คนในฐานอื่น ๆ ก็น่าจะได้รับเชื้อแล้วเช่นกัน เพราะเราตรวจสอบไม่พบเชื้อในทีแรก ทำให้ขาดความระวังไปมาก”
เจสนิ่งเงียบไปพักหนึ่งเพราะเรื่องที่อาร์วินพูดถือเป็นเรื่องใหญ่ มันหมายถึงทุกอย่างที่พวกเขาทำมา รวมถึงตัวโครงการโนอาห์ได้ล้มเหลวลงอย่างสมบูรณ์แล้ว และมนุษยชาติต้องพบกับการสูญสิ้นโดยมิอาจเลี่ยงได้ แต่สิ่งที่อาร์วินต้องการจะพูดยังมีมากกว่านั้น
“เพราะไวรัสนี้พัฒนาไปมาก ฉันเลยลองตรวจสอบเซลล์ที่ติดเชื้ออย่างละเอียดดู แต่กลับได้พบความผิดปกติอีกอย่างหนึ่งที่ไม่เกี่ยวกับไวรัส”
“เฮอะ… ความผิดปกติเหรอ? มันจะยังมีอะไรแย่ไปกว่าการล่มสลายของมนุษยชาติอีกเหรอ?”
เจสพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน แต่อาร์วินก็ไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดนั้น และอธิบายต่อไป
“ในโครโมโซมของคนเราน่ะมีสิ่งที่เรียกว่า ‘เทโลเมียร์’ อยู่ ในการแบ่งเซลล์แต่ละครั้งก็จะมีการจำลองโครโมโซมขึ้นมาสำหรับการแบ่งเซลล์ ทำให้เทโลเมียร์หดสั้นลง ยิ่งอายุมากขึ้น เทโลเมียร์ในโครโมโซมก็จะหดสั้นลงเรื่อย ๆ เราจึงสามารถตรวจสอบอายุของสิ่งมีชีวิตได้ด้วยการวัดความยาวของเทโลเมียร์ (Telomere Length) เพื่อหาอายุขัยที่แท้จริง”
คำพูดของอาร์วินนั้นฟังดูไม่เกี่ยวกับเรื่องที่พวกเขากำลังคุยกันอยู่เลย เจสจึงเริ่มมีท่าทีหงุดหงิดมากขึ้น
“เธอมาบอกเรื่องนี้กับฉันทำไม?”
“จากการตรวจสอบความยาวเทโลเมียร์แล้ว ฉันกับเอมี่มีอายุแค่ไม่ถึงหนึ่งเดือนเท่านั้น”
“หา?”
เจสนิ่งเงียบไปอีกครั้งเพราะไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพยายามจะสื่อ อาร์วินจึงต้องอธิบายเพิ่มเติม
“ร่างกายที่เติบโตตามธรรมชาติน่ะไม่มีทางที่จะเป็นแบบนี้ได้หรอกนะ ลักษณะนี้จะเกิดกับร่างที่มีการเร่งกระบวนการเจริญเติบโตอย่างร่างโคลนเท่านั้น”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของเจสก็แปรเปลี่ยนไป เพราะเขาเริ่มจะเข้าใจคำพูดของเธอขึ้นมาบ้างแล้ว จึงรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ค่อยถูกต้อง
“เธอจะบอกว่าเธอก็เป็นร่างโคลนงั้นเหรอ? แต่… ได้ยังไงกันล่ะ?”
“เรื่องนั้นน่าจะมีคนที่รู้คำตอบอยู่นะ จริงมั้ย? คุณผู้ดูแล”
อาร์วินพูดกับแทบเล็ทที่เธอถืออยู่ ซึ่งบนหน้าจอของแทบเล็ทมีใบหน้าของชาร์ล ออกัส หนึ่งในผู้ดูแลปรากฏอยู่ด้วย ซึ่งเมื่อได้ยินคำพูดของอาร์วิน เขาก็หลับตาลง แล้วภาพของเขาก็หายไปจากหน้าจอ ก่อนจะมาปรากฏตัวอีกทีในรูปแบบโฮโลแกรมต่อหน้าอาร์วินกับเจส
“ช่วยตอบทีสิ ทำไมฉันถึงเป็นร่างโคลนได้ล่ะ?”
อาร์วินยิงคำถามเข้าใส่ชาร์ลด้วยแววตาที่เย็นชาราวกับน้ำแข็ง ทำให้เขานิ่งเงียบไปอีกพักหนึ่งก่อนจะตอบคำถามนั้นออกมา
“ความจริงแล้ว เราไม่มีเทคโนโลยีที่ใช้ในการจำศีลหรอก”
คำตอบของชาร์ลทำให้ทั้งอาร์วินและเจสมีสีหน้าตกตะลึงไปตาม ๆ กัน แต่อาจด้วยเหตุผลที่แตกต่าง ซึ่งเจสที่ยังไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่ชาร์ลบอกจึงถามย้ำอีกครั้ง
“หมายความว่ายังไง? อธิบายมาดี ๆ ซิ!”
“แนวคิดของโครงการโนอาห์คือการนำคนหนุ่มสาวที่ยังไม่ติดเชื้อมาเก็บรักษาร่างเอาไว้ในหลุมหลบภัย เพื่อรอจนกว่าวิกฤติการณ์บนโลกจะผ่านพ้นไป กระบวนการนี้จำเป็นต้องมีเทคโนโลยีแช่แข็งระดับสูงที่สามารถรักษาร่างของมนุษย์เอาไว้ได้โดยไม่ทำให้เซลล์ถูกทำลายหรือเสื่อมสภาพ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเรายังไม่มีเทคโนโลยีนี้เลย
สิ่งที่เราพอจะมีก็คือเทคโนโลยีโคลนนิ่งกับเทคโนโลยีถ่ายทอดคลื่นสมอง เพราะในยุคก่อนหน้านั้นบริษัทเกมทั่วโลกต่างก็ทุ่มเทแข่งขันกันพัฒนาอุปกรณ์ถ่ายทอดคลื่นสมองขึ้นมาเพื่อใช้สร้างเครื่องมือที่ทำให้ผู้เล่นสามารถถ่ายคลื่นสมองเข้าไปเล่นเกมในโลกเสมือนจริงได้ เพราะมีเทคโนโลยีอยู่แค่นี้ สิ่งที่เราทำได้จึงมีแค่การถ่ายโอนคลื่นสมองของผู้ร่วมโครงการมาเก็บบันทึกเอาไว้ และสร้างร่างใหม่ขึ้นมาถ่ายโอนข้อมูลลงไปเมื่อถึงเวลาที่จะกลับไปบนพื้นโลกเท่านั้น”
เมื่อได้ยินคำอธิบายของผู้ดูแล สีหน้าของเจสและอาร์วินก็แปรเปลี่ยนไปเป็นสีหน้าอันตกตะลึงอีกครั้ง
“เดี๋ยวก่อน! หมายความว่า หลอดแก้วที่พวกเราเข้าไปนอนก่อนที่จะหลับไปนั่น ไม่ใช่หลอดแก้วสำหรับจำศีลหรอกเหรอ!?”
“นั่นเป็นหลอดแก้วสำหรับถ่ายทอดคลื่นสมองมาเก็บบันทึก ส่วนร่างกายก็จะถูกย่อยสลายเก็บไว้เป็นวัตถุดิบสำหรับการโคลนนิ่งต่อไป”
คำตอบของชาร์ลทำให้อาร์วินมีสีหน้าตกตะลึงและจ้องเขม็งไปยังเขาด้วยแววตาอาฆาต ส่วนเจสก็ทั้งโกรธและสับสน จนพยายามตะเกียกตะกายลงจากเตียงเพื่อเข้าไปหาภาพโฮโลแกรมของชาร์ล
“นี่แปลว่า… พวกเราตายไปแล้วงั้นเหรอ? ตั้งแต่วันที่เข้าไปนอนในหลอดแก้วอันนั้นเมื่อสามร้อยปีก่อน ตัวตนที่แท้จริงของเราก็ได้ถูกทำลายไปแล้วอย่างงั้นเหรอ?”
เจสกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบาผิดกับอารมณ์เกรี้ยวกราดก่อนหน้านี้
เพราะเขาเพิ่งจะรู้ว่า ตัวจริงของเขาได้ถูกย่อยสลายไปตั้งแต่สามร้อยปีก่อน และตัวเขาก่อนหน้านี้ก็เป็นเพียงร่างโคลนที่เพิ่งจะถูกสร้างขึ้นมาแทนที่เท่านั้น