Doombringer the 5th - ตอนที่ 82
Ch.82 – ไพ่ใบสุดท้าย
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 82
ไพ่ใบสุดท้าย
Part 1
ช่วงเวลาปัจจุบัน ที่หน้าห้องสอบสวนของฐานโนอาห์หมายเลข 101
เหล่าทหารที่พาซาลกับซิสเตอร์มากำลังปรึกษากันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เพราะความรู้สึกข้องใจในสถานการณ์ที่ผิดปกตินี้
“ทำไมผู้ดูแลถึงต้องกันทุกคนออกมาด้วยล่ะ? แม้แต่พวกเราก็ไม่ให้อยู่ในห้องด้วย แบบนี้จะไม่เป็นไรจริง ๆ น่ะเหรอผู้กอง?”
“ผู้ดูแลอาจมีเหตุผลของเขาก็ได้ แต่ว่า… ฉันรู้สึกเหมือนเคยเห็นดวงตาของผู้หญิงคนนั้นจากที่ไหนสักแห่งนะ…”
“เขาบอกว่าตัวเองเป็นผู้เหลือรอดที่อพยพไปยังดาวดวงอื่นไม่ใช่เหรอ? ผู้กองจะเคยเจอเขาได้ยังไง?”
“ฉันอาจคิดไปเองก็ได้ แต่เราก็ไม่ควรประมาท ลองใช้ข้อมูลรูปพรรณที่สแกนได้มาเทียบเคียงกับฐานข้อมูลของเราดูซิว่าผู้หญิงคนนั้นมีรูปพรรณตรงกับใครบ้างรึเปล่า”
เมื่อได้รับคำสั่ง พลทหารก็พยักหน้าก่อนจะหันไปกดปุ่มที่อยู่บนกำแพงอีกฟากหนึ่งของประตูห้อง จากนั้นผนังกำแพงก็เปิดออกและเผยให้เห็นหน้าจอมอนิเตอร์กับแผงควบคุมหนึ่งชุดสำหรับใช้ในการป้อนคำสั่ง
ทันทีที่แผงควบคุมเปิดออกโดยสมบูรณ์ พลทหารก็ทำการใส่คำสั่งเพื่อตรวจสอบข้อมูลรูปพรรณของพี่สาวกับฐานข้อมูลในทันที
นายกองสาวหันกลับไปมองยังประตูที่ปิดอยู่ของห้องสอบสวนอีกครั้งด้วยสายตาเคลือบแคลงใจ เพราะเธอยังไม่ปักใจเชื่อในสิ่งที่ผู้มาเยือนกล่าวอ้าง แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้เพราะคำสั่งของผู้ดูแลถือเป็นเด็ดขาด เธอจึงได้แต่รอผลการตรวจสอบเท่านั้น
อีกด้านหนึ่ง ภายในห้องสอบสวน
ซาลที่ดูบันทึกของเจสมาจนถึงจุดนี้ก็รู้สึกเย็นเยียบไปจนถึงสันหลัง
แม้จะยังไม่เข้าใจในรายละเอียดบางส่วน แต่เขาพอจะรู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนับเป็นสิ่งที่เลวร้ายมาก ๆ
“นี่! แบบนี้ก็แปลว่าพวกเขา…”
“อืม… ทางทฤษฎีแล้ว คนพวกนี้ก็นับว่าตายไปหมดแล้วล่ะนะ”
“แต่พวกเขาก็ถ่ายเทวิญญาณไปเก็บไว้ในรูปแบบข้อมูลแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“ของแบบนั้นไม่เรียกว่าวิญญาณหรอก เป็นแค่สำเนาข้อมูลที่ลอกแบบมาจากจิตของมนุษย์เท่านั้น”
ด้วยคำพูดของซิสเตอร์ทำให้ซาลเริ่มจะเข้าใจขึ้นมาบ้าง และมีสีหน้าหมองลง
“เพราะแบบนี้ ตอนที่ทำการเคลื่อนย้ายมนุษย์ทั้งหมดไปยังโลกใหม่ พวกเขาถึงไม่ได้ไปด้วยสินะ…”
“อืม.. ก็ตายไปหมดแล้วนี่นา ในตอนนั้นพวกเขาไม่ได้มีตัวตนอยู่บนโลกนี้อีกต่อไปแล้ว ส่วนร่างโคลนก็เพิ่งจะมีการสร้างขึ้นมาเมื่อไม่นานมานี้เอง เลยไม่มีใครรู้ว่าพวกเขามีตัวตนอยู่ แต่ถึงยังไงมันก็แค่ร่างโคลนน่ะนะ”
“ถ้ามีชีวิตจิตใจขึ้นมาแล้วก็ต้องถือว่าเป็นมนุษย์สิ!”
“พวกปิศาจหรืออสูรนรกก็มีชีวิตจิตใจเหมือนกันนะ จะให้นับเป็นมนุษย์ด้วยมั้ยล่ะ?”
“บะ.. แบบนั้นมันไม่เหมือนกันซะหน่อย!”
“เอาเถอะ เรื่องแบบนี้มันขึ้นกับทัศนคติน่ะ ความจริงแล้วฉันก็ไม่ได้รังเกียจอะไรหรอกนะ โดยเฉพาะพวกร่างโคลนที่เป็นสาวสวยน่ะ”
ซิสเตอร์พูดออกมาด้วยสีหน้ากรุ้มกริ่ม ทำให้ซาลอดขมวดคิ้วกับเหตุผลที่เอาแต่ใจนั้นไม่ได้ แต่ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงเรื่องสำคัญอีกอย่างหนึ่งขึ้นมา
“เดี๋ยวก่อน ที่โลกนี้ยังมีไวรัสนั่นอยู่เลยไม่ใช่เหรอ!? แบบนี้พวกเราก็กลับไปไม่ได้แล้วน่ะสิ!”
“หืม? ทำไมล่ะ?”
“ก็ถ้าพวกเรากลับไปก็จะเป็นการนำเชื้อไปแพร่ที่โลกใหม่ ทำให้โลกต้องพบกับการล่มสลายอีกครั้งไม่ใช่เหรอ?”
“ไม่หรอกม้าง~ วิทยาการทางเวทมนตร์และทางการแพทย์ของโลกใหม่ก็พัฒนาไปไกลแล้วนา น่าจะหาทางรับมือกับไวรัสนี่ได้แหละน่า”
ซิสเตอร์พูดด้วยท่าทางไม่จริงจังนัก เหมือนกับเธอไม่ใส่ใจกับเรื่องนี้เท่าไหร่ ทำให้ซาลเริ่มจะหงุดหงิดมากขึ้น
“เรื่องนั้นมันก็ยังไม่แน่เลยไม่ใช่เหรอ!? จะให้ทุกคนต้องมาเสี่ยงได้ยังไงกันล่ะ!?”
“แล้วจะให้ทำยังไงล่ะ หมายความว่าเธอจะยอมอยู่ที่นี่ตลอดไปงั้นรึ?”
“ไม่ใช่แค่ผมหรอก… พี่สาวเองก็ห้ามกลับไปด้วย”
แม้จะพูดออกมาด้วยแววตาที่มีความลังเลและหวาดหวั่น แต่คำพูดนั้นก็ทำให้ซิสเตอร์รู้สึกประหลาดใจมากเพราะเธอคาดไม่ถึงว่าเขาจะกล้าพูดแบบนี้ แต่แทนที่เธอจะแสดงความรู้สึกไม่พอใจออกมา แววตาของเธอกลับแสดงความอยากรู้อยากเห็นออกมาแทน
“โฮ่~ แล้วถ้าฉันจะกลับไปล่ะ? เธอจะหยุดฉันรึไง?”
ซิสเตอร์ถามย้อนกลับไปด้วยสายตาอันคมกริบที่แสดงเจตนาท้าทายอย่างชัดเจน ทำให้ซาลถึงกับหายใจสะดุด แต่ก็ยังพยายามรวบรวมความกล้าเพื่อตอบกลับไป
“พี่สาวน่ะ… ไม่รู้สึกผูกพันกับโลกใบนั้นบ้างเลยเหรอ? ตอนที่พาผมเดินชมบริเวณมหาวิทยาลัยรวมไปถึงโรงเรียนรอบ ๆ น่ะ ผมรู้สึกได้ว่าพี่สาวกำลังอวดผลงานชิ้นเอกที่เป็นความภาคภูมิใจของตัวเองให้ผมดู… สายตาที่มองพวกนักเรียนนักศึกษาเหล่านั้นก็เป็นแววตาอันอ่อนโยนเหมือนกับกำลังมองดูน้องสาวแท้ ๆ หรือคนในครอบครัว หากพวกเขาต้องประสบชะตากรรมอันเลวร้ายเหมือนกับผู้คนในโลกเก่า พี่สาวจะไม่สนใจอะไรเลยจริง ๆ น่ะเหรอ?”
หลังได้ฟังคำพูดของซาล อีกฝ่ายก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาเล็กน้อย ก่อนจะกลอกตาเหมือนกำลังนึกอะไรบางอย่าง
เธอไม่แน่ใจว่าเคยแสดงท่าทางแบบนั้นออกไปโดยไม่รู้ตัวรึเปล่า หรืออาจเป็นการคิดไปเองของซาลก็ได้ แต่สิ่งที่เขาพูดก็นับว่าเป็นคำตอบที่น่าพอใจ
“พูดได้ไม่เลว ถือว่าผ่านละกัน”
“เอ๋?”
ซาลรู้สึกงงงวยกับท่าทีของพี่สาวที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน แต่เมื่อคิดดูดี ๆ แล้วก็พอจะเดาออกว่าเธอคงหาเรื่องหยอกล้อหรือทดสอบเขาอีกตามเคยแน่ ๆ
“หมายความว่า?…”
“ไม่ต้องห่วงเรื่องไวรัสหรอกนะ ตั้งแต่ตอนที่ทุกคนถูกเคลื่อนย้ายไปยังโลกใหม่ก็ได้มีการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับมนุษย์ทุกคนบนโลกแล้วน่ะ ทั้งมนุษย์ในยุคนั้นและลูกหลานที่สืบสายเลือดมาจะไม่ได้รับผลของไวรัสหรอก เพราะงั้นพวกทหารที่ตรวจสอบเราทีในแรกถึงแปลกใจที่ตรวจไม่พบไวรัสไงล่ะ”
“แหม ถ้างั้นก็น่าจะรีบบอกกันก่อนสิ ผมน่ะตกใจแทบแย่เลยนะรู้มั้ย”
“ถ้าบอกเลยก็ไม่ได้รู้ความคิดของเธอน่ะสิ ว่าแต่เธอน่ะ เอาแต่คิดถึงคนอื่นแบบนี้จะเป็นผู้สร้างหายนะได้จริง ๆ น่ะเร้อ~”
“ทะ.. ทำไมถึงรู้เรื่องนั้นได้ล่ะ!?”
ซาลแสดงอาการตกใจออกมาเพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะรู้เรื่องนี้ด้วย แต่ซิสเตอร์ก็อธิบายด้วยสีหน้าเรียบเฉยราวกับเธอไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้มากนัก
“ดูจากองค์ประกอบต่าง ๆ แล้วก็พอจะเดาแผนการของแม่หนูคนนั้น (แซนโดร) ได้น่ะ และก่อนจะมาที่นี่ฉันก็ไปตรวจสอบอะไรมานิดหน่อยด้วย”
“ไปตรวจสอบมาเมื่อไหร่กันเนี่ย?”
ซิสเตอร์เลื่อนดูข้อมูลจากหน้าจอสามมิติที่ฉายอยู่ต่อไปโดยไม่ได้สนใจคำถามของนั้น ซึ่งแม้นั่นจะทำให้ซาลจะรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยแต่เขาก็ไม่คิดที่จะเซ้าซี้อีก จึงมุ่งประเด็นไปยังเรื่องที่เธอกำลังทำอยู่แทน
“พี่สาวยังจะดูอะไรอีกเหรอ?”
“สาเหตุที่คนเหล่านี้ไม่ได้ถูกเคลื่อนย้ายไปยังโลกใหม่ด้วยเราก็ได้รู้แล้ว แต่หลังจากนั้นมันเกิดอะไรขึ้นอีกล่ะ? ทำไมทุกคนในฐานถึงกลายเป็น เจส บริสตัน ไปได้ แถมพวกจักรกลที่อยู่ในโลกนี้ยังดูแปลก ๆ อีก ฉันอยากรู้เรื่องพวกนั้นมากกว่า”
เมื่อพูดจบ เธอก็เรียกดูข้อมูลจากบันทึกส่วนที่เหลือออกมา ทำให้ซาลก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากดูเรื่องราวพร้อมกับเธอต่อไป
——————————————————————————————————–
Part 2
สิบปีก่อน ที่ห้องพักฟื้นของฝ่ายวิจัยพันธุกรรมในฐานโนอาห์หมายเลข 101
เจสยังคงเอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องโดยที่ไม่ยอมออกไปไหนเลย เพราะไม่อยากให้ใครเห็นเขาในสภาพนี้ และไม่รู้ว่าจะอธิบายกับคนอื่นเรื่องที่เขากลายเป็นผู้หญิงอย่างไรดี
ทางผู้ดูแลก็ต้องการให้ทั้งเจสและอาร์วินเก็บเรื่องที่ทุกคนในโครงการโนอาห์เป็นร่างโคลนเอาไว้เป็นความลับ เพราะมันอาจส่งผลกระทบทางจิตใจอย่างรุนแรงต่อทุกคนได้ ซึ่งอาร์วินก็เข้าใจและรับปาก ในขณะที่เจสเอาแต่นิ่งเงียบ เพราะไม่รู้จะพูดอะไร
เอมิลี่คอยดูแลเจสอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ทั้งนำอาหารมาให้ครบทุกมื้อไม่มีขาด และพยายามชวนคุย แต่เจสก็ไม่ค่อยพูดอะไรมากนัก ทำให้เอมิลี่อดห่วงไม่ได้
ทางด้านอาร์วินก็มีท่าทีเปลี่ยนไปเช่นกัน แม้ต่อหน้าเอมิลี่เธอยังยังคงยิ้มแย้มเป็นปกติ แต่เอมิลี่ก็สังเกตได้ว่าแววตาของอาร์วินดูไม่ร่าเริงเหมือนกับเมื่อก่อน แถมเวลาอยู่คนเดียวเธอยังมีท่าทีเงียบขรึมผิดปกติอีกด้วย
ในขณะที่เอมิลี่กำลังกังวลกับทั้งสองคนอยู่นั้น สถานการณ์ของผู้รอดชีวิตก็ดูจะเลวร้ายลงไปอีก
พวกจักรกลที่ทางออกเมื่อรู้ว่าโลกยังมีมนุษย์อยู่ก็เริ่มเกิดการเคลื่อนไหว ทั้งระดมสร้างกองทัพเพิ่มเติม และส่งกำลังพลออกไปโจมตีฐานที่มั่นของโครงการโนอาห์ที่ตรวจพบ ซึ่งในช่วงเวลาไม่ถึงเดือนก็มีฐานใต้ดินถูกโจมตีกวาดล้างไปสองแห่งแล้ว
เมื่อพวกจักรกลกลายเป็นภัยคุกคาม ทำให้เหล่าผู้รอดชีวิตในโครงการโนอาห์อยู่เฉยไม่ได้เช่นกัน ผู้ดูแลจึงจัดการประชุมผู้นำสูงสุดของฐานทั้ง 122 แห่งขึ้น ซึ่งในการประชุมนี้ทุกคนก็มีความเห็นตรงกันว่าควรรีบรวมพลังกันเข้าสู้กับพวกจักรกล และหาทางฝ่าออกไปยังโลกภายนอก พวกเขาเรียกปฏิบัติการนี้ว่า ปฏิบัติการเจเนซิส (Operation Genesis)
จุดประสงค์ของปฏิบัติการคือการรวมกำลังกันของฐานโนอาห์ทั้งหมดเพื่อตีฝ่าการป้องกันของเหล่าจักรกลออกไปยังโลกภายนอก นั่นหมายถึงนี่จะเป็นการเดินทางแบบเที่ยวเดียวจบ พวกเขาทุกคนจะละทิ้งโลกใบเก่านี้และไม่กลับมาที่นี่อีก
ด้วยเหตุนี้ทุกฐานจึงมีการเคลื่อนไหวกันอย่างคึกคัก โดยมีการสร้างอาวุธและยานเกราะเพิ่มเติม รวมไปถึงเกณฑ์พลเรือนชายเกือบทุกคนมาเป็นทหารอาสาด้วย
สำหรับคนที่ไม่ได้เข้าร่วมกับหน่วยทหาร ทุกคนก็ยังต้องเตรียมตัวสำหรับการอพยพ ซึ่งเอมิลี่กับอาร์วินก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่จนใกล้จะถึงวันปฏิบัติการแล้วอาร์วินก็ยังไม่ตระเตรียมอะไรเลยสักอย่าง
เพราะท่าทีที่แปลกไปของอาร์วินประกอบกับการที่เธอแทบไม่สนใจสถานการณ์รอบตัวเลย ทำให้เอมิลี่รู้สึกกังวลมากขึ้นเรื่อย ๆ เธอจึงอยากจะหาโอกาสคุยกับอาร์วินตรง ๆ สักครั้ง ในวันนี้หลังจากช่วยเหลือแผนกอื่นจัดเตรียมงานเสร็จแล้วเอมิลี่จึงรีบกลับมาที่ห้องทดลองเพื่อคุยกับอาร์วิน
แต่เมื่อมาถึงห้องทดลอง เธอก็ต้องแปลกใจ เพราะที่นั่นมีเจสซึ่งปกติจะเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง กำลังยืนคุยกับอาร์วินอยู่
“เธอมัวทำอะไรอยู่? ทำไมถึงไม่เตรียมตัวอีก? ปฏิบัติการจะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่วันแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“นั่นเป็นคำถามของฉันมากกว่า นายน่ะจะไม่ไปร่วมกับหน่วยทหารรึไง? ตอนนี้พวกเขากำลังขาดคนอยู่นะ”
“สภาพแบบนี้จะให้ไปปรากฏตัวต่อหน้าคนอื่นได้ยังไงกันเล่า!? แล้วอย่ามาเปลี่ยนเรื่องจะได้มั้ย!”
เจสตวาดใส่อาร์วินด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด แต่อาร์วินก็ยังคงมองไปทางอื่นด้วยแววตาอันเฉยชาราวกับไม่อาลัยต่อสิ่งใด
“ฉันคงไม่ไปหรอก ไม่มีความจำเป็นอะไรต้องไปนี่นา ส่วนนายน่ะถ้าไม่อยากเข้าร่วมกับหน่วยทหารก็ไม่เป็นไร ฉันจะทำเรื่องให้เข้าร่วมกับกลุ่มผู้อพยพแล้วไปกับยานโดยสารก็ได้นะ”
“เดี๋ยวก่อนสิคะ! ที่พี่พูดเมื่อกี้มันหมายความว่ายังไงน่ะ!?”
เสียงตะโกนของเอมิลี่ทำให้อาร์วินกับเจสต้องหันไปมองในทันที ส่วนเอมิลี่ก็วิ่งเข้ามาหาทั้งสองคนด้วยท่าทีร้อนรน
“ที่บอกว่าจะไม่ไปน่ะหมายความว่ายังไงกันคะ!? พี่จะอยู่ที่นี่ต่อไปเหรอ!?”
อาร์วินมีสีหน้าลำบากใจอยู่พักหนึ่งเพราะเธอยังไม่คิดจะบอกกับเอมิลี่ในตอนนี้ แต่เมื่อเจ้าตัวมาได้ยินเข้าแล้วก็คงได้แต่พูดให้ชัดเจนไป
“ฉันคงไม่ไปกับขบวนอพยพหรอกนะ ขอโทษที่เพิ่งมาบอก”
“ทำไมล่ะคะ!? ทุกคนเขาจะไปกันหมดแล้วนะ! พี่จะอยู่ที่นี่ได้ยังไงกันล่ะ!?”
“สำหรับฉันแล้วจะเป็นโลกนี้หรือโลกข้างนอกมันก็คงไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอก และฉันก็ยังมีเรื่องที่อยากจะทำให้เสร็จอยู่อีกน่ะ เพราะงั้นปล่อยฉันไว้ที่นี่แหละนะ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”
“จะเป็นแบบนั้นได้ยังไงกันล่ะคะ!? ถ้าพี่ไม่ไปละก็ ฉันก็จะไม่ไปเหมือนกัน!”
เอมิลี่พูดด้วยสีหน้าและแววตาจริงจัง ทำให้อาร์วินถึงกับนิ่งเงียบไป แต่เมื่อครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วเธอก็เห็นว่านี่อาจเป็นเรื่องที่ดีแล้วก็ได้
“นั่นอาจไม่ใช่เรื่องแย่อะไรก็ได้นะ… บางทีการอยู่ที่นี่ต่อไปอาจมีโอกาสรอดมากกว่าซะอีก”
คำพูดของอาร์วินทำให้ทั้งเจสและเอมิลี่รู้สึกแปลกใจเพราะไม่เข้าใจเหตุผลของสิ่งที่เธอพูด เจสจึงต้องถามเหตุผลจากเธอ
“หมายความว่ายังไงกันน่ะ? นี่เธอรู้อะไรมาอีก?”
“ก็ไม่ได้รู้อะไรเป็นพิเศษหรอก แค่การคาดการณ์ด้วยความเห็นส่วนตัวน่ะ ปฏิบัติการเจเนซิสเนี่ย มันมีโอกาสสำเร็จต่ำเกินไป แถมผลลัพธ์ก็ยังไม่แน่นอนอีก การไม่ไปเข้าร่วมก็อาจเป็นทางเลือกที่ดีแล้ว”
“ไม่เห็นจะเข้าใจเลย อธิบายมาดี ๆ ซิ”
อาร์วินถอนหายใจและเหม่อมองไปยังหลอดทดลองอันว่างเปล่าในห้องด้วยสายตาเหนื่อยหน่าย ก่อนจะอธิบายให้ทั้งสองคนฟัง
“เดิมทีโครงการโนอาห์ก็ไม่ใช่โครงการทางทหารอยู่แล้ว กองกำลังติดอาวุธของเราก็มีอยู่ในระดับที่เพียงพอต่อการป้องกันตัวเองหรือรักษาความปลอดภัยเท่านั้น แม้จะมีการสร้างอาวุธเพิ่มเติมหรือไปเปิดบังเกอร์เพื่อนำอาวุธที่ยังมีเหลืออยู่ออกมา แต่โดยรวมแล้วกำลังรบของพวกเราก็ยังต่ำมากอยู่ดี โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับจักรกลพวกนั้น
ถึงจะทุ่มกำลังทั้งหมดจากฐานทั้ง 120 แห่ง แต่เราก็ไม่มีทางที่จะชนะพวกจักรกลได้ พวกผู้นำฐานกับผู้ดูแลต่างก็รู้เรื่องนี้ดี เพราะงั้นจึงให้มันเป็นปฏิบัติการ ‘ตีฝ่า’ พวกจักรกลออกไป ไม่ใช่ ‘เอาชนะ’ พวกมัน พูดง่าย ๆ ว่าหน่วยทหารทั้งหมดมีหน้าที่เหมือนเป็นตัวล่อ เพื่อให้ยานขนส่งสามารถเล็ดรอดแนวป้องกันออกไปยังโลกภายนอกได้ไงล่ะ”
“ยังไงเราก็อยู่ในโลกนี้ต่อไปไม่ได้อยู่แล้วนี่นา โลกที่ไม่มีแม้แต่แสงสว่างแบบนี้น่ะ ขืนอยู่ต่อไปก็เท่ากับรอความตาย สู้ตีฝ่าพวกจักรกลออกไปยังโลกที่มีแสงสว่างอยู่ยังจะดีกว่าอีก”
“นั่นมันเป็นความคิดง่าย ๆ ที่มองโลกในแง่ดีมากเกินไป ถึงจะผ่าการป้องกันและออกจากโพรงบนฟ้านั่นไปได้ก็ใช่ว่าเรื่องทุกอย่างจะจบหรอกนะ”
“หา?”
“โพรงนั่นเป็นช่องทางที่พวกจักรกลขุดขึ้นเพื่อออกไปด้านนอก เพราะงั้นนายคิดว่าตอนนี้พวกที่ออกไปได้มันจะอยู่ที่ไหนกันล่ะ?”
คำพูดของอาร์วินทำให้ดวงตาของเจสเบิกโพลงขึ้น เพราะเข้าใจคำใบ้ของอีกฝ่ายแล้ว
“ก็ต้องอยู่ที่อีกฟากของโพรงนั่น…”
“ใช่แล้ว ที่ด้านนอกของโพรงน่าจะยังมีฐานทัพของพวกจักรกลอยู่อีกแห่งหนึ่ง แปลว่าต่อให้ฝ่ากองกำลังจักรกลจากฝั่งนี้ไปได้ เมื่อไปถึงอีกฝั่งก็ต้องเจอกับการต้านทานอยู่ดี หรือต่อให้เล็ดรอดการป้องกันจากทั้งสองจุดไปได้ ด้วยท่าทีของพวกจักรกลที่มีต่อเราแล้ว พวกมันก็คงออกไล่ล่าผู้ที่หนีรอดไปได้จนกว่าจะกวาดล้างทุกคนได้หมดนั่นแหละ เพราะงั้นฉันคิดว่าปฏิบัติการนี้มันก็ไม่ต่างจากการฆ่าตัวตายสักเท่าไหร่ สุดท้ายทุกคนก็ต้องตายกันหมด ขึ้นกับว่าช้าหรือเร็วเท่านั้น”
“เรื่องแบบนั้นถ้าไม่ลองก็ไม่รู้หรอกน่า! ถ้าออกไปข้างนอกได้ก็ยังมีความหวังไม่ใช่เหรอ!? การอยู่ที่นี่ต่างหากที่เป็นการรอความตายน่ะ! ถ้าไม่ให้เดิมพันกับโอกาสที่เหลืออยู่ซะแต่ตอนนี้ เธอจะให้ทำยังไงกัน!?”
“เรื่องนั้นฉันก็ไม่รู้หรอกนะ… ฉันไม่รู้อะไรทั้งนั้น…”
อาร์วินพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรงก่อนจะเดินไปยังหลอดแก้วของโปรเจกต์เนเมซิสและจ้องมองมันอยู่อย่างนั้น ส่วนเจสกับเอมิลี่ก็จนด้วยคำพูดเช่นกัน ความเงียบจึงปกคลุมทั้งห้องอยู่เป็นเวลานาน
——————————————————————————————————–
Part 3
หลังจากลังเลและครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดเอมิลี่ก็ตัดสินใจได้ และพูดกับอาร์วินด้วยแววตาที่มุ่งมั่น
“ถ้าพี่ไม่ไป ฉันก็ไม่ไปค่ะ ในเมื่อยังไงก็จะต้องตายอยู่แล้ว ฉันขอตายอยู่ที่นี่พร้อมกับพี่ก็แล้วกันนะคะ”
เอมิลี่พูดด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยนและอบอุ่นเหมือนเช่นทุกครั้ง มันเป็นรอยยิ้มที่ไม่ได้เห็นมานานแล้วนับแต่เกิดเรื่อง ทำให้อาร์วินซึ่งตัดใจเรื่องการมีชีวิตอยู่ไปแล้วรู้สึกตัวขึ้นมาว่าโลกนี้ยังมีสิ่งที่เธออยากจะปกป้องอยู่
“ไม่หรอก… เธอไปเถอะ ที่ฉันพูดไปนั่นมันก็แค่การคาดคะเนน่ะ ที่อีกฟากหนึ่งของโพรงอาจไม่ได้มีฐานของพวกจักรกลดักอยู่ก็ได้ โอกาสที่ยานขนส่งจะเล็ดรอดออกไปได้ก็มีอยู่เหมือนกัน เธอควรจะเดิมพันกับโอกาสที่มีอยู่ อย่างที่เจสบอกนั่นแหละ”
“บอกแล้วไงคะว่าถ้าพี่ไม่ไปฉันก็จะไม่ไป ถึงจะรอดไปได้จริง ๆ แต่ไม่มีพี่อยู่ด้วยมันก็ไม่มีความหมายหรอกนะคะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น อาร์วินจึงมีท่าทีลังเลอยู่อีกพักหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบา ๆ เหมือนจะยอมแพ้ให้กับความมุ่งมั่นของเอมิลี่ และเอ่ยออกมา
“ถ้างั้นฉันก็จะไปด้วย เราสองคนจะไปจากที่นี่ด้วยกัน เธอไปเตรียมตัวเถอะนะ”
“พูดจริงนะคะ!?”
“อื้ม… ไปเถอะ”
เมื่ออาร์วินรับปาก เอมิลี่ก็แสดงอาการดีใจอย่างออกนอกหน้า ก่อนจะรีบวิ่งออกไปเพื่อจัดเตรียมของสำหรับการอพยพ
อีกด้านหนึ่ง เจสที่ดูเหมือนจะมองเจตนาของอาร์วินออกก็ถามเธออีกครั้งเกี่ยวกับเรื่องนี้
“เธอไม่ได้คิดจะไปจริง ๆ ใช่มั้ย? ไปหลอกเอมี่แบบนี้จะดีเหรอ?”
อาร์วินยิ้มออกมาด้วยแววตาอันเศร้าสร้อยเมื่อได้ยินคำถามนั้น ก่อนจะหันมาพูดกับเจส
“ช่วยไม่ได้นี่นา อย่างที่นายว่านั่นแหละ การเข้าร่วมกับปฏิบัติการนี้ก็มีโอกาสรอดอยู่จริง ๆ ถึงมันจะริบหรี่มากก็เถอะนะ แต่ฉันก็อยากให้เอมี่ได้รับโอกาสนั้น”
“งั้นเธอก็ควรจะไปกับเอมี่ด้วยนะ อย่างน้อย… ได้ใช้เวลาร่วมกันในวาระสุดท้ายก็น่าจะทำให้เอมี่พอใจแล้ว”
“ไม่ได้หรอก ฉันต้องอยู่ที่นี่เพื่อทำให้โอกาสรอดของเอมี่กับทุกคนเพิ่มขึ้น แม้จะแค่น้อยนิดก็ยังดี”
“หมายความว่าไง? เธออยู่ที่นี่แล้วจะไปทำอะไรได้ล่ะ?”
“ถ้ามีกำลังรบมากกว่านี้ และสร้างแรงกดดันให้กับแนวป้องกันของพวกจักรกลได้มากพอ ก็น่าจะเพิ่มโอกาสรอดให้กับกองยานขนส่งได้ ที่เราต้องทำก็คือหากำลังรบมาเพิ่มอีกเท่านั้น”
“แต่ตอนนี้ทางผู้ดูแลก็ระดมกำลังคนและยุทโธปกรณ์ทั้งหมดเท่าที่จะหาได้ไปไว้ในหน่วยโจมตีแล้วนี่นา และถึงจะระดมคนจากกลุ่มผู้อพยพมาเพิ่มเราก็มีอาวุธไม่พอแจกจ่ายให้กับทุกคนอยู่ดี โดยเฉพาะเครื่องบินรบก็มีแค่จำนวนจำกัดด้วย”
“การป้องกันหลัก ๆ น่าจะมาจากปืนต่อต้านอากาศยานภาคพื้นดินมากกว่า เพราะแบบนี้แผนของปฏิบัติการจึงเริ่มด้วยการบุกโจมตีฐานภาคพื้นดินของพวกมันก่อนเพื่อตัดกำลังและเบี่ยงเบนความสนใจ จากนั้นจึงค่อยใช้หน่วยอากาศยานคุ้มกันยานขนส่งบินออกไปทางโพรงนั่น ดังนั้นถ้าจัดการกับแนวป้องกันภาคพื้นดินของพวกมันได้เร็วพอละก็…”
“อย่างที่บอกไปนั่นแหละ เรามีกำลังพลไม่พอหรอก ทุกอย่างที่เรามีก็ถูกนำออกมาใช้จนหมดแล้ว จะไปหากำลังเสริมจากไหนมาได้อีกล่ะ”
“ยังมีอยู่…”
“หา?”
“ความจริงเรายังมีอาวุธอีกชิ้นหนึ่งที่ยังไม่ได้นำออกมาใช้… เพราะมันยังไม่สมบูรณ์ด้วยน่ะนะ…”
อาร์วินพูดพลางเดินไปยังหลอดแก้วหนึ่งเดียวในห้องที่กำลังทำงานอยู่
มันคือหลอดแก้วของโปรเจกต์เนเมซิสนั่นเอง
เจสที่เห็นเช่นนั้นจึงคัดค้านขึ้นมาด้วยสีหน้าตกใจ
“นี่เธอคงไม่ได้พูดจริงใช่มั้ย? คิดจะสร้างสัตว์ประหลาดออกมาสู้กับจักรกลพวกนั้นน่ะนะ? มันจะช่วยอะไรได้เหรอ?”
“เนเมซิสไม่ใช่อาวุธชีวะธรรมดา ๆ หรอกนะ มันมีความสามารถในการดูดกลืนสสารและสร้างเนื้อเยื่อทดแทนได้อย่างรวดเร็ว นั่นรวมไปถึงการเพิ่มจำนวนด้วยการแบ่งร่างด้วย ยิ่งกินก็ยิ่งเพิ่มจำนวน และกลายเป็นกองทัพเนเมซิส ขอแค่เจ้าสิ่งนี้หลุดเข้าไปในแนวป้องกันของพวกจักรกลได้สักตัว พวกมันต้องถูกกัดกินจนหมดแน่”
“เดี๋ยวก่อน! แบบนั้นมันอันตรายมากไม่ใช่เหรอ!? ขืนเอาของแบบนี้ออกมาใช้ พวกเรามิกลายเป็นเหยื่อแทนรึไง!?”
“นั่นคือสาเหตุที่ทำให้โครงการนี้ถูกระงับไป เพราะไม่สามารถหาวิธีที่จะควบคุมมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ตอนนี้ฉันพอจะนึกอะไรขึ้นมาได้บ้างแล้ว”
ด้วยคำพูดของอาร์วิน ทำให้เจสแสดงสีหน้าสงสัยออกมา
“เธอหาวิธีควบคุมมันได้แล้วงั้นเหรอ?”
“ก็ยังไม่แน่หรอกนะ แต่ชั้นคิดว่าเทคโนโลยีถ่ายทอดคลื่นสมองนี่น่ะน่าจะนำมาปรับใช้กับกระบวนการสร้างเนเมซิสได้ ถ้าเราถ่ายเทคลื่นสมองที่ได้รับการปรับแต่งให้มีความนึกคิดและเชื่อฟัง หรืออย่างน้อยถ้าทำให้มันเห็นมนุษย์เป็นพวกเดียวกันได้ละก็ เราก็น่าจะใช้งานมันได้ล่ะ”
“ฉันคิดว่ามันก็ยังเสี่ยงเกินไปอยู่ดีนะ…”
“ถ้าปฏิบัติการเจเนซิสล้มเหลว มนุษย์ชาติก็ต้องพบกับความสูญสิ้นอยู่แล้ว เรายังมีอะไรที่จะต้องเสียอีกงั้นเหรอ?”
คำพูดของอาร์วินนั้นถูกต้องจนเจสไม่สามารถโต้แย้งได้ เพราะในเมื่อปฏิบัติการนี้เปรียบเสมือนการเทหมดหน้าตักเพื่อเดิมพันกับโอกาสเพียงน้อยนิดอยู่แล้ว การจะเพิ่มความเสี่ยงให้กับผู้ที่ไม่ได้ไปกับกลุ่มอพยพก็เป็นสิ่งที่ไม่น่าจะมีผลอะไรนัก เพราะท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่รอพวกเขาอยู่ก็คือความตายเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ เจสจึงได้แต่เฝ้าดูอาร์วินเดินหน้าโปรเจกต์เนเมซิสอยู่เงียบ ๆ โดยไม่ได้พูดอะไรอีก