Doombringer the 5th - ตอนที่ 84
Ch.84 – ค่าตอบแทนของความไร้เดียงสา
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 84
ค่าตอบแทนของความไร้เดียงสา
Part 1
ม่านเหล็กที่ปิดกั้นผนังกระจกรอบห้องสังเกตการณ์ค่อย ๆ เลื่อนเปิดออกอีกครั้ง เผยให้เห็นผู้คนในฐานที่กำลังมายืนออกันอย่างแน่นขนัดและจ้องมองไปยังหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงกลางห้องด้วยสายตาแบบเดียวกัน
มันเป็นแววตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บแค้นราวกับพร้อมที่จะทำร้ายผู้ที่อยู่ตรงหน้าได้ทุกเมื่อ แต่อีกฝ่ายก็ไม่มีท่าทีสะทกสะท้านหรือใส่ใจกับสายตาเหล่านั้นแต่อย่างใด
เมื่อเห็นท่าทีไม่รู้ร้อนรู้หนาวของเธอแล้ว เหล่าทหารและผู้คนที่อยู่โดยรอบจึงรู้สึกหงุดหงิดยิ่งขึ้นไปอีก
แม้ซาลจะรู้สึกเชื่อไปกว่าครึ่งแล้ว แต่ก็ยังอยากได้ยินทุกอย่างจากปากของซิสเตอร์ เอง จึงแอบกระซิบถามเธอเบา ๆ
“พี่สาวน่ะคือ ‘เพสทิเลนซ์’ (Pestilence) ที่เขาพูดถึงจริง ๆ น่ะเหรอ?”
“อ้อ ไม่ต้องห่วงหรอกนะ ‘เพสทิเลนซ์’ เป็นชื่อที่เจ้าพวกนั้นใช้เรียกกันตามใจชอบน่ะ ชื่อจริง ๆ ของฉันไม่เห่ยแบบนั้นหรอก”
“ไม่ได้ถามเรื่องนั้นซะหน่อย!”
ความจริงคำตอบนั้นก็ค่อนข้างจะชัดเจนในตัวเองอยู่แล้ว ซาลจึงไม่คิดจะถามย้ำอีกแต่หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ซิสเตอร์ ก็เอ่ยยอมรับออกมาตรง ๆ ด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย
“ถ้าหมายถึงคนที่สร้างไวรัสนั่นขึ้นมาละก็ ใช่แล้วล่ะ ฉันเป็นคนสร้างและนำมันไปแพร่เองนั่นแหละ (แต่ความจริงไม่ได้ตั้งชื่อว่า X-Dominance หรอกนะ)”
“หา!?”
ถึงจะเป็นคำตอบที่พอจะคาดเดาได้อยู่แล้วแต่ซาลก็ยังรู้สึกตกใจอยู่ดี ทว่าก่อนที่จะได้ถามอะไรเพิ่มเติม ทหารคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังนายกองก็เป็นฝ่ายตะโกนแทรกขึ้นมา
“กล้าพูดออกมาได้แบบไม่สะทกสะท้านเลยนะ!! รู้รึเปล่าว่าแกทำให้คนต้องตายไปตั้งเท่าไหร่!? แปดพันล้านคนเชียวนะ!!”
“ไม่ถึงหรอก แค่เจ็ดพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าเศษ ๆ เท่านั้นแหละ… คิดว่านะ”
ซิสเตอร์ กล่าวแก้คำพูดของอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่ไม่ค่อยจริงจังนัก ราวกับมันเป็นเรื่องไม่สลักสำคัญอะไร ทำให้ซาลถึงกับต้องขมวดคิ้วเพราะไม่เข้าใจว่าเธอเป็นคนอย่างไรกันแน่ ส่วนฝ่ายทหารหญิงก็ดูจะโกรธมากขึ้นอีกจนเริ่มคุมอารมณ์ไม่อยู่และเตรียมจะเหนี่ยวไก
“ใจเย็นก่อน จะฆ่ามันตอนนี้ไม่ได้”
นายกองที่ยืนอยู่ด้านหน้ายกมือขึ้นห้ามพลทหารไว้ ก่อนจะเหลือบตากลับไปพูดกับหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง
“แกน่ะคงจะมีวัคซีนต้านไวรัสอยู่สินะ? คนคิดค้นไวรัสก็ต้องมียารักษาสำหรับตัวเองเอาไว้อยู่แล้ว เพราะงั้นถึงตรวจไม่พบไวรัสในตัว… จงมอบวัคซีนมาให้พวกเราซะ”
“ของแบบนั้นน่ะไม่มีหรอก เพราะไม่ได้ตั้งใจจะให้มันเป็นของที่รักษาได้ตั้งแต่แรกน่ะนะ อีกอย่างคือตัวไวรัสก็กลายพันธุ์ไปมากแล้ว ต่อให้เคยทำแอนติเซรั่มเอาไว้จริงก็คงจะใช้กับไวรัสตอนนี้ไม่ได้แล้วล่ะ”
คำพูดนั้นทำให้เหล่าทหารทุกคนต่างก็แสดงสีหน้าเคียดแค้นยิ่งกว่าเดิมออกมา แต่นายกองก็ยังคงท่าทีเยือกเย็นและสอบถามต่อ
“แต่ร่างกายของพวกแกก็ต้านไวรัสได้นี่นา เพราะงั้นเลือดของพวกแกก็น่าจะนำมาใช้ในการสร้างวัคซีนได้ล่ะ”
“ได้รึเปล่านะ… แต่จะเสียเวลาไปทำไมกัน? โลกนี้มันก็เหลือแต่ผู้หญิงอยู่แล้วนี่ แถมยังมีแต่ร่างโคลนจากคน ๆ เดียวด้วย”
เมื่อพูดถึงร่างโคลน ทั้งเหล่าทหารในห้องและผู้คนที่ยืนอยู่หลังกำแพงกระจกของห้องสังเกตการณ์โดยรอบก็แสดงสีหน้าแปลกใจออกมา เหมือนกับพวกเธอไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพูดเลยสักนิด
“ตัดความสามารถในการแยกแยะตัวตนออกไปงั้นเหรอ? สำหรับพวกเธอแล้วคงไม่รู้สึกว่ามีใครเหมือนกับตัวเองเลยสินะ?”
“พูดอะไรของเธอน่ะ? เลิกเล่นลิ้นได้แล้ว! ตามเราไปที่ห้องแล็บซะ!”
ซิสเตอร์ ยังคงยืนนิ่งและมองไปยังเหล่าทหารด้วยสายตาเบื่อหน่าย ทำให้พวกเธอมีท่าทีหงุดหงิดมากขึ้นและเตรียมจะใช้กำลัง แต่ทันใดนั้นภาพโฮโลแกรมของผู้ดูแลก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
“อย่าทำอะไรโดยพลการ ลดอาวุธลงซะ”
“ตะ… แต่ว่า!”
“นี่เป็นคำสั่ง”
แม้นายกองจะพยายามคัดค้าน แต่คำสั่งของผู้ดูแลถือเป็นคำขาด เธอและเหล่าทหารจึงต้องยอมลดอาวุธลง ส่วนซิสเตอร์ ที่เห็นระบบของผู้ดูแลกลับมาทำงานได้อีกครั้งก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา
“ปลดการแทรกแซงแล้วกลับขึ้นมาคุมระบบเองได้ด้วยเหรอเนี่ย? ประเมินพวกนายต่ำไปหน่อยแฮะ”
“ตกใจอยู่เหมือนกันที่เธอแฮคระบบแล้วตัดพวกเราออกจากการควบคุมฐานนี้ได้ แต่ระบบของฐานโนอาห์ทุกแห่งมีการเชื่อมโยงกันอยู่ ถ้าไม่ปิดระบบของทุก ๆ ฐานพร้อมกันก็ยังไงเราก็หาทางเจาะระบบกลับเข้ามาได้อยู่ดี แต่วิธีเดิมน่ะใช้กับเราไม่ได้ผลเป็นครั้งที่สองหรอกนะ”
“โฮ่~ อัจฉริยะจริง ๆ อุตส่าห์บอกวิธีให้เสร็จสรรพเลยนะเนี่ย~ จะลองดูมั้ยล่ะ?”
คำพูดของซิสเตอร์ ทำให้เหล่าบรรยากาศตึงเครียดอีกครั้ง แม้แต่ซาลก็หันไปจ้องเธอด้วยสายตาที่แสดงความไม่พอใจออกมา เพราะอยากให้เธอหยุดหาเรื่องอีกฝ่ายซะที แต่ทางฝ่ายผู้ดูแลนั้นกลับมีสีหน้าเรียบเฉยและดำเนินการสนทนากับซิสเตอร์ ต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ดูจากความสามารถในการแฮคกิ้งแล้ว โลกที่เธอจากมาคงมีพัฒนาการทางเทคโนโลยีไปมากสินะ แถมยังเป็นโลกที่ไม่มีไวรัสด้วย ฉันพูดถูกมั้ย?”
“อืม ก็ใช่นะ”
“และในโลกนั้นก็มีทั้งหญิงและชายในอัตราสมดุล ใช้ชีวิตกันอย่างสงบสุข ถูกต้องมั้ย?”
“จำนวนหญิงกับชายอาจไม่สมดุลเท่าไหร่เพราะมีพวกผู้ชายรนหาที่ตายไปเยอะ ส่วนเรื่องสงบสุขก็… เท่าที่มันจะเป็นได้ล่ะมั้ง เป็นเรื่องที่พูดยากอยู่น่ะ”
“สรุปว่ามนุษย์ชาติยังคงดำรงอยู่ต่อไปอย่างสมบูรณ์สินะ… ในที่แห่งนั้น…”
“ก็เฉพาะในตอนนี้น่ะนะ”
ซิสเตอร์ ตอบทุกคำถามในมุมมองของตนเอง ส่วนผู้ดูแล เมื่อได้รับฟังคำตอบก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยออกมาอีกครั้ง
“เข้าใจล่ะ… ถ้าอย่างนั้น… ทั้งหมดนี่ก็ไม่มีความจำเป็นอีกแล้ว”
ทั้งซาลและซิสเตอร์ ต่างก็แสดงอาการสงสัยออกมาทั้งคู่เพราะไม่รู้ว่าผู้ดูแลพูดถึงเรื่องอะไร แต่ทันใดนั้นเอง หนึ่งในทหารที่ยืนอยู่ด้านหลังของนายกองก็ล้มลงกับพื้น
“ฮะ… เฮ้?”
นายกองที่เห็นทหารในหน่วยล้มลงอย่างกะทันหันรีบย่อตัวลงเพื่อดูอาการของเธอ แต่ยังไม่ทันที่จะได้ทำอะไรศีรษะของนายกองก็กระตุกเหมือนกับถูกไฟช็อต ก่อนจะฟุบลงกับพื้นไปอีกคน
ทหารคนอื่น ๆ ที่ยืนอยู่ด้านหลังก็ค่อย ๆ ล้มลงตามกันไปทีละคนราวกับหุ่นเชิดที่ถูกตัดสาย ทำให้ซาลยิ่งรู้สึกตกใจขึ้นไปอีก
ซิสเตอร์ ย่อตัวลงดูร่างของนายกองที่นอนฟุบอยู่ เธอพบว่าอีกฝ่ายได้เสียชีวิตไปแล้วโดยมีเลือดไหลออกมาจากหูและดวงตาด้วย
“นี่มัน…”
เธอรีบหันไปมองเหล่าหญิงสาวที่ยืนออกันอยู่หลังกำแพงกระจก และพวกว่าหญิงสาวเหล่านั้นต่างก็ค่อย ๆ ล้มตัวลงกับพื้นไปทีละคนจนไม่เหลือคนที่ยืนอยู่เลยแม้แต่คนเดียว ซาลที่ไม่เข้าใจกับสถานการณ์นี้เลยแม้แต่น้อยจึงตะโกนออกมาด้วยความสับสน
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ!? ทำไมทุกคนถึงได้!?”
“ชิป… ไม่สิ ระเบิดงั้นเหรอ… แกฝังระเบิดขนาดเล็กเอาไว้ในหัวของร่างโคลนทุกตัวเพื่อป้องกันการแข็งข้อสินะ?”
ซิสเตอร์ ที่สำรวจร่างอันไร้วิญญาณของนายกองเสร็จแล้วก็หันไปพูดกับภาพโฮโลแกรมของผู้ดูแลด้วยแววตาอันคมกริบ ส่วนอีกฝ่ายก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่เรียบเฉยเหมือนกับเป็นการสนทนาธรรมดา
“เพราะบางครั้งการปรับแต่งความทรงจำก็ไม่สมบูรณ์เราเลยต้องป้องกันเอาไว้ก่อนน่ะ”
“หมายความว่าทุกคนถูกฆ่าหมดแล้วงั้นเหรอ!? ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วยล่ะ!?”
ซาลกำหมัดแน่นและตวาดใส่ผู้ดูแลด้วยน้ำเสียงอันเกรี้ยวกราด ในขณะที่อีกฝ่ายยังคงตอบกลับมาโดยไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ เช่นเดิม
“ในเมื่อมนุษย์ชาติยังคงดำรงอยู่ในที่อีกแห่งหนึ่ง ร่างโคลนพวกนี้ก็ไม่มีความจำเป็นอีกต่อไปแล้ว”
“ถึงงั้นก็ไม่เห็นต้องฆ่าพวกเขาเลยนี่นา! เราจะพาพวกเขากลับไปด้วยก็ได้!”
“การพาร่างโคลนที่ติดเชื้อไวรัสกลับไปจะทำให้ผู้คนที่โน่นต้องพบกับความเสี่ยงซะเปล่า ๆ พวกเธอเองก็เหมือนกัน แม้จะไม่มีเชื้อไวรัสอยู่ในร่างกายแต่ก็ไม่มีหลักประกันอะไรว่าจะไม่นำเชื้อไวรัสกลับไปที่นั่นด้วย เราจะให้มนุษย์ชาติต้องเสี่ยงกับการล่มสลายอีกครั้งไม่ได้ เพราะงั้นก็จงอยู่ที่นี่เถอะนะ”
เมื่อเขาพูดจบ ทั้งห้องก็เริ่มสั่นไหว ก่อนจะเกิดการระเบิดขึ้นจากรอบทิศทางจนเปลวไฟพวยพุ่งเข้ามากลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างภายในฐาน
——————————————————————————————————–
Part 2
บนพื้นโลกอันมืดมิดและเต็มไปด้วยซากปรักหักพัง
จู่ ๆ ก็เกิดการระเบิด ณ กองซากแห่งหนึ่ง จนมีเปลวไฟขนาดใหญ่พวยพุ่งขึ้นไปบนฟ้า ทำให้บริเวณโดยรอบสว่างไสวราวกับเป็นเวลากลางวัน
ท่ามกลางเปลวไฟจากการระเบิดนั้น มีประกายแสงสีม่วงอ่อนลักษณะคล้ายกับดาวหาง พุ่งสวนออกมา ก่อนจะร่อนลงอย่างช้า ๆ บนพื้นดินที่อยู่นอกรัศมีการระเบิด
ณ จุดที่แสงสีม่วงนั้นร่อนลง ก็ปรากฏร่างของซิสเตอร์ ที่อุ้มซาลเอาไว้ข้างเอวกำลังยืนอยู่ เธอค่อย ๆ วางเขาลงบนพื้น เป็นเวลาเดียวกับที่ออร่าสีม่วงซึ่งปกคลุมทั้งสองคนอยู่ค่อย ๆ จางหายไป
ซาลมีสีหน้าค่อนข้างแย่เพราะยังรับกับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้ ส่วนซิสเตอร์ เองก็แสดงอาการหงุดหงิดออกมาทางสายตาเช่นกัน
“เฮ้อ… แย่จริง ๆ เลยแฮะ… ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปสักเท่าไหร่ความน่ารังเกียจนี่ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลย… แต่ช่างเถอะ รีบไปกันดีกว่า ฉันอยากจะรีบจบเรื่องนี้แล้วไปจากที่นี่ซะที”
เธอกล่าวพูดพลางเดินนำหน้าไป แต่เมื่อเห็นว่าซาลไม่มีท่าทีว่าจะขยับ เธอจึงหันกลับมามองอีกครั้ง
“เป็นอะไรไป? จะไม่ไปรึไง?”
ซาลยังคงก้มหน้าด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดและเจ็บปวด ก่อนจะเอ่ยคำพูดออกมา
“ทำไม… ทำไมเขาต้องฆ่าทุกคนด้วย… ถึงจะเป็นร่างโคลน แต่พี่สาวพวกนั้นก็ไม่ได้มีความผิดอะไรเลยแท้ ๆ …”
“เจ้านั่นมันเป็นแค่โปรแกรม เป็นความนึกคิดที่ถูกถ่ายทอดเอาไว้ ไม่มีความรู้สึกหรอก แค่ทำทุกอย่างตามเป้าหมายอันดับหนึ่งคือการปกป้องการดำรงอยู่ของมนุษย์ชาติ ถึงต้องกำจัดความเสี่ยงทั้งหมดไงล่ะ”
“ถึงแบบนั้นก็เถอะ… มันโหดร้ายเกินไปแล้ว…”
เมื่อเห็นท่าทางฝักใฝ่คุณธรรมของเด็กที่อยู่ตรงหน้า ซิสเตอร์ ก็กลอกตาด้วยความเบื่อหน่าย ก่อนจะพูดออกมา
“เฮ้อ… เธอนี่น้า… แบบนี้ยังคิดจะเป็นผู้สร้างหายนะอีกเหรอ? แค่เห็นร่างโคลนไม่กี่ร้อยตายไปต่อหน้าก็รับไม่ได้แล้ว เส้นทางที่เธอคิดจะเดินต่อจากนี้ไปน่ะยังต้องทับถมซากศพเพื่อปูเส้นทางอีกเยอะนะ”
“พี่สาวก็พูดได้น่ะสิ! สำหรับคนที่ทำคนตายไปตั้งแปดพันล้านคน จะเห็นคนตายอีกสักกี่ร้อยก็คงไม่รู้สึกอะไรใช่มั้ยล่ะ!?”
เมื่อถูกพูดใส่แบบนี้ ทางซิสเตอร์ ก็ถึงกับเงียบไปครู่หนึ่ง ดวงตาของเธอฉายแววอันซับซ้อนที่ยากจะคาดเดาว่ากำลังรู้สึกโกรธ รู้สึกเศร้า หรือรู้สึกหงุดหงิดกันแน่ แต่ก็พอจะมองออกว่ามันเป็นความรู้สึกที่ขุ่นมัว
หลังจากปล่อยให้ความเงียบปกคลุมอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดซิสเตอร์ ก็เอ่ยคำพูดออกมาอีกครั้ง
“ฉันเกลียดโลกนั้น… เกลียดทั้งความโสมมของมัน และเหล่าผู้คนที่ทำให้มันกลายเป็นสถานที่โสมมด้วย… ถึงจะมีสิ่งดี ๆ เจือปนอยู่ในโลก แต่เพราะมันไม่เคยเกิดกับฉัน ทุกอย่างที่พานพบล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องแย่ การได้เห็นสิ่งดี ๆ ที่เกิดกับคนอื่นจึงยิ่งทำให้รู้สึกว่าโลกนี้ช่างไม่ยุติธรรมเอาซะเลย ความโกรธแค้นที่มีต่อโลกเลยยิ่งเพิ่มเป็นทวีคูณ”
คำพูดของอีกฝ่ายที่พูดออกมาด้วยแววตาอันมืดมนและเต็มไปด้วยความเกลียดชังนั้นทำให้ซาลถึงกับสะอึก ความจริงเขามีเรื่องที่อยากจะพูดหรือถามกลับไป แต่เมื่อเห็นแววตานั้นแล้ว คำพูดทั้งหมดก็จุกอยู่ที่คอ โดยไม่สามารถจะเอ่ยออกไปได้ ในระหว่างนั้น ซิสเตอร์ก็กล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงอันเย็นเยียบ
“แต่ถึงจะเกลียดแค่ไหน ฉันก็ไม่เคยคิดที่จะทำลายโลกหรอกนะ เพราะนั่นมันเป็นวิธีของคนขี้ขลาด เป็นการหนีปัญหา ถ้าเกลียดอะไรในรูปแบบที่มันเป็น ก็ต้องทำการเปลี่ยนมันให้กลายเป็นสิ่งที่เราต้องการซะสิ แบบนั้นถึงจะถูก และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ฉันสร้างไวรัสตัวหนึ่งขึ้นมา ชื่อที่แท้จริงของไวรัสไม่ใช่ X-Dominance อย่างที่พวกนั้นเรียกหรอก แต่จริง ๆ แล้วมันชื่อว่า ลิลลี่โฮไรซอน”
เมื่อได้ยินชื่อนั้น ซาลก็รู้สึกสั่นสะท้านขึ้นมาในทันทีด้วยเหตุผลที่อธิบายไม่ถูก อาจเพราะการได้รู้ความหมายที่แท้จริงของนามลิลลี่โฮไรซอน หรืออาจเพราะแววตาอันน่ากลัวของซิสเตอร์ ที่เน้นเสียงตอนที่เอ่ยชื่อนี้ออกมา
“เจตนาของการสร้างไวรัสนี้ แน่นอนว่าไม่ใช่เพื่อทำลายโลก แค่ทำให้ผู้ชายหมดไปจากโลกเท่านั้นเอง นี่ไม่ใช่การแก้ปัญหาของโลก หรือทำให้ความน่ารังเกียจของมันลดลงไป แต่ของน่ารังเกียจที่ดูสบายตามันก็ยังดีกว่าของที่อัปลักษณ์ทั้งภายนอกและภายในใช่มั้ยล่ะ หากเป็นโลกแบบนั้นฉันก็ยังพอจะกล้ำกลืนอยู่กับมันไปได้ แต่เพราะตัวไวรัสยังมีข้อบกพร่อง คือไม่ได้มีผลกับมนุษย์แค่เพียงอย่างเดียว ทว่ายังมีผลกับพวกสัตว์ด้วย ฉันจึงได้แต่พัฒนามันต่อไป โดยไม่เคยนำออกมาใช้ แต่ในระหว่างนั้นฉันก็ได้พบกับคน ๆ หนึ่งเข้า”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ สีหน้าและแววตาของซิสเตอร์ ก็เปลี่ยนไป มันกลายเป็นแววตาอันอบอุ่นแต่แฝงไว้ด้วยความเศร้าสร้อย ไม่ใช่แววตาอันเย็นเยียบจนน่าขนลุกเหมือนก่อนหน้านี้ ทำให้ซาลกล้าพูดจาตอบโต้กับเธอบ้าง
“คน ๆ หนึ่งเหรอ?”
“อืม… เธอคนนั้นเป็นคนที่สดใสและเจิดจ้า ราวกับแสงสว่าง… มองโลกในแง่ดี เป็นมิตรกับทุกคน แม้แต่กับคนที่มืดมนและไม่มีใครกล้าเข้าใกล้อย่างฉันด้วย… ช่วงเวลาที่อยู่กับเธอทำให้ความมืดที่เกาะกุมจิตใจของฉันถูกปัดเป่าจนจางหายไปเกือบหมด เป็นเวลาที่ฉันแทบจะลืมความเกลียดชังที่มีต่อโลกไปแล้ว…”
เธอเล่าออกมาด้วยแววตาอันอ่อนโยน ซึ่งเป็นแววตาที่พบเห็นได้ไม่บ่อยนัก ทำให้ซาลยิ่งรู้สึกแปลกใจ
“แล้วทำไมถึง…”
เขาเอ่ยถามเพราะไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงเปลี่ยนความคิดอีกครั้ง ซึ่งซิสเตอร์ ก็นิ่งเงียบไปอีกครู่หนึ่ง ก่อนแววตาของเธอจะกลับเป็นแววตาอันเย็นชา และเอ่ยคำตอบออกมา
“เพราะสุดท้ายเธอก็ถูกโลกนี้ทรยศไงล่ะ… เธอเป็นคนที่เชื่อมั่นในความดีงามของมนุษย์ ชอบช่วยเหลือผู้อื่น และปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ จึงเข้าเป็นอาสาสมัครของหน่วยงานสังคมสงเคราะห์ เพื่อจะได้ช่วยเหลือผู้คนอย่างที่เธอต้องการ…
แต่แล้ววันหนึ่ง… ในขณะที่เธอออกไปทำงานอาสาสมัครก็ถูกกลุ่มเด็กวัยรุ่นเหลือขอที่เธอไปเกลี้ยกล่อมให้กลับมาเรียนพยายามรุมโทรม… แต่ไม่ว่ายังไงเธอก็ไม่อยากจะถูกย่ำยี เลยกระโดดหนีลงมาจากหน้าต่างชั้นสามและสิ้นใจอยู่บนพื้นเบื้องล่างนั่นเอง”
ซาลรู้สึกได้ถึงความเศร้าในน้ำเสียงของอีกฝ่าย แต่เพียงเสี้ยววินาทีเขาก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันเกรี้ยวกราดทันที่ซิสเตอร์ หันมามองเขาอีกครั้งพลางพูดต่อด้วยแววตาอันน่ากลัว
“ผู้หญิงคนนั้นตายไปพร้อมกับโอกาสสุดท้ายที่ฉันมอบให้กับโลกนี้… ทำให้ฉันเข้าใจว่าที่แห่งนี้มันเกินจะเยียวยาแล้ว… โลกที่ฆ่าแม้กระทั่งคนที่คิดจะช่วยเหลือมันน่ะ ไม่ควรค่าที่จะดำรงอยู่ต่อไปหรอก”
แม้แรงกดดันที่อีกฝ่ายแผ่ออกมาจะทำให้ตัวของเขาเริ่มสั่น แต่ซาลก็ยังรวบรวมความกล้าและพูดตอบโต้กลับไป
“เพราะแบบนั้นก็เลยแพร่ไวรัสที่ไม่สมบูรณ์ออกไป ทั้งที่รู้ว่ามันจะทำให้โลกต้องพบกับความล่มสลายงั้นเหรอ?”
“เพราะรู้ว่ามันจะทำให้โลกต้องพบกับความล่มสลาย ฉันถึงแพร่มันออกไปต่างหาก”
“แต่คนอื่น ๆ ไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยซะหน่อย! ทำแบบนี้ก็ไม่ต่างกับการทำร้ายผู้บริสุทธิ์หรอก!”
“เกี่ยวสิ ทำไมจะไม่เกี่ยวล่ะ? การที่โลกมาถึงจุดนี้ได้ก็เพราะทุกคนปล่อยให้มันเป็น… ทุกคนเพิกเฉยกับความชั่วร้ายที่เกิดกับคนอื่นเพราะไม่คิดว่าเป็นเรื่องของตัวเอง… ทำให้ความชั่วร้ายนั้นดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ … ดังนั้นพวกมันทุกคนต้องรับผิดชอบร่วมกันทั้งหมด”
ซิสเตอร์ พูดออกมาด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่นและเย็นยะเยือก ผิดกับแววตาที่แฝงความคลุ้มคลั่งเอาไว้ภายใน ทำให้ซาลไม่กล้าจะเอ่ยคำพูดต่อ เพราะเขารู้สึกว่าไม่สามารถใช้เหตุผลกับอีกฝ่ายที่อยู่ในสภาพนี้ได้แล้ว แต่เพียงครู่เดียวสีหน้าที่อยู่ด้านหลังผ้าพันคอสีแดงผืนใหญ่ของหญิงสาวก็แปรเปลี่ยนไปอีกครั้ง มันกลายเป็นแววตาที่สงบนิ่ง และเธอก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนลง
“นั่นเป็นความคิดของฉันในตอนนั้นน่ะนะ… เพราะว่าอายุยังน้อย แถมยังถูกความแค้นบังตาด้วย ก็เลยคิดอะไรไม่ค่อยถี่ถ้วนเท่าไหร่… แต่ถึงเป็นตอนนี้ก็คงรับปากไม่ได้ว่าจะไม่ทำเหมือนเดิมหรอกนะ”
การเปลี่ยนท่าทีอย่างกะทันหันของอีกฝ่ายทำให้ซาลปรับตัวไม่ค่อยทัน แต่เขาก็รู้สึกเหมือนจะเข้าใจความคิดของเธอมากขึ้นอีกนิดแล้ว
“…เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นกับเธอคนนั้น ทำให้พี่สาวออกกฎห้ามล่วงละเมิดทางเพศในโลกใหม่สินะครับ?”
“นั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่ง… แต่ความจริงคือสาวสวยทุกคนบนโลกนี้เป็นสมบัติของฉัน กฎนั่นถูกตั้งขึ้นเพื่อปกป้องสมบัติของฉันต่างหาก”
ซาลขมวดคิ้วเล็กน้อยเพราะดูไม่ออกว่าอีกฝ่ายพูดจริงหรือพูดเล่นกันแน่ แต่นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่เขาอยากจะถามกับเธอมานานแล้ว
“แต่ที่โลกมีประชากรเพศชายน้อยกว่าเพศหญิงก็เพราะกฎนี้ไม่ใช่เหรอ? แบบนี้ไม่ถือว่าทำให้โลกเสียสมดุลรึไง?”
“ความจริงกฎนี้มีผลกับทั้งผู้ชายและผู้หญิงนะ และในทีแรกฝ่ายผู้หญิงยังถูกจำกัดด้วยเงื่อนไขที่รัดกุมกว่าด้วย แต่เพราะมันทำให้ประชากรโลกยิ่งลดลงไปอีก พวกสิบนักปราชญ์เลยเสนอให้เพิกถอนออกไป”
“เงื่อนไขที่รัดกุมกว่าเหรอ?”
“สำหรับผู้หญิงน่ะไม่ใช่แค่ไปล่วงละเมิดผู้ชายถึงจะถูกลงโทษ แต่พวกที่ไม่รักนวลสงวนตัว นอนกับผู้ชายไม่เลือกหน้า หรือเต็มใจค้าประเวณี ก็ต้องถูกลงโทษสถานเดียวกันด้วย ซึ่งในช่วงที่กฎนี้มีผลอยู่ก็ทำให้ประชากรหญิงลดลงไปพอสมควรทีเดียว”
แม้จะไม่เข้าใจในคำพูดนั้นทั้งหมด แต่ซาลก็พอจะรู้ว่ามันเป็นความคิดที่สุดขอบเกินไป
“หา!? แบบนั้นมันไม่เกินไปหน่อยเหรอ!?”
“พวกผู้หญิงที่ทำตัวต่ำ ๆ ก็ไม่คู่ควรที่จะอยู่บนโลกใบนี้หรอก”
“ความคิดของพี่สาวนี่มันสุดโต่งเกินไปแล้วนะเนี่ย… แล้วบางคนเขาอาจทำไปเพราะไม่มีทางเลือกก็ได้นี่นา…”
“คำว่า ‘ไม่มีทางเลือก’ มันเป็นแค่ข้ออ้าง คนเราก็แค่เลือกทางที่สบายกว่าโดยอ้างว่าไม่มีทางเลือกเท่านั้นเอง ทางเลือกน่ะมันมีเสมอแหละ ขึ้นกับว่าคนเลือกกล้าที่จะเผชิญความยากลำบากของทางเลือกที่ถูกต้องรึเปล่าเท่านั้น”
“ตะ.. แต่ต้องถูกเผาอยู่บนดวงอาทิตย์ไปตลอดกาลมันก็เป็นบทลงโทษที่รุนแรงเกินไปอยู่ดีนะ…”
“ตอนนี้กฎยิบย่อยส่วนใหญ่ก็ถูกยกเลิกไปแล้วล่ะ เหลือแค่กฎห้ามล่วงละเมิดทางเพศเท่านั้น”
“แค่กฎนั้นก็มีคนถูกลงโทษเป็นล้านคนแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“ก็พวกมันทำตัวเองนี่นา”
“แต่ยังไงก็น่าจะลดโทษลงสักหน่อยนา ถูกเผาตลอดกาลมันก็เกินไปน่ะ”
เมื่อได้ยินคำพูดที่เหมือนกับมองความผิดนี้เป็นเรื่องเล็กน้อยแบบนั้น ซิสเตอร์ ก็จ้องมองเขาด้วยสายตาแปลก ๆ ทำให้ซาลคิดว่าเขาพูดอะไรผิดไปรึเปล่า
“ความจริงแล้วเธอไม่รู้ว่าการล่วงละเมิดทางเพศคืออะไรสินะ?”
“ระ.. รู้สิ! มันก็คือการที่ผู้ชายคนนึงบังคับให้ผู้หญิงอีกคนนึงนอนจับมือด้วยไม่ใช่เหรอ?”
เมื่อได้ยินคำตอบนั้น ซิสเตอร์ ก็หรี่ตาลงและมองซาลด้วยสายตาที่เหมือนกับกำลังแสดงความรู้สึกสมเพชออกมา ทำให้เขายิ่งรู้สึกข้องใจขึ้นอีก
“ทั้งที่ไม่เข้าใจถึงความร้ายแรงของมันเลยสักนิดยังจะกล้าแสดงความเห็นอีก พวกที่ชอบสอดในเรื่องที่ตัวเองไม่รู้จริงเนี่ย น่ารำคาญที่สุดเลย”
“คนเราไม่ว่าใครก็ต้องเคยทำผิดด้วยกันทั้งนั้น พี่สาวไม่คิดว่าพวกเขาควรได้รับโอกาสแก้ตัวบ้างเหรอ?”
เมื่อได้ยินคำพูดของซาล ซิสเตอร์ ก็จ้องมองเขาด้วยแววตาอันซับซ้อนอีกครั้ง
——————————————————————————————————–
Part 3
ซาลรู้สึกว่าอีกฝ่ายจ้องมองเขาด้วยแววตาที่มีความรู้สึกอันหลากหลายหลอมรวมกันอยู่ และดวงตาคู่นั้นยังมองลึกลงไปไกลกว่าสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า
“ตอนที่ฉันถามยัยนั่นว่าทำไมถึงต้องไปเสียเวลาช่วยคนพวกนั้นด้วย แม่นั่นก็ตอบฉันมาด้วยคำพูดแบบนี้แหละนะ… และสุดท้ายมันก็เป็นสิ่งที่นำเธอไปพบกับความตาย… เพราะความคิดโง่ ๆ อันไร้เดียงสานั่นแหละ”
“ผมไม่คิดว่ามันเป็นสิ่งที่โง่หรอกนะ”
เมื่อได้ยินคำตอบนั้น ซิสเตอร์ ก็เบือนสายตาไปทางอื่นด้วยแววตาที่แสดงความรู้สึกเหนื่อยหน่ายออกมา เธอทอดสายตามองไปทางอื่นอยู่พักหนึ่งเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ก่อนที่เธอจะหันกลับมาพูดกับซาลอีกครั้ง
“เธอจะบอกว่าบทลงโทษนั้นมันแรงเกินไปสินะ?”
“แล้วไม่จริงเหรอ?”
“เรื่องนั้นทำไมไม่ลองตัดสินดูด้วยตัวเองล่ะ?”
“เห?”
เมื่อพูดจบ ซิสเตอร์ ก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาเหมือนกำลังถืออะไรบางอย่างอยู่ ในทีแรกซาลก็เห็นเพียงความว่างเปล่า แต่ครู่ต่อมาก็มีพลังงานสีดำค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นบนฝ่ามือของอีกฝ่าย ก่อนมันจะรวมตัวกันแล้วอัดแน่นจนมีรูปร่างคล้ายกับลูกแก้วสีดำสนิทที่แผ่ออร่าอันดำทะมึนออกมา
“นี่คือ ‘คัมภีร์แห่งความมืด’ (Tome of Darkness) ของโลกใหม่ เพราะกฎของโลกใหม่ที่ปิดกั้นไม่ให้พลังงานด้านลบหลุดออกไปจากโลกนี้ทำให้ ‘คัมภีร์แห่งความมืด’ ก่อตัวขึ้นที่นี่ด้วยและฉันก็เป็นคนเก็บรักษามันเอาไว้ มันต่างจากคัมภีร์ของโลกเก่าที่พวกเลซเซอร์อีวิลถืออยู่ตรงที่ในนี้จะบันทึกไว้เพียงความชั่วร้ายของมนุษย์ในโลกใหม่เท่านั้น”
“แล้ว… พี่สาวเอาของแบบนี้ออกมาทำไมล่ะ?”
“กฎป้องกันการล่วงละเมิดทางเพศน่ะเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดขึ้นในศักราชที่ 104 ซึ่งก่อนหน้าที่จะมีกฎนี้ การล่วงละเมิดทางเพศก็เป็นหนึ่งในความชั่วร้ายที่มนุษย์กระทำอย่างต่อเนื่อง นี่เป็นบันทึกเฉพาะส่วนของการล่วงละเมิดทางเพศในช่วงเวลาหนึ่งร้อยปีนั้น ถ้าสัมผัสกับลูกแก้วนี้ละก็ เธอจะได้เห็นและได้รับรู้ความรู้สึกของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายทุกคนที่ถูกกระทำไงล่ะ”
“จะให้ผม… ดูของแบบนั้นเหรอ?”
“ก็เธอบอกว่าบทลงโทษของฉันมันรุนแรงเกินไปไม่ใช่เหรอ? ฉันเลยจะให้เธอได้ดูและตัดสินใจด้วยตัวเอง ว่าความผิดเหล่านั้นมันสมควรกับโทษที่ได้รับรึเปล่าไงล่ะ แต่ขอเตือนไว้ก่อนว่าการล่วงละเมิดทางเพศมันไม่ใช่แค่การ ‘นอนจับมือ’ อย่างที่เธอเข้าใจหรอกนะ มันเป็นการทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจของเหยื่อ ให้เกิดตราบาปที่ไม่มีทางลบเลือนได้ติดตัวไปชั่วชีวิต เป็นการทำลายมนุษย์คนหนึ่งให้แตกสลายไป”
ซิสเตอร์ ยื่นลูกแก้วสีดำสนิทให้กับเด็กน้อยที่อยู่ตรงหน้าด้วยแววตาที่แสดงความเย้ยหยันเหมือนเป็นการท้าทายออกมา
ซาลเองก็พอจะรู้ตัวว่าเขาเข้าใจเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศผิดไป เรื่องนี้ควรจะเป็นอะไรที่ร้ายแรงกว่าที่เขาเคยคิดไว้มาก แต่หลังจากที่เขาได้เห็นเรื่องราวของโลกเก่าผ่านบันทึกของเจสและเห็นการสังหารหมู่เหล่าร่างโคลนต่อหน้ามา จึงทำให้เกิดความคิดว่าไม่น่าจะมีอะไรที่ทำให้เขารู้สึกแย่ได้มากไปกว่านี้อีกแล้ว แม้สายตาท้าทายอย่างมีเลศนัยของอีกฝ่ายจะทำให้เขารู้สึกลังเลอยู่บ้างก็ตาม
“เอ้า ว่าไง? จะไม่ดูงั้นเหรอ? ถ้างั้นไว้อีกสิบปีพอรู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้วเราค่อยมาคุยเรื่องนี้กันใหม่ก็แล้วกันนะ”
“ใครบอกว่าจะไม่ดูเล่า! ขะ.. ของแบบนี้น่ะ…”
“งั้นก็รีบ ๆ เข้าสิ ฉันถือรอจนเมื่อยแล้วนะ”
“รู้แล้วน่า! เอาล่ะ…”
ซาลเอื้อมมือเข้าไปหาลูกแก้วสีดำบนฝ่ามือของซิสเตอร์ ด้วยท่าทีกล้า ๆ กลัว ๆ แม้จะรู้สึกลังเล แต่เขาก็อยากรู้ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายบอกว่าเป็นความผิดร้ายแรงนั้นมันร้ายแรงแค่ไหน และเขาก็อยากจะพิสูจน์กับเธอให้ได้ว่าไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่ไม่คู่ควรกับการให้อภัย จึงกลั้นใจยื่นมือไปแตะสัมผัสลูกแก้วลูกนั้นในที่สุด
เมื่อเห็นเช่นนั้น ซิสเตอร์ ก็แสดงสายตาเหมือนกับกำลังแสยะยิ้มออกมา
“โอ้~ แบบนั้นแหละ จะว่าไปแล้วตอนนี้เธอก็อยู่ในร่างผู้หญิงนี่นะ เป็นอะไรที่เหมาะเจาะพอดีเลย เพราะแบบนี้จะได้ความรู้สึกที่สมจริงที่สุดไงล่ะ”
“อึก… อะ… อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกก”
เพียงชั่วพริบตาที่ซาลสัมผัสเข้ากับลูกแก้วสีดำทมิฬนั้น ภาพการกระทำอันโหดร้ายจำนวนมหาศาลก็แล่นเข้ามาในหัวของเขาอย่างรวดเร็ว ราวกับกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยว
มันเป็นภาพของหญิงสาวจำนวนนับไม่ถ้วนที่ตกเป็นเหยื่อของการล่วงละเมิด ที่สำคัญคือไม่ใช่เพียงแค่ภาพและเสียงเท่านั้น แต่ความรู้สึกของหญิงสาวเหล่านั้นก็ถูกส่งผ่านมายังเขาด้วย ราวกับเป็นผู้สัมผัสกับประสบการณ์เหล่านั้นด้วยตัวเอง
ทั้งความเจ็บปวด ความทรมาน ความกลัว ความสิ้นหวัง ทุก ๆ อย่างไหลประดังเข้ามาจนทำให้เขาเริ่มจะประคองสติเอาไว้ไม่อยู่ ทั้งที่เวลาผ่านไปแค่ไม่กี่วินาที แต่ภายในหัวของซาลนั้นเหมือนกับได้สัมผัสประสบการณ์อันโหดร้ายราวกับนรกนี้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานับชั่วโมงแล้ว
ซิสเตอร์ ที่เฝ้ามองอาการทุรนทุรายของเด็กน้อยที่อยู่ตรงหน้าอยู่ก็เริ่มประเมินสถานการณ์ว่าจะหยุดการเชื่อมต่อกับ ‘คัมภีร์แห่งความมืด’ แค่นี้ดีรึไม่
“อืม… ให้ดูต่ออีกสักสี่ห้าวิฯ จะเป็นอะไรมั้ยนะ? คงไม่เป็นบ้าไปซะก่อนหรอกมั้ง… หืม?”
ในระหว่างที่ซิสเตอร์ กำลังครุ่นคิดอยู่ จู่ ๆ ก็เริ่มเกิดแสงสว่างเปล่งออกมาจากตัวของซาลจนทำให้เธอต้องรู้สึกแปลกใจ
ไม่นานนัก แสงนั้นก็สว่างวาบราวกับเกิดการระเบิดจนทำให้ซิสเตอร์ ต้องหลับตาลงและเบือนหน้าไปทางอื่นเพื่อหลบความเจิดจ้าของแสงนี้ เป็นเวลาเดียวกับที่ ‘คัมภีร์แห่งความมืด’ บนมือของเธอถูกแสงนั้นปัดเป่าจนสลายหายไป
หลังจากการเชื่อมต่อกับ ‘คัมภีร์แห่งความมืด’ ถูกตัดขาด ซาลก็ทรุดตัวลงกับพื้นเหมือนกับคนหมดแรง ทั้งยังหายใจเหนื่อยหอบและมีเหงื่อท่วมตัว ดวงตาของเขายังหลั่งน้ำตาออกมาด้วยสีหน้าอันบิดเบี้ยวอีกด้วย
เมื่อได้เห็นปรากฏการณ์นี้ ซิสเตอร์ ก็ทำหน้าเหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“อา… ลืมเรื่องนี้ไปซะสนิทเลยแฮะ แต่ก็ช่างเถอะ”
เธอลดมือลงและเดินเข้าไปหาซาลอีกครั้งเพื่อเอ่ยถามในสิ่งที่เขาได้เห็น
“เป็นไงบ้างล่ะ? พอจะเข้าใจอะไรมากขึ้นรึเปล่า?”
“อุ๊บ… อ๊อกกกกก”
ไม่ทันที่จะได้ตอบคำถามของอีกฝ่าย ซาลก็อาเจียนออกมาเต็มพื้น แม้ว่าเขาจะไม่ได้กินอะไรมาหลายชั่วโมงแล้วทำให้ไม่มีเศษอาหารเหลืออยู่ในท้อง แต่ความรู้สึกกดดันและปั่นป่วนก็ยังทำให้เขาอาเจียนเป็นน้ำออกมาอยู่ดี
ส่วนทางด้านซิสเตอร์ แม้จะเห็นเด็กน้อยตรงหน้ามีอาการเช่นนั้น ก็ยังคงพูดจาแบบไร้ปราณีต่อไป
“หึ… ลองจินตนาการดูนะ ถ้าคนที่ต้องเจอกับเรื่องแบบนั้นคือพี่สาวเธอ น้องสาวเธอ หรือคนสำคัญของเธอ… เธอจะยังบอกว่ามันเป็นบทลงโทษที่รุนแรงเกินไปอยู่รึเปล่า?”
คำพูดที่ชวนให้คิดตามนั้นยิ่งทำให้ซาลรู้สึกทรมานเข้าไปอีก ท้องไส้ของเขาบิดตัวจนอยากจะอาเจียนออกมาอีกครั้ง แม้ในตอนนี้จะไม่มีอะไรเหลือให้อาเจียนออกมาอีกแล้ว
เขาต้องใช้เวลาพักฟื้นอยู่ครู่ใหญ่กว่าที่อาการเหล่านั้นจะทุเลาลง ส่วนซิสเตอร์ ก็ยืนรออย่างใจเย็นโดยไม่ได้พูดอะไรอีก
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่อาการทางร่างกายของซาลก็เริ่มจะทุเลาลง แต่สีหน้าของเขาก็ยังคงซีดเซียวและเต็มไปด้วยความรู้สึกเจ็บปวด เห็นได้ชัดว่าเขายังรู้สึกแย่กับสิ่งที่ได้เห็น และไม่สามารถสลัดภาพติดตากับความรู้สึกทรมานเหล่านั้นออกไปจากหัวได้
ทางด้านซิสเตอร์ เมื่อได้เห็นสีหน้าที่ค่อนข้างแย่ของอีกฝ่ายก็เริ่มรู้สึกผิดขึ้นมานิดหน่อย และคิดว่าตัวเองอาจจะทำเกินไปที่ให้เขาสัมผัสกับ ‘คัมภีร์แห่งความมืด’ โดยตรง เพราะอย่างไรเขาก็เป็นแค่เด็กอายุสิบขวบ เธอไม่น่าจะเอาจริงเอาจังกับคำพูดไร้เดียงสาของเด็กขนาดนั้นเลย
“เฮ้อ… เอาเถอะ รีบไปเก็บกวาดส่วนที่เหลือกันดีกว่า จะได้ไปหา ‘เอกสิทธิ์แห่งผู้สร้าง’ แล้วไปจากที่นี่กันซะที”
คำพูดของซิสเตอร์ ทำให้ซาลเงยหน้าขึ้นมามองเธออีกครั้ง เพราะไม่เข้าใจว่าเธอกำลังพูดถึงอะไร
“เก็บกวาดส่วนที่เหลือเหรอ?…”
“ก่อนจะไปจากที่นี่ก็ควรเก็บกวาดทุกอย่างให้เรียบร้อยไม่ใช่เหรอ? ในเมื่อร่างโคลนในโครงการโนอาห์ถูกทำลายไปหมดแล้ว ในโลกเก่านี้ก็เหลือคนที่เราต้องปลดปล่อยอีกแค่คนเดียวเท่านั้น”
แม้พี่สาวจะไม่ได้พูดออกมาทั้งหมด แต่ซาลก็พอจะเข้าใจในความหมายของคำพูดนั้น
คนสุดท้ายที่ซิสเตอร์ พูดถึงก็คือเนเมซิสนั่นเอง