Doombringer the 5th - ตอนที่ 86
Ch.86 – การไถ่บาป
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 86
การไถ่บาป
Part 1
เหล่าอสูรกายที่มีร่างเป็นจักรกลผสมชีวะจำนวนมหาศาลถาโถมกันเข้ามาราวกับคลื่นในมหาสมุทร
เป้าหมายของพวกมันก็คือการบดขยี้กลุ่มคนที่อยู่ตรงใจกลางของความโกลาหลนี้
ทว่าแทนที่พวกมันจะบีบวงเข้าบดขยี้เหยื่อตรงหน้าได้โดยง่าย กลับกลายเป็นกลุ่มคนภายในที่ไล่สังหารเหล่าอสูรจนล้มตายเป็นใบไม้ร่วง ทำให้ที่ว่างตรงกลางวงล้อมยิ่งขยายพื้นที่ออกไปเรื่อย ๆ
ซิสเตอร์ทั้งหนึ่งพันคนยังคงบดขยี้สมุนของเนเมซิสที่ห้อมล้อมอยู่ราวกับมดปลวก โดยไม่มีอะไรมาหยุดยั้งได้
ที่ฟากหนึ่งของลานกว้าง รยางค์ของเนเมซิสกำลังรัดพันเข้าหากันเพื่อก่อรูปร่างเป็นตัวตนขึ้นอีกครั้ง ส่วนอีกฟากหนึ่ง ซิสเตอร์คนปัจจุบันกำลังมองดูเด็กน้อยที่อยู่ตรงหน้าด้วยสายตาข้องใจ เมื่อได้ยินในสิ่งที่เขาพูด
“เธอบอกว่าอยากจะลองคุยดูงั้นเหรอ? กับไอ้เจ้านั่นน่ะนะ?”
เธอกล่าวพลางชี้ไปทางเนเมซิสซึ่งตอนนี้เริ่มจะคืนสภาพกลับมาเป็นอสูรกายอันน่าเกลียดน่ากลัวอีกครั้ง แม้ส่วนล่างของมันจะยังมีรูปร่างเป็นมัดรยางค์ที่เชื่อมต่ออยู่กับพื้นดินก็ตาม
“ความจริงก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่าจะทำได้รึเปล่า แต่ก็อยากจะลองดูน่ะ พี่สาวพอจะดึงความสนใจเอาไว้ให้หน่อยได้มั้ย?”
“โฮ่~ จะใช้ฉันเป็นเหยื่อล่อรึเนี่ย? ใจกล้ามากนะ”
“ไม่ใช่แบบนั้นซะหน่อย! แต่ก็… ประมาณนั้นแหละ…”
“ก็อยากดูอยู่หรอกว่าเธอจะใช้วิธีอะไร แต่เจ้านั่นมันจะโจมตีออกมาจากทางไหนบ้างก็ไม่รู้ ฉันอาจป้องกันให้เธอไม่ทันก็ได้นา”
ซิสเตอร์แกล้งพูดหยั่งเชิงเพื่อดูความตั้งใจของอีกฝ่าย ความจริงถ้าเธอเลิกเล่นสนุกละก็ การจะพาซาลเข้าไปหาเนเมซิส หรือแม้แต่คิดจะจบเรื่องนี้ในพริบตา ก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลย
“ไม่ต้องห่วง ผมมีวิธีที่ปลอดภัยอยู่ ว่าแต่พี่สาวเถอะ ไหวรึเปล่า? เห็นโดนโจมตีทีเดียวก็เละเป็นโจ๊กเลยนี่นา เนเมซิสโจมตีได้รุนแรงขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“นั่นเพราะว่าฉันยังไม่ได้ใช้จิตต่อสู้เลยน่ะ ทำให้ไม่มีพลังป้องกันไปด้วย”
“เอ๋? แล้วทำไมไม่ใช้ล่ะ?”
“ทำแบบนั้นมันก็ไม่สนุกน่ะสิ สำหรับฉัน ถ้าใช้จิตต่อสู้เสริมพลัง มันก็ไม่ต่างจากการใส่สูตรอมตะหรอก แค่ดีดนิ้ว อีกฝ่ายก็กลายเป็นผงแล้ว ในขณะที่โดนอะไรก็ไม่มีระคายเคือง แบบนั้นมันน่าเบื่อจะตาย แถมยังทำให้ฝีมือทื่อลงด้วย เพิ่มความเสี่ยงซะหน่อยแบบนี้จะตื่นเต้นและได้ขัดเกลาฝีมือมากกว่า”
“ดะ.. เดี๋ยวซิ แปลว่าที่ผ่านมานี่ใช้แค่พลังกายล้วน ๆ เลยงั้นเหรอ?”
“ก็ส่วนใหญ่น่ะนะ”
แค่เธอใช้พลังกายอย่างเดียวก็สามารถเหวี่ยงค้อนจนสร้างแรงอัดได้ในระดับเดียวกับการโจมตีด้วยจิตต่อสู้แล้ว ทำให้ซาลรู้สึกตกใจไม่ได้ และเริ่มเป็นห่วงว่าตอนที่เธอสู้กับพวกแซนโดรนั้นใช้พลังในระดับไหนออกไป แต่ตอนนี้ก็ยังไม่ใช่เวลาที่จะมาถามเรื่องเหล่านั้น
“อืม… เอาเถอะ… ถ้างั้นก็…”
ซาลร่ายคาถาอัญเชิญเพื่อเรียกสมุนขนาดเท่าฝ่ามือออกมาหนึ่งตัว มันเป็นร่างของหญิงสาวผมสีดำตัวอ้วนกลมซึ่งสวมหูกระต่ายสีขาวไว้บนหัว ก็คือร่างอัญเชิญเสมือนขนาดมินิของไซล่าร์นั่นเอง
เมื่ออัญเชิญออกมาเสร็จ ร่างเล็ก ๆ กลม ๆ ของไซล่าร์ก็โดดขึ้นไปเกาะที่ไหล่ของพี่สาวทันที เธอจ้องมองร่างนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“นี่มัน… ตัวอะไรเนี่ย? หมู?”
“เรื่องนั้นอย่าเพิ่งใส่ใจเลยน่า ช่วยพาร่างอัญเชิญนี่เข้าไปใกล้ ๆ เนเมซิสทีนะ แล้วที่เหลือผมจะจัดการเอง”
“อืม… จะใช้เวลานานแค่ไหน?”
“เรื่องนั้นผมก็ไม่รู้เหมือนกันอะ… แต่ถ้าไม่ได้ผลเดี๋ยวผมจะตะโกนบอกเอง ถึงตอนนั้นพี่สาวก็ลงมือเต็มที่ได้เลย”
“โอเค ถ้างั้นก็ เกาะให้แน่น ๆ นะ”
หลังจากพูดจบ ซิสเตอร์ก็พุ่งตัวด้วยความเร็วสูงเข้าไปหาเนเมซิสอีกครั้ง ทำเอาร่างเสมือนของไซล่าร์ที่เกาะอยู่บนไหล่ถูกแรงกระชากยกขึ้นจนตัวลอย แต่ก็ยังยึดเกาะเสื้อของอีกฝ่ายเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น
เมื่อซิสเตอร์พุ่งเข้าไปใกล้ได้ในระยะหนึ่ง พื้นดินเบื้องหน้าก็แตกออก ก่อนจะมีรยางค์หลายเส้นพุ่งขึ้นมาโจมตี แต่เธอก็เปลี่ยนอาวุธในมือเป็นคทาศึกหนึ่งคู่และตวัดมันฟาดรยางค์เหล่านั้นจนขาดกระเด็นไปราวกับเป็นต้นหญ้า คราวนี้ดูเหมือนเธอจะใช้พลังเต็มที่ในการต่อสู้แล้ว จึงสามารถจัดการกับรยางค์ของเนเมซิสได้อย่างง่ายดาย
พอเห็นว่าการโจมตีด้วยรยางค์ไม่ได้ผล เจ้าอสูรอัปลักษณ์จึงกระโจนเข้าใส่อีกฝ่ายด้วยตัวเอง แต่ซิสเตอร์ก็ยังเร็วกว่าและโดดพลิกตัวหลบการตะครุบของมันไปได้ ในจังหวะที่ทั้งสองกำลังพุ่งสวนกันนั้น ซาลก็ใช้เวท ‘โพสเซสชั่น’ เพื่อควบคุมร่างเสมือนของไซล่าร์
เขาให้ร่างเสมือนดีดตัวจากไหล่ของซิสเตอร์แล้วไปเกาะที่หัวของเจ้าอสูรร้ายแทน และเมื่อเข้าถึงตัวมันได้แล้วเขาก็ใช้ความสามารถ ‘เทเลพาธี’ ของไซล่าร์เพื่อแทรกแซงเข้าไปในจิตใจของเนเมซิสทันที
แม้จะไม่เคยทดลองใช้ความสามารถนี้มาก่อน แต่ซาลก็คิดว่าหากยังมีจิตของอาร์วินหลงเหลืออยู่ภายในร่างของเนเมซิส ความสามารถนี้ก็อาจช่วยดึงเธอกลับมาได้ จึงลองเสี่ยงกับวิธีนี้ดู
ทันทีที่ใช้ความสามารถ เขาก็รู้สึกเหมือนกับว่าร่างจิตของตัวเองกำลังจมดิ่งลงสู่ห้วงมิติที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน มันเป็นห้วงอากาศอันแปรปรวนซึ่งเต็มไปด้วยก้อนเมฆสีดำทะมึน ทั้งกระแสลมและอากาศภายโดยรอบต่างก็เคลื่อนไหวอย่างรุนแรงราวกับอยู่ท่ามกลางพายุ ซึ่งภายในก้อนเมฆสีดำเหล่านั้นล้วนแล้วแต่อัดแน่นไปด้วยจิตอันเกรี้ยวกราดจนทำให้รู้สึกเจ็บแปลบเมื่อเฉียดเข้าไปใกล้
ซาลคิดว่าห้วงมิตินี้ก็คือสภาพภายในจิตใจของเนเมซิสนั่นเอง
เพราะสภาพอันปั่นป่วนนี้ทำให้ไม่สามารถแยกแยะได้เลยว่าควรจะเริ่มมองหาจากตรงไหนดี แต่ทันใดนั้นเขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้บางอย่าง
จิตของอาร์วิน น่าจะต้องการหนีจากการกระทำและความคิดของเนเมซิส ดังนั้นเธอคงไม่อยู่ในที่แห่งนี้ แต่น่าจะไปหลบซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่ง เขาจึงพยายามมองหาจุดที่ดูสงบที่สุดในกระแสความคิดอันเชี่ยวกรากนี้
ในที่สุดซาลก็มองเห็นจุดที่แตกต่างกับส่วนอื่น ๆ ภายในกลุ่มเมฆ แม้จะพูดไม่ได้ว่าเป็นส่วนที่สงบ แต่กระแสการไหลของกลุ่มเมฆบริเวณนั้นก็ดูเชื่องช้ากว่าส่วนอื่นอย่างเห็นได้ชัด เขาจึงตัดสินใจมุ่งหน้าไปทางนั้น
เมื่อไปถึงที่นั่น ซาลก็พบว่ามันเป็นกลุ่มเมฆที่ม้วนตัวเป็นอุโมงค์ และกำลังหมุนวนอย่างช้า ๆ เหมือนกับมีอะไรบางอย่างเคยพุ่งตัดผ่านก้อนเมฆบริเวณนี้ไปยังที่ไหนสักแห่ง เขาจึงตามรอยเส้นทางนั้นไป
หลังจากเคลื่อนผ่านเส้นทางมาได้สักพัก ซาลก็พบกับสิ่งที่เหมือนกับเป็นแสงสว่างอยู่ที่ปลายอุโมงค์ แต่พอมองดูดี ๆ ก็พบว่ามันกลับไม่ใช่แสงสว่าง แต่เป็นภาพของห้องสีขาวซึ่งอยู่ปลายอุโมงค์เท่านั้น
ทันทีที่พ้นออกจากอุโมงค์ เขาก็พบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ภายในห้องโล่งกว้างสีขาวสะอาดแห่งหนึ่ง
ซาลกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แต่ไม่ว่ามองไปทางไหนก็เห็นเพียงแต่ทิวทัศน์สีขาวโพลน ส่วนผนังของห้องนั้นอยู่ห่างออกไปไกลจนเกือบจะเป็นเส้นขอบฟ้า แม้แต่เพดานก็อยู่สูงขึ้นไปจนเขามองเห็นอุโมงค์ที่เขาลงมาเป็นเพียงแค่จุดเล็ก ๆ เท่านั้น
ในที่แห่งนี้ดูเหมือนจะเป็นพื้นที่อันว่างเปล่าซึ่งไม่มีใครอยู่เลย ซาลจึงเริ่มออกเดินเพื่อมองดูรอบ ๆ ให้ทั่ว หลังจากเดินลัดเลาะขอบมุมของห้องไปสองมุมโดยใช้เวลาไปร่วมยี่สิบนาที ในที่สุดเขาก็พบกับสิ่งที่ตามหา
หญิงสาวผมสีขาวในชุดกาวน์ของนักวิทยาศาสตร์กำลังนั่งกอดเข่าอยู่ตรงมุมที่สามของห้อง เธอคนนั้นก็คือ อาร์วิน สโลน นั่นเอง
——————————————————————————————————–
Part 2
แม้จะมีเด็กคนหนึ่งเดินเข้าไปใกล้ หญิงสาวก็ยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติง ดวงตาของเธอยังคงจ้องมองพื้นห้องอันว่างเปล่าด้วยแววตาอันเหนื่อยอ่อนโดยไม่สนใจอีกฝ่ายเลยสักนิด
“พี่สาวครับ? เอ่อ… คุณอาร์วิน?”
เมื่อได้ยินซาลเรียกชื่อ อาร์วินก็มีปฏิกิริยาตอบสนองเล็กน้อย ก่อนจะหลับตาแล้วซุกหน้าลงกับเข่าอีกครั้ง
“ไสหัวไปซะ… ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน…”
อาร์วินพูดด้วยน้ำเสียงอู้อี้เพราะพูดทั้งที่ยังซุกหน้าอยู่ แต่ซาลก็ยังพอจับใจความได้ จึงพยายามคุยกับเธอต่อ
“ผมรู้เรื่องของคุณอาร์วินทั้งหมดแล้วนะครับ คุณอาร์วินก็พยายามทำอย่างดีที่สุดแล้วนี่นา อย่าโทษตัวเองเลยนะครับ”
เมื่อได้ยินที่เขาพูด อาร์วินก็เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้มในเชิงเสียดสี และสายตาที่ยังคงดูเลื่อนลอยเช่นเดิม
“หึ… ก็แค่ทำให้ทุกคนตายกันหมด จะโทษตัวเองไปทำไมกันล่ะเนอะ?”
พอพูดจบ อาร์วินก็เบือนหน้าหนีและเอียงศีรษะพิงเข้ากับกำแพงด้านหนึ่งของห้องก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง ซาลเองก็รู้สึกลำบากใจอยู่เหมือนกันเพราะเขาเข้าใจว่าความรู้สึกที่อาร์วินได้รับมันหนักหนาแค่ไหน แต่ก็พยายามเกลี้ยกล่อมเธอเท่าที่จะทำได้
“ผมอาจไม่มีสิทธิ์พูดอะไรในเรื่องนี้ เพราะถ้าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับตัว ผมก็คงให้อภัยตัวเองไม่ได้เหมือนกัน… แต่ก็เพราะเป็นคนนอกนี่แหละถึงมีสิ่งที่เฉพาะคนนอกเท่านั้นที่จะพูดได้… ถ้าพี่สาวเอาแต่จมอยู่กับความรู้สึกผิดและหนีความจริง มันจะทำให้ทุกอย่างเสียเปล่านะครับ”
“รอบนี้พูดมากจังเลยนะ… แต่ก็เปล่าประโยชน์น่า รีบ ๆ หายไปได้แล้ว”
คำพูดนั้นของอาร์วินทำให้ซาลแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา
“เอ๋? รอบนี้เหรอ? ผมเคยมาที่นี่ด้วยเหรอ?”
“ถึงจะไม่ใช่ในรูปลักษณ์นี้แต่จุดประสงค์ก็เหมือน ๆ กันไม่ใช่เหรอ?”
“นี่คุณอาร์วินคิดว่าผมเป็นใครกันน่ะ?”
“นึกว่าฉันไม่รู้รึไง? เธอก็คือความเห็นแก่ตัวของฉันไงล่ะ… พยายามสรรหาเหตุผลต่าง ๆ นา ๆ มาพูดให้ตัวเองพ้นผิด แต่มันก็เปลี่ยนแปลงความจริงที่ฉันเป็นคนฆ่าทุกคนไม่ได้หรอก…”
“เอ่อ… เข้าใจผิดแล้วนะครับ ผมน่ะไม่ใช่จิตใต้สำนึกหรืออะไรแบบนั้นหรอก แต่เป็นคนจริง ๆ ต่างหาก ผมใช้การแทรกแซงทางจิตเพื่อเข้ามาหาคุณอาร์วินน่ะครับ”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น อาร์วินก็ลืมตาขึ้นอีกครั้งและหันมามองเด็กน้อยที่อยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าประหลาดใจ แต่เพียงครู่เดียวแววตาของเธอก็เปลี่ยนเป็นแววตาอันเหนื่อยอ่อนอีกครั้ง
“คราวนี้มาแปลกดีแฮะ… โลกนี้ยังจะมีคนที่ไหนอีกล่ะ ทุกคนน่ะถูกฆ่าไปหมดแล้วในปฏิบัติการเจเนซิส… ฉันรู้ดี เพราะฉันเห็นทั้งหมดผ่านสายตาของพวกสัตว์ประหลาดอย่างชัดเจน…”
“เพราะผมมาจากโลกภายนอกไงล่ะครับ โลกเบื้องบนที่อยู่อีกฟากของโพรงบนท้องฟ้าน่ะ”
คำพูดของซาลทำให้อาร์วินมีสีหน้าประหลาดใจขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้ดูเหมือนเธอจะรู้สึกตกใจจริง ๆ
“นี่ฉันถึงขั้นเห็นภาพหลอนและจินตนาการเรื่องแบบนี้ออกมาได้แล้วเหรอเนี่ย… แปลว่าคงใกล้จะเป็นบ้าไปจริง ๆ แล้วสินะ…”
“ปัดโถ่เอ๊ย! ก็บอกว่าไม่ใช่ไงล่ะครับ! ถ้าไม่เชื่อก็ตามผมกลับออกไปสิครับ!”
“โพรงบนฟ้านั่นน่ะมีสนามพลังขวางกั้นอยู่ จะออกไปได้ยังไงกันล่ะ อย่ามาหลอกกันดีกว่า”
“ผมมีกุญแจที่ใช้ผ่านเขตป้องกันนั่นอยู่ครับ ถึงลงมาที่นี่ได้ไงล่ะ ถ้าพี่สาวยอมตามผมออกไปละก็ ผมจะพิสูจน์ให้ดูเอง ยังไงก็ไม่มีอะไรต้องเสียอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ? แต่ก่อนอื่นช่วยหยุดพวกสมุนที่กำลังอาละวาดอยู่ข้างนอกนั่นหน่อยเถอะนะ”
อาร์วินจ้องมองซาลอยู่เป็นเวลานานด้วยสีหน้าที่ยังคงแสดงความข้องใจสงสัยออกมาอย่างชัดเจน เธอทั้งมีท่าทีลังเลและสับสนอยู่ จึงเอ่ยถามเขาอีกครั้ง
“เธอเป็นคนจากโลกภายนอกจริง ๆ น่ะเหรอ? แปลว่าข้างนอกนั่นยังมีมนุษย์โลกอยู่?”
“อื้ม พวกเรารอดพ้นจากหายนะมาได้และอยู่กันมาร่วมสามร้อยปีแล้ว ตามผมมาสิ ผมจะพาพี่สาวไปดูเอง”
ดวงตาของอาร์วินฉายแววดีใจออกมาในทีแรก แต่แค่วูบเดียวมันก็เปลี่ยนเป็นความเศร้าหมองอีกครั้ง แม้เธอจะยังยิ้มแบบแห้ง ๆ อยู่ก็ตาม
“งั้นเหรอ… มนุษย์ชาติดำรงอยู่ได้ต่อไปสินะ… แถมยังไม่เกี่ยวกับพวกเราด้วยซ้ำ… แบบนี้ยิ่งทำให้ทุกอย่างกลายเป็นเรื่องเปล่าประโยชน์เข้าไปอีก”
“อย่าคิดแบบนั้นสิครับ มันไม่มีอะไรเสียเปล่าหรอก”
อาร์วินยังคงนิ่งเงียบไปพักใหญ่เหมือนกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ก่อนที่เธอจะเอนศีรษะกลับไปพิงผนังเหมือนเดิมและหลับตาลง
“เธอกลับไปเถอะ ปล่อยฉันไว้ที่นี่แหละ”
“อ้าว? ทำไมล่ะครับ?”
“ฉันทำให้ทุกคนต้องตาย เพราะงั้นก็ควรจะต้องชดใช้กรรมอยู่ที่นี่แหละ”
“เรื่องนั้น ถึงพี่สาวจะไม่สร้างเนเมซิสขึ้นมา พวกจักรกลก็คงเป็นฝ่ายชนะอยู่ดี ซึ่งผลลัพธ์มันคงไม่ต่างกันหรอก”
“ต่างสิ เพราะคนที่ทำให้เกิดผลลัพธ์นั้นคือฉัน… อีกอย่างคือยังไงทุกคนในโลกนี้ก็ตายไปหมดแล้ว ฉันอยู่ต่อไปก็ไม่มีความหมายอะไรหรอก…”
ท่าทางของอาร์วินนั้นเหมือนกับไม่อาวรณ์ต่อสิ่งใดทั้งสิ้น เธอเพียงอยากจะขังตัวเองอยู่ที่นี่ตามลำพังเพื่อชดใช้กรรมที่ก่อ ซึ่งในทีแรกซาลก็ไม่รู้จะเกลี้ยกล่อมเธออย่างไรดี แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่เขาได้เห็นจากบันทึกของผู้ดูแลแล้วก็ทำให้คิดว่าอาจมีทางที่จะทำให้เธอรับฟังได้
“มีความหมายสิครับ เพราะคุณอาร์วินคือผู้รอดชีวิตคนสุดท้ายไงล่ะ หากคุณอาร์วินละทิ้งชีวิตของตัวเอง ขังตัวเองไว้ในโลกเบื้องล่างนี่ตลอดกาล มิเท่ากับว่าทำให้การเสียสละของทุกคนต้องเสียเปล่าหรอกเหรอ? การดำรงอยู่ของคุณอาร์วินน่ะคือสิ่งเดียวที่พิสูจน์ว่าความพยายามของพวกเขาทั้งหมดไม่สูญเปล่านะ”
อาร์วินลืมตาขึ้นมาอีกครั้งเมื่อได้ยินคำพูดของซาล เธอแสดงท่าทีลังเลให้เห็นอยู่บ้าง แต่สุดท้ายก็ยังคงยืนกรานคำเดิม
“จะให้ลืมเรื่องทั้งหมดแล้วไปใช้ชีวิตเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นน่ะเหรอ? ฉันทำไม่ได้หรอก แบบนั้นจะยิ่งรู้สึกผิดต่อทุกคนมากขึ้นไปอีก ไม่มีทางที่จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้แน่ สู้อยู่ที่นี่ ในที่ ๆ ฉันทำลายทุกอย่าง และสำนึกกับความผิดเหล่านั้นต่อไป ยังจะสบายใจซะกว่า”
ซาลนิ่งเงียบไปพักหนึ่งเพราะเขาพอจะเข้าใจความรู้สึกที่เธอกำลังเผชิญดี แต่เขาก็มีความคิดหนึ่งที่อยากจะให้อีกฝ่ายลองรับฟังเอาไว้เพื่อนำไปทบทวน
“ผมคิดว่าคนเราน่ะ จะตายไปจริง ๆ ก็ต่อเมื่อถูกลืมเท่านั้น”
“หา?”
อาร์วินแสดงอาการแปลกใจเมื่อได้ยินคำพูดอันไม่มีปี่มีขลุ่ยนั้น แต่เธอก็ไม่ได้ถามอะไร ได้แต่จ้องมองอีกฝ่ายอยู่เงียบ ๆ ซาลจึงเริ่มอธิบายต่อ
“เรื่องราวของทุกคนในโลกเบื้องล่างนี่น่ะเป็นเรื่องที่ไม่มีใครรู้ คนบนโลกเบื้องบนไม่รู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของผู้คนที่นี่ด้วยซ้ำ เมื่อไม่มีใครรู้ก็ไม่มีใครจดจำ ถึงแม้พี่สาวจะไม่มีทางลืมพวกเขา แต่มันก็เป็นแค่ความทรงจำที่เก็บไว้กับตัว ไม่มีการบอกต่อเล่าขาน แบบนี้ก็เท่ากับว่าทุกคนได้ตายอยู่ที่นี่อย่างเงียบ ๆ และความพยายาม ความทุ่มเททั้งหมดของพวกเขาก็จะกลายเป็นสิ่งสูญเปล่า
แต่ถ้ามีการนำเรื่องของทุกคนไปจดบันทึก ไปเผยแพร่ เป็นเรื่องราวอีกด้านหนึ่งของคนในที่อีกแห่งหนึ่ง แบบนี้ เรื่องของพวกเขาก็จะกลายเป็นประวัติศาสตร์ที่ได้รับการสืบทอดเล่าขานให้คนรุ่นหลังได้รับรู้และจดจำต่อไป พวกเขาจะไม่มีวันตายไปจริง ๆ แต่จะคงอยู่ในฐานะของผู้คนในประวัติศาสตร์ แบบนั้นจะไม่ถือว่าเป็นการชดเชยให้กับทุกคนได้ดีกว่าการสำนึกผิดต่อพวกเขาอยู่คนเดียวเหรอครับ?”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น แววตาของอาร์วินก็เริ่มมีประกายขึ้นมาอีกครั้ง เพราะที่ซาลพูดออกมานั้นถูกต้องทุกอย่าง สิ่งที่เธอทำอยู่เป็นเพียงการลงโทษตัวเอง แต่ไม่ได้ชดเชยความผิดให้กับผู้คนที่ตายไปเลย พวกเขาจะเป็นแค่ร่างโคลนที่ถูกสร้างขึ้นมาในโครงการที่ล้มเหลวและสาบสูญไปอย่างเงียบ ๆ โดยไม่มีใครรับรู้
อาร์วินอยากให้คนนอกได้รับรู้ถึงการมีตัวตนของทุกคนในโครงการโนอาห์ ได้รับรู้ถึงความพยายาม ความลำบาก และการเสียสละอย่างกล้าหาญของพวกเขาที่พยายามสู้เพื่อให้มนุษย์ชาติอยู่รอด นั่นคือสิ่งที่พวกเขาควรจะได้รับ คือการถูกจดจำเอาไว้ในฐานะประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของโลกใบนี้
ด้วยเหตุนี้ อาร์วินจึงคิดว่าสิ่งที่ซาลพูดมานั้นมีเหตุผล และเป็นหนทางที่เหมาะสมมากกว่าในการไถ่บาปของเธอ
“เธอ… พาฉันขึ้นไปยังโลกเบื้องบนได้จริง ๆ นะ?”
“อื้ม แน่นอนสิครับ แต่พี่สาวต้องจัดการกับพวกเนเมซิสที่อยู่ด้านนอกนั่นก่อนนะ”
อาร์วินลุกขึ้นยืนต่อหน้าซาลเป็นครั้งแรก ทำให้เขาได้เห็นว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ตัวสูงมากทีเดียว อาจจะสูงพอๆ กับนิโคลซึ่งสูงกว่า 180 เซนติเมตรด้วยซ้ำ ทำให้เขาต้องแหงนหน้าเพื่อมองอาร์วินในระยะนี้
ทางด้านอาร์วินก็ยิ้มละไมให้กับอีกฝ่าย ก่อนจะยื่นมือของเธอออกมา เมื่อซาลเอื้อมมือไปจับมือของเธอแล้ว เขาก็รู้สึกได้ว่าจิตของเขากำลังเคลื่อนย้ายออกจากมิติแห่งนี้ไป
——————————————————————————————————–
Part 3
ซาลกลับมาได้สติอีกครั้งในร่างของตัวเอง เป็นเวลาเดียวกับที่การเคลื่อนไหวของเนเมซิสและเหล่าสมุนหยุดชะงักลง ซิสเตอร์จึงหยุดมือเพื่อรอดูทีท่าด้วย
ดูจากตำแหน่งของซิสเตอร์กับเนเมซิสแล้ว ซาลคิดว่าเวลาในโลกภายนอกนี้น่าจะผ่านไปแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้นหลังจากเขาใช้ ‘เทเลพาธี’ ของไซลาร์ ทั้งที่เวลาภายในจิตน่าจะผ่านไปนับชั่วโมงเลยทีเดียว
เหล่าสมุนของเนเมซิสเริ่มละลายกลายเป็นเมือกหนืด ๆ สีดำสนิท ส่วนที่เป็นโลหะหรือกระดูกก็หลุดร่วงลงกับพื้นทีละชิ้น ๆ จนบริเวณโดยรอบกลายสภาพเป็นทะเลสาบสีดำทมิฬที่เกิดจากการละลายของพวกอสูรเหล็กจำนวนนับไม่ถ้วน
ร่างต้นของเนเมซิสเองก็ค่อย ๆ ละลายจนเปลือกและผิวหนังที่ห่อหุ้มอยู่หลุดออกเช่นกัน เผยให้เห็นร่างของอาร์วินที่อยู่ภายใน
ทันทีที่เปลือกนอกทั้งหมดหลุดออก อาร์วินก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งและมองทั้งสองคนที่อยู่ตรงหน้า ด้วยแววตาอันเป็นมิตร
ซิสเตอร์ที่เห็นเช่นนั้นจึงโบกมือเป็นสัญญาณให้ร่างอื่น ๆ ถอนตัวไป วงเวทกาลเวลาจึงปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนที่ร่างของเธอทั้งหนึ่งพันร่างจะใช้มันกลับไปยังช่วงเวลาของตัวเอง
ซาลที่เห็นว่าทุกอย่างคลี่คลายลงแล้วจึงรีบวิ่งเข้าไปหาทั้งสองคน ซึ่งทันทีที่เข้าไปถึง ซิสเตอร์ก็เอามือแตะสัมผัสและขยี้หัวของเขาด้วยความเอ็นดู
“ทำได้ไม่เลวนี่นา~ ฉันคงจะประเมินเธอต่ำไปจริง ๆ นะเนี่ย”
“โอ๊ย ๆ ๆ เบา ๆ หน่อยสิ ผมยุ่งหมดแล้วนะเนี่ย”
“เห? เธอ… เป็นเด็กผู้หญิงงั้นเหรอ? แต่เมื่อกี้ที่เห็น เหมือนจะเป็นเด็กผู้ชายนี่นา?”
อาร์วินเอ่ยถามด้วยท่าทีสงสัยเพราะเด็กที่เธอเห็นในห้วงจิตกับตัวจริงมีเพศที่ต่างกัน ส่วนซาลก็ตอบคำถามนั้นแบบผ่าน ๆ ด้วยท่าทีเบื่อหน่าย
“เรื่องนี้จะให้พูดแล้วมันยาวน่ะ เอาเป็นว่าไว้คุยกันทีหลังดีกว่านะ อ่า… คุณอาร์วิน ผมขอแนะนำให้รู้จักกับ ‘ซิสเตอร์’ ไม่ใช่พี่สาวของผมหรอกนะ แต่เค้าชื่อ ‘ซิสเตอร์’ น่ะ ดังนั้นถ้าผมเรียกพี่สาวก็อย่าสับสนล่ะ”
“ความจริงจะเรียกว่าท่านพี่ก็ได้นะ”
“มันก็ไม่ต่างกันหรอก…”
อาร์วินยังรู้สึกสับสนนิดหน่อยกับการสนทนาของคนทั้งสอง แต่เธอก็ไม่ได้พูดแทรก และให้ทั้งสองคนคุยกันต่อไป
“เอาล่ะ ทีนี้ก็ กลับกันเลยดีมั้ย? โอ๊ย!”
พอพูดจบ ซาลก็โดนเขกหัวไปหนึ่งที ทำให้เขาหันไปจ้องมองซิสเตอร์ด้วยสายตาข้องใจ
“เจ้าเด็กเบื๊อกเอ๊ย ลืมเจตนาแรกเริ่มที่เรามาที่นี่ไปแล้วรึไง?”
“เอ๋?… อ๋อ! จริงด้วย!”
“ยังจะมา ‘จริงด้วย’ อีก สมองเธอมันสมองคนหรือสมองปลาทองกันเนี่ย?”
“ก็ได้เจอเรื่องอะไรไปตั้งเยอะแยะเลยทำให้ลืมน่ะ แปลว่าเราก็ต้องตามหา ‘เอกสิทธิ์แห่งผู้สร้าง’ กันต่อสินะ?”
“เรื่องนั้นไม่จำเป็นต้องหาหรอก”
“เห?”
ซาลขมวดคิ้วเพราะไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด ซึ่งเธอก็อธิบายออกมาสั้น ๆ ด้วยใจความที่ทำให้เขารู้สึกข้องใจมากขึ้นกว่าเดิม
“เอกสิทธิ์แห่งผู้สร้างน่ะ มันก็คือที่ ๆ เรายืนอยู่ หรือก็คือโลกใบนี้ยังไงล่ะ