Doombringer the 5th - ตอนที่ 87
Ch.87 – เมื่อความมืดมิดผ่านพ้น
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 87
เมื่อความมืดมิดผ่านพ้น
Part 1
ซาลยังไม่ค่อยเข้าใจกับคำพูดของซิสเตอร์ที่ว่าโลกนี้ก็คือ ‘เอกสิทธ์แห่งผู้สร้าง’ แต่คนที่ข้องใจกว่าก็คืออาร์วินที่ไม่เข้าใจเรื่องที่ทั้งสองคนกำลังคุยกันเลยสักนิด
“อ่า… ขอแทรกหน่อยนะ นี่กำลังพูดถึงเรื่องอะไรกันอยู่เหรอ?”
“อ้อ คือว่า พวกเราลงมาที่นี่เพื่อหาอาติแฟคชิ้นหนึ่งน่ะครับ มันชื่อว่า เอกสิทธิ์แห่งผู้สร้าง”
“อาติแฟค? หมายถึง… อุปกรณ์เหรอ?”
“ใช่ครับ เป็นอุปกรณ์เวทมนตร์”
“เวทมนตร์?”
อาร์วินทำหน้างุนงงยิ่งขึ้นเมื่อได้ยินคำว่าเวทมนตร์ ทำให้ซาลเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าคนในโลกเก่าอย่างเธอคงยังไม่รู้จักกับเวทมนตร์ จึงพยายามนึกคำอธิบายให้เธอเข้าใจ แต่ก่อนที่เขาจะนึกอะไรได้ ซิสเตอร์ก็ชิงพูดตัดหน้าซะก่อน
“เธอน่ะ ไม่เคยเล่นเกม RPG รึไง? เวทมนตร์ก็คือเวทมนตร์ไงล่ะ โลกเบื้องบนน่ะมันกลายเป็นโลกแฟนตาซีไปแล้ว อันที่จริงมันก็คละ ๆ กันน่ะนะ แต่สรุปก็คือ มนุษย์ในปัจจุบันสามารถใช้เวทมนตร์ได้”
“เห?”
อาร์วินเอียงคอมองพี่สาวด้วยท่าทางสงสัยยิ่งกว่าเดิม เหมือนกับเธอยังไม่เข้าใจในสิ่งที่ได้ยิน หรือยังตามเรื่องราวไม่ทัน
“ตอนที่สู้กันเธอก็น่าจะเห็นแล้วนี่นา”
“ฉันสู้กับเธอด้วยเหรอ?”
“เธอจำเรื่องราวตอนเป็นเนเมซิสไม่ได้งั้นเหรอ?”
“……ก็จำได้จนถึงจุดที่ฉันฆ่าทุกคน จากนั้นสติของฉันก็ขาดช่วงไป เพราะภาพพวกนั้นคอยตามมาหลอกหลอนอยู่ตลอด ก็เลยพยายามซ่อนตัวให้ไกลจากสิ่งเหล่านั้นมากที่สุด จนกระทั่งเด็กคนนั้นไปเรียกฉันออกมานี่ล่ะ”
“แปลว่าคนที่ควบคุมร่างอยู่ก่อนหน้านี้ไม่ใช่เธอสินะ หรืออาจเป็นตัวเธอที่ปิดกั้นความทรงจำของตัวเองไปก็ได้ แต่ช่างเถอะ แสดงให้ดูเลยน่าจะเข้าใจง่ายกว่า นี่ เจ้าหนู ใช้เวทให้เขาดูหน่อยซิ”
“เอ๋? อะ.. เอ่อ… งั้นก็… ‘แคนเดิลไลท์’ (Candle Light)”
เพราะถูกสั่งให้ร่ายเวทแบบไม่ทันตั้งตัว ซาลจึงมีท่าทีเงอะงะนิดหน่อย แต่เขาก็ร่ายเวท ‘แคนเดิลไลท์’ เวทระดับพื้นฐานที่ใช้สำหรับให้แสงสว่างออกมาให้อาร์วินดู ซึ่งเมื่อได้เห็นดวงแสงสีขาวนวลที่ลอยอยู่เหนือมือของซาลแล้ว อาร์วินก็แสดงท่าทางสนอกสนใจเป็นอย่างมาก
“เอ๋? นี่มัน? ทำได้ยังไงกันเนี่ย? ใช้เครื่องมืออะไรน่ะ?”
“ไม่ได้ใช้เครื่องมือ แค่แปรสภาพพลังงานชนิดหนึ่งในร่างกายด้วยโครงสร้างเฉพาะให้เกิดการเปลี่ยนรูปและสังเคราะห์ผลลัพธ์ที่ต้องการออกมา”
ซิสเตอร์พยายามอธิบายประกอบ แต่อาร์วินดูจะเพ่งสมาธิไปที่ดวงแสงนั้นเพียงอย่างเดียวโดยไม่ได้สนใจฟังเลยทั้ง ๆ ที่เป็นคนถามออกมาเองก็ตาม แถมยังบ่นพึมพำเหมือนกำลังพูดกับตัวเองอยู่ตลอด
“แบบนี้นี่เอง… บรรจุก๊าซอาร์กอนไว้ด้านในและถ่ายกระแสไฟฟ้าเข้าไปเพื่อให้เกิดการเหนี่ยวนำทางไฟฟ้าจนเกิดแสงออกมา… หลักการแบบเดียวกับหลอดไฟนีออน แต่ทำยังไงถึงคงสภาพกลุ่มก๊าซเอาไว้ได้ และใช้พลังงานไฟฟ้าจากไหนกันเนี่ย…”
สิ่งที่เธอวิเคราะห์ออกมาคือกระบวนการทำงานของเวท ‘แคนเดิลไลท์’ ซึ่งคนปกติไม่น่าจะมองออกด้วยตาเปล่าได้ แม้แต่ผู้ใช้เวทมนตร์ในโลกใหม่ส่วนใหญ่ก็รู้แค่ว่าร่ายเวทนี้แล้วจะทำให้เกิดแสง แต่ไม่รู้การทำงานเชิงลึกของมันว่าทำให้เกิดแสงได้อย่างไร ทำให้ซิสเตอร์รู้สึกทึ่งกับความสามารถในการวิเคราะห์ของอาร์วินมาก
ที่สำคัญคือสายตาที่สามามารถแยกแยะได้กระทั่งประเภทของก๊าซและพลังงานนั่นไม่ใช่ความสามารถของมนุษย์ธรรมดาเลย เธอจึงคิดว่านั่นเป็นความสามารถของเนเมซิสที่ทำให้มีคุณสมบัติทางกายภาพเหนือกว่ามนุษย์ทั่วไปหลายเท่าตัว
“ส่วนที่อยู่นอกเหนือหลักการทางวิทยาศาสตร์ก็คือเวทมนตร์ไงล่ะ อย่างสิ่งที่ทำให้แสงนี่คงสภาพได้ก็คือม่านพลังบาง ๆ ที่ใช้บรรจุก๊าซ ส่วนพลังงานก็มาจากการแปรพลังเวทของผู้ใช้ให้กลายเป็นพลังงานไฟฟ้าไปหล่อเลี้ยงก๊าซภายในอีกทีหนึ่งน่ะ”
อาร์วินพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจกับคำอธิบายของอีกฝ่าย พลางแสดงสีหน้าที่สื่อถึงความประทับใจในความรู้ใหม่ที่เพิ่งจะได้ยิน ผิดกับซาลที่หน้านิ่วคิ้วขมวดมากขึ้นเพราะเป็นฝ่ายที่ไม่เข้าใจในสิ่งที่ทั้งสองคนพูดกัน จึงดึงเรื่องกลับมายังประเด็นหลักอีกครั้ง
“นี่ แล้วเรื่อง ‘เอกสิทธิ์แห่งผู้สร้าง’ ล่ะ? ที่บอกว่ามันคือโลกใบนี้คือยังไงกันแน่น่ะ?”
“อ้อ เรื่องนั้นก็ตรงตามความหมายนั่นแหละ ‘เอกสิทธิ์แห่งผู้สร้าง’ ก็คือโลกใบนี้”
“ช่วยอธิบายให้มันกระจ่างหน่อยสิครับ…”
“อย่างที่เคยบอก ‘ผู้เฝ้าดู’ น่ะเคยทดลองสร้างโลกมามากหมายหลากหลายรูปแบบแล้ว แต่สุดท้ายโลกก็ดำเนินไปสู่ความล่มสลายเสมอ จนมีช่วงเวลาหนึ่งที่เจ้านั่นลองมอบหน้าที่สร้างโลกให้เป็นของทูตสวรรค์แทนเผื่อจะได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันออกมา… หรือบางทีอาจแค่ขี้เกียจก็ได้น่ะนะ… เพื่อการนี้จึงถ่ายโอน ‘เอกสิทธิ์แห่งผู้สร้าง’ ไว้กับโลก และให้เหล่าทูตสวรรค์สามารถใช้งานมันได้ตามใจชอบ”
“แปลว่าทำให้โลกนี้กลายเป็นอาติแฟคเหรอ?”
ซาลเอ่ยถามด้วยสีหน้าข้องใจ แต่ซิสเตอร์ก็ส่ายหน้าปฏิเสธ ก่อนจะอธิบายต่อ
“เรื่องที่คิดว่า ‘เอกสิทธิ์แห่งผู้สร้าง’ เป็นอาติแฟคน่ะคือความเข้าใจที่ผิด ความจริงแล้วมันเป็น ‘สิทธิ์’ ในการใช้อำนาจ ไม่ใช่สิ่งที่มีตัวตนหรอก ซึ่งสิทธิ์นั้นได้ถูกจารึกเอาไว้ในโลกใบนี้ ฉันคิดว่าเจ้านั่นน่ะเป็นคนที่ขี้เกียจมากทีเดียว ถึงได้วางสิทธิ์การสร้างเอาไว้กับโลกแล้วให้พวกทูตสวรรค์ผลัดกันมาใช้ แทนที่จะโอนถ่ายสิทธิ์ในการสร้างโลกให้ทูตสวรรค์ทีละคน”
“แบบนี้ถ้าเกิดมีทูตสวรรค์ที่ไม่ดี นำพลังไปใช้ในทางที่ผิดล่ะ?”
“พวกทูตสวรรค์เป็นตัวตนที่แตกต่างจากมนุษย์อย่างพวกเรา เป็นสิ่งมีชีวิตที่เกิดจากความดีงามและความบริสุทธิ์ เลยไม่มีทางทำเรื่องเลวร้ายโดยเจตนา อีกอย่างคือยังไง ‘ผู้เฝ้าดู’ ก็มีอำนาจเหนือกว่าผู้ถือสิทธิ์อยู่แล้ว ดังนั้นจะเคยมีเทวทูตใช้มันในทางที่ไม่ดีรึเปล่าก็ไม่รู้ แต่ยังไงหมอนั่นก็จัดการได้แหละ”
“เพราะมีของแบบนี้อยู่บนโลก ทำให้เหล่าทูตสวรรค์เป็นฝ่ายชนะในสงครามครั้งนั้นใช่ม้า”
“เปล่าหรอก เพราะการล่อลวงของแคสเทียลที่ต้องการให้พวกนั้นผิดสัญญา ทำให้พวกปิศาจเป็นฝ่ายมาถึงที่นี่ก่อน ทันทีที่มาถึงพวกมันก็ใช้พลังแห่งความมืดปกคลุมโลกเพื่อไม่ให้ฝ่ายสวรรค์เข้าถึง ‘เอกสิทธิ์แห่งผู้สร้าง’ ได้ เหล่าทูตสวรรค์จึงต้องต่อสู้ด้วยตัวเอง”
“งั้นก็เป็นเพราะอำนาจของพระเจ้า ทำให้ชนะได้ทั้ง ๆ ที่มีกำลังน้อยกว่าสินะ”
“เจ้านั่นไม่ได้เข้าร่วมในสงครามครั้งนั้นหรอก มีเพียงเหล่าทูตสวรรค์เท่านั้นที่ถูกส่งมารบ”
“เอ๋? ทำไมล่ะ?”
“เพราะเจ้านั่นยังต้องการชนะการเดิมพันอยู่ไงล่ะ คือต้องให้สวรรค์และมนุษย์เป็นฝ่ายชนะอย่างเด็ดขาด ไม่ใช่ให้การเดิมพันเป็นโมฆะเพราะพวกปิศาจทำผิดข้อตกลงหรือชนะด้วยพลังของ ‘ผู้เฝ้าดู’ ทูตสวรรรค์น่ะเกิดจากความดีของมนุษย์ ส่วนพวกปิศาจก็เกิดจากความชั่วร้ายของมนุษย์ สงครามครั้งนั้นเป็นตัวตัดสินว่าระหว่างความดีของมนุษย์กับความชั่วของมนุษย์ฝ่ายไหนจะเป็นฝ่ายชนะ”
“ทำไมต้องทำเรื่องเสี่ยงแบบนั้นด้วย พระเจ้าน่ะจะทำอะไรก็ได้ไม่ใช่เหรอ?”
“ไม่ใช่หรอก”
“เอ๋?”
“เรื่องนี้ถ้าคุยกันจริง ๆ คงต้องใช้เวลาอีกเยอะ แต่เอาเป็นว่าเจ้านั่นไม่ได้มีสิทธิ์เปลี่ยนแปลงกฎของจักรวาลไปซะทุกเรื่องหรอก เช่นกฎของนรกที่เกี่ยวข้องกับโลกซึ่งปกติ ‘ผู้เฝ้าดู’ จะไม่มีสิทธิ์ไปเปลี่ยนแปลง แต่เพราะชนะในการเดิมพันครั้งนั้นเลยทำให้สามารถเปลี่ยนแปลงกฎได้”
“เอ่อ… ขอแทรกนิดนึงนะ”
ระหว่างที่ซาลกับซิสเตอร์กำลังคุยกันอยู่ อาร์วินที่นิ่งเงียบมาตลอดก็พูดแทรกขึ้นมา ทำให้ทั้งสองต้องหยุดการสนทนาลงชั่วคราว
“ที่พวกเธอพูดถึง ‘พระเจ้า’ เนี่ย หมายถึง ‘พระเจ้า’ จริง ๆ น่ะเหรอ?”
“ใช่ครับ”
แม้จะได้รับคำตอบแล้ว อาร์วินก็ยังแสดงสีหน้าที่ข้องใจออกมาไม่เปลี่ยน และถามต่อ
“พระเจ้าที่เป็นผู้สร้างทุกสรรพสิ่งน่ะนะ?”
“ใช่แล้วครับ”
เมื่อได้ยินดังนั้น อาร์วินก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เธอมองหน้าของซาลและซิสเตอร์สลับกันไปมา ก่อนจะพูดกับทั้งสองคนอีกครั้งด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเคลือบแคลง
“……นี่พวกเธอ …เพี้ยนรึเปล่า?”
——————————————————————————————————–
Part 2
แม้ซาลจะพยายามอธิบายอยู่เป็นเวลานาน แต่อาร์วินก็ยังคงมองทั้งสองคนด้วยสายตาที่เหมือนกับเห็นทั้งคู่เป็นเพียงคนที่พูดจาเพ้อเจ้อเท่านั้น
รู้สึกว่าแม้เธอจะเชื่อเรื่องของเวทมนตร์ แต่เรื่องของพระเจ้ากับสวรรค์ยังคงเป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์อย่างอาร์วินเชื่อได้ยาก เธอจึงไม่เข้าใจในสิ่งที่ซาลพยายามอธิบายซะที เขาจึงหันไปบอกให้ซิสเตอร์ช่วยพูดด้วย
“นี่ พี่สาวน่ะก็ช่วยอธิบายหน่อยสิ”
“อย่าไปเสียเวลาเลย ของแบบนี้ไม่ใช่อะไรที่ทำให้อีกฝ่ายเปลี่ยนความคิดได้ด้วยคำพูดหรอก อีกอย่างคือ… เอาเป็นว่าช่างมันก่อนละกัน กลับมาที่เรื่องของเราดีกว่า”
ซาลรู้สึกขัดใจเล็กน้อยที่อีกฝ่ายไม่ยอมช่วยอธิบาย แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากทำตามที่เธอบอก
“เฮ้อ… เอาเถอะ… งั้น ถ้าโลกนี้คือ ‘เอกสิทธิ์แห่งผู้สร้าง’ แล้วเราจะใช้งานมันยังไงกันล่ะครับ?”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“อ้าว”
ซาลขมวดคิ้วอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร อีกฝ่ายก็อธิบายต่อ
“ฉันไม่เคยคุยกับพวกทูตสวรรค์ที่เคยใช้งาน ‘เอกสิทธิ์แห่งผู้สร้าง’ โดยตรงนี่นา แต่มันน่าจะเป็นของที่ตอบสนองต่อวิญญาณของผู้เรียกหาน่ะนะ ลองหลับตาแล้วรวบรวมสมาธิเพื่อค้นหามันดูสิ”
แม้จะผิดหวังกับคำแนะนำแบบงู ๆ ปลา ๆ ของซิสเตอร์อยู่เล็กน้อย แต่ซาลก็ลองทำตามที่เธอบอกเพราะไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว
เขาหลับตาลงและเพ่งสมาธิเพื่อค้นหา ‘เอกสิทธิ์แห่งผู้สร้าง’ แต่เพราะมันเป็นของที่เป็นนามธรรม ทำให้เขาไม่สามารถรวบรวมสมาธิกับสิ่งที่เขาไม่รู้ว่าเป็นอะไรได้ จึงไม่สามารถสัมผัสกับอะไรได้เลยแม้จะพยายามอยู่เป็นเวลานานก็ตาม
“อืม… ยากจังแฮะ… มันควรจะเป็นพลังแบบไหนกันน้า…”
ซาลคิดว่าการจะเพ่งสมาธิถึงสิ่งที่ไม่มีตัวตนเป็นเรื่องยาก จึงลองจินตนาการรูปร่างของ ‘เอกสิทธิ์แห่งผู้สร้าง’ ขึ้นมาให้มีลักษณะคล้าย ๆ กับวงเวทแล้วลองรวบรวมสมาธิดูอีกครั้ง ในที่สุดเขาก็สัมผัสได้ถึงพลังบางอย่าง
แม้จะเป็นแค่ความรู้สึก แต่เขาก็พอจะสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังอ่อน ๆ จากสถานที่อันห่างไกลซึ่งส่งมายังจุดที่เขายืนอยู่ ซาลจึงพยายามเพ่งสมาธิเพื่อค้นหาต้นตอของพลังงานนั้น แต่ก็ยังไม่แน่ใจถึงที่มาของมันอยู่ดี
“แปลกจังเลยแฮะ… เหมือนจะสัมผัสหลังอะไรบางอย่างได้ แต่ก็ไม่รู้ว่ามันมาจากไหน”
“รูปแบบของพลังเป็นยังไง? พอจะจับทิศทางของมันได้มั้ย?”
ซิสเตอร์เอ่ยถาม ซาลจึงเพ่งสมาธิเพื่อเก็บรายละเอียดของพลังงานที่สัมผัสได้อีกครั้ง
“มันเป็นกระแสพลังอ่อน ๆ ค่อนข้างแผ่วทีเดียว ผมสัมผัสมันได้จากพื้นที่ยืนอยู่นี่แหละ แต่พี่สาวบอกว่า ‘เอกสิทธิ์แห่งผู้สร้าง’ คือโลกใบนี้ เพราะงั้นมันก็เป็นเรื่องปกติรึเปล่า?”
“กระแสพลังอ่อน ๆ งั้นเหรอ? จากพื้นดินหรือว่าจากใต้ดินลึกลงไป?”
“เอ… พอพูดแบบนั้นแล้วมันก็… จะใช่จากใต้ดินรึเปล่านะ…”
ซาลนั่งชันเข่าลงและเอามือแตะสัมผัสพื้นดินก่อนที่จะหลับตาเพื่อตั้งสมาธิอีกครั้ง
คราวนี้เขาพุ่งสมาธิลงไปใต้พื้นดิน ซึ่งยิ่งเพ่งสมาธิลึกลงไปเท่าไหร่ กระแสพลังงานที่สัมผัสได้ก็ดูจะมีความเข้มข้นมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เขาเริ่มแน่ใจว่าต้นกำเนิดของพลังงานนี้มาจากเบื้องล่าง
“เหมือนต้นกำเนิดพลังงานจะมาจากด้านล่างจริง ๆ ด้วยล่ะ! แต่มันอยู่ลึกลงไปแค่ไหนก็ไม่รู้อะนะ”
“แบบนี้นี่เอง พอจะดึงพลังของมันออกมาใช้ได้รึเปล่า?”
“แล้วการดึงพลังที่ว่าน่ะต้องทำยังไงล่ะ?”
“ก็ลองใช้มันทำอะไรสักอย่าง คิดซะว่าโลกนี้คืออาติแฟคหนึ่งชิ้นแล้วใช้งานมันดูน่ะ ทำอะไรก็ได้”
“อืม…”
จากที่แซนโดรเคยบอก ‘เอกสิทธิ์แห่งผู้สร้าง’ เป็นอาติแฟคที่ทำให้สามารถสร้างหรือเปลี่ยนแปลงอะไรก็ได้ตามใจชอบ ซาลจึงลองจินตนาการถึงสิ่งที่เขาคุ้นเคยที่สุดก็คือมังกร และพยายามใช้พลังของ ‘เอกสิทธิ์แห่งผู้สร้าง’ สร้างมังกรขนาดใหญ่ขึ้นมา
แต่ไม่ว่าจะพยายามเพ่งสมาธิแค่ไหนก็ดูเหมือนว่าระยะทางระหว่างเขากับ ‘เอกสิทธิ์แห่งผู้สร้าง’ จะมีความห่างกันเกินไป เขารู้สึกเหมือนกับว่าคำสั่งเหล่านั้นถ่ายทอดลงไปไม่ถึงปลายทางซะที ทำให้ไม่มีการตอบสนองใด ๆ กลับมา
“ฮึ่ม… เหมือนกับแรงส่งไม่พอยังไงก็ไม่รู้แฮะ… งั้นถ้าแบบนี้ล่ะ”
ซาลล้มตัวลงนอนโดยเอามือโอบกอดพื้นดินเอาไว้ก่อนจะเพ่งสมาธิอีกครั้ง ทันใดนั้นบรรยากาศโดยรอบก็เกิดการแปรปรวนขึ้นมา
เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นก็พบว่ามีกระแสพลังงานปริมานมากไหลมาจากทั่วทุกสารทิศและรวมตัวกันเป็นมังกรขนาดยักษ์ที่มีผิวหนังสีเทาอันหยาบแข็งคล้ายกับหินแกรนิต มันคือร่างสมบูรณ์ของอัลดูอินในจินตนาการของเขานั่นเอง
ทั้งซิสเตอร์และอาร์วินต่างก็จ้องมองมังกรขนาดยักษ์ที่กำลังปรากฏตัวขึ้นด้วยสีหน้าตกตะลึง เพราะมันมีร่างกายอันใหญ่โตมโหฬารแถมยังขยายขนาดต่อไปเรื่อย ๆ น้ำหนักของมันเริ่มทำให้พื้นดินที่เหยียบอยู่ทรุดตัวลง และแค่กางปีกออกก็แทบจะบดบังแสงอาทิตย์ทั้งหมดในบริเวณนั้นได้แล้ว
“เฮ้ย จะปั้นให้ใหญ่ไปถึงไหนกัน? พอได้แล้ว”
“แอ๊ก!”
ซิสเตอร์เอาเท้าเขี่ยที่สีข้างของซาลซึ่งกำลังนอนโอบกอดพื้นดินอยู่เบา ๆ เพื่อให้เขาหยุดการเพิ่มขนาดของมังกร แต่เมื่อสมาธิของเขาขาดช่วงลง ร่างของมังกรที่ยังไม่สมบูรณ์ดีก็แตกสลายกลายเป็นคลื่นพลังงานพัดกระจัดกระจายกันไป
“อ้าว! ธะ.. โธ่!”
ซาลรู้สึกเสียดายที่ยังไม่ทันได้มองร่างของมังกรให้เต็มตามันก็สลายหายไปซะแล้ว เลยคันไปมองค้อนซิสเตอร์ที่มาขัดจังหวะ แต่เมื่อจะหันไปต่อว่า กลับเป็นอีกฝ่ายที่จ้องมองเขาด้วยสายตาไม่พอใจแทน
“เธอคิดว่านี่มันเป็นของเล่นรึไง? ถ้าไม่ระวังละก็พลังนี้อาจทำให้เกิดหายนะได้เลยนะ มังกรตัวเมื่อกี้ก็เหมือนกัน ตอนสร้างขึ้นมาได้กำหนดความภักดีให้กับมันรึเปล่า?”
“เอ่อ… ก็…”
“ถ้าไม่ได้กำหนดให้มันเชื่อฟังละก็ หลังจากเสร็จสมบูรณ์มันก็จะอาละวาดใส่พวกเรานะ ที่สำคัญคือถ้าเธอสร้างมันขึ้นมาให้เป็นมังกรที่มีผิวหนังแข็งแกร่งจนไม่มีอะไรมาทำลายได้ แม้แต่ฉันก็อาจทำอะไรมันไม่ได้เหมือนกัน นั่นคือพลังของ ‘เอกสิทธิ์แห่งผู้สร้าง’ ไงล่ะ เพราะงั้นต้องจำเรื่องนี้ให้ขึ้นใจและคิดให้ดีก่อนจะสร้างอะไรขึ้นมานะรู้มั้ย”
ซาลยอมรับการอบรมด้วยสีหน้าสำนึกผิด เพราะตอนที่สร้างมังกรขึ้นมาเขามัวแต่ตื่นเต้นจนลืมเรื่องอื่นไปจริง ๆ หากมังกรตัวนั้นเกิดอาละวาดอย่างที่ซิสเตอร์บอกขึ้นมาก็อาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้
แม้ซิสเตอร์จะตำหนิซาลด้วยน้ำเสียงจริงจัง แต่เธอก็ไม่ได้ใส่อารมณ์มากนัก ในระหว่างนั้นเองเธอก็เหลือบไปเห็นอาร์วินที่กำลังมีสีหน้าเคร่งเครียดพร้อมทั้งทำปากขมุบขมิบเหมือนกำลังพูดกับตัวเองอยู่
เธอคิดว่าอาร์วินคงกำลังพยายามหาหลักการทางวิทยาศาสตร์มาอธิบายปรากฏการณ์ที่เพิ่งจะได้เห็นไปเมื่อสักครู่ตามเคย จึงปล่อยให้อีกฝ่ายใช้เวลากับตัวเองไป
“เอาล่ะ ลองอีกครั้ง คราวนี้ลองสร้างอะไรที่มันเล็ก ๆ และสร้างสรรค์กว่านี้หน่อยน่ะ”
“ครับ… เอ่อ… นี่ผมจะต้องลงไปนอนกอดพื้นทุกครั้งเพื่อใช้งาน ‘เอกสิทธิ์แห่งผู้สร้าง’ เหรอเนี่ย? รู้สึกแปลก ๆ ยังไงก็ไม่รู้อะ แถมยังไม่ค่อยสะดวกด้วย”
“ช่วยไม่ได้นี่นา อาจจะเพราะเธอมีสายเลือดของทูตสวรรค์แค่ครึ่งเดียว ทำให้การเชื่อมต่อกับ ‘เอกสิทธิ์แห่งผู้สร้าง’ ทำได้ลำบาก หรือเธออาจจะห่วย… หมายถึงยังเด็กอยู่น่ะ พลังเลยยังไม่เข้มแข็งพอ ถึงต้องทำแบบนี้ไงล่ะ”
ซาลขมวดคิ้วนิด ๆ เพราะรู้สึกเหมือนจะได้ยินคำดูถูกหลุดออกมา แต่ยังดีที่อีกฝ่ายช่วยแก้ให้ เขาจึงไม่คิดจะใส่ใจอะไร
“อืม… ‘เอกสิทธิ์แห่งผู้สร้าง’ เนี่ย นอกจากใช้สร้างแล้วยังใช้เปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้ตามใจนึก ทั้งสิ่งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรมด้วยสินะครับ?”
“ก็เห็นว่าทำได้นะ เพราะมันเป็นของที่ใช้แก้ไขกฎของโลกด้วย ในที่ประชุมนักปราชญ์ก็มีของคล้าย ๆ แบบนี้อยู่เหมือนกัน ต่างกันตรงมันไม่ใช่ของที่ใช้โดยใครคนใดคนหนึ่งได้ และขอบเขตพลังของมันก็มีข้อจำกัดกว่านี้มาก”
“โอเค ถ้างั้นละก็…”
ซาลหมอบลงโอบกอดพื้นดินอีกครั้งเพื่อใช้พลังของ ‘เอกสิทธิ์แห่งผู้สร้าง’ แต่คราวนี้กลับมีลวดลายอักขระขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมาบนพื้นโดยรอบ และแผ่ออกไปไกลสุดลูกหูลูกตา ราวกับโลกทั้งใบกำลังถูกปกคลุมด้วยวงเวทขนาดใหญ่
ซิสเตอร์เริ่มขมวดคิ้วอีกครั้งเพราะไม่เข้าใจในสิ่งที่ซาลกำลังจะทำ และลังเลว่าจะหยุดเขาดีรึไม่ แต่ทันใดนั้น อักขระจากทั่วทุกสารทิศก็วิ่งมารวมตัวกันตรงหน้าจุดที่ซาลนอนอยู่
จากอักขระขนาดใหญ่ซึ่งกินพื้นที่หลายสิบเมตร เมื่อเข้ามาใกล้กับซาลมันก็ค่อย ๆ หดเล็กลงเรื่อย ๆ จนแทบจะหายไปจากสายตา อักขระเหล่านั้นวิ่งมารวมกันเป็นจุดเดียวราวกับถูกดูดด้วยหลุมดำ แถมความเร็วของอักขระที่วิ่งเข้ามารวมกันยังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ซิสเตอร์กับอาร์วินรู้สึกลายตาจนต้องเบือนหน้าหนี แต่แค่ไม่นานอักขระทั้งหมดก็ได้มารวมอยู่ในจุดเดียวกันโดยสมบูรณ์
ที่เบื้องหน้าของซาล อักขระทั้งหมดที่มารวมตัวกันนั้นได้กลายเป็นกลุ่มพลังงานอันเข้มข้นและเริ่มก่อรูปร่างใหม่ขึ้นมา
พลังงานเหล่านั้นได้แปรสภาพกลายเป็นจี้ห้อยคอเส้นหนึ่ง ก่อนที่แสงของมันจะค่อย ๆ จางลง เมื่อเห็นว่ากระบวนการทั้งหมดเสร็จสิ้นแล้ว ซาลจึงยันตัวขึ้นก่อนจะหยิบสร้อยเส้นนั้นขึ้นมา
ซิสเตอร์ที่เฝ้าดูกระบวนการทั้งหมดอยู่ตลอดก็พอจะเดาออกว่าของสิ่งนั้นคืออะไร แต่เธอก็ยังเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจ
“นั่นคือ…?”
“อื้ม นี่คือ ‘เอกสิทธิ์แห่งผู้สร้าง’ ไงล่ะ ผมลองทำการเปลี่ยนสภาพมันให้กลายเป็นวัตถุดู เพราะแบบนี้น่าจะทำให้ใช้งานได้ง่ายกว่า แล้วก็ได้ผลจริง ๆ ด้วย”
วิธีแก้ปัญหาของซาลทำให้ซิสเตอร์รู้สึกประทับใจอยู่ไม่น้อย และเพราะเหตุนี้ทำให้เธอคิดว่าเขาน่าจะพร้อมสำหรับการดำเนินการขั้นต่อไปแล้ว
——————————————————————————————————–
Part 3
“ถ้าทำได้ขนาดนี้ก็คงไม่มีอะไรต้องกังวลแล้วล่ะนะ ทีนี้ก็ ดำเนินการขั้นต่อไปได้เลย”
ซิสเตอร์เอ่ยขึ้นหลังจากได้เห็นการใช้งาน ‘เอกสิทธิ์แห่งผู้สร้าง’ ของซาล ซึ่งเขาก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาแวบหนึ่ง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าความประสงค์ของเธอคือการปลดปล่อยวิญญาณของผู้คนในโลกเก่าทั้งหมด และนั่นคือเจตนาของการลงมายังโลกเก่าในครั้งนี้
ก่อนหน้านี้เขาก็เคยสงสัยว่าทำไมคนที่ดูเอาแต่ใจและไม่น่าจะจริงจังกับหน้าที่อย่างเธอถึงต้องหาทางลงมาแก้ไขความผิดพลาดของสภานักปราชญ์ด้วยตนเอง การกระทำแบบปากไม่ตรงกับใจนั้นทำให้เขารู้สึกชื่นชมอยู่นิดหน่อย แต่พอได้รู้ว่าเธอเป็นคนที่ทำให้โลกเก่าต้องพบกับการล่มสลาย แถมยังพูดจาเหมือนกับไม่รู้สึกสำนึกกับการกระทำนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว ก็ทำให้เขารู้สึกผิดหวัง และเริ่มคิดว่าเธอคงจะไม่ใช่คนดีนัก
แต่เมื่อนำทั้งสองเรื่องนี้มาเชื่อมโยงกันแล้ว แม้ซิสเตอร์จะพูดเหมือนกับไม่สนใจและไม่เสียใจกับการตายของคนเกือบทั้งโลกซึ่งเธอเป็นสาเหตุ แต่เธอก็ยังพยายามหาทางกลับมาปลดปล่อยวิญญาณของทุกคนในภายหลัง ซึ่งซาลคิดว่านั่นอาจเป็นการแสดงความสำนึกผิดในแบบของเธอ ทำให้เขาเริ่มเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับเธออีกครั้ง
“พี่สาวเนี่ย ก็เป็นคนดีเหมือนกันนี่นา”
“หา? จู่ ๆ พูดอะไรของเธอน่ะ?”
ซิสเตอร์มีสีหน้างุนงง เพราะไม่เข้าใจคำชม (?) ที่ซาลเอ่ยออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“ถึงจะบอกว่าไม่แคร์ แต่ก็ยอมทำทั้งหมดนี่เพื่อปลดปล่อยวิญญาณของทุกคนเพื่อเป็นการไถ่บาปไม่ใช่เหรอ?”
“ใช่ที่ไหนเล่า คนที่ฉันต้องการจะปลดปล่อยวิญญาณ ความจริงมีแค่คนเดียวเท่านั้นแหละ ส่วนคนอื่น ๆ เป็นแค่ผลพลอยได้น่ะ”
“เห~ จริงเหรอ~ งั้นทำไมตอนที่พูดถึงต้องหลบสายตาด้วยล่ะ?”
ซาลเอียงคอแล้วช้อนสายตาขึ้นไปมองอีกฝ่ายที่หันหน้าหลบไปทางอื่นอย่างจงใจ ทำให้อีกฝ่ายแสดงอาการหงุดหงิดออกมา
“หลบที่ไหนกันล่ะ! แค่มองไปทางอื่นพอดีเท่านั้นเอง! เลิกพูดเรื่องไม่เป็นเรื่องได้แล้ว! รีบ ๆ ลงมือซะที!”
“โอ๊ย!”
ด้วยความรำคาญ ซิสเตอร์จึงตบหัวของซาลเป็นการสั่งสอนไปหนึ่งที แต่เขาแอบเห็นว่าแก้มของเธอที่โผล่พ้นผ้าพันคอออกมาเพียงเล็กน้อยนั้นมีสีชมพูจาง ๆ ปรากฏออกมาด้วย จึงคิดว่าเธอคงทำไปเพื่อแก้เขินมากกว่า
ทางด้านซิสเตอร์นั้นดูจะใช้ความโกรธข่มความอายที่ถูกล่วงรู้เจตนาที่แท้จริงไปได้ จึงไม่แสดงอาการใด ๆ ออกมาอีก มีแต่เพียงสายตาหงุดหงิดที่จ้องมองมายังซาลเพื่อให้เขาดำเนินการตามที่ตกลงกันไว้
เมื่อเห็นเช่นนั้น ซาลจึงตั้งสมาธิกับเรื่องที่ต้องทำอีกครั้ง
“เอาล่ะครับ ถ้างั้นก็…”
ซาลใช้มือกำสร้อย ‘เอกสิทธิ์แห่งผู้สร้าง’ เอาไว้และเพ่งสมาธินึกถึงสิ่งที่ต้องการจะให้เกิดขึ้น คือการปลดปล่อยวิญญาณทั้งหมดออกจากโลกใบนี้ และให้ทุกคนได้ไปยังสวรรค์
หลังจากรวบรวมสมาธิอยู่ครู่หนึ่ง บริเวณโดยรอบก็มีแสงสว่างดวงเล็ก ๆ ค่อย ๆ ผุดขึ้นมาจากพื้นดิน และเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ จากสิบเป็นร้อย จากร้อยเป็นพัน จนกลายเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน แสงเหล่านั้นปรากฏออกมาและลอยขึ้นไปเรียงกันบนฟ้าจนแน่นขนัด ทำให้แม้แต่นอกบริเวณที่แสงอาทิตย์ส่องถึงก็ได้รับความสว่างไปด้วยเพราะผืนฟ้าที่เคยมืดมิดได้ถูกแทนที่ด้วยแสงสว่างจากดวงไฟจำนวนมากนั่นเอง
แสงระยิบระยับที่เกาะกลุ่มกันอย่างหนาแน่นนั้นดูคล้ายกับภาพของแกแลคซี่ทางช้างเผือกที่ถูกนำมาซ้อนเรียงกันจนปกคลุมไปทั่วบริเวณ เป็นทิวทัศน์ที่งดงามจนทำให้ทุกคนเผลอมองจนลืมหายใจไปพักหนึ่งเลย
หลังจากแสงดวงสุดท้ายลอยขึ้นไปรวมกับแสงดวงอื่น ๆ บนฟ้าแล้ว ดวงแสงทั้งหมดก็พุ่งหายเข้าไปในเพดานหินที่ปกคลุมท้องฟ้าของโลกเก่าอยู่โดยพร้อมเพรียงกัน ทำให้บริเวณโดยรอบกลับมามืดมิดอีกครั้ง
“พวกเขา… ได้ไปสวรรค์แล้วใช่มั้ยครับ?”
“ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดนะ… เดี๋ยวคงต้องไปยืนยันเรื่องนี้ดูอีกที พวกเราเองก็ไปกันเถอะ”
“เอ่อ ขอเวลาอีกสักเดี๋ยวนะครับ”
“หืม?”
ซาลหันหลังให้กับซิสเตอร์และเดินก้าวออกไปเล็กน้อย ก่อนจะยกสร้อย ‘เอกสิทธิ์แห่งผู้สร้าง’ ขึ้นมาแนบอก และเริ่มรวบรวมสมาธิอีกครั้ง
ในเวลาไม่นาน ทิวทัศน์โดยรอบก็เริ่มเปลี่ยนสภาพไป ต้นหญ้าและพืชพรรณค่อย ๆ งอกออกมาจากซอกหลืบของซากปรักหักพังที่ทับถมกันอยู่และแผ่ปกคลุมทั้งผืนดินและซากปรักหักพังจนผิวดินที่เคยแห้งแล้งกลับกลายเป็นความเขียวชอุ่ม
หลาย ๆ จุดก็มีไม้ยืนต้นเติบโตขึ้นมาและแผ่กิ่งก้านสาขาจนกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ เพดานหินที่ปกคลุมโลกอยู่ก็มีแสงสว่างเปล่งออกมาราวกับเป็นท้องฟ้าในเวลากลางวัน ทั้งยังมีก้อนเมฆปรากฏออกมาด้วย ทำให้มันกลายเป็นท้องฟ้าสีครามตัดกับปุยเมฆสีขาวที่ดูงดงามไม้แพ้ท้องฟ้าจริง ๆ เลย
โลกที่เคยมืดมิดและเต็มไปด้วยซากปรักหักพังราวกับโลกที่ตายแล้ว บัดนี้กลับกลายเป็นโลกอันสดใสที่ปกคลุมไปด้วยความเขียวชอุ่มของธรรมชาติ จนแทบจะกลายเป็นสวนสวรรค์ก็ว่าได้
ซาลมองดูผลงานของตัวเองด้วยสีหน้าพึงพอใจ ก่อนจะเดินกลับมาหาซิสเตอร์อีกครั้ง
“ยังไงก็กำลังจะไปกันอยู่แล้ว ไม่เห็นต้องทำเรื่องยุ่งยากเลย ลองของเล่นรึไง?”
“เปล่าหรอกครับ แต่การมีสถานที่อันมืดมิดและน่าหดหู่แบบนี้อยู่ใต้โลกมันน่าเศร้าออกไม่ใช่เหรอ? ถ้าเปลี่ยนแปลงมันให้เป็นที่ ๆ ดีขึ้นได้ก็ควรจะทำซะดีกว่า อีกอย่างคือเราไม่รู้ว่าจะมีโครงการอื่น ๆ ที่คล้ายกับโครงการโนอาห์อยู่อีกรึเปล่า ถ้าเกิดมีคนจากโลกเก่าตื่นขึ้นมาหรือถูกโคลนขึ้นมาอีก อย่างน้อยพวกเขาจะได้ใช้ชีวิตอยู่บนโลกอันอุดมสมบูรณ์นี้ได้ไงล่ะครับ”
คำพูดนั้นทำให้ทั้งซิสเตอร์และอาร์วินต่างก็จ้องมองซาลด้วยสีหน้าประทับใจ เพราะเขาไม่เพียงแค่คิดถึงโลก แต่ยังคิดถึงความเป็นไปได้อื่น ๆ และผู้คนที่อาจจะมีหรือไม่มีตัวตนก็ได้อีกด้วย
เมื่อเสร็จธุระทั้งหมดแล้ว ซิสเตอร์จึงพาซาลและอาร์วินบินกลับออกไปยังโลกเบื้องบน
——————————————————————————————————–
Part 4
ในห้องนอนของอพาร์ทเมนท์ที่ดูทันสมัยแห่งหนึ่ง
ชายหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียงลืมตาขึ้นมาด้วยอาการสะลึมสะลือที่แทบจะปรือตาไม่ขึ้น ราวกับเพิ่งตื่นจากการหลับไหลอันนานแสนนาน
เขามองไปรอบ ๆ ด้วยท่าทีสับสน เพราะสถานที่ที่เขาตื่นขึ้นมานี้ไม่ใช่สถานที่ที่คุ้นเคยเลย
ในระหว่างนั้นก็มีหญิงสาวเปิดประตูเข้ามาในห้องพร้อมกับถาดอาหารเช้าซึ่งประกอบไปด้วยไข่ดาว, ฮอทด็อก, และแพนเค้ก
ชายหนุ่มที่ยังมองอะไรไม่ค่อยชัดเพราะยังตื่นไม่เต็มที่พยายามขยี้ตาและเพ่งมองหญิงสาวที่เดินเข้ามา แต่ยังไม่ทันจะได้มองอะไรอย่างชัดเจนเธอก็เป็นฝ่ายเอ่ยทักทายเขาซะก่อน
“ตื่นแล้วเหรอคะคุณเจส ขี้เซาผิดคาดเลยนะคะเนี่ย”
เมื่อได้ยินเสียงนั้น ชายหนุ่มก็หายจากอาการสะลึมสะลือเป็นปลิดทิ้งและจ้องมองหญิงสาวด้วยดวงตาเบิกโพลง เพราะผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเขาไว้ผมสั้นสีน้ำตาลอ่อน สวมแว่นตาอันกลมโต ท่าทางใสซื่อ เป็นรูปลักษณ์ที่เขาคุ้นเคย
เธอก็คือ เอมิลี่ สโลน นั่นเอง
“เอมี่!? ทำไมเธอถึง? ทำไมเราถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ!?”
“ใจเย็นๆก่อนสิคะคุณเจส ที่นี่เป็นที่พักชั่วคราวของพวกเราน่ะค่ะ พวกเขาให้เราพักอยู่ที่นี่ในระหว่างรอการจัดสรรที่อยู่ของคนอื่น ๆ ให้เรียบร้อย เพราะมีคนมาที่นี่เป็นจำนวนมากในเวลาเดียวกัน ทำให้มันต้องใช้เวลาสักหน่อย”
“ที่พักชั่วคราวเหรอ? แล้วที่นี่คือ?”
“ถึงจะเป็นแค่ต้นทาง แต่รู้สึกว่าที่นี่จะเป็นสวรรค์นะคะ เห็นเขาว่าสวรรค์ที่แท้จริงจะเป็นส่วนที่อยู่ลึกกว่านี้ และถูกจัดสรรเอาไว้ให้เหมาะสมกับอุดมคติของแต่ละบุคคลมากกว่านี้ แต่ถ้าชอบที่นี่ก็จะอยู่ตลอดไปเลยก็ได้ค่ะ”
“สวรรค์งั้นเหรอ!?”
เจสทำหน้าตาตื่นและลุกขึ้นไปยืนที่หน้าต่าง ก่อนจะมองออกไปดูภายนอก
สิ่งที่เขาเห็นก็คือเมืองสมัยใหม่ที่อาคารบ้านเรือนต่างก็ถูกสร้างขึ้นวิทยาการอันทันสมัย และพื้นที่ใช้สอยถูกจัดสรรไว้อย่างเป็นระบบ ตึกสูงแต่ละแห่งมีสวนหย่อมขนาดเล็กยู่บริเวณระเบียงของทุกชั้น ทำให้ดูร่มรื่น เบื้องล่างก็เป็นที่โล่งขนาดใหญ่ที่มีลักษณะเหมือนกับเป็นสวนสาธารณะ โดยมีถนนสายหนึ่งถูกสร้างเป็นทางยกระดับสูงขึ้นจากพื้นดินนับสิบเมตรตัดผ่านเพื่อแยกเส้นทางสัญจรออกจากพื้นที่ใช้สอย ทำให้ผู้คนเบื้องล่างสามารถเดินไปมาได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องระวังอันตราย เมืองที่เจสเห็นอยู่นี้มีลักษณะคล้ายกับเมืองในอุดมคติของมนุษย์ในช่วงปี 2040 ที่วาดภาพอนาคตเอาไว้ก่อนการล่มสลายจะเริ่มต้นขึ้น
เอมิลี่แอบหัวเราะให้กับอาการตื่นตระหนกของเจส ก่อนจะรินกาแฟใส่ถ้วยให้กับเขาและเริ่มอธิบายต่อ
“ที่นี่คือต้นทางของคนที่มีชีวิตอยู่ในช่วงปี 2040 น่ะค่ะ เป็นโลกในอุดมคติของคนในยุคนี้ หลาย ๆ คนก็เลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่นะคะ โดยเฉพาะคนของฐาน 101 ที่ฉันเจอ”
“มีคนอื่น ๆ อยู่ที่นี่ด้วยเหรอ!?”
เจสหันมาถามด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ทำให้เอมิลี่รู้สึกขบขันกับปฏิกิริยานั้นมากขึ้นอีก
“ใช่แล้วค่ะ ทุกคนถูกส่งมาที่นี่พร้อมกันหมดเลย คุณเจสน่ะตื่นช้ากว่าคนอื่นไปหนึ่งวันเลยนะคะ ถ้าลงไปที่ล็อบบี้ละก็น่าจะได้เจอคนคุ้นหน้าเยอะแยะเลยค่ะ”
ระหว่างนั้นเอง เจสก็นึกถึงเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ เขาเอามือลูบคลำตามตัวเพราะกลัวว่าตัวเองยังอยู่ในร่างของผู้หญิง แต่ก็พบว่าเขากลับมาอยู่ในร่างของผู้ชายแล้ว จึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ
“กังวลเรื่องสภาพร่างกายสินะคะ แต่ที่นี่น่ะเราจะมีร่างตามจิตที่แท้จริงของเราเอง คุณเจสเลยกลับคืนร่างเป็นผู้ชายไงล่ะค่ะ”
“แล้ว… แถวนี้มีตัวผมอีกคนอยู่มั้ยเนี่ย? ผมเป็นร่างโคลนร่างที่สองนี่นา?”
“เรื่องนั้นรู้สึกจะเป็นปัญหาของพวกเราทุกคนเลยค่ะ คือคนในโครงการโนอาห์ต่างก็มีวิญญาณมากกว่าหนึ่งดวงกันทั้งนั้นเพราะการโคลน ทางสวรรค์ก็เลยทำการรวมวิญญาณทั้งหมดให้เป็นหนึ่งเดียวกัน จะได้ไม่เกิดการซ้ำซ้อนของบุคคล ที่ทำแบบนี้ได้เพราะวิญญาณของร่างจริงกับร่างโคลนแทบไม่มีความต่างกันทางบุคลิกและความคิดเลยด้วย สรุปว่าพวกเรากลายเป็นตัวจริงเพียงหนึ่งเดียวแล้วล่ะค่ะ”
แม้จะไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่เอมิลี่พูดมาทั้งหมด แต่เจสก็พอเข้าใจส่วนที่บอกว่าวิญญาณของตัวจริงกับร่างโคลนได้กลายเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว จึงรู้สึกโล่งใจ แต่ในระหว่างนั้นเขาก็นึกถึงเรื่องอีกอย่างขึ้นมาได้
“ว่าแต่… อาร์วินล่ะ?”
เมื่อได้ยินอีกฝ่ายถามถึงอาร์วิน เอมิลี่ก็มีสีหน้าหมองลงเล็กน้อย แต่เธอก็ปรับอารมณ์และยิ้มออกมาอีกครั้งก่อนจะตอบคำถามของเขา
“รู้สึกว่าพี่จะไม่ได้มาด้วยน่ะค่ะ ฉันไปถามกับทางเจ้าหน้าที่ให้ตรวจสอบดูแล้ว แต่เขาบอกว่า อาร์วิน สโลน ยังไม่ตาย ก็เลยไม่ได้ถูกส่งมาด้วย”
เมื่อได้ยินว่าอาร์วินยังไม่ตาย สิ่งแรกที่แวบเข้ามาในหัวของเจสก็คือภาพอาร์วินที่นั่งอยู่ในโลกอันมืดมิดนั้นเพียงลำพัง แต่เพราะไม่อยากให้เอมิลี่คิดมากเขาจึงพูดปลอบใจเธอแทน
“นั่นก็… เป็นเรื่องที่ดีแล้วไม่ใช่เหรอ? แปลว่าอาร์วินยังมีชีวิตอยู่ไงล่ะ และถ้าที่นี่คือปลายทางที่คนรุ่นเราต้องมาละก็ สักวันเราต้องได้พบกับอาร์วินอีกแน่”
“นั่นสินะคะ… สักวันนึงเราต้องได้พบกันแน่ ๆ ค่ะ”
เอมิลี่ยิ้มออกมาอีกครั้ง แต่เจสก็ไม่แน่ใจว่านั่นเป็นการฝืนยิ้มเพื่อให้เขาสบายใจรึเปล่า จึงพยายามชวนเธอคุยเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ
“แล้ว… ผมตื่นช้าไปวันนึงเนี่ย คงพลาดอะไรไปเยอะเลยสินะ มีอะไรน่าสนใจจะเล่าให้ฟังบ้างรึเปล่า?”
“จริงสิคะ! เมื่อเช้าน่ะฉันไปเจอกับผู้หญิงกลุ่มใหญ่ จำนวนเกือบร้อยคนได้ พวกเขามีหน้าตาเหมือนกับคุณเจสตอนที่เป็นผู้หญิงหมดทุกคนเลยค่ะ! แต่น่าแปลกที่ไม่มีใครรู้จักฉันเลย”
“หา? นะ… หนึ่งร้อยคนเลยเหรอ?”
“ถ้าอาบน้ำเสร็จแล้วเดี๋ยวลงไปดูกันมั้ยคะ?”
“ไม่เอาหรอก… ขอผ่านดีกว่า…”
“เห~”
เอมิลี่ยังคงเซ้าซี้ให้เจสไปดูกลุ่มหญิงสาวด้วยกัน แต่อีกฝ่ายก็ยืนกรานเสียงแข็งเช่นเดิม จนเธอต้องเป็นฝ่ายตัดใจ
ทั้งสองคนยังคงคุยกันถึงเรื่องต่าง ๆ อย่างออกรส ส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่เอมิลี่ได้ไปเห็นมาในช่วงหนึ่งวันนี้ ทำให้ทั้งคู่คุยกันจนลืมเวลา ช่วงเช้าอันสดใสของวันจึงผ่านเลยไปอย่างรวดเร็ว
ในที่สุดเจสก็ลุกไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเตรียมจะออกไปดูข้างนอกบ้าง ส่วนเอมิลี่ก็เก็บถ้วยจานของชุดอาหารเช้าเพื่อนำไปล้าง
ก่อนจะออกจากห้อง เอมิลี่ก็มองออกไปนอกหน้าต่าง และเหม่อมองกลุ่มเมฆที่ลอยอยู่บนท้องฟ้านั้น พลางคิดถึงอาร์วินไปด้วย
ในใจของเอมิลี่รู้สึกแปลก ๆ เธออยากพบกับอาร์วินเร็ วๆ แต่แบบนั้นก็เหมือนกับแช่งให้อาร์วินตาย เลยไม่รู้ว่าควรคิดแบบไหนถึงจะถูก
สิ่งที่เธอแน่ใจก็คือเธออยากจะพบกับอาร์วิน อยากจะบอกอีกฝ่ายว่าเธอไม่ถือโทษและเข้าใจเรื่องทุกอย่าง เพราะรู้ดีว่าอาร์วินคงจะโทษตัวเองมาตลอด และทนทุกข์กับเรื่องนี้อยู่แน่ ๆ เธอจึงอยากปลดเปลื้องความรู้สึกผิดนั้นให้กับพี่สาวโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ไม่รู้ว่าวันนั้นจะมาถึงเมื่อไหร่ แต่เอมิลี่ก็มีคำพูดที่อยากจะพูดเตรียมเอาไว้แล้ว ทว่าเมื่อถึงเวลาจริง ๆ เรื่องที่เธออยากจะคุยกับอาร์วินคงมีมากมายนับไม่ถ้วน โดยเฉพาะเรื่องของที่แห่งนี้
แค่คิดว่าจะต้องได้พบกับอาร์วินในสักวันหนึ่งก็ทำให้เอมิลี่รู้สบายใจแล้ว เธอจึงผ่อนลมหายใจออกมาและยิ้มอย่างอ่อนโยนอีกครั้ง ก่อนจะยกถาดอาหารเช้าเดินออกจากประตูห้องไป