Doombringer the 5th - ตอนที่ 88
Ch.88 – รางวัล
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 88
รางวัล
Part 1
หลังจากพาซาลกับอาร์วินบินออกมาจนพ้นม่านเขตแดนที่กั้นระหว่างโลกทั้งสองแล้ว ซิสเตอร์ก็พาทุกคนเทเลพอร์ทกลับไปยังลิลลี่โฮไรซอนในทันที
หลังจากผ่านห้วงมิติสีขาวอันว่างเปล่าในช่วงเสี้ยววินาที ทั้งสามคนก็มาปรากฏตัวยังห้องขนาดกลางที่มีชั้นหนังสือรายล้อมอยู่โดยรอบเหมือนกับเป็นห้องสมุดซึ่งอยู่ในอาคาร ทำให้ซาลรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
ซิสเตอร์ปล่อยมือจากทั้งสองคน ก่อนจะเดินไปที่โต๊ะตัวหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้ ๆ และเอามือแตะสัมผัสอักขระที่อยู่ด้านข้างโต๊ะ ทันใดนั้นก็มีหน้าจอเวทมนตร์แบบสามมิติกับลวดลายเรืองแสงที่มีลักษณะเหมือนแป้นพิมพ์ปรากฏขึ้นมา จากนั้นเธอก็หันกลับมาพูดกับอาร์วิน
“ไอ้นี่น่ะก็เหมือนกับคอมพิวเตอร์ของโลกเก่าแหละนะ หน้าจอก็เป็นทัชสกรีนด้วย เธอใช้มันสืบค้นข้อมูลได้ตามสบาย เดี๋ยวฉันกับเจ้าหนูนี่จะกลับมา”
อาร์วินตรงเข้าไปที่โต๊ะทันทีด้วยท่าทางสนอกสนใจ แต่แทนที่จะใช้มันในการหาข้อมูล เธอกลับสำรวจโต๊ะตัวนั้นอย่างละเอียดเพื่อดูวิธีการทำงานของมัน
“โฮโลแกรมแบบนี้ในยุคของฉันก็มีนะ แต่ใช้อุปกรณ์อะไรเป็นตัวฉายกันเนี่ย? หาไม่เจอเลย แถมยังแป้นพิมพ์ที่เหมือนกับการฉายภาพด้วยเลเซอร์นี่อีก โต๊ะตัวนี้ก็ดูเหมือนจะเป็นโต๊ะไม้ธรรมดา ๆ นี่นา…”
เพราะขี้เกียจจะอธิบาย แถมดูเหมือนอาร์วินจะพูดกับตัวเองมากกว่า ซิสเตอร์จึงเดินกลับมาหาซาลอีกครั้ง และพาเขาออกจากห้องไป
พอออกมาจากห้องแล้ว เธอก็จับมือน้อย ๆ ของเขาอีกครั้งเหมือนจะทำการเทเลพอร์ทอีก ซาลจึงเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย
“เอ๋? จะไปไหนอีกเหรอครับ?”
“ไปรับรางวัลของเธอไงล่ะ”
เมื่อพูดจบ เธอก็พาซาลเทเลพอร์ทไปทันทีโดยไม่สนใจสีหน้าของเขาที่แสดงความงุนงงสงสัยมากยิ่งขึ้น
แสงจากการเทเลพอร์ททำให้ซาลต้องหลับตาลงอีกครั้ง ซึ่งหลังจากการเทเลพอร์ทเสร็จสิ้น เขาก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศโดยรอบที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน เป็นบรรยากาศอันปลอดโปร่งโล่งสบายเหมือนกับตอนที่ซิสเตอร์พาเขาเทเลพอร์ทไปกลางท้องฟ้าเมื่อครั้งแรก
พอลืมตาขึ้น ซาลก็พบว่าเขาได้มายืนอยู่บนระเบียงของยอดหอคอยแห่งหนึ่ง ท้องฟ้าโดยรอบเป็นผืนฟ้าสีครามใสที่ไม่มีอะไรมาบดบังแม้แต่น้อย ในทีแรกเขาคิดว่าเป็นเพราะแถวนี้มีสภาพอากาศปลอดโปร่ง แต่เมื่อมองออกไปนอกระเบียงดี ๆ แล้วก็พบว่ามีหมู่เมฆลอยอยู่ที่ด้านล่างของหอคอย หรือพูดให้ถูกคือหอคอยแห่งนี้มีความสูงทะลุชั้นเมฆขึ้นมาซะอีก
ซิสเตอร์เปิดประตูด้านหลังระเบียงออกและเดินเข้าไปภายใน ทำให้ซาลต้องรีบวิ่งตามเข้าไปด้วย
ภายในหอคอยนี้มีสีขาวปกคลุมไปทุกส่วน ทั้งพื้น, ผนัง, และเพดาน แต่ตามขอบมุมจะประดับประดาตกแต่งด้วยวัสดุสีเหลืองอร่ามคล้ายกับทองคำ แม้ด้านในนี้จะไม่มีหน้าต่างหรือโคมไฟเลย แต่มันกลับมีความสว่างไสวราวกับแสงจากภายนอกส่องทะลุผนังและเพดานเข้ามาได้โดยตรง ให้ความรู้สึกที่แปลกตาไม่น้อย
“นี่เราอยู่ที่ไหนกันเหรอครับ?”
“ที่นี่คือ ‘เสาค้ำสวรรค์’ (Pillar of Heaven) แม้จะมีชื่อแบบนั้นแต่ความจริงมันก็แค่หอคอยลอยฟ้าซึ่งใช้เป็นที่ประชุมนักปราชญ์น่ะนะ ถึงมันจะพังไปก็ไม่มีผลอะไรกับสวรรค์หรอก แถมการประชุมที่นี่ก็เป็นการประชุมเกี่ยวกับโลกด้วย ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับสวรรค์เลยซักกะนิด ไม่รู้ว่าทำไมต้องตั้งชื่อให้ชวนเข้าใจผิดแบบนี้ด้วย”
“เอ๋? แปลว่านี่คือที่ ๆ เหล่านักปราชญ์ใช้ประชุมกันเพื่อสร้างโลกขึ้นมางั้นเหรอครับ?”
“อื้ม ใช่แล้วล่ะ และหลังประตูบานนั้นก็คือที่ประชุมนักปราชญ์”
ซิสเตอร์พูดพลางผายมือไปทางประตูบานใหญ่ที่อยู่สุดทางเดินนี้ ซึ่งพวกเขากำลังมุ่งหน้าไป ทำให้ซาลเริ่มรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา เพราะที่แห่งนี้เปรียบเสมือนสถานที่ซึ่งใช้ออกแบบและสร้างโลก ถือเป็นที่ให้กำเนิดโลกใหม่รวมถึงทุกสรรพสิ่งที่อยู่บนนั้นด้วย
เมื่อเดินไปถึง เธอก็เปิดประตูออกอย่างช้า ๆ ในขณะที่ซาลสอดส่ายสายตามองตามไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
——————————————————————————————————–
Part 2
สิ่งที่อยู่หลังประตูบานนั้นคือห้องโถงซึ่งมีโต๊ะกลมขนาดใหญ่พร้อมกับเก้าอี้พนักสูงสิบเอ็ดตัววางอยู่โดยรอบ แต่ที่ทำให้ซาลประหลาดใจก็คือ ในห้องนั้นมีผู้หญิงสามคนกำลังจับกลุ่มกันอยู่บนพื้นห้อง ข้าง ๆ โต๊ะประชุมด้วย
ทั้งสามคนอยู่ในอิริยาบทตามสบายราวกับอยู่ในห้องนั่งเล่นหรือห้องนอนของตัวเอง บางคนก็เอนตัวกึ่งนั่งกึ่งนอน บางคนก็นอนเอกเขนก แถมทุกคนยังสวมชุดสำหรับใส่นอนอยู่อีกด้วย
หญิงสาวคนหนึ่งสวมเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นรัดรูป อีกคนสวมชุดนอนขายาว ส่วนคนสุดท้ายสวมชุดนอนวันพีช ทั้งสามคนสวมผ้าคลุมที่มีฮู้ดรูปสัตว์แตกต่างกันออกไป มีทั้งแมว, กระต่าย, และหมีแพนด้า
บริเวณที่พวกเธอจับกลุ่มกันอยู่มีข้าวของวางระเกะระกะมากมาย ส่วนใหญ่จะเป็นหนังสือและถุงขนมที่กินหมดแล้ว ใกล้ ๆ ตัวพวกเธอมีคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คอยู่อีกคนละหนึ่งเครื่อง ทั้งสามยังคงจับกลุ่มคุยกันอย่างออกรส พลางทำกิจกรรมอื่น ๆ เช่นอ่านหนังสือหรือเล่นโน๊ตบุ๊คไปด้วย โดยไม่ได้สนใจการมาของเขากับซิสเตอร์เลยแม้แต่น้อย
ซาลรู้สึกงุนงงกับภาพที่ได้เห็น เขาพิจารณาดูแล้วคนที่สามารถเข้าออกที่นี่ได้ก็ควรจะมีแต่ซิสเตอร์กับเหล่านักปราชญ์ หมายความว่าทั้งสามคนคือสมาชิกของสภานักปราชญ์นั่นเอง ทว่าด้วยการแต่งกายและพฤติกรรมของพวกเธอทำให้เขาไม่ค่อยจะแน่ใจนัก
ซิสเตอร์มองไปรอบ ๆ แล้วก็แสดงอาการหงุดหงิดออกมาทางสายตาเล็กน้อย ก่อนจะเหยียบถุงขนมเปล่าที่ถูกทิ้งไว้บนพื้นอย่างจงใจ จนเกิดเสียงดัง ‘แกร๊บ’ ทำให้ทั้งสามคนต้องหันมาเมื่อได้ยินเสียงนั้น
ทุกคนมีสีหน้าตกใจในทีแรก แต่เมื่อเห็นว่าเป็นซิสเตอร์พวกเธอก็มีท่าทีผ่อนคลายลง ก่อนหญิงสาวที่สวมฮู๊ดรูปหมีแพนด้าจะเอ่ยทักออกมา
“อ้าว~ อาเจ๊เองหรอกเหรอ? มาทำอะไรที่นี่ล่ะ?”
“นั่นมันคำถามของฉันต่างหาก… พวกเธอมาทำอะไรกัน? ยังอีกหลายวันกว่าจะถึงวันประชุมไม่ใช่เหรอ?”
“พวกเราก็มารวมตัวกันล่วงหน้าแบบนี้เป็นประจำแหละ แบบว่านาน ๆ ทีจะได้อยู่กันพร้อมหน้าน่ะ นี่เดี๋ยววันนี้ ‘เอไวซ์’ กับ ‘ซีโน่’ ก็จะมาด้วยนะ เจ้จะมาร่วมวงด้วยรึเปล่า?”
“ไม่ล่ะ ฉันยังมีธุระอยู่น่ะ ว่าแต่แต่งตัวแบบนี้กัน เกิดพวกผู้ชายมาจะทำยังไงกันล่ะ?”
ซิสเตอร์พูดพลางเหลือบตามองเหล่าสาว ๆ ที่อยู่ในชุดนอนเบาบางด้วยสายตาที่ไม่พอใจนัก เพราะเธอไม่ชอบผู้หญิงที่ไม่ระวังตัว แต่อีกฝ่ายก็ยังยิ้มแย้มและตอบกลับมาด้วยสีหน้าสบาย ๆ
“พวกนั้นก็มีมีทติ้งก่อนวันประชุมเหมือนกัน แต่รวมตัวกันที่อื่นน่ะ เพราะงั้นก่อนจะถึงวันประชุมคงไม่มีใครขึ้นมาที่นี่หรอก”
ระหว่างที่คุยกันอยู่ หญิงสาวที่สวมฮู๊ดรูปกระต่ายซึ่งสังเกตเห็นเด็กผู้หญิงตัวน้อย ๆ ที่มากับซิสเตอร์อยู่พักหนึ่งแล้วจึงเอ่ยแทรกขึ้นมา
“นี่ ๆ เจ๊ แล้วนั่นใครน่ะ? ไหนบอกว่าไม่สนเด็กไง เดี๋ยวนี้เปลี่ยนแนวแล้วเหรอ?”
“อืม ก็ว่าจะลองเปลี่ยนบรรยากาศดูน่ะ”
เมื่อได้ยินคำตอบของซิสเตอร์หญิงสาวทั้งสามก็หันมามองหน้ากันด้วยอาการแปลกใจอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะส่งเสียงวี๊ดว๊ายด้วยท่าทางขี้เล่นออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน ทำให้ซาลถึงกับขมวดคิ้ว
“เฮ้อ… อย่าไปสนใจเลย ไปกันเถอะ”
ซิสเตอร์หันไปบอกกับซาลก่อนจะเดินนำเขาไปยังประตูที่อยู่อีกฟากหนึ่งของห้อง
ระหว่างเดินผ่านจุดที่สามสาวนั่งอยู่ หญิงสาวที่สวมฮู๊ดรูปแมวก็เอนตัวหงายหลังและเอื้อมมือออกมาเพื่อที่จะคว้าขาของซาลเอาไว้ แต่ซิสเตอร์ก็อุ้มตัวเขาหลบการคว้าของอีกฝ่ายไปได้ ก่อนจะวางตัวเขาลงด้านหน้าและให้เขาเดินนำไปแทน
แม้จะอยู่ในอาการสับสน แต่ซาลก็ไม่กล้าถามอะไร และรีบเดินตรงไปจนถึงประตู โดยเขาได้ยินเสียง ‘ชิ’ เบา ๆ ดังแว่วมาจากกลุ่มของสามสาวด้วย
เมื่อออกมาจากห้องนั้นแล้ว เขาก็เอ่ยถามพี่สาวด้วยสีหน้าที่แสดงความข้องใจอย่างที่สุด
“สามคนนั้น… เขาเป็นสมาชิกของสิบนักปราชญ์เหรอครับ?”
“อืม ใช่แล้วล่ะ นั่นคือ ‘อริส’, ‘แพลท’, และ ‘เรเน่’ สามในห้านักปราชญ์ฝั่งผู้หญิง คงรู้สึกผิดหวังสินะ?”
“มันก็……”
แม้จะไม่ได้ตอบเป็นคำพูด แต่สีหน้าของเขาก็บ่งบอกออกมาอย่างชัดเจน ว่าเหล่านักปราชญ์ที่เขาได้เห็นนั้นผิดไปจากที่เคยจินตนาการเอาไว้มาก
“ก็อย่างที่เห็น หลังจากสร้างโลกจนเสร็จสมบูรณ์แล้ว เหล่านักปราชญ์ก็ไม่ค่อยมีหน้าที่อะไรนัก แม้จะมีกำหนดการประชุมปีละครั้ง แต่เวลานอกเหนือจากนั้นทุกคนก็ใช้ชีวิตกันตามใจชอบ ส่วนใหญ่ก็เลยกลับไปเป็นโอตาคุ/ฟูโจชิ กันแบบเดิมนั่นแหละ”
“ผมก็แค่คิดว่าพวกเขาจะเป็นคนที่ดูทรงภูมิปัญญาและน่านับถือ มากกว่านี้อะนะ…”
“ช่วงเวลาส่วนตัวใคร ๆ เขาก็ทำตัวตามสบายแบบนี้กันทั้งนั่นแหละน่า ใครจะมาเคร่งเครียดทำตัวเนี๊ยบตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงกันล่ะ?”
“ถึงงั้นก็เถอะ แต่พฤติกรรมกระชากวัยนั่นมัน…”
“ตอนที่ถูกคัดเลือกมา พวกนั้นส่วนใหญ่ก็ยังมีอายุอยู่ในช่วงวัยรุ่นนั่นแหละ แม้จะผ่านการกำเนิดโลกมานับครั้งไม่ถ้วน และอยู่มาเป็นร้อย ๆ ปีแล้ว แต่นิสัยของคนเราไม่ได้เติบโตไปตามกาลเวลาหรอกนะ อีกอย่างคือมันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ที่ผู้ใหญ่อยากจะกลับเป็นเด็กอีกครั้ง และสำหรับเหล่านักปราชญ์ที่ใช้ชีวิตได้อย่างไร้ความกังวลแล้ว ก็คงอยากจะใช้ชีวิตวัยรุ่นไปชั่วนิรันดร์นั่นแหละ เป็นการเติมเต็มช่วงเวลาที่ขาดหายไปไงล่ะ แต่สำหรับพวกนั้นคงจะเติมกันจนล้นแล้วล่ะนะ”
มาคิด ๆ ดูแล้ว ซาลก็นึกขึ้นได้ว่าครั้งแรกที่พบกับซิสเตอร์เธอก็อยู่ในร่างของเด็กนักเรียน ม. ต้น และกำลังสวมชุดนักเรียนอยู่ด้วยนี่นา หรือนั่นจะเป็นการเติมเต็มช่วงเวลาที่ขาดหายไปของเธอ แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะถามเรื่องนั้นออกไปตรง ๆ
“สิบนักปราชญ์น่ะเป็นแบบนี้ทั้งหมดเลยเหรอ?”
“ก็ไม่ทุกคนหรอก ที่แย่กว่านี้ก็มีน่ะ”
“………”
ซาลรู้สึกอึ้งจนพูดไม่ออกเพราะสิบนักปราชญ์ที่เขาได้พบนั้นแตกต่างไปจากสิบนักปราชญ์ตามคำร่ำลือราวฟ้ากับเหวเลยทีเดียว แต่เขาก็พอจะเข้าใจในคำอธิบายของซิสเตอร์จึงไม่ได้คิดอะไรมากนัก
ซิสเตอร์พาซาลเดินต่อมาจนมาถึงห้องโถงขนาดใหญ่อีกแห่งหนึ่ง มันเป็นห้องทรงกลมซึ่งมีลวดลายแกะสลักอันวิจิตรทั้งบนผนังและบนเพดาน ผิดกับผนังเรียบ ๆ อันไร้ลวดลายของห้องที่ผ่านมา แถมบนพื้นยังมีการแกะสลักเป็นลวดลายอักขระคล้ายกับวงเวทที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนด้วย
เมื่อทั้งสองคนเข้ามาในห้องแล้ว ซิสเตอร์ก็เริ่มอธิบาย
“ที่นี่คือ ‘ประตูสู่สวรรค์’ (Heaven’s Gate) เป็นจุดที่ใช้เชื่อมต่อระหว่างโลกนี้กับสวรรค์ แต่มนุษย์ไม่สามารถเปิดการเชื่อมต่อเองได้หรอกนะ เมื่อก่อนเราจะมีทูตสวรรค์ประจำอยู่ที่นี่เพื่อคอยประสานงานกับทางสวรรค์และเปิดประตูให้ แต่หลังจากเหล่าทูตสวรรค์ถอนตัวกลับไปหมดแล้วมันก็แทบไม่เคยถูกใช้งานอีกเลย”
“อืม… เอ๊ะ? งั้นที่พี่สาวพาผมมาที่นี่ก็เพื่อ?”
“ฉันเคยบอกแล้วนี่ว่าจะให้รางวัลตอบแทนเธอหนึ่งอย่างหลังจากทำงานนี้เสร็จ และความปรารถนาสูงสุดของเธอคือการนำทุกคนในครอบครัวกลับมาอยู่กันพร้อมหน้าสินะ? แต่เรื่องนี้ถ้าจะทำจริง ๆ โดยเฉพาะถ้าใช้วิธีของฉันละก็ คงจะทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายตามมามากมาย และครอบครัวของเธอคงยากที่จะอยู่กันอย่างสงบสุขหลังจากนั้นได้ ดังนั้นฉันจะช่วยในส่วนที่สร้างผลกระทบในระยะยาวน้อยที่สุดก็แล้วกัน ซึ่งก็คือการพาแม่ของเธอกลับมาไงล่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของซาลก็ลุกโพลงและจ้องมองซิสเตอร์ด้วยอาการตื่นตะลึง
เพราะแม้จะเป็นเพียงแค่ส่วนเสี้ยว แต่ความฝันของเขาก็กำลังจะเป็นความจริงแล้ว
——————————————————————————————————–
Part 3
แม้จะมีคำถามในใจเกิดขึ้นมากมาย แต่ทั้งหมดนั้นก็ถูกกลบด้วยความรู้สึกตื่นเต้นดีใจไปสิ้น เมื่อซาลได้รู้ว่ากำลังจะได้ไปพบกับแม่ และอาจได้พาตัวเธอกลับมาด้วย
“งะ.. งั้นก็ไปกันเลยสิ! ต้องทำยังไงบ้างล่ะ!?”
ซาลเอ่ยถามด้วยอาการเร่งรีบโดยที่สีหน้าอันยินดีนั้นยังคงหุบยิ้มไม่ลง ทำให้ซิสเตอร์จ้องมองปฏิกิริยาของเด็กน้อยที่อยู่ตรงหน้าด้วยสายตาที่เหมือนกำลังยิ้มอยู่เช่นกัน ก่อนจะกล่าวอธิบาย
“เอามือแตะสัมผัสที่เสาต้นนั้น แล้วก็ถ่ายพลังเวทลงไป สำหรับคนที่ใช้งาน ‘เอกสิทธิ์แห่งผู้สร้าง’ ได้อย่างเธอ การเปิดประตูนี้ก็ไม่น่าจะเป็นปัญหานะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น ซาลก็รีบเดินไปเอามือแตะสัมผัสเสาที่ซิสเตอร์บอก พร้อมกับถ่ายเทพลังเวทลงไป ทำให้ลวดลายอักขระบนพื้นห้องเริ่มเรืองแสงขึ้นมาแทบจะในทันที
ครู่ต่อมาก็ปรากฏประตูมิติขนาดใหญ่ขึ้นตรงกลางห้อง มันเป็นประตูมิติสีฟ้าซึ่งทอประกายสีทองอร่ามราวกับแสงตะวันออกมา
ซาลรู้สึกตื่นเต้นจนอยู่ไม่สุก และหันไปมองซิสเตอร์ด้วยสายตาที่บ่งบอกว่าอยากจะเข้าไปในนั้นจนแทบจะรอไม่ไหวอยู่แล้ว ซิสเตอร์ที่มีสีหน้าเหมือนกำลังแอบยิ้มอยู่หลังผ้าพันคอผืนใหญ่นั้นจึงเอื้อมมือมาจับมือของเขาเอาไว้ก่อนจะจูงมือและพาเดินตรงไปยังประตู
แสงอันเจิดจ้าของประตูมิติทำให้ซาลต้องกลับตาลงเมื่อเดินเข้าไปใกล้
ทันทีที่ก้าวเข้าไปเขาก็รู้สึกเหมือนกับตัวเองกำลังล่องลอยผ่านห้วงอากาศอันอบอุ่นอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง ก่อนจะเหยียบลงพื้นด้วยสัมผัสอันนุ่มนวล
เมื่อลืมตาขึ้น ซาลก็พบว่าเขากำลังยืนในศาลาสีขาวซึ่งตั้งอยู่กลางทุ่งหญ้าเขียวขจีกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา เบื้องบนเป็นท้องฟ้าสีครามที่มีปุยเมฆสีขาวแต่งแต้มอยู่เล็กน้อย มันเป็นทิวทัศน์ที่ให้ความรู้สึกสงบและผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก
“ที่นี่คือ… สวรรค์งั้นเหรอ?”
“ก็แค่ส่วนหนึ่งน่ะ นี่คือส่วนที่พวกทูตสวรรค์อยู่กัน มันเป็นคนละส่วนกับ ‘ดินแดนแห่งพันธสัญญา’ ที่มนุษย์อยู่ เรียกว่าเป็นสวรรค์ดั้งเดิมก็คงจะได้แหละนะ”
ซาลมองไปรอบ ๆ และพบว่ามีกลุ่มหญิงสาวกำลังนั่งปูเสื่อล้อมวงพูดคุย จิบน้ำชา อยู่ตามจุดต่าง ๆ บ้างก็นั่งอยู่กลางสนามหญ้า บ้างก็นั่งอยู่ข้างแปลงดอกไม้ บ้างก็นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ แม้แต่ละกลุ่มจะนั่งอยู่ห่างกันพอสมควร แต่พอมองออกไปไกล ๆ แล้วเขาก็พบว่ามีหญิงสาวนั่งจับกลุ่มแบบนี้อยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง และครอบคลุมพื้นที่ไกลออกไปจนสุดลูกหูลูกตาเลยทีเดียว
“พี่สาวพวกนี้คือนางฟ้าทั้งหมดเลยเหรอ?”
“พวกทูตสวรรค์น่ะไม่มีเพศหรอก ถึงจะมีรูปลักษณ์ภายนอกคล้ายกับผู้หญิงก็เถอะนะ มองดูดี ๆ สิ ทุกคนน่ะมีหน้าอกแบนแต๊ดแต๋กันทั้งนั้นแหละ”
ทันทีที่ซิสเตอร์พูดจบ ทูตสวรรค์ทุกคนที่นั่งอยู่ตามจุดต่าง ๆ ไม่ว่าจะอยู่ไกลแค่ไหน ต่างก็หันขวับมองมายังจุดที่เธออยู่เป็นตาเดียวกัน ทำให้ซาลถึงกับสะดุ้งเฮือก
“นะ… นี่เขาคงไม่ได้ยินที่พี่สาวพูดหรอกใช่มั้ย?”
“ได้ยินสิ ถึงจะเห็นแบบนี้แต่ว่าพวกนี้น่ะเป็นทูตสวรรค์ระดับ ‘ผู้พิทักษ์’ (Guardian) ซึ่งทำหน้าที่เฝ้าประตูสวรรค์อยู่เชียวนะ อย่าโดนรูปลักษณ์นั่นหลอกตาเอาล่ะ ถ้าเขาสู่โหมดต่อสู้แล้วละก็ แต่ละคนจะมีฝีมือไม่ด้อยไปกว่าพวกผู้สร้างสันติภาพระดับ SS เลยล่ะ”
เมื่อซิสเตอร์พูดจบ เหล่าทูตสวรรค์ที่จ้องมายังพี่สาวด้วยสายตาขุ่นเคืองเมื่อสักครู่นี้ก็เปลี่ยนท่าทีเป็นเขินอายไปแทน ทำให้ซาลเริ่มจะรู้สึกไม่เข้าใจกับความคิดของชาวสวรรค์
“ในเมื่อไม่มีเพศ แล้วทำไมเขาต้องถือเรื่องหน้าอกด้วยล่ะ?”
“ไม่เชิงว่าจะถือเรื่องหน้าอกหรอก แค่มันเป็นคำที่ฟังดูผิดหูก็เลยทำให้เกิดความข้องใจน่ะ จริง ๆ แล้วพวกทูตสวรรค์ไม่ค่อยมีอารมณ์ด้านลบอย่างความโกรธหรอกนะ”
ระหว่างที่คุยกันอยู่ก็มีคน ๆ หนึ่งเทเลพอร์ทมายังด้านหน้าของศาลาที่ซาลกับซิสเตอร์ยืนอยู่
คนผู้นั้นมีรูปลักษณ์เป็นชายหนุ่มผมสีทองหน้าตาหล่อเหลา มีดวงตาสีเหลืองอำพันซึ่งส่องประกายสีทองออกมายามต้องแสงสว่างเช่นเดียวกับซาลไม่มีผิดเพี้ยน แม้จะดูสำอางค์แต่ใบหน้าของเขาก็มีลักษณะของผู้ชายโดดเด่นกว่าอย่างเห็นได้ชัด ผิดกับทูตสวรรค์คนอื่น ๆ ที่มีเค้าหน้าออกไปทางผู้หญิงมากกว่า
เขาเป็นทูตสวรรค์คนแรกที่มีรูปลักษณ์ของผู้ชาย ทำให้ในทีแรกซาลคิดว่าคน ๆ นี้คือพระเจ้า แต่เมื่อมองดูดี ๆ แล้วเหล่าทูตสวรรค์โดยรอบก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบสนองใด ๆ กับการปรากฏตัวของคนผู้นี้ แถมชายหนุ่มยังสวมชุดเหมือนกับชุดของพ่อบ้านด้วย เมื่อพิจารณาดูแล้ว เขาจึงน่าจะเป็นทูตสวรรค์ธรรมดามากกว่า
เมื่อเห็นซาล ชายหนุ่มก็เอ่ยคำพูดกับเขาด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“ลาซารัส? ทำไมถึง?”
“เอ่อ… จริง ๆ แล้วผมคือซาลารัสครับ”
“ซาลารัสเหรอ? อ๋อ… เพราะผู้หญิงคนนี้สินะ…”
ชายหนุ่มที่มองดูซาลด้วยแววตาอันอ่อนโยนอยู่จนถึงเมื่อสักครู่นี้ ได้เปลี่ยนไปมองซิสเตอร์ด้วยแววตาอันคมกริบและไม่เป็นมิตรแทน ก่อนจะเอ่ยคำถามออกมา
“เธอมาทำอะไรที่นี่? ถ้าอยากขึ้นมาบนนี้ทำไมไม่ติดต่อมาก่อนล่ะ?”
“แบบนั้นมันเสียเวลานี่นา ช่วยข้ามเรื่องหยุมหยิมไปทีเถอะ พาฉันไปหา ‘คน ๆ นั้น’ หน่อยสิ”
ชายหนุ่มหลับตาลงและถอนหายใจด้วยท่าทีเบื่อหน่าย ราวกับว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาต้องมารับมือกับความเอาแต่ใจของซิสเตอร์ซึ่งแม้จะมีท่าทีเหมือนไม่เต็มใจนัก เขาก็วาดมือขึ้นบนอากาศ ทันใดนั้นก็ปรากฏวงเวทขึ้นที่ใต้เท้าของพวกเขาทั้งสามคน ก่อนมันจะส่องแสงออกมาและส่งทั้งสามไปยังจุดหมายปลายทาง
ทั้งสามคนมาโผล่ที่ด้านล่างของเนินแห่งหนึ่งซึ่งมีต้นไม้ขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่
ใต้ต้นไม้ต้นนั้นมีหญิงสาวในชุดวันพีชสีขาวกำลังนั่งอยู่ใต้ร่มเงาของมัน เธอมีผมสีดำยาวสลวยและสวมหมวกฟางสีเหลืองอ่อนพันด้วยริบบิ้นสีฟ้า จากจุดที่ทุกคนอยู่ทำให้มองเห็นเพียงด้านหลังของเธอเท่านั้น
ที่ทำให้ซาลแปลกใจก็คือ เธอดูเหมือนกับผู้หญิงธรรมดา ๆ คนหนึ่ง ไม่มีแรงกดดันหรือพลังงานใด ๆ แผ่ออกมาจากร่างอันบอบบางนั้นเลย สิ่งที่ห้อมล้อมตัวเธออยู่มีเพียงความเงียบสงบ ไม่มีลักษณะของผู้ทรงอำนาจที่สุดในสามภพเลยสักนิด
“นั่นคือ… พระเจ้างั้นเหรอ?”
“อืม เจ้านั่นแหละ”
“นี่! ระวังคำพูดหน่อยได้มั้ย!?”
ชายหนุ่มเอ็ดใส่ซิสเตอร์ด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวแต่แผ่วเบาจนเกือบจะเป็นการกระซิบ คงเพราะเขาไม่อยากให้เสียงดังจนไปรบกวนหญิงสาวที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้นั้น
“แม้แต่พระเจ้าก็เป็นผู้หญิงเหรอเนี่ย…”
“ก็บอกแล้วไงว่าชาวสวรรค์น่ะไม่มีเพศหรอก เจ้านั่นก็เหมือนกัน”
“แต่ดูยังไงนั่นมันก็รูปลักษณ์ของผู้หญิงชัด ๆ เลยนะ ไหนจะใส่ชุดกระโปรงวันพีชนั่นอีก”
“ของแบบนั้นมันขึ้นกับอารมณ์น่า เธอไม่เคยนึกอยากจะใส่ชุดกระโปรงวันพีชดูบ้างรึไง?”
“จะไปเคยได้ยังไงกันเล่า!?”
“เบาๆหน่อยสิ!”
เมื่อถูกชายหนุ่มปรามเข้า ซาลก็รีบยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเองเพราะเผลอขึ้นเสียงด้วยความลืมตัว ส่วนซิสเตอร์ที่ดูจะไม่สนใจเท่าไหร่ก็เดินนำเข้าไปโดยไม่รอผู้นำทางเลยสักนิด ทำให้เขายิ่งหงุดหงิดขึ้นไปอีก
หลังจากทุกคนเดินเข้าไปใกล้ในระยะหนึ่งแล้ว ชายหนุ่มก็บอกให้ทั้งสองคนหยุดรอเพื่อให้เขาเข้าไปแจ้งเรื่อง แต่หญิงสาวที่นั่งอยู่อีกด้านหนึ่งของต้นไม้ก็เอ่ยคำพูดออกมาซะก่อน
“ให้ทั้งคู่เข้ามาเถอะ ฉันไม่ถือหรอก”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ชายหนุ่มจึงต้องเดินถอยกลับไปด้วยสีหน้าอึดอัดเล็กน้อย แต่ยังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยคำเชิญ ซิสเตอร์ก็เดินสวนเข้าไปทันที ทำให้อีกฝ่ายถึงกับขมวดคิ้ว ส่วนซาลก็เดินตามเข้าไปด้วยท่าทางเกรงใจอย่างที่สุด เพราะกลัวจะถูกโกรธไปด้วย
ซิสเตอร์ไปหยุดยืนอยู่ไม่ห่างจากจุดที่หญิงสาวนั่งอยู่นัก เธอยังคงมองออกไปยังทุ่งหญ้าเขียวขจีอันกว้างไกลสุดลูกหูลูกตานี้โดยไม่มีท่าทีว่าจะหันมา ซิสเตอร์จึงเป็นฝ่ายเริ่มการสนทนาก่อน
“ฉันรับปากเด็กคนนี้ไว้ว่าจะทำให้ความปรารถนาของเขาเป็นจริงอย่างหนึ่ง ซึ่งสิ่งที่ฉันเลือกทำก็คือการพาแม่ของเขากลับไปอยู่ด้วย ฉันรู้ว่าทางสวรรค์มีข้อตกลงกับพีชคีปเปอร์อยู่ แต่ขอแค่เธอรับปากยอมให้แม่ของเด็กคนนี้กลับไปกับฉันก็พอ ส่วนเรื่องอื่น ๆ ฉันจะลองหาทางจัดการดูเอง รับรองว่าไม่ให้กระทบถึงเธอแน่”
ซาลารัสที่ยืนฟังการสนทนาอยู่ด้านหลังของซิสเตอร์รู้สึกตื่นเต้นอย่างที่สุดเพราะคิดว่ากำลังจะได้แม่กลับมาอยู่ด้วยแล้ว
ทันใดนั้น หญิงสาวหันมองมาทางเขา ทำให้ซาลได้เห็นดวงตาคู่งามที่ผิดแผกไปจากดวงตาสีทองของเหล่าทูตสวรรค์หรือผู้สืบเชื้อสายของชาวสวรรค์คนอื่น ๆ มันมีสีน้ำเงินครามราวกับห้วงมหาสมุทรในยามราตรีซึ่งทอประกายความงดงามอันลึกลับที่ยากจะหยั่ง ราวกับมีแรงดึงดูดอันประหลาดชักจูงให้ผู้พบเห็นอยากจะเดินตรงไปเพื่อพิสูจน์ปลายทางอีกฟากที่อยู่ในดวงตานั้น
ใบหน้าของเธอก็เป็นใบหน้าอันเรียวงามได้รูปดูเหมือนกับเด็กผู้หญิงอายุราว 19-20 ปี จึงมีความสดใสของวัยสาว เมื่อบวกกับผิวขาวนวลที่ตัดกับเส้นผมอันดำเงาเป็นประกายของเธอแล้วก็ยิ่งขับเน้นความงามให้เด่นชัดขึ้นไปอีก แม้แต่ซาลที่ปกติจะไม่ค่อยรู้สึกอะไรกับความงามของผู้หญิงนัก เพราะแวดล้อมไปด้วยสาวงามเป็นปกติ แต่เมื่อได้เห็นเธอคนนี้ก็ยังจ้องมองจนตาค้างและลืมหายใจไปครู่หนึ่ง
หญิงสาวปรายตามองมาทางซาลด้วยสายตาที่แฝงความเศร้าสร้อยอยู่เล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยคำพูดกับเขาด้วยเสียงอันไพเราะอ่อนโยน
“ไอริส… แม่ของเธอยังไม่สามารถมาพบกับเธอได้ในตอนนี้หรอก เสียใจด้วยนะ”
คำพูดนั้นทำให้ซาลรู้สึกเหมือนหัวใจตกวูบลงในทันที เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่งเพื่อตั้งสติ ก่อนจะเอ่ยถามอีกครั้ง
“ทะ.. ทำไมล่ะครับ!?”
แม้สีหน้าของเธอจะดูนิ่งเฉย แต่แววตาของหญิงสาวก็สื่อถึงความลำบากใจออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยคำตอบออกมา
“แม่ของเธอไม่ได้อยู่ที่นี่หรอก เธอฝ่าฝืนข้อตกลงระหว่างโลกกับสวรรค์และแอบกลับลงไปยังโลกมนุษย์หลังจากการรุกรานครั้งที่สี่ยุติลง ส่วนตอนนี้เธออยู่ที่ไหน ฉันเองก็ไม่รู้”
คำตอบนั้นทำให้ซาลทั้งรู้สึกสับสนและผิดหวัง
เขาเสียใจที่ไม่ได้พบกับแม่ที่นี่ และไม่เข้าใจว่าทำไมเธอกลับลงไปยังโลกแล้วแต่ไม่เคยไปหาเขา อาจเพราะเธอหาเขาไม่พบ หรืออาจเกิดอะไรบางอย่างทำให้เธอไปหาเขาไม่ได้ ยิ่งคิดซาลก็ยิ่งฟุ้งซ่านและรู้สึกเศร้าจนหลั่งน้ำตาออกมาโดยไม่รู้ตัว
เมื่อเห็นเขาร้องไห้ ทุกคนโดยรอบต่างก็มีปฏิกิริยาแตกต่างกันออกไป
“นี่! เธอทำให้เด็กคนนี้ร้องไห้แล้ว! เห็นมั้ยเนี่ย!?”
ซิสเตอร์เดินเข้าไปหาหญิงสาวที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้และทุบมือเข้ากับลำต้นอย่างแรงจนมีใบไม้โปรยปรายลงมา ส่วนอีกฝ่ายก็แสดงสีหน้าหงุดหงิดระคนลำบากใจพลางพูดโดยหลบตาไปทางอื่น
“นั่นเพราะเธอไปให้ความหวังผิด ๆ กับเขาเองต่างหาก ถ้ามาถามฉันก่อนสักคำละก็ เรื่องแบบนี้ก็ไม่เกิดขึ้นหรอก”
“ฮึ่ม…”
ทั้งสองคนถกเถียงกันไปมา ในขณะที่ซาลพยายามปาดเช็ดน้ำตาที่ไหลอยู่ออก เขาไม่ได้ตั้งใจจะร้องไห้ เพียงแค่เก็บกลั้นความรู้สึกไม่อยู่เท่านั้นเอง จึงไม่อยากให้ทุกคนต้องมาลำบากใจกับเรื่องนี้
ระหว่างนั้น ทูตสวรรค์หนุ่มผู้มีผมสีทองก็เดินเข้ามาหาเขาและย่อตัวลง ก่อนจะโอบกอดเขาไว้ ทำให้ซาลรู้สึกประหลาดใจ
“ไม่ต้องกังวลไปหรอก เธอต้องได้พบกับแม่ของเธอแน่ ผู้หญิงคนนั้นน่ะไม่เคยอยู่ห่างจากเธอหรอกนะ”
คำพูดนั้นทำให้ซาลจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าประหลาดใจ แต่ทูตสวรรค์หนุ่มก็ไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติมอีก เพียงแค่ลูบหลังเขาเบา ๆ ก่อนจะผละตัวออกไป
นั่นเป็นเวลาเดียวกับที่ซิสเตอร์เดินกลับมาหาเขาด้วยท่าทีหงุดหงิด ก่อนจะเอ่ยคำพูดกับเขาด้วยสายตาที่แสดงความรู้สึกผิดออกมา
“เฮ้อ… ต้องขอโทษทีนะ ฉันไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้… ไม่ได้คิดจะทำให้เธอดีใจเก้อเลย… เอาเป็นว่าฉันจะหาทางชดเชยให้เธอก็แล้วกันนะ”
เธอพูดด้วยความระมัดระวังอย่างมาก ทั้งยังไม่กล้าสบตากับเขาตรง ๆ เหมือนกับไม่รู้ว่าจะปลอบใจเขาอย่างไรดีและกลัวว่าจะทำให้ร้องไห้ขึ้นมาอีก ท่าทางเงอะงะแบบนั้นของซิสเตอร์ทำให้ซาลเริ่มยิ้มได้บ้าง
เขารีบปาดน้ำตาที่เหลืออยู่จนหมด ก่อนจะตอบกลับอีกฝ่ายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ ผมไม่เป็นไร แค่รู้สึกตกใจไปหน่อยเท่านั้นเอง”
“อืม… ถ้างั้นก็กลับกันเถอะ เราไปคุยเรื่องอื่น ๆ ต่อที่ลิลลี่โฮไรซอนดีกว่า… เฮ้ ยูโน่ พาพวกเราไปส่งหน่อยสิ”
ซิสเตอร์กวักมือเรียกทูตสวรรค์หนุ่มเหมือนเรียกคนรับใช้ ทำให้อีกฝ่ายส่งสายตาหงุดหงิดมองกลับมา แต่ไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไร หญิงสาวที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ก็เอ่ยคำพูดขึ้นซะก่อน
“จะรีบไปไหนกันล่ะ? พวกเธอยังไม่ได้รับรางวัลเลยนี่”
คำพูดนั้นทำให้ทุกคนต้องหันกลับไปมองเธอด้วยสีหน้าประหลาดใจอีกครั้ง