Doombringer the 5th - ตอนที่ 92
Ch.92 – ตอนพิเศษ 2 – Fifty Shades of ซาลารัส
Translator : YoyoTanya / Author
Extra Ch. 2
Fifty Shades of ซาลารัส
Part 1
สองเดือนผ่านไป นับแต่ซาลกลับมาอยู่กับพี่ชายและพี่สาวที่เมืองกรีวิลล์ อาณาจักรอลาเรีย
ความจริงเซย์ พี่สาวของเขา อยากให้เขาเข้าเรียนในโรงเรียนนักผจญภัยของกรีวิลล์ แต่เพราะตามบันทึกอย่างเป็นทางการแล้ว ซาลกำลังเรียนอยู่ที่ลิลลี่โฮไรซอน จึงไม่สะดวกที่จะทำการลงทะเบียนซ้ำซ้อน หรือใช้ชื่อปลอมในการเข้าเรียนที่นี่
ด้วยเหตุนี้ เธอจึงให้เขาศึกษาหาความรู้ด้วยตนเองแทน โดยให้เขาไปเรียนรู้และฝึกฝนเรื่องต่าง ๆ เซอร์เก้ที่สมาคมนักผจญภัย เหล่านักผจญภัยที่นั่นซึ่งมีทั้งเพื่อนและผู้ใต้บังคับบัญชาของเซอร์เก้ต่างก็ให้การต้อนรับซาลเป็นอย่างดี โดยเฉพาะพวกนักผจญภัยหญิงที่ดูจะชื่นชอบเขามากเป็นพิเศษ เพราะเขาเป็นเด็กผู้ชายที่ดูน่ารักน่าทะนุถนอม ผิดกับคนพี่อย่างเซอร์เก้ที่มักจะมีสีหน้าเคร่งขรึมเฉยชาอยู่ตลอดเวลา
เหล่านักผจญภัยทั้งชายและหญิงมักจะหยิบยกความต่างของพี่น้องคู่นี้ขึ้นมาแซวเซอร์เก้อยู่บ่อย ๆ (ดูเหมือนก่อนนี้ก็จะแซวเรื่องที่เขามีบุคลิกแตกต่างจากเซย์ น้องสาวที่ค่อนข้างสดใสร่าเริงอยู่แล้ว) แต่เซอร์เก้ก็ไม่ได้ถือสาอะไร เพราะทุกคนเพียงแค่หาเรื่องหยอกล้อเขาเล่นเท่านั้น ซาลมองออกว่าทุกคนต่างก็ให้ความนับถือเซอร์เก้ในฐานะหัวหน้าสมาคม แต่ในเวลาเดียวกันก็ยังทำตัวสนิทสนมและคุยเล่นได้เหมือนเพื่อน บรรยากาศในสมาคมจึงเป็นไปอย่างอบอุ่น ราวกับเป็นครอบครัว
เซอร์เก้มักจะพาซาลออกไปทำภารกิจด้วยเป็นครั้งคราว แม้เขาจะไม่สามารถบันทึกความสำเร็จในการทำภารกิจลงในทะเบียนประวัตินักผจญภัยของตนเองได้ เพราะจะขัดแย้งกับที่อยู่ของเขาซึ่งควรอยู่ในลิลลี่โฮไรซอน แถมภารกิจที่เซอร์เก้พาไปยังเป็นภารกิจระดับสูงที่นักผจญภัยรุ่นเยาว์ไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมอีกด้วย แต่ซาลก็ชื่นชอบการได้ร่วมภารกิจแบบนี้มาก
เมื่อกลับมาจากสมาคมในช่วงบ่ายหรือเย็น เซย์ก็จะเป็นคนสอนเรื่องวิชาการให้กับเขาต่อ และในบางครั้งก็จะสอนวิชาต่อสู้ให้กับเขาด้วย
สิ่งที่ทำให้ซาลประหลาดใจก็คือ การที่เซย์มีความสามารถในการต่อสู้เทียบเท่ากับนักผจญภัยระดับท็อป แต่คนที่นี่ไม่มีใครรู้เรื่องนี้เลย รวมถึงเซอร์เก้ด้วย
อันที่จริงตัวเขาเองก็เข้าใจตามนั้น เพราะสมัยที่ทุกคนยังอยู่ด้วยกัน เซย์มีภาพลักษณ์เป็นพี่สาวที่อ่อนโยน ศึกษาแต่ความรู้ทางวิชาการและวิชาแพทย์ ไม่เคยข้องเกี่ยวกับวิชาการต่อสู้เลยสักครั้ง หากไม่เพราะได้ยินเรื่องของเธอจากแซนโดรกับลานาเทล ซาลก็คงเข้าใจว่าเธอเป็นพี่สาวที่ไม่เคยข้องเกี่ยวกับการต่อสู้เช่นเดิม
พอรู้ว่าความลับนี้ถูกเปิดเผย เซย์ก็หรี่ตา พองแก้ม แสดงอาการไม่พอใจออกมานิดหน่อย แต่ก็กลับคืนสีหน้าตามปกติของเธออย่างรวดเร็ว ก่อนจะบอกให้ซาลสัญญากับเธอว่าจะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ให้ใครฟัง ซึ่งแม้เขาจะพยายามถามเหตุผล คำตอบที่เขาได้ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า ‘ความลับคืออาภรณ์ของผู้หญิง’ เขาเดาว่ามันคงเป็นเจตนาที่จะเล่นอะไรสักอย่างของเซย์ จึงรับปากโดยไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อ
กิจวัตรในแต่ละวันของซาลดำเนินไปอย่างเรียบง่าย ตอนเช้าก็ไปยังที่ทำการสมาคมนักผจญภัย พูดคุยกับสมาชิกของสมาคม อ่านรายงานการทำภารกิจเพื่อศึกษาวิธีการต่อสู้และข้อมูลของมอนสเตอร์ในเชิงทฤษฎี บางครั้งก็ติดตามเซอร์เก้หรือคนในสมาคมไปทำภารกิจด้วย เมื่อเสร็จแล้วก็กลับมาที่คฤหาสน์ ซึ่งเซย์จะกลับมาจากมหาวิทยาลัยในช่วงเย็นพอดี และสอนเรื่องทางวิชาการให้กับเขา แต่เพราะโดยปกติซาลเป็นคนหัวไวและอ่านหนังสือเยอะอยู่แล้ว เธอจึงไม่ค่อยมีอะไรต้องสอนมากนัก นอกเหนือจากบางครั้งที่เป็นการฝึกฝนการต่อสู้เล็ก ๆ น้อย ๆ แล้ว ทั้งสองคนก็จะใช้เวลาไปกับการพูดคุยหรือเที่ยวเล่นซะมากกว่า
ทุกวันเสาร์ ซาลจะใช้แหวนเทเลพอร์ทที่ได้รับมาจาก ‘ซิสเตอร์’ ในการเดินทางกลับไปยังลิลลี่โฮไรซอน เพื่อไปยังห้องสมุดส่วนตัวที่เธออนุญาตให้เขาใช้ในการค้นคว้าข้อมูลได้ และวันนี้ก็เป็นวันเสาร์พอดี หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จและบอกกล่าวกับพี่ ๆ ทั้งสองแล้ว ซาลจึงกลับขึ้นมาบนห้องของตัวเองเพื่อเตรียมทำการเทเลพอร์ท
แม้จะเคยทำการเทเลพอร์ทมาแล้วหลายครั้ง แต่เขาก็ยังต้องใช้เวลาเตรียมตัวเตรียมใจก่อนเทเลพอร์ทสักครู่หนึ่งอยู่ดี ไม่ใช่เพราะยังไม่ชินกับการเทเลพอร์ท แต่ไม่ชินกับการที่ต้องกลายเป็นผู้หญิงหลังจากไปโผล่ที่ลิลลี่โฮไรซอนต่างหาก
หลังจากสูดลมหายใจลึก ๆ แล้วผ่อนออกมาเป็นครั้งสุดท้าย ซาลก็ถ่ายเทพลังเวทพร้อมกับหมุนวงแหวนที่สวมอยู่บนนิ้วชี้ของเขาเพื่อทำการเทเลพอร์ทไปยังลิลลี่โฮไรซอน ทันใดนั้นก็เกิดลำแสงสว่างวาบแผ่ขึ้นมาจากพื้นจนกลืนร่างของเขาไปทั้งตัว เมื่อแสงนั้นดับวูบลง ร่างของเด็กผู้ชายที่เคยยืนอยู่ตรงนั้นก็หายไป
——————————————————————————————————–
Part 2
ซาลปรากฎตัวขึ้นอีกครั้งที่กลางห้องโถงของห้องผู้อำนวยการแห่งมหาวิทยาลัยลิลลี่โฮไรซอน ตามปกติแล้วแหวนเทเลพอร์ทของลิลลี่โฮไรซอนจะส่งผู้เดินทางไปยังลานกว้างด้านหน้าตึกอำนวยการของมหาวิทยาลัย แต่ดูเหมือน ‘ซิสเตอร์’ จะปรับแต่งแหวนวงนี้เป็นพิเศษ ให้มันส่งเขามายังห้องนี้โดยตรง
ทันทีที่การเทเลพอร์ทเสร็จสิ้น ซาลก็เอามือลูบคลำตามร่างกายพร้อมทั้งบิดตัวไปมาด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน การเปลี่ยนร่างเป็นผู้หญิงทำให้ร่างกายของเขาหดลงกว่าเดิมเล็กน้อย เสื้อผ้าที่สวมอยู่จึงหลวมขึ้น แถมยังมีความรู้สึกแปลก ๆ จากการหายไปของซาลารัสน้อยที่เคยอยู่ตรงหว่างขาอีก ทำให้ไม่ว่าจะกี่ครั้งเขาก็รู้สึกไม่ชินอยู่ดี
ซาลกวาดตามองไปยังโต๊ะของผู้อำนวยการซึ่งตั้งอยู่บนพื้นยกระดับฝั่งตรงข้ามกับประตูทางเข้า โต๊ะตัวนั้นก็ยังคงว่างเปล่าเหมือนเช่นเคย ทำให้ในห้องนี้มีเพียงเขาอยู่ตามลำพัง
ความจริงคือนอกจากครั้งแรกสุดที่มาที่นี่ เขาก็ไม่ได้พบกับซิสเตอร์อีกเลย ครั้งแรกนั้นเธอมาปรากฏตัวต่อหน้าทันทีที่เขาเดินทางมาถึง ก่อนจะนำทางเขาไปยังชั้นหนังสือตรงมุมห้องเพื่อสอนว่าต้องดึงหนังสือเล่มไหนออกมาชั้นหนังสือถึงจะเลื่อนออกและเผยให้เห็นประตูลับที่อยู่ด้านหลัง นอกจากครั้งนั้นแล้ว ซาลก็ไม่ได้พบกับเธออีกเลย ห้องผู้อำนวยการแห่งนี้จึงว่างเปล่าอยู่ตลอด
ซาลเดินไปยังชั้นหนังสือตรงมุมห้องเพื่อเตรียมจะเปิดประตูลับเข้าไปยังห้องสมุด แต่ในระหว่างที่เขากำลังเอื้อมมือไปดึงหนังสือที่เป็นกลไกของประตูอยู่นั้นเอง ประตูบานคู่ด้านหน้าของห้องก็ถูกเปิดออกอย่างแรงจนเขาต้องหันกลับไปมอง
หญิงสาวในชุดนักเรียนของลิลลี่โฮไรซอนก้าวเข้ามาในห้องด้วยท่าทางรีบร้อน เธอมีอาการเหนื่อยหอบเล็กน้อยทั้งยังมีเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ผุดขึ้นบริเวณริมหน้าผาก ราวกับกำลังวิ่งหนีอะไรมา แต่พอได้เห็นคนที่อยู่ในห้อง เธอก็ยิ้มออกมา
ในแวบแรกซาลไม่แน่ใจว่าคนที่มาเป็นใครเพราะเธอยืนอยู่ไกลบวกกับใส่ชุดที่ดูไม่คุ้นตา แต่เมื่อได้มองอย่างถนัดแล้วเขาก็จำเส้นผมสีทองที่หยิกเป็นลอนและดวงตาสีแดงคู่งามที่ทั้งดูเจ้าเล่ห์และร้ายลึกนั้นได้
เธอก็คืออัลติม่านั่นเอง
อัลติม่ายืดตัวตรงและหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูครู่หนึ่งเพื่อสงบลมหายใจและเก็บอาการดีใจของเธอไว้ ก่อนจะค่อย ๆ เดินเข้าไปหาซาลพร้อมกับกล่าวทักทาย
“มะ… ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
“อื้ม อัลติม่าอยู่ที่นี่สบายดีรึเปล่า? ผมเคยถามหาอัลติม่ากับพี่สาวอยู่เหมือนกัน แต่เห็นว่าเขาให้อัลติม่าเข้าเรียนที่นี่แล้ว ก็เลยไม่อยากรบกวนน่ะ… ว่าแต่นั่นมันชุดของแผนกมัธยมไม่ใช่เหรอ?”
ซาลเคยเห็นชุดนักเรียนของระดับชั้นอื่น ๆ จากการพาเดินชมสถานที่ของซิสเตอร์ทำให้จำได้ว่าเคยเห็นชุดยูนิฟอร์มแบบนี้ในแผนกมัธยม ซึ่งจะเป็นชุดนักเรียนสองส่วน ต่างกับชุดของระดับนักศึกษามหาวิทยาลัยที่เป็นชุดกระโปรงยาวส่วนเดียวสวมทับด้วยเสื้อสูทแบบครึ่งตัว แต่เขาไม่แน่ใจว่าชุดที่อัลติม่าสวมอยู่เป็นขุดของแผนก ม. ต้น หรือ ม. ปลาย กันแน่
อัลติม่าที่ได้ยินคำถามนั้นก็หลบสายตาไปทางอื่นแต่ก็ยังเก็บอาการกระวนกระวายเอาไว้ไม่มิด
จะให้เธอบอกกับเขาได้ยังไงกันล่ะว่าหลังจากรับการทดสอบวัดระดับความรู้แล้วเธอได้คะแนนแค่เทียบเท่าระดับ ม. ต้น เท่านั้น ชุดที่ใส่มาจึงเป็นยูนิฟอร์มของแผนก ม. ต้น ที่เธอเพิ่งจะเข้าเรียน ปกติแล้วเธอต้องจำแลงร่างให้อายุน้อยกว่านี้ด้วยเพื่อไม่ให้ดูเป็นเด็กโข่งที่ต้องเรียนซ้ำชั้น แต่เพราะรีบร้อนจะมาหาเขาจึงรีบคืนร่างเดิมโดยไม่ทันได้เปลี่ยนชุด
“ระ… เรื่องนั้นไม่ต้องไปสนใจหรอกน่า! สรุปว่าเธอจะมาที่นี่ทุก ๆ วันเสาร์สินะ? ยัยผู้หญิงคนนั้นน่ะไม่ยอมบอกกำหนดเวลาของเธอให้ฉันรู้ซะที ถึงได้ต้องคอยตรวจสอบจากพันธสัญญาอัญเชิญทุกชั่วโมงแบบนี้น่ะ”
เพราะซาลยังมีพลังอยู่ในระดับต่ำ ทำให้ระยะทางที่สามารถติดต่อกันด้วยพันธสัญญาอัญเชิญถูกจำกัดไปด้วย ซึ่งเขาก็ลืมนึกถึงเรื่องนี้ไป หลักจากแยกกับทุกคนแล้วจึงแทบติดต่อใครไม่ได้เลย แม้แต่อัลติม่าที่อยู่ห่างกันไปแค่หนึ่งเขตอาณาจักรก็ยังไม่สามารถติดต่อกันได้ แต่ซาลก็ยังไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องสำคัญเท่าไหร่เพราะถ้าจำเป็นจริง ๆ ก็ขอให้ซิสเตอร์ช่วยทำการติดต่อกับคนอื่น ๆ ได้ ผิดกับอัลติม่าที่รู้สึกอึดอัดมากเพราะไม่สามารถติดต่อเขาได้เป็นเวลาร่วมสองเดือนแล้ว
“เอ๋? อัลติม่าคอยเช็คการมาของผมทุกชั่วโมงเลยเหรอ? มีธุระอะไรรึเปล่า?”
ซาลเอ่ยถามด้วยความสงสัยเพราะคิดว่าอัลติม่าคงจะมีเรื่องด่วนถึงต้องหาทางติดต่อเขาให้ได้แบบนี้ แต่เธอกลับหลบสายตาและพูดกลบเกลื่อนไปทางอื่นแทน
“กะ… ก็ยังไม่มีอะไรหรอก… แต่ถ้ารอให้เกิดเรื่องก่อนค่อยหาวิธีติดต่อกันมันก็จะไม่ทันการไม่ใช่เหรอ? เอ้า นี่แหวนสื่อสารสำหรับติดต่อกับฉัน รับไปซะ”
อัลติม่าแสดงท่าทีเขินอายเล็กน้อยแถมยังหลบสายตาไปทางอื่นในระหว่างยื่นแหวนให้ ทำให้ซาลที่ไม่ค่อยจะคิดอะไรให้มากความอยู่แล้วรับแหวนมาโดยไม่ทันสังเกตอาการของเธอ
เมื่อส่งแหวนให้กับเขาแล้ว อัลติม่าก็เหลือบตากลับไปมองเขาอีกครั้ง แต่พอเห็นท่าทางเฉยชา เหมือนไม่ค่อยจะใส่ใจอะไรนั้นแล้ว เธอก็อดนิ่วหน้าแสดงความไม่พอใจออกมาแวบหนึ่งไม่ได้ แต่ก็รีบปรับอารมณ์และตีสีหน้ากลับเป็นปกติดังเดิมในเวลาอันรวดเร็ว
นี่ก็เป็นหนึ่งในผลจากการอบรมของซิสเตอร์เช่นกัน เธอสอนอัลติม่าว่าเกมความรักก็เหมือนกับการเล่นไพ่โป๊กเกอร์ คนที่แสดงอารมณ์ออกมาโดยไม่รู้จักปิดบังก็ไม่ต่างจากการหงายไพ่ให้อีกฝ่ายรู้ไต๋ของตนเองทั้งหมด จะไม่เหลืออำนาจในการต่อรองหรือชิงความได้เปรียบจากฝ่ายตรงข้ามอีกต่อไป ทำให้ไม่มีทางชนะเกมได้ อย่างไรก็ตาม การเก็บอารมณ์หรือตีสีหน้าไม่ใช่ความถนัดของอัลติม่าสักเท่าไหร่ ตอนนี้จึงยังทำได้แค่รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติก่อนอีกฝ่ายจะสังเกตเห็นเท่านั้น
เมื่อปรับอารมณ์ได้แล้ว อัลติม่าก็เอ่ยถามซาลเพื่อคลายความข้องใจในเรื่องที่เธอรู้สึกสงสัยมาตลอดเวลาเกือบหนึ่งเดือนนี้
“นี่ เธอแวะมาที่นี่แค่ช่วงเวลาสั้น ๆ แล้วก็กลับไปเหรอ? ฉันน่ะคอยตรวจเช็ควงเวทพันธสัญญาทุกชั่วโมงว่ามีสัญญาณรึเปล่า แต่ก็ไม่เคยจับสัญญาณของเธอได้เลย ช่วงสองสามวันนี้ก็เลยเปลี่ยนมาเช็คทุก ๆ ครึ่งชั่วโมงแทน ถึงได้เจอนี่แหละ”
เมื่อได้ยินคำบอกกล่าวของอัลติม่า ซาลก็แสดงสีหน้าประหลาดใจก่อนจะตอบออกมา
“เอ๋? ก็ไม่นะ ทุกครั้งผมก็ใช้เวลาอยู่ที่นี่เกือบทั้งวันแหละ… อ๋อ คงจะเป็นเพราะห้องนี้ล่ะมั้ง”
“ห้องนี้เหรอ?”
อัลติม่าทวนคำพูดของนั้นด้วยความสงสัย ซาลจึงขยับหนังสือเล่มหนึ่งบนชั้นวางเพื่อให้กลไกทำงาน ทันใดนั้นชั้นหนังสือก็เคลื่อนตัวไปด้านข้าง เผยให้เห็นประตูลับซึ่งซ่อนอยู่ด้านหลัง
เมื่อประตูลับปรากฏต่อหน้าทั้งสองคนแล้ว ซาลก็หันกลับมาอธิบายให้อัลติม่าฟังอีกครั้ง
“นี่เป็นห้องสมุดลับที่พี่สาวอนุญาตให้ผมใช้น่ะ ดูเหมือนว่าภายในนี้จะเป็นเขตแดนพิเศษที่เธอสร้างขึ้นด้วยเวทมนตร์อะไรสักอย่าง ทำให้เวลาภายในห้องดำเนินไปเร็วกว่าโลกภายนอกหลายเท่าตัว เหมือนกับ ‘ห้องแห่งกาลเวลา’ ในบันทึกของโลกเก่าล่ะมั้ง รู้สึกว่าหนึ่งชั่วโมงในห้องนี้จะเท่ากับหนึ่งนาทีของโลกภายนอก ในแต่ละครั้งที่ผมมาก็จะใช้เวลาอยู่ในนั้นแค่ราว ๆ หกถึงแปดชั่วโมง เท่ากับผมจะใช้เวลาอยู่ในลิลลี่โฮไรซอนจริง ๆ แค่ไม่เกินแปดนาทีเท่านั้นเอง”
นั่นเป็นเหตุผลที่ซาลเลือกกำหนดการมายังลิลลี่โฮไรซอนเป็นวันเสาร์ และรีบมาที่นี่ตั้งแต่เช้า เพราะหลังกลับจากลิลลี่โฮไรซอน เขาก็ต้องอยู่ในร่างของผู้หญิงต่อไปอีกยี่สิบสี่ชั่วโมง ดังนั้นหากรีบมาและกลับไปตั้งแต่เช้าวันเสาร์ ก็จะสามารถเก็บตัวอยู่แต่ในคฤหาสน์ตลอดทั้งวันเพื่อหลีกเลี่ยงคำถามและความยุ่งยากต่าง ๆ ได้ พอถึงเช้าวันอาทิตย์ก็จะกลับเป็นผู้ชายและใช้ชีวิตตามปกติได้พอดี
เมื่อได้ฟังคำอธิบาย อัลติม่าก็แสดงสีหน้าที่สื่อถึงความเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งออกมา
“แบบนี้นี่เอง… เป็นห้องที่มีโครงสร้างเหมือนกับห้องนอนของแม่นั่นสินะ”
“ห้องนอนเหรอ?”
ซาลเอ่ยถามด้วยท่าทีสงสัย อัลติม่าจึงอธิบายให้เขาฟัง
“อืม ช่วงแรก ๆ ที่อยู่ที่นี่น่ะฉันก็เห็นแม่นั่นเอาแต่ทำงานทั้งวันทั้งคืนไม่มีหยุดพักเลย เคยสงสัยเหมือนกันว่ายัยนั่นไม่รู้จักหลับจักนอนบ้างรึไงนะ จนกระทั่งมีครั้งนึงเคยเข้าไปในห้องนอนของยัยนั่น ถึงได้รู้ว่าห้องนั้นมีลักษณะพิเศษทำให้ห้วงเวลาตัดขาดจากโลกภายนอก ก็เลยนอนได้อย่างเต็มอิ่มแล้วออกมาทำภารกิจต่อได้ทันทีราวกับเป็นคนที่ตื่นอยู่ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง”
หลังจากฟังที่อัลติม่าพูด ซาลก็พยักหน้าในเชิงเข้าใจออกมา ก่อนจะถามต่อ
“อย่างนี้นี่เอง… ว่าแต่นอกจากครั้งแรกแล้วผมก็แทบจะไม่ได้เจอพี่สาวอีกเลยนะ ปกติเขาไปทำอะไรอยู่ที่ไหนเหรอ?”
“ตอนนี้… น่าจะกำลังเรียนอยู่ล่ะมั้ง ถ้าไม่มีแขกคนสำคัญให้ต้องกลับมาต้อนรับ หรือไม่มีเรื่องสำคัญอะไรจริง ๆ แม่นั่นก็ไม่ค่อยกลับมาที่นี่ในช่วงกลางวันหรอก”
“เรียนเหรอ? เรียนอะไรอะ?”
ซาลแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมามากกว่าเดิมเพราะไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายบอก ส่วนอัลติม่าก็อธิบายต่อด้วยสายตาที่เย็นชานิด ๆ ไม่ใช่เพราะเธอรำคาญกับคำถามของเขา แต่เพราะไม่ค่อยอยากจะเสียเวลาไปกับการคุยเรื่องของคนอื่นสักเท่าไหร่
“ก็เรียนหนังสือนั่นแหละ แม่นั่นน่ะชอบปลอมตัวเป็นนักเรียนไปนั่งเรียนปนกับพวกเด็ก ม. ต้น หรือ ม. ปลาย เป็นประจำเลย จนกระทั่งเลิกเรียนตอนเย็นนั่นแหละถึงจะกลับมาที่นี่”
“ปลอมตัวไปเรียนหนังสืองั้นเหรอ…”
พอมานึกดูแล้ว ครั้งแรกที่เจอกับซิสเตอร์ซาลก็เห็นเธออยู่ในรูปลักษณ์ของเด็ก ม. ต้น และสวมชุดนักเรียนอยู่เช่นกัน จึงคิดว่านี่คงเป็นกิจวัตรปกติของเธอมานานแล้ว
แม้จะยังรู้สึกข้องใจนิดหน่อย แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะต้องไปใส่ใจนัก บวกกับท่าทีของอัลติม่าที่เหมือนจะไม่ค่อยอยากคุยเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ เขาจึงไม่ได้ซักไซ้อะไรอีก และหันไปผลักประตูที่อยู่เบื้องหน้าออก เผยให้เห็นม่านแสงสีขาวนวลคล้ายกับประตูมิติปรากฏออกมา แม้มันจะส่องแสงสว่างออกมาเพียงอ่อน ๆ แต่นั่นก็มากพอที่จะทำให้มองไม่เห็นสิ่งที่อยู่อีกด้านหนึ่งของประตู
ซาลก้าวเข้าไปในม่านแสงนั้นโดยมีอัลติม่าเดินตามเข้าไปติด ๆ เมื่อทั้งสองคนเข้าไปด้านในแล้ว ประตูก็ปิดลงอีกครั้ง ก่อนที่ชั้นวางหนังสือจะเลื่อนกลับมายังจุดเดิม ทำให้ห้องของผู้อำนวยการแห่งมหาวิทยาลัยลิลลี่โฮไรซอนเหลือเพียงความว่างเปล่า
——————————————————————————————————–
Part 3
เมื่อก้าวพ้นม่านแสงออกมาแล้ว อัลติม่าก็พบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่บนระเบียงแห่งหนึ่ง แต่ทันทีที่กวาดสายตามองไปโดยรอบ ทิวทัศน์ที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าก็ทำให้เธอต้องตกตะลึง
สิ่งที่เธอเห็นนั้นดูคล้ายกับเมืองขนาดใหญ่ที่สร้างอยู่ในชั้นใต้ดิน แสงสว่างจากหน้าต่างแต่ละบานทำให้มันดูราวกับเป็นมหานครยามค่ำคืนที่ไม่เคยหลับใหล แต่พอมองดูดี ๆ แล้ว เธอก็พบว่าสิ่งที่เธอเห็นไม่ใช่แสงสว่างจากหน้าต่าง แต่เป็นแสงจากเพดานของชั้นหนังสือแต่ละชั้นซึ่งวางเรียงกันอยู่ พูดง่าย ๆ ว่าสิ่งที่เธอคิดว่าเป็นอาคารบ้านเรือนในทีแรกนั้นความจริงเป็นชั้นหนังสือขนาดยักษ์ที่ถูกแบ่งออกเป็นชั้น ๆ และวางซ้อนทับเรียงรายกันจนดูราวกับเป็นอาคารสูง
ที่แห่งนี้เหมือนกับเป็นอุโมงค์ขนาดใหญ่ เพดานด้านบนอยู่สูงจากระเบียงที่ทั้งสองคนยืนอยู่ขึ้นไปอีกกว่าสามสิบเมตร ส่วนพื้นที่อยู่ใต้ระเบียงก็อยู่ต่ำลงไปอีกร่วมสิบเมตรเช่นกัน รวม ๆ แล้วถ้านับจากพื้นด้านล่าง เพดานของห้องโถงแห่งนี้น่าจะมีความสูงเกือบห้าสิบเมตร หรือเทียบเท่ากับตึกสิบชั้น แถมความยาวของชั้นหนังสือแต่ละกลุ่มที่แผ่กว้างออกไปไกลสุดลูกหูลูกตานี้ยังทำให้บรรยากาศของที่นี่ราวกับเป็นโลกต่างมิติ เป็นมิติแห่งหนังสือก็ว่าได้
อัลติม่าเพิ่งเคยจะมาที่แห่งนี้เป็นครั้งแรกจึงยืนตะลึงงันกับทิวทัศน์ที่ได้เห็นอยู่เป็นเวลานาน สมัยก่อนเธอก็คิดว่าห้องสมุดของมาลาไคท์คีปเป็นห้องสมุดใหญ่มาก ๆ แล้ว แต่เมื่อเทียบกับที่นี่ ห้องสมุดของมาลาไคท์คีปก็กลายเป็นแค่มุมเล็ก ๆ ของที่แห่งนี้เท่านั้นเอง
ซาลมองดูสีหน้าตกตะลึงของอัลติม่าด้วยแววตาพึงพอใจ ในครั้งแรกที่มาที่นี่เขาก็มีปฏิกิริยาแบบนี้เช่นกัน เขายังคิดอีกว่าถ้าผู้ชื่นชอบหนังสือตัวจริงอย่างแซนโดรหรือลานาเทลได้มาเห็นที่แห่งนี้เข้าจะแสดงอาการแบบไหนออกมากันนะ
หลังจากแอบดูปฏิกิริยาของอีกฝ่ายจนพอใจแล้ว ซาลจึงก้าวเดินต่อไปที่ริมระเบียง อัลติม่าที่เพิ่งรู้สึกตัวหลังจากซาลเดินห่างออกไประยะหนึ่งแล้วจึงรีบเดินตามไป
ตรงริมระเบียงซึ่งทอดแนวเป็นทรงโค้งยื่นออกไปกลางอากาศนั้น มีลวดลายอักขระของวงเวทวงหนึ่งถูกสลักอยู่บนพื้นทำให้มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เมื่อเห็นซาลเดินเข้าไปในวงเวทและหันกลับมามอง อัลติม่าก็ก้าวตามเข้าไปในวงเวททันที
พออัลติม่าเข้ามายืนในวงเวทแล้ว ซาลก็เอื้อมมือไปคว้ามือของเธอเอาไว้ ทำให้อัลติม่ารู้สึกตกใจและมีสีหน้าตื่นตระหนกนิดหน่อย แต่ก็พยายามเก็บอาการไม่ให้เขาเห็น ซึ่งยังไม่ทันที่เธอจะเอ่ยถามอะไร ซาลก็ชี้ไปยังชั้นลอยซึ่งลอยอยู่บนอากาศจริง ๆ ตรงจุดที่ดูเหมือนจะเป็นจุดกึ่งกลางของเมืองใต้ดินขนาดไพศาลแห่งนี้ และอธิบายให้เธอฟัง
“เดี๋ยวเราจะไปที่นั่นกัน เพราะห้องสมุดนี่ใหญ่มาก พี่สาวก็เลยสร้างวงเวทเคลื่อนย้ายเอาไว้แทบทุกจุดเลยเพื่อให้สะดวกต่อการเดินทาง จับมือผมไว้นะ”
อัลติม่าแค่เม้มปากไว้โดยไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ความจริงคือแค่พยายามเก็บอาการตื่นเต้นเอาไว้ไม่ให้เขารู้ก็เต็มที่แล้ว
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเตรียมตัวพร้อมแล้ว ซาลก็ถ่ายเทพลังเวทเพื่อเปิดการทำงานของวงเวทเคลื่อนย้าย ลวดลายอักขระบนพื้นจึงเปล่งแสงสว่างวาบออกมา ทันใดนั้นร่างของทั้งสองคนก็หายไปจากวงเวทบนระเบียง
ทั้งคู่มาปรากฏตัวอีกครั้งที่วงเวทซึ่งอยู่ตรงใจกลางของชั้นลอย รอบ ๆ จุดที่พวกเขายืนอยู่มีมีชุดโต๊ะและเก้าอี้สำหรับนั่งอ่านหนังสือถูกจัดวางอยู่หลายสิบชุด บ้างก็เป็นโต๊ะยาวขนาดใหญ่พร้อมกับเก้าอี้แปดถึงสิบตัว บ้างก็เป็นโต๊ะตัวเล็ก ๆ ที่มีเก้าอี้เพียงสองถึงสี่ตัว
ซาลเดินนำอัลติม่าไปยังโต๊ะยาวตัวหนึ่งซึ่งมีหนังสือวางกองพะเนินราวกับภูเขา มันเป็นหนังสือที่เขาเคยรวบรวมเอาไว้เมื่อตอนมาครั้งที่แล้วและยังอ่านไม่จบ วันนี้เลยจะมาเพื่ออ่านต่อนั่นเอง
“หนังสือที่ผมหยิบมาส่วนใหญ่จะเป็นหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ไม่ก็เวทอัญเชิญแหละนะ อัลติม่าจะลองไปหาหนังสือที่ตัวเองอยากอ่านมานั่งอ่านบ้างก็ได้ เดี๋ยวผมจะให้ยืมแหวนสำหรับเปิดดูแผนผังของห้องสมุดก็แล้วกัน… อ๊ะ?”
ซาลเดินตรงมายังโต๊ะหนังสือพลางคุยกับอัลติม่าไปด้วย แต่พอเข้ามาใกล้ในระยะหนึ่งเขาก็พบว่าที่ด้านหลังของกองหนังสือนั้นยังมีคนอีกคนหนึ่งนั่งอยู่อีกฟากของหนังสือกองโตเท่าภูเขานั้น
เธอมีผมยาวสีขาว ผิวนวลเนียนราวกับหิมะ สวมชุดกาวน์สีขาวเหมือนกับแพทย์หรือนักวิทยาศาสตร์ หากไม่เพราะดวงตาสีฟ้าอ่อนที่จับจ้องกลับมายังผู้มาเยือนคู่นั้น ใครที่ได้เห็นก็คงต้องคิดว่าเธอเป็นรูปปั้นหรือรูปแกะสลักในมหาวิหารที่ไหนสักแห่งเป็นแน่
ผู้ที่นั่งอยู่ด้านหลังของกองหนังสือที่วางสุมกันอยู่ก็คือ อาร์วิน สโลน นั่นเอง
ซาลรู้สึกแปลกใจมาก เพราะเขาไม่เคยพบใครอยู่ในห้องสมุดแห่งนี้มาก่อนเลย
“อาร์วิน? ทำไมถึงอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?”
อาร์วินปิดหนังสือที่กำลังอ่านอยู่และส่งยิ้มให้กับอีกฝ่าย ก่อนจะตอบกลับมา
“ฉันอ่านหนังสือที่อยู่ในห้องสมุดของมหาวิทยาลัยหมดแล้ว ก็เลยย้ายมาอ่านหนังสือที่นี่หลายวันแล้วน่ะ”
เพราะเวลาหนึ่งชั่วโมงในนี้จะเท่ากับหนึ่งนาทีของโลกภายนอก ทำให้น้อยครั้งมากที่จะมีการพบปะกันในห้องนี้ได้ โดยเฉพาะซาลที่ใช้เวลาอยู่ในนี้ไม่เกินแปดชั่วโมง เท่ากับว่าหากไม่มีใครเข้าประตูมาภายในแปดนาทีก็ไม่มีทางได้เจอกัน แต่เขากลับพบอาร์วินมานั่งอยู่ก่อน แถมยังบอกว่าอยู่ที่นี่มาหลายวันแล้ว แปลว่าเธอน่าจะเข้ามาที่นี่ก่อนหน้าเขาราว ๆ หนึ่งถึงสองชั่วโมง
“อยู่ในนี้มาหลายวันแล้ว? ไม่ได้ออกไปไหนเลยเหรอ? แล้วไม่หิวเหรอ?”
อาร์วินโบกมือเล็กน้อยเป็นเชิงปฏิเสธ ก่อนจะชี้ไปยังพื้นโล่ง ๆ จุดหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ห่างออกไปนัก และตอบคำถามของเขาด้วยรอยยิ้มเช่นเคย
“ไม่หิวหรอก ฉันกินโต๊ะกับเก้าอี้ขนาดแปดที่นั่งไปชุดนึงแล้วน่ะ เพิ่งจะกินเก้าอี้ตัวสุดท้ายหมดไปก่อนที่เธอจะมาถึงไม่กี่ชั่วโมงเอง น่าจะอยู่ท้องไปได้อีกสักสี่หรือห้าชั่วโมงแหละ”
“หะ… หา?”
ซาลขมวดคิ้วด้วยท่าทางประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม เมื่อเห็นอาการของเขา อาร์วินก็ยกมือขึ้นมาป้องปากและแอบหัวเราะในลำคอนิด ๆ
อัลติม่าแสดงสีหน้าที่บ่งบอกถึงความไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน
เพราะเธออุตส่าห์เฝ้าดูวงเวทพันธสัญญาทุกครึ่งชั่วโมงเพื่อดักรอซาล จนในที่สุดก็ได้พบกับเขา วันนี้เห็นว่าเป็นโอกาสดีที่จะได้ใช้เวลาด้วยกันสองต่อสองอย่างเต็มที่ แต่ดันมีก้างขวางคอโผล่มาซะได้ เธอจึงจ้องมองอาร์วินด้วยแววตาอันเป็นปฏิปักษ์ ก่อนจะถามซาลด้วยน้ำเสียงที่พยายามปรับให้นุ่มนวลลง แต่ก็ยังคงแฝงความแข็งกระด้างอยู่นิดๆ
“แม่นี่… เป็นใครเหรอ?”
ซาลเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าคนอื่น ๆ ยังไม่เคยพบกับอาร์วินเลย เพราะตอนที่แยกทางกัน อาร์วินไม่ได้มาที่ห้องของผู้อำนวยการด้วย จึงแนะนำทั้งสองฝ่ายให้รู้จักกัน
“จริงด้วยสินะ อัลติม่า นี่คืออาร์วิน เป็น… คนที่ผมพบที่โลกเก่าน่ะ ส่วนอาร์วิน นี่อัลติม่า เป็นเพื่อนของผมเอง”
เมื่อได้ยินซาลารัสแนะนำว่าเป็น ‘เพื่อน’ หางตาของอัลติม่าก็กระตุกเล็กน้อย แต่ก็ยังปั้นหน้ายิ้มแบบแข็ง ๆ และแนะนำตัวกลับไป
“ฉันอัลติม่า ยินดีที่ได้รู้จัก”
อาร์วินมองดูแวบเดียวก็พอจะเดาความรู้สึกของอัลติม่าที่มีต่อซาลออก ความจริงเธอสังเกตเห็นสีหน้าไม่พอใจของเจ้าตัวตั้งแต่ตอนเข้ามาแล้ว สำหรับคนที่ดูออกง่ายขนาดนี้ อาร์วินไม่รู้สึกถึงภัยคุกคามอะไรเลย แถมยังคิดว่าน่ารักดีซะอีก จึงแนะนำตัวกลับไปด้วยใบหน้าอันยิ้มแย้ม
“ฉันอาร์วิน ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันนะ”
อัลติม่ายิ้มรับการแนะนำตัวของอาร์วิน แต่แววตาก็ยังทอประกายเย็นชาออกมาเล็กน้อย ทว่าอาร์วินก็ไม่ได้ใส่ใจและส่งยิ้มกลับไปด้วยท่าทางเป็นมิตร
เมื่อทั้งคู่แนะนำตัวกันเสร็จแล้ว ซาลก็เดินไปนั่งยังเก้าอี้ตัวหนึ่งและเริ่มหยิบหนังสือที่เขาเคยคัดไว้ขึ้นมาอ่านต่อ พลางพูดคุยกับอาร์วินถึงหนังสือที่เธอให้ความสนใจ อาร์วินเน้นไปที่หนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของโลกใหม่เป็นหลัก เพราะเธออ่านประวัติศาสตร์ในช่วงเวลาหลังจากที่เธอเข้าร่วมโครงการโนอาห์ จนหมดแล้ว และประวัติศาสตร์ของโลกใหม่ที่เป็นโลกแฟนตาซีก็มีความน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว
ทั้งสองคนพูดคุยกันอย่างถูกคอ ทำให้อัลติม่ารู้สึกไม่พอใจนิดหน่อย แต่เพราะไม่สามารถแทรกอะไรได้ จึงได้แต่นั่งลงฟังทั้งสองคนคุยกันอย่างสงบเสงี่ยม
‘สงสัยต้องหัดอ่านหนังสือบ้างซะแล้ว’
เพราะปกติไม่ค่อยชอบอ่านหนังสือจึงไม่สามารถแทรกการสนทนาของทั้งสองคนได้ และต่อให้อาร์วินไม่อยู่ที่นี่ อัลติม่าก็คงได้แต่นั่งดูซาลอ่านหนังสือเงียบ ๆ อยู่ดีเพราะเธอไม่มีความรู้ทางด้านนี้เลย จึงคิดว่าหลังจากนี้คงต้องพยายามอ่านหนังสือให้มากขึ้นซะแล้ว จะได้มีเรื่องมาคุยกับเขาได้
เมื่อคิดได้เช่นนั้น อัลติม่าจึงหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากกองหนังสือที่วางพะเนินกันอยู่ และเริ่มเปิดอ่าน
——————————————————————————————————–
Part 4
หลายชั่วโมงผ่านไป ในห้องสมุดลับของลิลลี่โฮไรซอน
ซาลแบ่งเวลาในการอ่านหนังสือเป็นช่วง ๆ โดยจะใช้เวลาอ่านหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ประมาณสามชั่วโมง อ่านหนังสือเกี่ยวกับเวทอัญเชิญอีกสามชั่วโมง ส่วนเวลาที่เหลือก็จะอ่านหนังสือเกี่ยวกับการสร้างเวทมนตร์ที่อยู่นอกเหนือตำราทั่ว ๆ ไป
ในทีแรก เขาให้ความสำคัญกับการสร้างเวทมนตร์ในรูปแบบใหม่มากที่สุด แต่หลังจากลองศึกษาดูแล้วพบว่ามันเป็นวิทยาการที่มีความซับซ้อนเป็นอย่างมาก เพราะการจะสร้างเวทชนิดใหม่ที่มีการทำงานในรูปแบบเฉพาะตัวจำเป็นต้องทำการผสานคุณสมบัติใหม่ ๆ จากอักขระธาตุอื่นเพิ่มเติมเข้าไปในโครงสร้างทางเวทมนตร์ที่มีอยู่แล้วโดยไม่ให้เกิดความขัดแย้งจนหักล้างกัน และให้การทำงานของมันเกิดผลลัพธ์ได้ดังต้องการ จัดเป็นงานด้านวิศวกรรมเวทมนตร์ที่ต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ ซึ่งนับว่ายังเกินความรู้ความสามารถของเขาในตอนนี้ จึงลดความสำคัญของมันเป็นลำดับสุดท้าย และทุ่มเวลาไปที่การศึกษาประวัติศาสตร์และเวทอัญเชิญแทน
การศึกษาประวัติศาสตร์ เหตุผลก็เพื่อเพิ่มพูนความรู้และพัฒนาความคิดในแง่ต่าง ๆ ซาลรู้ตัวดีว่าเขามองโลกในแง่ดีเกินไป และมักจะมองเรื่องราวต่าง ๆ แบบ ง่าย ๆ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะนี่เป็นนิสัยของเขา อีกส่วนหนึ่งก็เพราะอายุยังน้อยและอ่อนประสบการณ์ เขาจึงคิดว่าการศึกษาประวัติศาสตร์และเรียนรู้เรื่องราวของผู้คนในแง่มุมต่าง ๆ น่าจะช่วยชดเชยความอ่อนประสบการณ์ของเขาไปได้ รวมถึงทำให้คิดหาวิธีที่เหมาะสมในการยึดครองโลกได้ด้วย
ส่วนการศึกษาเวทอัญเชิญ ก็เพราะมันเป็นความสนใจส่วนตัวของเขาอยู่แล้ว และเขายังต้องการจะสร้างสมุนอัญเชิญระดับสุดยอดที่มีพลังเทียบเท่ากับแซนโดร, นิโคล, หรือลานาเทล ออกมาใช้เป็นขุนพลให้ได้ เพื่อจะได้ไม่ต้องให้ทุกคนไปเสี่ยงอันตรายในการต่อสู้ เขาจึงต้องหาทางพัฒนาเวทอัญเชิญของตัวเองให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นไปอีก
ถ้าเป็นไปได้ เขาก็อยากจะศึกษาหาวิชาความรู้จากหนังสือในห้องสมุดแห่งนี้ให้ได้มากที่สุดและรวดเร็วที่สุด ติดตรงที่แม้เวลาในนี้จะเดินเร็วกว่าโลกภายนอกจนการศึกษาตำราแปดชั่วโมงใช้เวลาเพียงแปดนาที แต่ร่างกายของเขาก็ต้องพักผ่อนอยู่ดี ต่อให้ชอบอ่านหนังสือแค่ไหน แต่จะให้อ่านหนังสืออยู่ที่นี่ทั้งวันทั้งคืนเป็นเวลาติดต่อกันก็คงไม่ไหว แม้เขาจะยืมหนังสือหลายเล่มกลับไปอ่านที่บ้านด้วย แต่กว่าจะศึกษาหนังสือแต่ละเล่มจบก็ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง แถมเขายังต้องเจียดเวลาไปดูแลจัดการมอนสเตอร์ในดันเจียนซึ่งตอนนี้มีกว่าร้อยตัวแล้ว ในแต่ละวันจึงเหลือเวลาไม่พออ่านหนังสือจนจบเล่มได้ด้วยซ้ำ รวมแล้วทั้งสัปดาห์จึงมีตำราที่เขาศึกษาจนจบได้อีกแค่ราว ๆ สองถึงสามเล่ม ซึ่งน้อยกว่าจำนวนที่อ่านได้ในห้องสมุดของลิลลี่โฮไรซอนเพียงวันเดียวซะอีก
หากจะเพิ่มวันในการมาที่นี่ ก็ต้องลดวันที่จะไปสมาคมนักผจญภัยลง เพราะซาลไม่อยากให้คนอื่นเห็นในร่างของผู้หญิง และเขาก็ไม่อยากสละเวลาที่จะได้พบปะผู้คนรวมทั้งเก็บเกี่ยวประสบการณ์จริงจากการทำภารกิจด้วย โดยเฉพาะการได้ติดตามเซอร์เก้ไปทำภารกิจนั้นให้ความตื่นเต้นเย้ายวนใจกว่าการนั่งอ่านหนังสืออยู่เงียบ ๆ ในที่แห่งนี้มากนัก ซาลารัสจึงไม่คิดจะสละช่วงเวลาเหล่านั้นเพื่อการอ่านหนังสือ
ซาลตั้งใจไว้ว่าจะพยายามศึกษาหาความรู้และพัฒนาตัวเองให้มากที่สุดเพื่อดำเนินแผนการของเขาในอีกสองถึงสามปีข้างหน้า แปลว่าเขามีเวลาอีกไม่กี่ปีในการศึกษาหาความรู้จากที่นี่
แต่เมื่อกวาดสายตามองไปรอบ ๆ หนังสือที่เขาอยากจะอ่านก็มีอยู่มากมายเหลือคณานับ ต่อให้อุทิศเวลาที่มีทั้งหมดให้กับที่นี่ก็ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาสักกี่ปีจึงจะศึกษาตำราเหล่านี้ได้จนครบ บางทีอาจต้องใช้เวลาหลายสิบปี หรือตลอดชีวิตเลยก็ได้
หนังสือที่เขาอยากอ่านนั้นมีมากมายเหลือเกิน แต่เวลาที่เขาจัดสรรให้กับมันได้จริง ๆ ช่างน้อยนิด ยิ่งทำให้เกิดระยะห่างระหว่างเป้าหมายกับความเป็นจริงมากขึ้นไปอีก การจะอ่านตำราทั้งหมดนี้ภายในเวลาไม่กี่ปีดูเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้เลย และหากฝืนทำจริง ๆ อาจจะบ้าตายไปก่อนก็ได้
แต่ด้วยนิสัยใจร้อน (ในแง่หนึ่ง) บวกกับแนวความคิดที่ไม่เคยถูกจำกัดอยู่ในกรอบของเขา ทำให้ซาลอดหงุดหงิดกับเรื่องนี้ไม่ได้ แม้มันจะดูเป็นเรื่องที่ไม่สามารถปฏิบัติเป็นอย่างอื่นได้ก็ตาม
นิสัยเสียของเขาเริ่มทำงานอีกแล้ว
อาร์วินที่เห็นซาลเริ่มไม่มีสมาธิกับหนังสือที่อ่านอยู่ ทั้งยังมีสีหน้าเคร่งเครียด จึงเอ่ยถามออกมา
“เป็นอะไรไป? ไม่สบายใจเรื่องอะไรงั้นเหรอ?”
อัลติม่าที่ได้ยินคำถามของอาร์วินก็หันไปมองซาลด้วยคน ซึ่งเขาก็ส่ายหน้าเบา ๆ พลางตอบกลับมา
“ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่กำลังคิดว่าทำยังไงถึงจะอ่านหนังสือทั้งหมดนี่ได้ในเวลาที่สั้นที่สุดน่ะ”
คำตอบของเขาทำให้ทั้งอาร์วินและอัลติม่ารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย พวกเธอกวาดสายตาไปรอบ ๆ อีกครั้งเพื่อมองดูหนังสือจำนวนมหาศาลที่อยู่ที่นี่ และต่างก็คิดในใจว่าสำหรับมนุษย์ธรรมดาที่มีอายุขัยจำกัด มันคงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ อาร์วินจึงแจกแจงให้เขาฟัง
“ดูจากหนังสือที่เธอนำมากองรวมกันอยู่นี่ ส่วนใหญ่ที่เธอจนใจคงเป็นเรื่องประวัติศาสตร์และวิทยาการของเวทอัญเชิญสินะ? ฉันลองเดินสำรวจรอบ ๆ ประกอบกับดูแผนผังของห้องสมุดแล้ว หมวดประวัติศาสตร์น่ะเป็นหมวดที่มีหนังสือเยอะที่สุดในบรรดาหนังสือทั้งหมดเลย อาจคิดเป็น 60% ของห้องสมุดแห่งนี้ก็ว่าได้ ทั้งนี้เพราะมันมีของที่เป็นวรรณกรรมรวมอยู่ด้วยน่ะนะ
หรือต่อให้คัดพวกวรรณกรรมออกเหลือแต่ประวัติศาสตร์ที่แท้จริงก็ยังกินพื้นที่เกือบ 20% ของห้องสมุดอยู่ดี คิดเป็นหนังสือหลายล้านเล่มเลยล่ะ แถมการอ่านเพื่อศึกษาและทำความเข้าใจก็ต้องใช้เวลาในการอ่านมากเป็นพิเศษ ขนาดฉันเองในยี่สิบสี่ชั่วโมงยังอ่านไปได้แค่สิบกว่าเล่มเอง คนทั่วไปต่อให้ใช้เวลาเต็มที่ก็คงจะอ่านได้ไม่เกินสิบสี่ชั่วโมงต่อวันหรอก หรือสมมุติให้อ่านได้วันละสิบเล่มจริง ๆ ในหนึ่งปีก็อ่านได้แค่สามพันกว่าเล่ม ถ้าจะอ่านให้ครบหนึ่งล้านเล่มก็คงต้องใช้เวลาร่วมสามร้อยปีนั่นแหละ”
ซาลส่งเสียงคราง อืม… ในลำคอ พลางทำท่าครุ่นคิดไปด้วย ความจริงเขาก็เคยประเมินเวลาที่ต้องใช้คร่าว ๆ เอาไว้แล้ว ที่สำคัญคือนั่นเป็นเวลาที่ต้องใช้สำหรับการอ่านหนังสือแค่ส่วนของประวัติศาสตร์ที่แท้จริงเท่านั้น ตัวเขาเองยังต้องการอ่านประวัติศาสตร์ที่เป็นวรรณกรรมด้วย เพราะรู้สึกว่ามันให้แง่คิดและช่วยพัฒนาความรู้ได้ไม่ด้อยไปกว่ากัน อีกทั้งยังมีหนังสือเกี่ยวกับวิทยาการเวทอัญเชิญ และการพัฒนาเวทมนตร์ชนิดใหม่ที่เขาอยากอ่านอีก ทั้งหมดนั่นอาจเป็นจำนวนหนังสือถึง 70% ของห้องสมุดแห่งนี้ ซึ่งต้องใช้เวลาอ่านจริง ๆ นับพันปีเลยทีเดียว
พอเห็นซาลมีสีหน้าเคร่งเครียด อัลติม่าก็พยายามพูดเพื่อให้เขาผ่อนคลายลง
“ไม่เห็นจะต้องเร่งรีบอะไรขนาดนั้นเลยนี่นา อย่างเธอน่ะต่อให้อ่านหนังสือของที่นี่แค่ส่วนเสี้ยวก็น่าจะพัฒนาตัวเองได้เหนือกว่าคนอื่น ๆ แล้ว ไม่จำเป็นต้องอ่านทั้งหมดก็ได้”
“ผมก็ไม่ได้คิดจะอ่านทั้งหมดจริง ๆ หรอกนะ แต่ก็อยากจะซึมซับความรู้ให้ได้มากที่สุดน่ะ หนังสือที่อยากอ่านก็มีเยอะมากด้วย ทั้งเรื่องประวัติศาสตร์ และเวทอัญเชิญ แต่เพราะเวลามีน้อย ทำให้ศึกษาเรื่องต่าง ๆ ได้ไม่ทันใจสักเท่าไหร่”
“ยังศึกษาเวทอัญเชิญต่ออีกเหรอ? ที่เธอมีอยู่นี่ก็ก้าวหน้ากว่าวิทยาการปัจจุบันเป็นร้อยปีแล้วนะ”
“เวทอัญเชิญมันก็ล้าหลังหว่าเวทสายอื่น ๆ เป็นร้อยปีอยู่แล้ว นี่ก็แค่ทำให้พัฒนามาจนใกล้เคียงกันได้เท่านั้นเอง อีกอย่างคือผมยังไม่มีสมุนระดับสุดยอดที่ใช้ต่อกรกับพวกนักผจญภัยระดับ S ได้จริง ๆ เลย”
“เรื่องนั้นเธอก็ยังมี… ฉัน อยู่ไม่ใช่เหรอ? ขอแค่สั่งมา จะให้บุกน้ำลุยไฟยังไง ฉันก็ไม่เกี่ยงอยู่แล้ว”
ความจริงอัลติม่าเกือบจะพูดรวมถึงคนอื่น ๆ อย่าง แซนโดร, นิโคล, และลานาเทลด้วย แต่ก็จงใจละไว้ ส่วนซาลที่ได้ยินเช่นนั้นก็ส่ายหน้าพร้อมทั้งกล่าวปฏิเสธออกมา
“อัลติม่าน่ะไม่ใช่สมุนซะหน่อย อีกอย่างคือผมไม่อยากให้ทุกคนต้องไปเสี่ยงอันตรายด้วย คงออกคำสั่งให้ไปทำอะไรเสี่ยง ๆ ไม่ได้หรอก”
แม้ซาลจะพูดถึงทุกคนโดยรวม แต่อัลติม่าก็ยังรู้สึกดีใจจนตัวลอย จึงต้องพยายามเก็บอาการเอาไว้เลยไม่ได้พูดอะไรต่อ ในขณะที่อาร์วินที่นั่งฟังอยู่ก็รู้สึกข้องใจขึ้นมา
“เธอ… คิดจะเปลี่ยนแปลงโลกไม่ใช่เหรอ? และการจะทำอย่างนั้นก็ต้องโค่นกลุ่มอิทธิพลที่มีอำนาจสูงสุดของโลก ซึ่งไม่ต่างไปจากการพยายามยึดครองโลกเลย ฉันเข้าใจถูกใช่มั้ย? แล้วเรื่องแบบนี้จะดำเนินการโดยไม่มีใครต้องเสี่ยงชีวิตได้ยังไงกันล่ะ?”
“เรื่องนั้นผมคิดเอาไว้แล้ว สำหรับพวกสมุนเนี่ย ผมสามารถเก็บร่างจริงเอาไว้ในวงเวท ‘พันธสัญญานิรันดร’ และอัญเชิญเฉพาะร่างเสมือนออกมาได้ ถ้าให้ตัวจริงเป็นคนใช้เวท ‘โพสเซสชั่น’ ในการควบคุมร่างเสมือน ผลลัพธ์ก็ไม่ต่างจากการมีตัวจริงอยู่ข้างนอกเลย แต่ร่างนี้ต่อให้ตายไปก็เป็นแค่ร่างเสมือน ร่างจริงในวงเวทยังคงอยู่ แปลว่านี่คือสมุนที่เป็นอมตะ ถ้าผมไม่ตาย พวกเขาก็ไม่มีทางตายเช่นกัน”
อัลติม่าพิจารณาตามคำพูดของซาลแล้วก็ยิ้มออกมา พร้อมกับเริ่มให้ความเห็น
“อย่างนี้นี่เอง เพราะชีวิตของพวกมันผูกติดอยู่กับเธอ แบบนี้ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องที่มันจะทรยศด้วย ไม่เลวเลยล่ะ”
“ผมไม่ได้คิดถึงขั้นนั้นหรอกนะ แค่อยากจะได้ขุนพลที่สามารถใช้งานให้ไปทำเรื่องเสี่ยง ๆ ได้โดยไม่ต้องกังวลอะไรเท่านั้นเอง”
เพราะซาลไม่แน่ใจว่าหากมีใครสักคนเป็นอะไรไปในระหว่างดำเนินแผนการ เขาจะยังคงรักษาความเยือกเย็นและไม่ถูกความแค้นเข้าครอบงำได้รึเปล่า จึงคิดเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อให้ทุกคนไม่ต้องไปเสี่ยง อัลติม่าก็พอจะเข้าใจเรื่องนี้ดี แต่อย่างไรมันก็เป็นความคิดที่ง่ายเกินไป แถมคำพูดที่เหมือนจะสร้างตัวแทนของเธอออกมาก็ทำให้เธอเริ่มรู้สึกหงุดหงิดด้วย
“นี่ นายน่ะดูถูกฉันอยู่รึเปล่า? คิดจะสร้างสมุนที่มีพลังเทียบเท่ากับฉันออกมาเนี่ยนะ? เฮอะ! ต่อให้อาศัยการ ‘แซคคริไฟซ์’ ก็เถอะ คิดว่าต้องใช้มอนสเตอร์เป็นเครื่องสังเวยสักกี่หมื่นกี่แสนตัวกัน?”
“เรื่องนั้นผมพอมีแผนอยู่ในใจแล้ว แต่ก็ยังติดตรงรายละเอียดและวิธีการอยู่ดี เพราะงั้นถึงได้พยายามศึกษาตำราประวัติศาสตร์ควบคู่ไปด้วย เผื่อจะนึกอะไรดี ๆ ออกไงล่ะ แต่จำนวนหนังสือที่อ่านได้ในแต่ละสัปดาห์ก็ยังน้อยเกินไปอยู่ดี แบบนี้ต่อให้ผ่านไปสักสองสามปีก็ไม่แน่ว่าจะมีความคืบหน้าถึงขั้นนำมาใช้งานจริงได้”
อาร์วินที่ได้ยินเช่นนั้นจึงเสนอความคิดออกมาบ้าง
“ถ้างั้นควรมุ่งเน้นไปที่เรื่องใดเรื่องหนึ่งจะดีกว่ารึเปล่า? ฉันเห็นเธอศึกษาหนังสือหลายแขนงพร้อมกัน แบบนี้เท่ากับเวลาที่ทุ่มเทให้กับแต่ละหัวข้อต้องถูกเฉลี่ยออกไปด้วย สู้วางเป้าหมายไว้แค่เรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้วค้นคว้าไปจนกว่าจะพอใจน่าจะดีกว่านะ”
“ถึงแบบนั้นเวลาก็อาจจะไม่พออยู่ดี ที่สำคัญคือผมอยากจะพัฒนาวิทยาการเวทมนตร์ไปพร้อม ๆ กันด้วย เพราะทุกอย่างควรจะสอดประสานกัน ทั้งความคิด การวางแผน และความสามารถที่ทำให้แผนนั้นเป็นจริงได้…”
เมื่อได้ฟังคำพูดของซาล อาร์วินก็หรี่ตาลงในเชิงไม่ค่อยจะเห็นด้วย ก่อนจะพูดเตือนเขาอีกครั้ง
“ฟังดูเหมือนเธอพยายามจะทำทุกอย่างด้วยตัวคนเดียวเลยนะ แต่เธอก็คงจะรู้ดีนี่ว่ามันเป็นไปไม่ได้ ถึงได้กระวนกระวายอยู่แบบนี้ เพราะรู้ตัวว่าสิ่งที่คน ๆ เดียวทำได้น่ะมีอยู่จำกัด โดยเฉพาะเมื่อมีเรื่องของเงื่อนเวลาเข้ามาเกี่ยวข้อง พยายามปล่อยวางและมุ่งเน้นไปยังสิ่งที่เธอทำได้ดีที่สุดเพียงอย่างเดียว แล้วให้คนอื่นช่วยทำในเรื่องที่เธอทำไม่ได้จะดีกว่านะ”
สิ่งที่อาร์วินพูดมานั้นถูกต้องทั้งหมด ซาลเองก็เข้าใจในจุดนี้เช่นกัน
ความจริงแล้วการวางแผนและค้นหาวิธีที่เหมาะสมควรเป็นหน้าที่ของแซนโดรหรือลานาเทล ทั้งสองคนต่างก็มีประสบการณ์สูงและมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องราวต่าง ๆ เป็นอย่างดี หากมีทั้งสองคนเป็นที่ปรึกษา ช่วยให้ความเห็นในเรื่องต่าง ๆ เขาก็คงไม่ต้องทุ่มเทเวลาไปกับการศึกษาประวัติศาสตร์และวรรณกรรมมากขนาดนี้
แต่เพราะทั้งสองคนนั้นต่างก็มีความคิดเป็นของตัวเอง แซนโดรมีแนวคิดในการทำงานที่ต่างจากเขาค่อนข้างมาก ส่วนลานาเทล ตัวเขาเองก็ยังเดาใจเธอไม่ค่อยออกว่ามีจุดประสงค์อย่างไรกันแน่ จึงคิดว่าการรับฟังความเห็นจากลานาเทลในทุก ๆ เรื่องเป็นสิ่งที่ไม่สมควรเท่าไหร่ เมื่อไม่สามารถพึ่งพาผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับการเป็นที่ปรึกษาที่สุดทั้งสองคนได้ เขาจึงได้แต่พึ่งตัวเอง
อัลติม่าที่เห็นซาลยังมีสีหน้าเคร่งเครียดอยู่จึงหยิบหนังสือที่อยู่ใกล้ ๆ ขึ้นมา พร้อมกับเสนอตัวเป็นผู้ช่วยเขาอีกแรง
“ไม่ต้องห่วงนะ ยังไงฉันก็ยินดีจะช่วยนายใน ‘ทุก ๆ เรื่อง’ นั่นแหละ หนังสือพวกนี้ฉันจะช่วยอ่านด้วยอีกแรงละกัน จะได้เร็วขึ้นไงล่ะ”
อาร์วินรู้สึกสะดุดกับคำว่า ‘ทุก ๆ เรื่อง’ ที่อัลติม่าเน้นถ้อยคำด้วยน้ำเสียงซึ่งแฝงความเย้ายวนอยู่เล็กน้อย ทำให้เธอคิดในใจว่า ‘แม่นี่คิดจะเคลมเด็กคนนี้ให้ได้จริง ๆ สินะ’
ดูเหมือนอัลติม่าเองก็จะลืมเรื่องที่ซิสเตอร์สอนให้ไปซะแล้ว
ทางด้านซาลซึ่งไม่ได้คิดอะไรลึกซึ้งไปกว่าถ้อยคำที่ได้ยินก็ยิ้มออกมาและกล่าวรับน้ำใจของอัลติม่า
“หุหุหุ ไม่เป็นไรหรอก เรื่องนี้ไม่ใช่อะไรที่ทำแทนกันได้หรอกนะ ใช่ว่าอัลติม่าอ่านแล้วความรู้มันจะส่งผ่านมาให้ผมซะหน่อย…”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ซาลก็ค้างประโยคเอาไว้กลางคัน พลางทำหน้าเหมือนกับคิดอะไรขึ้นมาได้ ทำให้อัลติม่ากับอาร์วินต่างก็มองดูเขาด้วยท่าทางสงสัย
“ส่งผ่านความรู้งั้นเหรอ… จริงด้วย! ทำไมไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยนะ! การอ่านหนังสือทั้งหมดนี่น่ะ อาจไม่ต้องใช้เวลาถึงพันปีก็ได้!”
——————————————————————————————————–
Part 5
ซาลลุกขึ้นและกล่าวด้วยน้ำเสียงดีใจระคนตื่นเต้น อัลติม่าพอจะมองออกว่าเขาคงคิดอะไรดี ๆ ได้อีกแล้วจึงยิ้มออกมาและรอฟังการอธิบาย ส่วนอาร์วินยังไม่เข้าใจว่าจะมีวิธีไหนที่ช่วยในเรื่องนี้ได้ จึงเอ่ยถาม
“มีวิธีอะไรเหรอ?”
ซาลเดินออกจากโต๊ะอ่านหนังสือและวาดมือไปมาบนอากาศเหมือนกับเป็นวิทยากรวงออเคสตร้าที่กำลังบรรเลงเพลงอยู่ ทำให้มีชุดอักขระและโครงสร้างวงเวทจำนวนมากปรากฏขึ้นโดยรอบและเคลื่อนที่ไปมาอย่างซับซ้อน ราวกับเป็นชิ้นส่วนเล็ก ๆ ภายในเครื่องจักร ที่ค่อย ๆ เข้ามาประสานตัวกันจนเป็นกลไกการทำงานบางอย่าง ในระหว่างนั้นเขาก็ตอบคำถามของอาร์วินไปด้วย
“ก็อย่างที่อาร์วินบอกนั่นแหละ เรื่องนี้มันเกินความสามารถของคน ๆ เดียว แต่ในขณะเดียวกันมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะฝากฝังให้คนอื่นทำได้ ทั้งการค้นคว้าตำราพวกนี้ ทั้งการดูแลดันเจียน เพราะเป็นคน ๆ เดียวจึงมีเวลาและความสามารถจำกัด แต่ถ้าเป็นหลายคนล่ะ?”
อาร์วินยังคงไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่เขาพูด แต่อัลติม่ามีสีหน้าเหมือนกับพอจะคาดเดาอะไรได้บ้างแล้ว
“ก่อนหน้านี้ผมก็เคยคิดอยู่ว่าจะใช้ ‘จิตสังเคราะห์’ สร้างตัวตนอย่างวาเคียหรืออัลดูอินขึ้นมาเพื่อใช้เป็นทั้งที่ปรึกษาและขุนพล แต่ติดตรงที่ยังไงตัวตนที่สร้างขึ้นมาจากจิตสังเคราะห์ของผมก็มีสติปัญญาความรู้ไม่มากไปกว่าผมอยู่แล้ว คงให้คำปรึกษาอะไรได้ไม่มาก ส่วนเรื่องพลัง ถ้าไม่มีสมุนระดับสูงจำนวนมากมาเป็นเครื่องสังเวยก็คงยากจะพัฒนาให้มีพลังในระดับขุนพลได้เช่นกัน โครงการนี้ก็เลยถูกพับไปก่อน แต่ถ้าเป็นแค่การศึกษาประวัติศาสตร์และค้นคว้าวิทยาการละก็ ตัวตนเหล่านี้น่าจะปฏิบัติหน้าที่ได้สบายมาก”
คำอธิบายของซาลยังไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่ แถมยังมีความขัดแย้งกับสิ่งที่เคยพูดก่อนหน้าอีกด้วย อาร์วินจึงยังไม่เข้าใจ
“เดี๋ยวก่อน เธอบอกเองไม่ใช่เหรอว่าการศึกษารวบรวมความรู้ไม่ใช่เรื่องที่ให้คนอื่นทำแทนกันได้ แล้วการให้ร่างอัญเชิญพวกนี้มาอ่านหนังสือแทนมันจะต่างกันตรงไหนเหรอ?”
“ต่างสิ ถ้าหากผมใช้วงเวทที่มีโครงสร้างของเวท ‘สายใยวิญญาณ’ ในการสร้างตัวตนละก็ เมื่อพวกเขาได้รับประสบการณ์อะไร ประสบการณ์นั้นก็จะถูกส่งผ่านมายังผมด้วย แปลว่าหนังสือทุกเล่มที่พวกเขาอ่านและทำความเข้าใจ ผมก็จะเข้าใจด้วยเช่นกัน ถ้าสร้างตัวตนแบบนี้ออกมาสักหนึ่งร้อยคน และทิ้งไว้ให้ทำการศึกษาตำราอยู่ในนี้ ก็น่าจะสำเร็จภายในเวลาไม่กี่ปีของโลกภายนอกล่ะ”
อาร์วินแสดงความประหลาดใจออกมาเพราะคาดไม่ถึงว่าจะมีวิธีการแบบนี้ด้วย ผิดกับอัลติม่าที่เมื่อได้ฟังวิธีการนั้นแล้วสีหน้ากลับแปรเปลี่ยนไป และรีบกล่าวห้ามด้วยน้ำเสียงร้อนรน
“เดี๋ยวก่อน! ทำแบบนั้นไม่ได้นะ! ‘สายใยวิญญาณ’ น่ะเป็นเวทอันตรายไม่ใช่เหรอ? ถ้าตัวตนที่เชื่อมต่อกับเธออยู่บาดเจ็บหรือตาย เธอเองก็อาจตายไปด้วย ทำแบบนั้นมันจะเสี่ยงเกินไปแล้ว”
ซาลเข้าใจความเป็นห่วงของอัลติม่าจึงยิ้มออกมาและบอกกล่าวกับเธอด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ สบาย ๆ
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอกน่า ผมน่ะซุ่มปรับปรุงพัฒนาโครงสร้างของ ‘สายใยวิญญาณ’ มาได้พักนึงแล้ว เพระเป็นห่วงวาเคีย กับ อัลดูอิน ที่ในอนาคตต้องใช้งานเวทนี้ด้วยน่ะ ถึงจะยังไม่ค่อยสมบูรณ์ แต่ตอนนี้ก็สามารถลดแรงช็อคจากการตายของร่างอัญเชิญได้พอสมควรแล้ว ถึงร่างที่เชื่อมต่ออยู่จะเป็นอะไรไป ผมก็รู้สึกปวดหัวแค่จี๊ด ๆ เท่านั้นแหละ ที่สำคัญคือในห้องสมุดแห่งนี้คงไม่มีอะไรมาทำอันตรายพวกเขาได้หรอก”
พอได้ยินเช่นนั้น อัลติม่าก็มีสีหน้าผ่อนคลายลง แต่เธอก็ยังกังวลกับสิ่งที่เขาจะทำอยู่ดี
“ถึงจะไม่มีอันตรายจาก ‘สายใยวิญญาณ’ ก็เถอะ แต่การสร้างตัวตนด้วยจิตสังเคราะห์ที่สมบูรณ์ก็เป็นเรื่องที่ไม่สมควรอยู่ดี โดยเฉพาะถ้าคิดจะสร้างขึ้นมาเป็นจำนวนมากด้วยละก็ ตัวตนที่มีจิตใจเหมือน ๆ กันหมดน่ะมักจะมีปัญหาด้านบุคลิก เคยมีเหตุการณ์ที่พวกตัวตนที่มีบุคลิกเดียวกันเข่นฆ่ากันจนเหลือแค่คนเดียว บางกรณีก็ถึงกับพยายามฆ่าร่างต้นแบบเพื่อให้ตัวเองได้เป็นตัวจริงเพียงหนึ่งเดียวด้วย”
“เอ๋? มีเรื่องแบบนั้นด้วยเหรอเนี่ย? แต่เพราะอะไรล่ะ?”
“เอ่อ…”
อัลติม่าเพียงรู้เรื่องนี้จากคำบอกเล่าเท่านั้น เธอไม่ได้รู้เหตุผลหรือรายละเอียดอย่างแท้จริงจึงไม่รู้ว่าจะอธิบายให้เขาฟังอย่างไรดี แต่อาร์วินพอจะปะติดปะต่อเรื่องนี้เข้ากับทฤษฎีที่เคยรู้มาได้ จึงลองบอกข้อสันนิษฐานของเธอให้ทั้งสองคนได้ฟัง
“ฉันคิดว่า… เรื่องนั้นน่าจะเกี่ยวข้องกับ ‘ทฤษฎีปัจเจกบุคคล’ (Theory of Individual) ล่ะมั้ง”
เมื่อได้ยินอาร์วินพูดถึงทฤษฎีที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ซาลก็หันไปถามด้วยท่าทางสงสัย
“ทฤษฎีปัจเจกบุคคลเหรอ?”
“อืม ‘ทฤษฎีปัจเจกบุคคล’ คือการศึกษาเกี่ยวกับการให้ความสำคัญต่อตัวตนของตนเองของมนุษย์ ในส่วนหนึ่งของทฤษฎีนี้มีกรณีศึกษาเกี่ยวกับเรื่องแปลกอย่างหนึ่งของพี่น้องที่เป็นแฝดแท้ คือฝาแฝดบางคู่จะมีความเป็นปรปักษ์ต่อกันถึงขั้นคิดจะฆ่าอีกฝ่ายให้ตาย เพราะมีความรู้สึกว่าการมีฝาแฝดหรือมีตัวเองอีกคนอยู่นั้นทำให้ตัวเองขาดเอกลักษณ์ เหมือนกับมันทำให้ตัวตนของเขาบนโลกนี้เจือจางลงและด้อยความหมาย นำไปสู่การเพาะบ่มจิตคิดร้ายถึงขั้นเอาชีวิตอีกฝ่ายเพื่อให้โลกนี้มีเพียงตนเองเพียงผู้เดียวอย่างแท้จริง”
“เห? มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย… นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ตัวตนซึ่งสร้างจากจิตเดียวกันเข่นฆ่ากันงั้นเหรอ?”
“มีความเป็นไปได้สูง เพราะจากกรณีศึกษาพบว่ายิ่งเป็นคู่แฝดที่มีอุปนิสัยและความคิดความอ่านใกล้เคียงกันมากก็จะยิ่งเสี่ยงต่อการเป็นภาวะนี้ สำหรับคนปกติ ต่อให้เป็นคู่แฝดที่เติบโตมาด้วยกันก็ยังมีความต่างทางด้านความคิดความอ่านและบุคลิกอยู่บ้าง มันจึงเป็นกรณีที่พบเห็นได้ค่อนข้างน้อย แต่ถ้าเธอจะสร้างร่างอัญเชิญที่มีจิตใจและบุคลิกเหมือนกัน 100% ละก็ น่าจะมีความเสี่ยงที่ทำให้เกิดภาวะนี้ค่อนข้างสูงทีเดียว”
อัลติม่าก็เพิ่งจะเคยได้ฟังคำอธิบายเชิงลึกของเรื่องนี้ ซึ่งสิ่งที่อาร์วินพูดก็ฟังดูเข้าเค้าและมีเหตุผล เธอจึงพยักหน้าเล็ก ๆ ในเชิงเห็นด้วย ส่วนซาลก็เริ่มทบทวนการสร้างจิตสังเคราะห์สำหรับร่างอัญเชิญเช่นกัน
“ในเมื่อเป็นแบบนี้คงใช้จิตสมบูรณ์หรือจิตพื้นฐานที่ไร้การปรุงแต่งมาสร้างตัวตนจำนวนมากไม่ได้สินะ แต่จะให้มานั่งปรับแต่งบุคลิกของแต่ละคนมันก็…”
อัลติม่ายังคิดว่ามันเป็นวิธีที่อันตรายอยู่ดี จึงพยามพูดให้เขาล้มเลิกความคิดนี้ และหันไปใช้วิธีอื่นซะ
“ถ้าจะแค่ให้พวกมันค้นคว้าตำราแทนเธอ ก็ไม่จำเป็นต้องใส่จิตสังเคราะห์ให้กับพวกมันก็ได้นี่นา ใช้แค่ร่างเสมือนธรรมดา ๆ ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องสร้างตัวตนขึ้นมาหรอก”
“ไม่ใช่แค่นั้นหรอก ผมอยากจะให้ตัวตนเหล่านี้กลายเป็นขุนพลคู่ใจ หรือที่ปรึกษาของผมในอนาคตด้วย อย่างน้อย ๆ ก็อยากให้ช่วยดูแลจัดการดันเจียนได้ ดังนั้นพวกเขาต้องเป็นตัวตนที่มีความคิดความอ่านเป็นของตัวเอง ถึงจะเป็นกำลังให้กับผมในอนาคตได้”
เมื่อได้ยินเขาพูดแบบนั้น อัลติม่าก็รู้สึกจนใจ แต่ในระหว่างที่ซาลกำลังครุ่นคิดอยู่ อาร์วินก็กล่าวเตือนเขาถึงอีกเรื่องหนึ่ง
“ฉันยังมีเรื่องที่อยากจะเตือนอีกอย่างหนึ่ง เธอบอกว่าจะสร้างตัวตนที่ว่าออกมาสักหนึ่งร้อยคนเพื่อให้ทุกคนส่งผ่านประสบการณ์และความรู้จากการศึกษาตำราให้กับเธอสินะ?”
“อื้ม ทำไมเหรอ?”
“ถึงฉันจะไม่รู้ว่าการส่งผ่านข้อมูลด้วยวิธีนี้มีรูปแบบยังไง แต่โดยปกติแล้วสมองของมนุษย์ธรรมดาไม่สามารถรับข้อมูลพร้อมกันคราวละมาก ๆ ได้หรอกนะ การส่งผ่านข้อมูลปริมาณมากเข้าสู่สมองโดยตรงอย่างกะทันหันอาจทำให้เซลล์สมองได้รับความเสียหาย ที่สำคัญคือ จากที่เธอพูด ข้อมูลพวกนี้ไม่ใช่แค่ข้อมูลดิบที่ถูกส่งมา แต่เป็น ‘ความรู้’ ที่ได้รับการวิเคราะห์และประมวลผลแล้ว การได้รับความรู้ปริมาณมากในระยะเวลาอันสั้นอาจทำให้บุคลิกของเธอปรับตัวไม่ทันจนเกิดการเหลื่อมของจิตใจกับความคิด จนนำไปสู่การสูญเสียเอกลักษณ์บุคคลและกลายเป็นบุคคลอีกคนหนึ่งไปแทนได้”
สิ่งที่อาร์วินพยายามบอกก็คือการรับข้อมูลเข้าสู่สมองโดยตรงคราวละมาก ๆ อาจทำให้สมองเกิดความเสียหาย และการได้รับความรู้มากมายในเวลาอันสั้นก็อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางบุคลิกอย่างฉับพลันจนเปลี่ยนไปเป็นคนละคนได้นั่นเอง
อัลติม่ามีสีหน้างงงวยเพราะไม่เข้าใจในสิ่งที่อาร์วินพูดออกมาเลยสักนิด ผิดกับซาลที่พยักหน้ารับเพราะพอจะเข้าใจความหมายเหล่านั้นอยู่บ้าง
“แปลว่าควรใช้ ‘สายใยวิญญาณ’ กับตัวตนเพียงไม่กี่คนเพื่อป้องกันอันตรายจากการรับข้อมูลที่มากเกินไปสินะ โอเค… สร้างแค่ไม่กี่ร่าง และทำให้บุคลิกของแต่ละคนแตกต่างกันไปด้วย เรื่องการปรับบุคลิกนี่… อ๊ะ เหมือนจะเคยเห็นหนังสือที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อยู่นี่นา”
ซาลละมือจากอักขระและโครงสร้างวงเวทที่ยังคงล่องลอยอยู่กลางอากาศรอบตัวเขา และหันไปคุ้ยกองหนังสือเพื่อหาหนังสือเล่มหนึ่ง เมื่อพบแล้วเขาก็พลิกดูหน้าต่าง ๆ ของหนังสือเล่มนั้นอย่างรวดเร็วจนเจอบทความที่ค้นหาอยู่
“นี่ไงล่ะ วงเวท ‘จำแนกบุคลิก’ (Distinguish Personality) ที่ใช้สำหรับดึงบุคลิกแต่ละแง่ออกมาสร้างเป็นจิตสังเคราะห์ได้ ถ้าใช้อันนี้ก็น่าจะทำให้ได้ร่างอัญเชิญที่มีอุปนิสัยแตกต่างกันออกไปนะ”
เมื่อพูดจบ เขาก็เขียนโครงสร้างเวทมนตร์ขึ้นกลางอากาศอีกชุดหนึ่งเพื่อเตรียมนำมันไปประกอบเข้ากับโครงสร้างที่เหลือ
อาร์วินไม่ค่อยมีความรู้ทางด้านเวทมนตร์อยู่แล้วจึงไม่ได้เห็นความผิดปกติอะไร แต่อัลติม่ากลับรู้สึกเหมือนกับมีบางอย่างไม่ถูกต้องและเธอควรจะกล่าวเตือน แต่ก็นึกไม่ออกว่าควรเตือนเรื่องอะไร
ซาลวาดมือไปมาอีกครั้ง ก่อนจะกางฝ่ามือไปข้างหน้าเพื่อประกอบโครงสร้างวงเวททั้งหมดเข้าด้วยกัน ทันใดนั้นอักขระและลวดลายโค้งมนของวงเวทที่กระจัดกระจายกันอยู่บนอากาศก็พุ่งเข้ามาประกอบตัวกันเป็นวงเวทขนาดใหญ่ที่เสร็จสมบูรณ์หนึ่งวง และมีวงเวทเล็ก ๆ อีกห้าวงหมุนวนอยู่โดยรอบด้วย
“ปกติแล้วผมไม่ค่อยอยากกำหนด ‘ฐานะ’ ของร่างอัญเชิญไว้ล่วงหน้าสักเท่าไหร่ แต่คราวนี้สร้างร่างอัญเชิญที่มีจิตใจเป็นจำนวนมากในคราวเดียว แถมคงไม่ค่อยได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันด้วย การจะค่อย ๆ สร้างความสัมพันธ์คงเป็นไปได้ยาก ดังนั้นก็เลยกำหนด ‘ฐานะ’ ให้กับพวกเขาในรูปแบบของกองทัพ ตัวผมเป็นจอมพล ส่วนพวกเขาก็เป็นขุนพลของผม น่าจะช่วยลดปัญหาไปได้บ้างนะ เอาล่ะ”
เมื่อเตรียมตัวพร้อมแล้ว ซาลก็แตะสัมผัสวงเวทขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าและถ่ายเทพลังเวทลงไป ทันใดนั้นอักขระและลวดลายบนวงเวทตรงกลางก็เปล่งแสงสีฟ้าออกมา แสงของมันเข้มข้นเรื่อย ๆ จากสีฟ้า กลายเป็นสีขาว และในที่สุดก็สลายตัวออก กลายเป็นลำแสงสีขาวห้าสายพุ่งไปยังวงเวททั้งห้าวงที่อยู่โดยรอบ ทำให้พวกมันเริ่มเปล่งแสงออกมาเช่นกัน
ไม่นานนัก วงเวททั้งห้าก็เปล่งแสงอันเจิดจ้าออกมาจนทุกคนต้องเบือนหน้าไปทางอื่น กระแสลมกรรโชกพัดเข้าปะทะกับร่างของซาลวูบหนึ่งจนชายเสื้อของเขาปลิวไสว แต่ในเวลาไม่นานมันก็ค่อย ๆ สงบลงพร้อมกับแสงสว่างที่ค่อย ๆ จางหายไป
ระหว่างจะหันกลับไปมอง ซาลก็เหลือบไปเห็นอาร์วินซึ่งยังคงจ้องมองไปยังทิศทางเดิมโดยไม่ได้หันหน้าหนีไปทางไหน ดวงตาของอาร์วินเป็นสีดำสนิทเหมือนกับมีเลนส์สีดำครอบอยู่อีกชั้นหนึ่ง นั่นคงเป็นความสามารถในการปรับสภาพร่างกายของเธอให้ต้านทานแสงสว่างเจิดจ้าได้ ซาลารัสที่รู้ตัวจริงของอาร์วินอยู่แล้วจึงไม่รู้สึกแปลกใจนัก แต่สิ่งที่ทำให้เขาแปลกใจคือสีหน้าของอาร์วินซึ่งกำลังขมวดคิ้วให้กับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าด้วยความฉงน
ซาลมองตามไปยังทิศทางที่อาร์วินกำลังมองอยู่ และสิ่งที่เห็นก็ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจเช่นกัน
——————————————————————————————————–
Part 6
ณ จุดที่วงเวทเคยปรากฏอยู่ ตอนนี้มีเด็กแปดคนกำลังนั่งชันเข่าอยู่แทน
ทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นเด็กผู้หญิงที่มีรูปลักษณ์คล้ายคลึงกับซาล ต่างกันตรงแต่ละคนจะมีสีของเส้นผมไม่เหมือนกัน โดยมีตั้งแต่สีขาว สีดำ สีส้ม สีทอง สีเขียว สีฟ้า สีน้ำเงิน และสีม่วง
ทุกคนมีดวงตาสีส้มอำพันซึ่งเมื่อต้องแสงสว่างก็จะทอประกายราวกับสีทองออกมาเช่นเดียวกับซาล ใบหน้าของพวกเธอก็คล้ายคลึงกับเขามากด้วย มองผ่าน ๆ อาจรู้สึกว่าทุกคนมีใบหน้าที่เหมือนกันหมด แต่หากพิจารณาดี ๆ แล้ว ใบหน้าของแต่ละคนจะมีความแตกต่างกันอยู่เล็กน้อย แม้จะดูใกล้เคียงกันมาก
ทุกคนจ้องมองมายังซาลเป็นตาเดียวกัน แต่สายตาแต่ละคู่ที่จับจ้องมานั้นกลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป บางคู่เป็นแววตาที่แสดงความชื่นชม บางคู่เป็นแววตาที่แสดงความเคารพ บางคู่เป็นแววตาที่เฉยชา บางคู่เป็นแววตาที่ยินดี บางคู่เป็นแววตาที่อ่อนโยน บางคู่เป็นแววตาที่ลังเล บางคู่เป็นแววตาที่ยำเกรง และบางคู่ก็เป็นแววตาที่ขุ่นเคือง
ซาลยกมือขึ้นมาเกาหัวแกรก ๆ เพราะไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนกัน ร่างที่แท้จริงของตัวตนเหล่านี้น่าจะเป็นผู้ชายทั้งหมดอยู่แล้ว แต่ที่ตอนนี้มีรูปลักษณ์เป็นผู้หญิงก็เพราะยังอยู่ในเขตแดนของลิลลี่โฮไรซอน นี่เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่การที่ถูกสร้างขึ้นมาถึงแปดคนนี่สิ
“เอ… ก็ตั้งใจไว้ว่าจะสร้างออกมาแค่ห้าคนนี่นา ทำไมถึงออกมาเป็นแปดคนได้หว่า… หรือเพราะโครงสร้างของเวท ‘จำแนกบุคลิก’ ทำให้กำหนดจำนวนที่แน่นอนไม่ได้กันนะ”
เขาจ้องมองตัวตนทั้งแปดพลางพึมพำกับตัวเอง อาร์วินแม้จะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องเวทมนตร์สักเท่าไหร่แต่เมื่อเห็นความผิดปกติก็รู้สึกเป็นห่วง จึงหันไปถามความเห็นจากอัลติม่า
“อัลติม่า นี่มัน…”
“ซาลารัส… ซาลารัสเต็มไปหมดเลย… อะแหะ ๆ ๆ ๆ ”
ปรากฏว่าอัลติม่ากำลังจ้องมองซาลทั้งแปดด้วยแววตาอันเลื่อนลอยและริมฝีปากที่หุบยิ้มไม่ลงจนมีน้ำลายเยิ้มออกมา แถมยังมีเลือดกำเดาไหลออกมานิด ๆ ด้วย ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่และจินตนาการไปถึงไหน
พอเห็นสภาพของอัลติม่าเป็นเช่นนั้น อาร์วินก็ได้แต่ขมวดคิ้วและไม่คิดจะถามอะไรอีก ก่อนจะหันกลับมามองซาลตัวจริงผู้มีผมสีแดงกำลังเดินเข้าไปหาตัวเขาเองอีกแปดคนซึ่งมีผมสลับสีกันราวกับสายรุ้ง เป็นภาพที่ดูแปลกตาอย่างน่าประหลาด
“เอ่อ… อันดับแรกก็ลุกขึ้นก่อนเถอะ”
เมื่อได้รับอนุญาต ทุกคนก็ลุกขึ้นยืนโดยพร้อมเพรียงกัน แต่พวกเขาก็ยังคงจับจ้องมายังซาลอย่างเงียบงันโดยไม่มีใครพูดอะไร
“พวกนายน่าจะรู้เจตนาของฉันแบบคร่าว ๆ แล้วสินะ ฉันอยากให้พวกนายอยู่ที่นี่เพื่อศึกษาหาความรู้จากตำราต่าง ๆ และนำความรู้เหล่านั้นมาพัฒนาตัวเอง จะได้เป็นกำลังให้กับฉันในอนาคต… อ้อ ฉันยังอยากให้พวกนายรับหน้าที่ดูแลดันเจียนและสมุนแต่ละกลุ่มด้วย คิดซะว่าเป็นกองกำลังส่วนตัวของพวกนายแต่ละคน รวมถึงเป็นพื้นที่รับผิดชอบก็แล้วกัน เดี๋ยวจะจัดสรรทั้งดันเจียนและสมุนให้กับแต่ละคนนะ”
ซาลเตรียมเปิดผังดันเจียนขึ้นมาเพื่อโอนกรรมสิทธิ์การครอบครองให้กับแต่ละคน แต่ในระหว่างนั้นเด็กที่มีผมสีฟ้าก็เอ่ยทักขึ้นมาด้วยน้ำเสียงกล้า ๆ กลัว ๆ
“เอ่อ… คือ… ช่วยตั้งชื่อให้กับพวกเราก่อนได้รึเปล่าครับ?”
พอได้ยินดังนั้น ซาลก็นึกขึ้นได้ว่าควรจะตั้งชื่อให้กับพวกเขาซะก่อน จะได้สะดวกต่อการเรียกใช้ แต่ยังไม่ทันจะตอบกลับไปก็มีคนแย้งขึ้นมาซะก่อน
“ไม่เอาด้วยหรอก ชื่อของฉันน่ะ ขอคิดด้วยตัวเองดีกว่า”
คนที่พูดประโยคนั้นออกมาก็คือเด็กที่มีผมสีดำ ซึ่งพูดด้วยแววตาเสียดแทงและน้ำเสียงที่ไม่ค่อยเป็นมิตรนัก ทำให้ซาลรู้สึกแปลกใจ แต่ก็เข้าใจว่านี่คือบุคลิกที่แตกต่างกันไปของแต่ละคน ทำให้มีความต้องการแตกต่างกันไปด้วย
“อ่า… นั่นสินะ ถ้างั้นใครที่อยากคิดชื่อเองก็ยืนอยู่กับที่ก่อน ส่วนคนที่อยากให้ฉันคิดชื่อให้ก็ก้าวออกมาข้างหน้าสักหนึ่งก้าวก็แล้วกัน”
เมื่อพูดจบ เด็กที่มีผมสีฟ้า สีเขียว สีทอง และสีส้ม ก็ก้าวออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ส่วนเด็กที่มีผมสีขาว สีดำ สีน้ำเงิน และสีม่วง ยังคงยืนอยู่กับที่
“อืม… จะให้คิดชื่อดี ๆ ตอนนี้เลยมันก็ยากอยู่นา เอาเป็นว่าตอนนี้ขอเรียกตามสีผมไปก่อนก็แล้วกัน คือ ไซอัน (ฟ้าอมเขียว), กรีน, เยลโล่ว, และออเรนจ์ เอาไว้คิดชื่อดี ๆ ได้แล้วฉันจะมาบอกอีกทีนะ”
คำพูดของซาลทำให้ทั้งสี่คนด้านหน้าแสดงท่าทางผิดหวังออกมาเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้มีใครพูดอะไร เว้นแต่เด็กผมดำซึ่งยืนอยู่ด้านหลังที่ยิ้มเยาะและหัวเราะขึ้นจมูกจนหลายคนต้องหันไปมองด้วยท่าทีขุ่นเคือง
พอเห็นเช่นนั้น ซาลจึงลองถามชื่อจากเจ้าตัวดู
“นายคงคิดชื่อเจ๋ง ๆ ให้กับตัวเองได้แล้วสินะ? ชื่ออะไรเหรอ?”
คำถามนั้นเหมือนจะทำให้อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว เด็กผมดำแสดงอาการเลิ่กลั่กออกมาอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะพยายามสงบอาการและพูดออกมาเบา ๆ
“บะ… แบล็ค…”
คำตอบของเขาทำให้คนอื่น ๆ ที่รอฟังอยู่ต่างก็แสยะยิ้มด้วยแววตาเย้ยหยัน ทำเอาเจ้าตัวรู้สึกโกรธจนหน้าแดง
อาร์วินที่เฝ้าดูเหตุการณ์อยู่ก็ได้แต่คิดในใจว่า ‘ระดับสติปัญญาเท่ากันหมดจริง ๆ ด้วยแฮะ’
ซาลไม่อยากให้เกิดความหมองใจกันแต่แรก จึงรีบตัดบทเพื่อช่วยรักษาหน้าของแบล็คเอาไว้
“เอาเป็นว่าถ้าคิดชื่อที่อยากจะใช้ได้เมื่อไหร่ค่อยมาบอกก็แล้วกัน คนอื่น ๆ ก็ด้วยถ้าคิดชื่อที่อยากจะใช้ออกก็บอกมาได้ หรือถ้าไม่พอใจชื่อที่ฉันตั้งให้ จะเปลี่ยนเป็นชื่อที่คิดเองทีหลังก็ได้เช่นกัน เอาละ ทีนี้ก็มารับมอนสเตอร์กับดันเจียนไปได้แล้วล่ะ”
ทุกคนยืนเรียงแถวกันอย่างเป็นระเบียบเพื่อรับกรรมสิทธิ์การสั่งการสมุนอัญเชิญและการจัดการดันเจียนจากซาล เมื่อแบ่งอย่างเท่า ๆ กันแล้ว แต่ละคนก็ได้สมุนไปคนละสิบสามถึงสิบสี่ตัว กับพื้นที่ดันเจียนอีกห้าแห่ง ให้นำไปบริหารจัดการกันต่อ
พอโอนสมุนและดันเจียนชุดสุดท้ายเรียบร้อยแล้ว ซาลก็หันมาพูดกับทุกคนอีกครั้ง
“พวกนายทั้งหมดคือกองทัพซาลารัส ทุกคนมีตำแหน่งเท่าเทียมกันคือตำแหน่งนายพล แต่นี่เป็นแค่การเริ่มต้น หลังจากนี้ฉันจะดูจากความสามารถในการพัฒนาตนเองของแต่ละคนและปรับแต่งตำแหน่งให้ตามความเหมาะสม ส่วนหัวข้อการค้นคว้าที่ฉันอยากให้มุ่งเน้นก็คือประวัติศาสตร์, เวทอัญเชิญ, และการพัฒนาเวทมนตร์ชนิดใหม่ ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าใครถนัดหรือสนใจอะไรเลยยังไม่อยากมอบหมายหัวข้อให้เป็นการเฉพาะ เอาไว้พวกนายลองศึกษาดูแล้วค่อยมาบอกฉันอีกทีก็แล้วกันว่ามีความสนใจในหัวข้อไหน แล้วเราค่อยมาแบ่งหัวข้อการค้นคว้ากันอีกที มีคำถามอะไรรึเปล่า?”
ทุกคนมองกลับมาด้วยแววตาอันมุ่งมั่นโดยไม่มีใครพูดอะไร สายตาของพวกเขาบอกออกมาอย่างชัดเจนว่าพร้อมที่จะเริ่มทำงานแล้ว หรือบางที มันอาจเป็นความรู้สึกกระหายในชัยชนะและอยากให้ซาลเริ่มการทำงานที่เป็นเหมือนกับการแข่งขันนี้เร็ว ๆ ก็ได้
“ถ้างั้นก็… กองทัพซาลารัส! เคลื่อนพลได้!”
“โอ๊ว!”
ทั้งแปดคนชูกำปั้นและขานรับคำบัญชาของซาลอย่างพร้อมเพรียงด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่น ก่อนจะแยกย้ายกันไปยังวงเวทเคลื่อนย้ายที่อยู่ตามขอบริมของชั้นลอยแห่งนี้ เพื่อทำการเทเลพอร์ทไปยังชั้นหนังสือแต่และแห่ง
ทันทีที่เทเลพอร์ทไปถึงที่หมาย แต่ละคนก็กางวงเวทหลายวงออกมาปรับโครงสร้าง ทำให้ซาลรู้สึกแปลกใจว่าพวกเขาคิดจะทำอะไร แต่เมื่อผ่านไปครู่หนึ่ง ขุนพลแต่ละคนก็ทำการประกอบวงเวททั้งหมดเข้าด้วยกันอีกครั้งและทำการอัญเชิญร่างเสมือนของตนเองออกมา
อัลติม่าที่เพิ่งจะได้สติหลังจากขุนพลทั้งหมดออกไปแล้วและเห็นการประทำแปลก ๆ ของพวกเขาจึงเดินเข้ามาถาม
“เจ้าพวกนั้นอัญเชิญร่างเสมือนของตัวเองออกมาทำไมกันน่ะ? แถมยังเรียกออกมาตั้งสี่ห้าตัวด้วย”
แม้เหล่าขุนพลจะไม่ได้อธิบายเรื่องนี้กับเขา แต่เพราะผลจากเวท ‘สายใยวิญญาณ’ ก็ทำให้ซาลพอจะเข้าใจเจตนาของเหล่าขุนพลได้
“พวกเขาสร้างร่างอัญเชิญเสมือนที่มี ‘สายใยวิญญาณ’ ออกมา เพื่อให้พวกนั้นช่วยในการศึกษาค้นคว้าอีกแรงหนึ่ง… จะได้เป็นการทุ่นเวลา ให้ทำการค้นคว้าได้เร็วขึ้นไงล่ะ”
อัลติม่ารู้สึกทึ่งกับเหล่าขุนพลที่มีความคิดในการทำแบบนี้ได้เอง แม้แต่ซาลก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกันเพราะนี่เป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายของเขาพอสมควร แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกพึงพอใจด้วย เนื่องจากการค้นคว้าข้อมูลและเพิ่มพูนความรู้อาจดำเนินไปเร็วกว่าที่เขาคิดก็ได้
อาร์วินกวาดสายตามองดูเหล่าขุนพลและลูกสมุนที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วห้องสมุด จนดูเหมือนมีซาลเกือบห้าสิบคนอยู่ในที่แห่งนี้ ในใจของเธอก็ครุ่นคิดไปว่า ถึงบุคลิกจะต่างกัน แต่นิสัยใจร้อนและชอบหาวิธีลัดในการไปสู่เป้าหมายนี่ยังไงก็ไม่เปลี่ยนไปเลยจริง ๆ
แต่อาร์วินยังมีเรื่องที่สงสัยอยู่อีกอย่างหนึ่ง
คนเราแต่ละคนมีบุคลิกอันหลากหลายหลอมรวมอยู่ในตัวเอง เวท ‘จำแนกบุคลิก’ ที่ซาลใช้ในการสร้างเหล่าขุนพลขึ้นมานั้นดูจะเป็นเวทที่ทำการขยายบุคลิกแต่ละส่วนให้เด่นชัดขึ้นจนกลายเป็นตัวตนอีกตัวตนหนึ่ง
แต่บุคลิกของคนแต่ละคนก็มีทั้งบุคลิกในแง่ดีและแง่ร้ายปะปนกันไป แล้วบุคลิกทั้งแปดที่ซาลนำออกมาสร้างเป็นขุนพลนี้ คนไหนเป็นบุคลิกด้านดี คนไหนเป็นบุคลิกด้านร้ายกันล่ะ?
อาร์วินได้แต่เก็บความสงสัยนี้เอาไว้ในใจ ยังไงเธอก็คงทำได้แค่เฝ้าดูผลลัพธ์ของมันเท่านั้น
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เธอจึงนั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้ง ก่อนจะหยิบหนังสือที่อ่านค้างไว้ขึ้นมาอ่านต่อ และปล่อยความกังวลเหล่านั้นให้เป็นเรื่องของอนาคต