Doombringer the 5th - ตอนที่ 93
Ch.93 – ตอนพิเศษ 3 – เทพสงคราม (1)
Translator : YoyoTanya / Author
Extra Ch. 3
เทพสงคราม (1)
Part 1
ในศักราชที่ 211 แห่งโลกใหม่ มนุษย์ได้เผชิญหน้ากับการรุกรานของผู้สร้างหายนะคนที่สาม ซึ่งเปิดประตูนรกขึ้นที่ตอนใต้ของอาณาจักรเอ็นซิส
แม้ท้ายที่สุดการรุกรานจะถูกยับยั้งเอาไว้ได้ก่อนจะลุกลามไปยังอาณาจักรอื่น ๆ แต่การรุกรานครั้งนั้นก็สร้างความเสียหายเอาไว้อย่างมหาศาล
ในเวลาไม่ถึงสองวัน อาณาจักรเอ็นซิสซึ่งตกอยู่ใต้การรุกรานก็ถูกผลาญทำลายไปเกือบครึ่ง แคว้นใหญ่น้อยรวมเก้าแคว้น และหัวเมืองอิสระอีกยี่สิบห้าเมืองทางตอนใต้ของอาณาจักรเอ็นซิส กลายเป็นเพียงประวัติศาสตร์ แม้ในยุคนั้นจะยังไม่มีการรวบรวมสำมะโนประชากรอย่างจริงจัง แต่คาดกันว่าในตอนนั้นเอ็นซิสส่วนล่างมีจำนวนประชากรอยู่ราว ๆ สามแสนคน ทว่าประชาชนที่อพยพลี้ภัยขึ้นมายังตอนเหนือของเอ็นซิสได้ทันมีแค่ไม่ถึงหนึ่งแสนคนเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ ทำให้ทุกอาณาจักรทั่วโลกต่างหวาดหวั่นถึงภัยจากการรุกราน และพยายามสะสมกำลังทหาร เพื่อใช้ในการป้องกันตนเอง
แม้จะมีองค์กรกลางอย่างพีชคีปเปอร์ซึ่งมีสิทธิ์ในการระดมกำลังพลจากอาณาจักรสมาชิกทั่วโลกเพื่อใช้ในการช่วยเหลืออาณาจักรที่ถูกรุกราน แต่จากประวัติศาสตร์ที่อาณาจักรเอ็นซิสเกือบครึ่งถูกผลาญทำลายไปภายในเวลาไม่ถึงสองวันก็ทำให้แต่ละอาณาจักรเกิดความกังวลว่าหากไม่สะสมกำลังพลให้เพียงพอต่อการป้องกันตนเองให้ได้ในระดับหนึ่ง กองทัพพันธมิตรยังไม่ทันมาถึง อาณาจักรของตนเองก็คงจะล่มสลายหรือกลายเป็นซากไปซะก่อน
แต่ต้องสะสมกำลังพลแค่ไหนถึงจะเพียงพอต่อการต้านทานการรุกรานจากนรกกันล่ะ? นี่เป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบอันแน่ชัด เหล่าผู้ครองอาณาจักรต่าง ๆ จึงได้ข้อสรุปเพียงว่า ‘ยิ่งเยอะยิ่งดี’
ด้วยเหตุนี้ ทั้งแคว้นเล็กแคว้นใหญ่ของอาณาจักรต่าง ๆ จึงพากันเร่งสะสมกำลังทหารเพื่อความอุ่นใจ
ในเวลาเพียงสิบกว่าปี แต่ละอาณาจักรก็มีกองทัพนับแสนที่พร้อมใช้งาน แม้แต่แคว้นบริวารแต่ละแห่ง ก็มีกำลังทหารในครอบครองนับหมื่นคน เมื่อแสนยานุภาพทางการทหารนี้ประกอบกับความทรงจำเกี่ยวกับการรุกรานครั้งที่สามที่เริ่มเจือจางทำให้ความหวาดกลัวต่อภัยคุกคามของผู้สร้างหายนะเริ่มลดน้อยถอยลงตามลำดับ ทว่ากลับมีความหวาดระแวงอีกประการหนึ่งเกิดขึ้นมาแทน
ความหวาดระแวงที่ว่าก็คือภัยคุกคามจากมนุษย์ด้วยกันเอง
การปกครองของโลกใหม่จะเป็นในลักษณะของสหพันธรัฐ คือเป็นอาณาจักรที่เกิดจากการรวมตัวกันของแคว้นต่าง ๆ ในภูมิภาค แต่ละอาณาจักรอาจประกอบไปด้วยแคว้นใหญ่น้อยมากกว่าสิบแคว้น โดยมีอาณาจักรส่วนกลางหรือแคว้นหลักเป็นผู้ปกครองสูงสุด
นับแต่มีการออกนโยบายสะสมกำลังทหาร ทั้งแคว้นหลักและแคว้นบริวารต่างก็เร่งกะเกณฑ์ไพร่พลมาเป็นจำนวนมาก ปรากฏว่าแคว้นบริวารหลาย ๆ แคว้นกลับมีขีดความสามารถในการเกณฑ์ไพร่พลและบำรุงกองทัพเหนือกว่าแคว้นหลักซะอีก เนื่องด้วยองค์ประกอบทางภูมิศาสตร์
ในโลกเก่า กองทัพอาจเป็นหน่วยงานที่ต้องพึ่งพาเงินอุดหนุนจากประเทศแค่เพียงอย่างเดียว แต่สำหรับโลกใหม่ กองทัพสามารถสร้างรายได้เพื่อหล่อเลี้ยงตัวเองหรือจุนเจืออาณาจักรได้ด้วยซ้ำไป เพราะในโลกนี้มีมอนสเตอร์และดันเจียนอยู่ทั่วทุกหัวระแหง มอนสเตอร์เหล่านี้สามารถแปรเป็นทรัพยากรได้มากมาย เนื้อมอนสเตอร์บางชนิดสามารถนำมาเป็นอาหารได้ หนังของพวกมันก็นำมาใช้ทำเครื่องนุ่งห่มได้ บางตัวมีกระดูกหรือชิ้นส่วนที่มีสรรพคุณทางยา บางตัวก็มีชิ้นส่วนที่นำมาเป็นวัตถุดิบในการประดิษฐ์สิ่งของต่าง ๆ แม้แต่มอนสเตอร์ที่เป็นร่างอัญเชิญก็สามารถดักจับพลังงานมาแปลงเป็นหินเวทมนตร์ได้
ส่วนดันเจียนก็คือแหล่งชุมนุมของเหล่ามอนสเตอร์สารพัดชนิด โดยเฉพาะดันเจียนมิติ เมื่อทำการกวาดล้างเสร็จจะได้หินเวทมนตร์ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานที่มีมูลค่าสูง เรียกได้ว่าสำหรับโลกใหม่นี้ ทุกผืนดินคือแหล่งทรัพยากรอันมีค่า ยิ่งเป็นอาณาจักรที่ครอบครองดินแดนมาก ก็จะมีดันเจียนและมอนสเตอร์ให้ทำการล่าได้มาก เมื่อส่งกองทัพออกไปกวาดล้างดันเจียนและมอนสเตอร์ ก็สามารถสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ
ส่วนใหญ่แล้วแคว้นที่มีดินแดนลักษณะนี้จะเป็นแคว้นบริวารซึ่งมีพื้นที่ว่างเปล่าอยู่มาก ทำให้มีดันเจียนและมอนสเตอร์เป็นจำนวนมากตามไปด้วย ผิดกับแคว้นหลักหรืออาณาจักรส่วนกลางที่มีการปรับสภาพพื้นที่เพื่อใช้ประโยชน์ไปมากแล้ว แถมพื้นที่โดยรวมของแคว้นก็มีขนาดเล็กกว่า จึงมีดันเจียนและมอนสเตอร์น้อยกว่า เท่ากับมีแหล่งทรัพยากรให้เก็บเกี่ยวได้น้อยตามไปด้วย เป็นสาเหตุให้แคว้นบริวารที่สั่งสมกำลังพลเป็นของตนเอง เกิดการเติบโตอย่างรวดเร็ว เพราะเมื่อมีกำลังทหารจำนวนมากอยู่ในมือ ก็สามารถใช้ประโยชน์จากพื้นที่ในแคว้นของตนเองได้อย่างเต็มที่
เมื่อกำลังทหารของแคว้นเพิ่มมากขึ้น อำนาจต่อรองของผู้ครองแคว้นที่มีต่อสภาของอาณาจักรก็มากขึ้นตามไปด้วย ทำให้สมดุลเรื่องกำลังทหารและขั้วอำนาจทางการเมืองภายในแต่ละแคว้นเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง
เหล่าผู้มีอำนาจของแคว้นหลักหรืออาณาจักรส่วนกลาง ย่อมไม่อยากจะเสียอำนาจในการปกครองไปง่าย ๆ จึงพยายามขยายกองทัพเพิ่มขึ้นให้เพียงพอต่อการควบคุมแคว้นต่าง ๆ พร้อมทั้งดำเนินนโยบายกดดันแคว้นที่อยู่ใต้อาณัติให้ลดขนาดกองทัพลง แต่ก็ดูจะไม่เป็นผล เพราะทุกแคว้นต่างก็แข่งขันกันเพิ่มขนาดกองทัพเป็นการใหญ่ ด้วยความหวาดระแวงว่าจะถูกอีกฝ่ายฮุบกลืนเอา เป็นเหตุให้เกิดความขัดแย้งยิ่งเพิ่มมากขึ้น แต่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาเรื่องการสะสมกำลังพลได้
สภาวะที่เหมือนกับสงครามเย็นภายในแต่ละอาณาจักรนี้ดำเนินไปอีกสิบปีเศษ แม้ทุกฝ่ายจะเอาแต่จ้องคุมเชิงและสะสมกำลังพลโดยไม่มีการกระทบกระทั่งกันโดยตรง แต่ผลเสียอีกข้อหนึ่งของการสะสมแต่กำลังทหารก็เริ่มจะปรากฏออกมา
เพราะแต่ละแคว้นขยายขนาดกองทัพมากเกินไป ทำให้เกิดภาระค่าใช้จ่ายในการบำรุงกองทัพเป็นปริมาณมหาศาล ภาวะเศรษฐกิจก็อยู่ในสภาพถดถอยติดต่อกันมาเป็นเวลานาน เพราะนำเงินงบประมาณไปใช้จ่ายกับการพัฒนากองทัพซะหมด โดยเฉพาะอาณาจักรส่วนกลางที่เกณฑ์ทหารมาประจำการไว้เป็นจำนวนมากก็ยิ่งมีค่าใช้จ่ายมาก เมื่อถึงจุดที่เริ่มแบกรับภาระไม่ไหวจึงทำการเพิ่มอัตราภาษีที่เรียกเก็บจากแคว้นบริวารเพิ่มขึ้นอีก ซึ่งเดิมทีแต่ละอาณาจักรก็เรียกเก็บภาษีจากแคว้นบริวารในอัตราที่แพงอยู่แล้ว เพราะเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการกดดันให้ลดกำลังทหาร เมื่อมีการขูดรีดภาษีซ้ำสอง ความไม่พอใจของแคว้นต่าง ๆ จึงปะทุขึ้น
แคว้นบริวารมากมายเริ่มไม่ยอมจ่ายภาษีในอัตราที่ไม่เป็นธรรมนี้ บางแคว้นถึงกับประกาศแยกตัวเป็นอิสระเพื่อให้หลุดจากการรีดไถ ทั้งนี้เพราะแต่ละแคว้นต่างก็สะสมกำลังทหารในระดับที่สามารถดูแลตัวเองได้ โดยไม่ต้องพึ่งพากำลังทหารจากส่วนกลางอีกต่อไป พอเห็นแคว้นหนึ่งทำ อีกหลาย ๆ แคว้นก็เริ่มเอาเยี่ยงอย่าง
ในศักราชที่ 246 แคว้นบริวารมากกว่าหนึ่งร้อยแคว้นของทั้งสามทวีปต่างพากันประกาศตนเป็นอิสระ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเหตุที่ผลักดันแคว้นหลักของแต่ละอาณาจักรให้เข้าสู่ทางตัน
เพราะเดิมทีภาวะเศรษฐกิจและการเงินของอาณาจักรใหญ่ ๆ ก็ไม่ค่อยจะดีอยู่แล้ว เงินบำรุงอาณาจักรเกือบครึ่งก็มาจากเงินภาษีของแคว้นบริวาร หากมีแคว้นบริวารแค่เพียงสักหนึ่งหรือสองแคว้นไม่ยอมจ่ายภาษี ก็ทำให้การคลังของอาณาจักรก็เข้าสู่ภาวะวิกฤติได้แล้ว แต่นี่กลับมีแคว้นบริวารประกาศตนเป็นอิสรภาพเป็นจำนวนมาก ทำให้อาณาจักรอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการล่มสลาย เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น แต่ละอาณาจักรจึงจำเป็นต้องใช้กำลังทหารในการนำแคว้นบริวารกลับมาอยู่ใต้อาณัติอีกครั้ง
แม้พีชคีปเปอร์จะพยายามเข้ามาไกล่เกลี่ยและแก้ปัญหาเพื่อหลีกเลี่ยงสงคราม แต่เพราะพีชคีปเปอร์ ตัวองค์กรมีสิทธิ์เรียกระดมพลและสั่งการกองทัพของอาณาจักรต่าง ๆ ในยามที่เกิดการรุกรานขึ้นเท่านั้น ไม่ใช่องค์กรที่มีกำลังทหารเป็นของตนเองทำ ให้ในกรณีที่เป็นความขัดแย้งภายในระหว่างมนุษย์ด้วยกันแบบนี้ พวกเขาก็มีสภาพไม่ต่างจากเสือกระดาษ
การพยายามส่งทูตไปเจรจาไกล่เกลี่ยก็ไม่เป็นผลเพราะแต่ละแคว้นต่างก็เดินมาถึงปลายทางแห่งความขัดแย้ง โดยมีความอยู่รอดของตนเองเป็นเดิมพัน จึงไม่สามารถเจรจาอะไรได้อีก ท้ายที่สุดสงครามภายในของแต่ละอาณาจักรก็ปะทุขึ้นโดยที่พีชคีปเปอร์ทำได้แค่พยายามเฝ้าระวังไม่ให้มันลุกลามกลายเป็นสงครามระหว่างอาณาจักรไปจริง ๆ เท่านั้น
สงครามภายในของอาณาจักรต่าง ๆ ดำเนินไปเป็นเวลายาวนานเกือบห้าสิบปี ในที่สุดเมื่อถึงศักราชที่ 290 หลังจากแคว้นอิสระแห่งสุดท้ายของอาณาจักรเอลิเซีย ทวีปเทอร่า ถูกปราบพิชิตและกลับมาอยู่ใต้อาณัติของเอลิเซียอีกครั้ง สงครามปราบดินแดนอันยาวนานก็ได้สิ้นสุดลง
ผลจากสงครามครั้งนี้ทำให้อาณาจักรต่าง ๆ ที่ควบรวมดินแดนของทุกแคว้นเอาไว้ได้อย่างเบ็ดเสร็จเพิ่มความแข็งแกร่งขึ้นอีกหลายส่วน แต่ก็มีอีกหลายอาณาจักรที่พ่ายแพ้ต่อแคว้นบริวารและล่มสลายไปเช่นกัน
การที่สงครามภายในกินเวลายืดเยื้อมาอย่างยาวนานขนาดนี้มีสาเหตุหลัก ๆ สองประการด้วยกัน ประการแรกคือเหล่าแคว้นบริวารต่างก็มีกำลังเข้มแข็ง ทั้งมีไพร่พลจำนวนมาก และกำแพงเมืองก็ทั้งสูงทั้งแน่นหนา ทนทาน เพราะเป็นกำแพงเมืองที่สร้างขึ้นมาสำหรับต้านทานการบุกของทัพนรก ขอแค่เน้นการตั้งรับเพียงอย่างเดียว ต่อให้เป็นทัพหลวงของอาณาจักรส่วนกลางที่มีไพร่พลมากกว่ากันหลายเท่าตัวก็ยากจะตีหักลงได้ จึงเป็นการยากที่จะปราบพิชิตแคว้นต่าง ๆ ในเวลาอันรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม ปัญหาสำคัญของแต่ละแคว้นคือเงินทุน ซึ่งเรื่องนี้สามารถแก้ไขได้ด้วยการยึดครองดินแดนแค่เพียงอย่างเดียวโดยไม่ต้องไปตีเมือง เพราะพื้นที่รอบนอกเมืองอันกว้างไกลสุดลูกหูลูกตานั้นอุดมไปด้วยมอนสเตอร์และดันเจียน ซึ่งจัดเป็นแหล่งทรัพยากรอันทรงคุณค่า กองทัพของอาณาจักรส่วนกลางจึงมุ่งเน้นไปที่การยึดครองพื้นที่เพื่อล่ามอนสเตอร์และเคลียร์ดันเจียนมากกว่าจะไปปิดล้อมเมืองของแคว้นบริวารเพื่อบีบให้ยอมจำนน
เมื่อเป็นแบบนี้ แคว้นบริวารจึงได้แต่พยายามทำสงครามกองโจร โดยส่งกำลังพลออกมาลอบโจมตีกองทัพของอาณาจักรส่วนกลางเป็นครั้งคราวเพื่อกดดัน ส่วนทหารของอาณาจักรส่วนกลางก็มีรุกไล่บ้างแต่ก็แทบไม่เคยปิดล้อมตีเมืองอย่างจริงจังเพราะการยึดครองพื้นที่เพื่อเก็บเกี่ยวทรัพยากรเป็นสิ่งสำคัญกว่า สงครามที่ไม่มีใครกล้าทุ่มกำลังเต็มที่เพื่อเผด็จศึกอีกฝ่ายนี้จึงกินเวลานานหลายสิบปี
เหตุผลอีกประการหนึ่งคือ ในระหว่างที่แต่ละอาณาจักรพยายามปราบปรามแคว้นบริวาร ก็มีมือที่สาม หรืออาณาจักรใกล้เคียงได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือแคว้นต่าง ๆ เป็นการลับ ทั้งนี้ก็เพื่อบั่นทอนกำลังของอาณาจักรเพื่อนบ้านที่อาจกลายเป็นศัตรูในอนาคตไม่ให้มีกำลังพลที่แข็งแกร่งมากเกินไป โดยยืมมือของแคว้นบริวารที่กำลังรบกันอยู่ ซึ่งอาจหวังผลถึงการรับแคว้นเหล่านั้นเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรตนเองในอนาคตด้วย เมื่อแคว้นบริวารได้รับการสนับสนุนในเชิงลับจึงสามารถต่อกรกับทัพของอาณาจักรส่วนกลางได้นานขึ้นไปอีก
ด้วยเหตุนี้ แม้สงครามภายในของแต่ละอาณาจักรจะยุติลง แต่ความขัดแย้งและความหวาดระแวงครั้งใหม่ก็ได้ระอุขึ้นมาแทน เพราะทุกอาณาจักรต่างก็รู้ว่าเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงที่สวมหน้ากากของมิตรสหายอยู่นั้น แท้จริงแล้วก็คือศัตรูที่พร้อมจะฉกฉวยโอกาสได้ทุกเมื่อ
หลังจากที่ทำการจัดระเบียบภายในอาณาจักรของตนเรียบร้อยแล้ว แต่ละอาณาจักรจึงยังคงสะสมกำลังพลต่อไปเรื่อย ๆ คราวนี้เพราะแต่ละอาณาจักรต่างก็เป็นปึกแผ่น สามารถระดมทรัพยากรและกำลังพลได้อย่างเต็มที่ ทำให้มีอัตราการขยายตัวของกองทัพที่สูงขึ้นกว่าเดิมซะอีก ยิ่งกองทัพของเพื่อนบ้านมีกำลังพลเพิ่มมากขึ้น ความหวาดระแวงต่อกันและกันก็ยิ่งลุกลาม วันที่แต่ละฝ่ายจะหันอาวุธเข้าหากันจริง ๆ จึงเป็นเรื่องที่ขึ้นกับเวลาเท่านั้น
——————————————————————————————————–
Part 2
ทวีปโดมินาเรีย เขตชายแดนตอนเหนือของอาณาจักรราวินคา ซึ่งเชื่อมต่อกับอาณาจักรอลาเรีย
กระโจมผ้าสีขาวสดหลายพันหลังถูกกางเรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบอยู่บนทุ่งหญ้าสีเขียวขจี ทำให้ดูราวกับเป็นดอกไม้สีขาวที่บานสะพรั่งอยู่ทั่วท้องทุ่ง แม้จะดูงดงาม แต่แท้จริงแล้วนี่คือค่ายทหารของกองทัพปราบแดนเหนือแห่งอาณาจักรราวินคา ซึ่งกรีฑาทัพขึ้นมาเพื่อเตรียมทำศึกกับอาณาจักรอลาเรีย
ค่ายแห่งนี้ถูกจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบและแน่นหนา ตัวค่ายแบ่งออกเป็นหกชั้น แต่ละชั้นถูกแบ่งเป็นสัดส่วนด้วยรั้วกั้นม้า มีหอคอยสังเกตการณ์ถูกตั้งกระจายอยู่ทั่วทุกบริเวณ และมีเวรยามเดินตรวจตรารอบพื้นที่รับผิดชอบของตนเองตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง
กระโจมหลังใหญ่สุดซึ่งอยู่บริเวณใจกลางค่ายซึ่งเป็นกระโจมของแม่ทัพ ยิ่งมีการป้องกันที่รัดกุมเป็นพิเศษ โดยรอบกระโจมมีรั้วล้อมรอบถึงสองชั้น ทุกมุมด้านในรั้วจะมีหอคอยระวังภัยประจำอยู่หนึ่งหลัง ด้านล่างของหอก็เป็นกระโจมของหน่วยทหารองครักษ์ซึ่งรับหน้าที่คุ้มกันแม่ทัพทั้งในสนามรบและในค่าย ส่วนด้านนอกรั้วก็ยังมีหน่วยทหารชาญศึกตั้งค่ายรายล้อมอยู่อีกชั้นหนึ่ง อาจกล่าวได้ว่ากระโจมของแม่ทัพที่อยู่ตรงกลางค่ายนี้อาจเป็นสถานที่ที่มีความปลอดภัยยิ่งกว่าวังหลวงซะอีก
ด้านหน้ากระโจมของแม่ทัพ มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งกำลังยืนหันหลังให้กับกระโจมพลางกวาดสายตามองดูความแข็งแกร่งและแน่นหนาของแนวป้องกันที่อยู่รอบบริเวณ โดยที่สีหน้าไม่ได้แสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมา เพียงแค่จับจ้อง และกวาดสายตาไปเรื่อย ๆ เท่านั้น
เขาเป็นเด็กผู้ชายผมดำที่ดูจะมีอายุไม่ถึงสิบปี สวมชุดดำทั้งชุดตั้งแต่หัวจรดเท้า และยังสะพายดาบสีดำอีกหนึ่งเล่มไว้ที่กลางหลังด้วย หากไม่มีแจ็คเก็ตสีขาวซึ่งมีตราสัญลักษณ์ของ ‘พีชคีปเปอร์’ สวมทับอยู่ เหล่าทหารที่อยู่ในค่ายคงต้องเข้าใจผิดคิดว่าเด็กคนนี้เป็นคนร้ายหรือผู้ไม่ประสงค์ดีเป็นแน่
ทหารยามสองคนที่ยืนประจำอยู่ด้านหน้าของกระโจมแม่ทัพต่างก็จ้องมองแผ่นหลังของเด็กคนนั้นด้วยความสนอกสนใจ เพราะเขามีลักษณะของนักผจญภัยทั้งที่อายุยังน้อย แถมยังสวมเสื้อของพีชคีปเปอร์อีก ทหารยามทั้งสองจึงเกิดความสงสัยว่าเด็กคนนี้มีหน้าที่อะไรในพีชคีปเปอร์กันแน่
เด็กคนนี้เป็นเด็กที่ติดตาม ‘ผู้สร้างสันติภาพ’ คนหนึ่งมาเข้าพบกับแม่ทัพ การที่ผู้สร้างสันติภาพจะมีคนสนิทหรือเด็กรับใช้ติดตามมาด้วยไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่เหล่าทหารไม่เคยเห็นเด็กที่มีลักษณะพิเศษแบบนี้มาก่อน เขาทั้งมีแววตาคมกริบ ท่าทางองอาจ แถมยังจงใจสะพายดาบเอาไว้ที่กลางหลัง ทั้งที่ปกติในยุคนี้ไม่มีความจำเป็นต้องสะพาย เพราะสามารถเก็บอาวุธไว้ในช่องมิติเก็บของได้ การสะพายดาบเข้ามาในค่ายทหารดูจะเป็นการอวดอ้างตัวเองเกินไปสักหน่อย แถมหากคนที่ทำแบบนี้ไม่ใช่เด็ก อาจถูกมองว่าเป็นการจงใจหาเรื่องก็เป็นได้
ทหารที่เฝ้ายามอยู่หน้ากระโจมทั้งสองคนต่างก็เป็นทหารองครักษ์ที่ผ่านการต่อสู้มาอย่างโชกโชน ในทีแรกพวกเขาก็รู้สึกขบขันกับท่าทางอวดดีของเด็กชายคนนี้ที่กล้าสะพายดาบเดินอาด ๆ ไปมาเหมือนอยากจะประกาศตัวว่าเป็นนักผจญภัย แต่เมื่อได้อยู่กันตามลำพังแล้วพวกเขาก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่แผ่ออกมาจากเด็กคนนั้น
มันเป็นกลิ่นอายแห่งการฆ่าฟันซึ่งมีเพียงทหารผ่านศึกที่ผ่านห้วงความเป็นความตายมานับไม่ถ้วนเท่านั้นถึงจะมีได้ แม้จะเป็นเพียงกลิ่นอายจาง ๆ ที่ทหารทั่วไปอาจไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ แต่สำหรับทหารองครักษ์ผู้มากประสบการณ์ทั้งสองแล้ว สิ่งที่พวกเขาสัมผัสได้จากเด็กคนนี้เป็นของจริงอย่างไม่ต้องสงสัย พวกเขาจึงทั้งให้ความสนใจและระมัดระวังในตัวเด็กชายไปในเวลาเดียวกัน
ในระหว่างที่ทหารทั้งสองมัวแต่เทความสนใจไปยังเด็กผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า ภายในกระโจมก็มีเสียง ปึง ดังออกมา ทำให้ทหารทั้งสองต้องรีบหันไปดู เมื่อพบว่ามันเป็นเสียงทุบโต๊ะด้วยความเกรี้ยวกราดของแม่ทัพใหญ่ พวกเขาจึงรีบหันกลับมายืนตัวตรงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดูท่าข่าวสารที่ผู้สร้างสันติภาพคนนี้นำมาให้จะเป็นข่าวที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่สำหรับท่านแม่ทัพ
เด็กชายลึกลับก็หันมามองตามเสียงที่แว่วมาจากภายในกระโจมเช่นกัน เขาหรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปดูการจัดวางป้อมค่ายโดยรอบอีกครั้ง ในขณะที่บรรยากาศภายในกระโจมเริ่มจะคุกรุ่นขึ้นเรื่อย ๆ
ภายในกระโจม มีโต๊ะขนาดใหญ่ซึ่งวางแผนที่ของดินแดนตอนเหนือทั้งหมดเอาไว้ บนแผนที่ยังปักธงสีต่าง ๆ เอาไว้แทนตำแหน่งของกองทัพแต่ละอาณาจักรด้วย มันคือแผนที่ยุทธการสำหรับวางแผนการศึก ปกติแล้วที่นี่จะเป็นที่ประชุมของบรรดาแม่ทัพนายกองนับสิบคน แต่ตอนนี้มีเพียงบุรุษสองคนยืนอยู่คนละฟากโต๊ะเท่านั้น
“เรื่องนี้มัน… เป็นไปไม่ได้…”
ชายวัยกลางคนในชุดเกราะสีเทาเต็มยศเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำที่เจือปนไปด้วยโทสะ มือทั้งสองข้างของเขายังคงกำแน่นและกดลงบนโต๊ะเบื้องหน้าอย่างแรงจนเริ่มมีเสียงปริแตกของเนื้อไม้ดังลั่นออกมา
ชายคนนี้คือ ราคุชา อาร์กอส แม่ทัพใหญ่ของกองทัพปราบแดนเหนือแห่งอาณาจักรราวินคา เป็นชายวัยกลางคนอายุเกือบห้าสิบปี มีใบหน้าสี่เหลี่ยม ไว้หนวดเคราดกหนา เขามีผิวสีเข้มตัดกับเส้นผมและหนวดเคราที่เป็นสีเหลืองจาง ๆ ยามโกรธเส้นผมที่ยาวจนรุงรังนั้นก็ลุกตั้งพองตัวขึ้นจนดูราวกับเป็นสิงโต เมื่อรวมเข้ากับแววตาอันแดงก่ำที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวราวกับจะกินเลือดกินเนื้อคนได้นั้นก็ยิ่งทำให้เป็นภาพที่น่าประหวั่นพรั่นพรึงสำหรับผู้พบเห็น ทว่าชายหนุ่มที่อยู่อีกฟากหนึ่งของโต๊ะก็ยังคงพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ โดยไม่มีท่าทีหวาดกลัวแต่อย่างใด
“หน่วยข่าวกรองของเราทำการตรวจสอบมาอย่างแน่ชัดแล้ว คำสั่งปลดประจำการของคุณน่าจะมาถึงในอีกไม่กี่วันนี้ ผู้ที่จะมาแทนคือแม่ทัพโอจาเน็นแห่งกองพลตะวันตก ซึ่งตอนนี้กำลังเร่งเดินทางกลับไปยังเมืองหลวงเพื่อรับคำสั่ง ถ้าไม่เชื่อละก็ จะลองติดต่อกับคนสนิทของคุณที่อยู่ในเมืองหลวงดูก็ได้ครับ”
แม่ทัพราคุชามีสีหน้าเคร่งเครียดยิ่งขึ้นอีกเมื่อได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม เขาเหลือบตามองดูชายที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้งเพื่อจับพิรุธ แต่สายตาอันแน่วแน่และสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจนั้นก็ทำให้ยากที่จะคาดเดาความจริงที่ซ่อนอยู่ภายในได้
ชายผู้ยืนอยู่อีกฝั่งของโต๊ะยุทธการก็คือ ‘ผู้สร้างสันติภาพ’ ของพีชคีปเปอร์ นามว่า ซารามอธ แฮลเซียน เขาเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ ท่าทางองอาจ แต่กลับมีใบหน้าอันหล่อเหลาหมดจด ที่โดดเด่นพอกับความสูงใหญ่ของร่างกายคือเส้นผมสีแดงราวกับเปลวเพลิงซึ่งขับเน้นให้ใบหน้าและท่าทางอันเป็นสุภาพบุรุษนั้นยิ่งส่องประกายมากขึ้นอีก
ซารามอธเพิ่งจะนำ ‘ข่าวสารลับ’ มาแจ้งให้กับแม่ทัพราคุชาทราบ นั่นก็คือสภาสูงของอาณาจักรราวินคาเพิ่งจะลงมติปลดเขาออกจากตำแหน่งแม่ทัพปราบแดนเหนือ และให้แม่ทัพแดนตะวันตกขึ้นมาบัญชาการแทน
ในทีแรก ราคุชาก็ไม่เชื่อ แต่เมื่อได้เห็นภาพถ่ายของเอกสารราชการซึ่งเป็นคำสั่งปลดเขาออกจากตำแหน่งแม่ทัพ โทสะของเขาก็พลุ่งพล่านขึ้นจนคุมเอาไว้ไม่อยู่ ราคุชาเป็นทหารมาตั้งแต่หนุ่ม ทำสงครามให้กับอาณาจักรมากว่าสามสิบปี ไต่เต้าจากทหารชั้นผู้น้อยจนได้เป็นถึงแม่ทัพใหญ่ แต่ในช่วงเวลาสำคัญที่สุดซึ่งสองอาณาจักรกำลังจะทำสงครามกันแบบนี้ เขากลับถูกปลดออกจากตำแหน่ง ทำให้ราคุชาที่อารมณ์ร้อนเป็นทุนเดิมอยู่แล้วไม่สามารถระงับความโกรธเกรี้ยวเอาไว้ได้
แม่ทัพใหญ่ใช้เวลาสงบสติอารมณ์อยู่พักหนึ่งสีหน้าจึงกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง แต่ใบหน้าของเขาก็ยังคงเคร่งเครียด ส่วนแววตาก็ยังแฝงไปด้วยโทสะ เขากวาดสายตาอันดุดันนั้นกลับมามองซารามอธอีกครั้งก่อนจะเอ่ยคำพูดออกมา
“เรื่องนี้ยังคงต้องตรวจสอบให้แน่ชัด… อาศัยแค่ภาพถ่ายใบเดียวยังยืนยันอะไรไม่ได้หรอก… ที่สำคัญคือ แกเอาเรื่องนี้มาบอกกับฉันทำไม? คิดจะเยาะเย้ยกันงั้นรึ? การที่เลื่อนเวลาทำศึกออกไปได้อีกหน่อยเป็นเรื่องที่สมใจ ‘ผู้รักษาสันติภาพ’ อย่างพวกแกมากสินะ?”
แม่ทัพราคุชาพูดด้วยน้ำเสียงอันทุ้มต่ำและเสียดแทงราวกับจะขูดเนื้อเถือหนังของอีกฝ่าย แต่ชายหนุ่มก็ยังคงมีสีหน้ายิ้มแย้มและตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ สบาย ๆ
“คุณราคุชาเข้าใจผิดแล้วครับ อย่างที่ว่านั่นแหละ เรื่องนี้ก็แค่ช่วยยื้อเวลาเกิดสงครามไปอีกนิดหน่อยเท่านั้นเอง สิ่งที่เรา พีชคีปเปอร์เป็นกังวล คือความมั่นคงในระยาวมากกว่า หากไม่มีคุณสักคนละก็ อนาคตของภูมิภาคนี้ก็คงจะเป็นสิ่งที่คาดเดาได้ยาก…”
คำพูดที่เหมือนกับเป็นปริศนาของชายหนุ่มทำให้ราคุชาเลิกคิ้วขึ้นสูงเพราะความสงสัย แต่สีหน้าและแววตาของเขาก็ยังคงแฝงไปด้วยโทสะ ราวกันเป็นรูปลักษณ์ที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดไปแล้ว
“แกหมายความว่ายังไง? พูดมาให้ชัด ๆ ซิ”
ซารามอธหุบยิ้มลงและมีสีหน้าที่จริงจังขึ้น เขาจ้องมองเข้าไปยังดวงตาของแม่ทัพใหญ่อยู่ครู่หนึ่งเหมือนกับพยายามสังเกตท่าทีของอีกฝ่าย ก่อนจะเอ่ยคำตอบที่ไม่เชิงเป็นคำตอบออกมา
“คุณไม่คิดว่าการที่แม่ทัพผู้กรำศึกมากว่าสามสิบปีอย่างคุณถูกปลดลงจากตำแหน่งก่อนสงครามใหญ่แบบนี้เป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลบ้างเหรอครับ? ที่สำคัญยังเป็นการปลดกลางอากาศทั้งที่เคลื่อนทัพมาจนประชิดชายแดนแล้วด้วย ภายในสภาสูงเองก็ควรจะมีคนที่ให้การสนับสนุนคุณอยู่ไม่น้อย แต่ก็ยังไม่อาจยับยั้งการปลดคุณออกจากตำแหน่งได้ หากไม่ใช่ว่ามีการสมรู้ร่วมคิดของผู้มีอำนาจในสภาละก็ เรื่องแบบนี้ก็ไม่ควรที่จะเกิดขึ้นได้”
ราคุชาขบคิดตามคำพูดของซารามอธและรู้สึกว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำน่าสงสัยจริง ๆ แต่การใช้คำถามมาเป็นคำตอบแบบนี้ทำให้ราคุชาผู้ใจร้อนและอารมณ์ไม่ค่อยจะดีอยู่แล้วยิ่งรู้สึกหงุดหงิดขึ้นไปอีก เขาจึงตวาดใส่ชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงอันดัง
“เลิกพูดจาเป็นปริศนาได้แล้ว! จะพูดอะไรก็พูดมา!”
ซารามอธไม่ได้มีท่าทีสะทกสะท้านต่อน้ำเสียงที่สะเทือนโสตประสาทจนทำให้ทหารยามสองคนด้านหน้ากระโจมต้องสะดุ้ง เขายังคงจ้องมองราคุชาด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย และเอ่ยคำพูดออกมาโดยไม่มีท่าทีหวาดหวั่นใด ๆ
“จากที่เรารู้ คุณราคุชาน่ะเป็นแม่ทัพซึ่งอยู่ฝ่ายเดียวกับเสนาบดีฝ่ายกลาโหม ผลงานการรบในช่วงหลายสิบปีมานี้ช่วยเพิ่มบารมีให้กับกลุ่มขุนนางฝ่ายกลาโหมเป็นอย่างมาก หากปล่อยให้คุณเป็นแม่ทัพใหญ่คุมกองทัพปราบแดนเหนือขึ้นไปพิชิตอาณาจักรอลาเรียอีก คราวนี้บารมีของกลุ่มขุนนางฝ่ายกลาโหมคงพุ่งสูงเสียดฟ้า ยากจะมีใครมาทัดทานอำนาจได้
ด้วยเหตุนี้เสนาบดีฝ่ายปกครองกับพรรคพวกจึงขุดคุ้ยประวัติของคุณเพื่อหาทางสกัดการสร้างผลงานครั้งนี้ และพวกเขาก็พบว่าต้นตระกูลของคุณราคุชาเป็นชาวอลาเรีย ในช่วงสงครามปราบดินแดนของอลาเรียคุณเองก็มีการติดต่อกับแม่ทัพฝ่ายนั้นอยู่บ่อยครั้งด้วย พวกเขาจึงใช้เรื่องนี้มาเป็นประเด็นในการโจมตี จนนำไปสู่การปลดคุณออกจากตำแหน่งในที่สุด… เรื่องนี้ถ้าจบแค่การปลดออกจากตำแหน่งก็แล้วไป แต่ถ้าถูกโยงใยใส่ร้ายมากกว่านี้ เผลอ ๆ อาจต้องข้อหากบฏเอาก็ได้…”
เมื่อได้ฟังเช่นนั้น ราคุชาที่พยายามระงับโทสะมาโดยตลอดก็ระเบิดอารมณ์ออกมาอีกครั้ง
“พูดจาเหลวไหล! พวกมันสิเป็นกบฏ! ข้าน่ะสู้รบเพื่ออาณาจักรมาตั้งเท่าไหร่!? พวกมัน วัน ๆ นอกจากหดหัวอยู่ในกำแพงเมือง ฉ้อราษฎร์บังหลวงแล้ว เคยทำอะไรเพื่อประเทศชาติบ้านเมืองบ้าง!?
ราคุชาแผดเสียงออกมาพร้อมกับทุบกำปั้นลงบนโต๊ะยุทธการจนหักเป็นสองเสี่ยง แผนที่บนโต๊ะพร้อมทั้งธงจำลองหลากสีจึงไหลมากองรวมกันหมดตรงรอยหักที่ยุบตัวลงจนถึงพื้นนั้น
ทหารยามที่เฝ้าด้านหน้ากระโจมทั้งสองคนยืนเหงื่อแตกพลั่กโดยไม่กล้าหันกลับไปมองในกระโจม เพราะทั้งสองต่างรู้ดีว่าในยามที่แม่ทัพราคุชาเกิดมีโทสะพลุ่งพล่านขึ้นมา แม้แต่อสูรนรกก็ยังต้องหลีกหนี ทว่าในระหว่างนั้นเอง พวกเขาก็เหลือบไปเห็นเด็กชายผู้ยืนอยู่หน้ากระโจมกำลังเอามือป้องปากและมีทีท่าเหมือนกำลังกลั้นหัวเราะก่อนจะรีบเก็บอาการและยืนตัวตรงอีกครั้ง สร้างความประหลาดใจให้กับทหารทั้งสองมากกว่าเดิม เพราะนอกจากเด็กคนนี้จะไม่มีท่าทีเกรงกลัวต่อแรงกดดันที่แผ่พุ่งมาจากในกระโจมแล้ว ยังทำท่าเหมือนกับกำลังขบขันซะอีก
ความจริงเด็กชายไม่ได้ขบขันกับการระบายโทสะของแม่ทัพราคุชา เขาแค่รู้สึกจั๊กจี้ที่แม่ทัพราคุชาโกรธจนเผลอตวาดออกมาเป็นสำเนียงท้องถิ่นของราวินคา แถมยังเรียกแทนตัวเองด้วยคำว่า ‘ข้า’ อีกต่างหาก ทำให้เขาเกือบกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่
ภายในกระโจม ซารามอธยังคงยืนเอามือไพล่หลังโดยปรายตามองไปทางอื่นเพื่อรอให้อีกฝ่ายสงบสติอารมณ์ลง ซึ่งหลังจากสูดลมหายใจลึก ๆ อยู่พักหนึ่ง ราคุชาก็ขมวดคิ้วและพึมพำออกมา
“ไม่ถูก… ยังไงฝ่าบาทก็ไม่มีทางหลงเชื่อคำยุยงของพวกขุนนางฝ่ายปกครองง่าย ๆ แน่ ต่อให้ขุนนางฝ่ายกลาโหมจะยับยั้งเรื่องนี้เอาไว้ไม่ได้ แต่ฝ่าบาทก็ไม่น่าจะปล่อยให้เรื่องนี้ได้รับการอนุมัติโดยไม่ทรงคัดค้านนี่นา… ที่แกพูดมาต้องเป็นเรื่องโกหก!”
ราคุชาถลึงตามองชายหนุ่มตรงหน้าอีกครั้งด้วยความอาฆาต แต่ซารามอธกลับยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยคำพูดกลับไป
“อย่างที่บอกนั่นแหละครับ เรื่องนี้ขอแค่คุณราคุชาติดต่อกลับไปยังคนสนิทที่อยู่ในสภาก็สามารถรู้ความจริงได้แล้ว นี่เป็นเรื่องที่ตรวจสอบได้ง่าย แถมต่อให้ไม่ทำการตรวจสอบด้วยตัวเอง ในไม่กี่วันนี้ก็ต้องมีคำสั่งลงมาถึงอยู่ดี ผมจะลงทุนปลอมเอกสารสร้างหลักฐานเท็จและเสนอหน้ามาหยอกคุณราคุชาให้ตกใจเล่นทำไมกัน? ที่สำคัญคือผมเป็น ‘ผู้สร้างสันติภาพ’ เป็นตัวแทนของพีชคีปเปอร์ การกระทำของผมทั้งหมดก็ถือเป็นการกระทำของพีชคีปเปอร์ด้วย ผมไม่กล้าเอาชื่อเสียงเกียรติยศขององค์กรมาล้อเล่นหรอกครับ”
คำพูดนั้นโน้มน้าวราคุชาให้คล้อยตามได้ส่วนหนึ่ง ท่าทีของเขาจึงผ่อนคลายความเป็นปรปักษ์ลงบ้าง แต่ก็ยังไม่ละสายตาที่เต็มไปด้วยความเคลือบแคลงสงสัยออกจากคนที่อยู่ตรงหน้าซะทีเดียว
“แต่ว่าข้า… ฉันน่ะเป็นแม่ทัพคู่บัลลังก์เชียวนะ เป็นขุนนางคุณูปการที่ช่วยรวบรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่ง… ในแผ่นดินนี้ไม่น่าจะมีใครที่ฝ่าบาทให้ความไว้วางใจเท่ากับฉันอีกแล้ว แต่ทำไมกลับ…”
“การเป็นราชาไม่ใช่เรื่องง่ายหรอกนะครับ หลายคนอาจเข้าใจผิดคิดว่าผู้ที่เป็นราชานั้นมีสิทธิ์ขาดและสามารถทำอะไรตามใจก็ได้ แต่ความจริงแล้วคนเป็นราชาก็ต้องทำตามขั้นตอนปฏิบัติเพื่อรักษาความมั่นคงของราชบัลลังก์และบ้านเมืองเอาไว้เช่นกัน ต่อให้ฝ่าบาทไม่เชื่อว่าข้อกล่าวหาเหล่านั้นจะเป็นเรื่องจริง แต่ถ้าปัดเรื่องนี้ตกไปโดยไม่ทำการไต่สวนก็เท่ากับมีใจเอนเอียง ให้อภิสิทธิ์กับขุนนางคนโปรด ซึ่งจะทำให้เสียการปกครองได้ จึงจำเป็นต้องเรียกตัวคุณกลับไปเพื่อทำการไต่สวนไงล่ะครับ นอกจากนี้ก็ยังมีเหตุผลอีกอย่างหนึ่งด้วย คือยิ่งคุณสร้างผลงานมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นปัญหาต่อฝ่าบาทมากเท่านั้น…”
ทันทีที่ได้ยินถึงตรงนี้ แม่ทัพใหญ่ก็ถลึงตามองชายหนุ่มอีกครั้งด้วยแววตาที่แสดงความอาฆาตยิ่งกว่าเดิม ซารามอธที่เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะระเบิดอารมณ์อีกรอบจึงชิงอธิบายตัดหน้าซะก่อน ด้วยรอยยิ้มเล็ก ๆ อันเป็นมิตร
“แน่นอน ผมไม่ได้หมายความว่าพระราชาแห่งราวินคาเป็นกษัตริย์ที่ใจคอคับแคบ ไม่อยากให้ขุนนางสร้างผลงานเกินหน้าเกินตา แต่อย่างที่ได้พูดไปแล้ว ผลงานของคุณราคุชาถือเป็นผลงานของขุนนางฝ่ายกลาโหมทุกคน ยิ่งคุณออกศึกพิชิตชัย พวกเขาก็ยิ่งมีบารมีเพิ่มมากขึ้น
การที่ขุนนางฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดมีอำนาจผูกขาดในสภาสูงไม่ใช่เรื่องดีต่อการปกครอง เพราะโดยปกติพระราชาจะอาศัยเสียงคัดค้านจากขั้วอำนาจอื่น ๆ เป็นตัวเบิกทางในการเข้าแทรกแซงและยับยั้งข้อเสนอหรือนโยบายที่ไม่พอพระทัย หากปล่อยให้เหล่าขุนนางกลาโหมมีบารมีล้นฟ้าจนไม่มีใครกล้าเป็นศัตรูด้วยอีก ในอนาคตพวกเขาก็จะสามารถทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ และใช้อำนาจกดดันได้แม้แต่พระราชบัลลังก์
สำหรับคุณราคุชาที่เป็นขุนนางคนสนิท ฝ่าบาทคงไม่นึกหวาดระแวงหรือกังวลอะไรอยู่แล้ว ที่ฝ่าบาทกังวลคือเหล่าขุนนางกลาโหมในสภาสูงที่ได้อานิสงค์จากการสร้างผลงานของคุณราคุชาต่างหาก คุณเองก็คงไม่สามารถรับประกันได้เหมือนกันใช่มั้ยล่ะครับ? ว่ากลุ่มขุนนางกลาโหมที่อยู่ในสภาสูงจะไม่สั่งสมบารมีเกินตัวและใช้อำนาจเพื่อตอบสนองผลประโยชน์ของตนเองน่ะ?”
เมื่อได้ฟังคำอธิบายของซารามอธ ราคุชาก็เริ่มมีท่าทีสงบลง เขากลอกตาไปมาเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา บางคนอาจเข้าใจว่าราคุชาผู้นี้เป็นแม่ทัพบู๊ที่มุทะลุไม่มีหัวสมอง แต่ความจริงเขาเป็นนักการทหารที่มีสติปัญญาไม่ด้อยไปกว่าพวกนักการเมืองเลย จึงเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพยายามจะบอกได้ไม่ยาก
“อืม… เรื่องนั้นก็พอจะเป็นที่เข้าใจได้… แต่ที่ฉันยังไม่เข้าใจคือ… ทำไมพีชคีปเปอร์ถึงต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ด้วยล่ะ? ถึงกับต้องส่งผู้สร้างสันติภาพมาแจ้งข่าวนี้กับฉันด้วยตัวเอง พวกแกต้องการอะไรกันแน่?”
ราคุชาเอ่ยถามด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเคลือบแคลง ส่วนทางซารามอธก็มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะตอบกลับมาด้วยแววตาจริงจัง
“นั่นเพราะการปลดคุณออกจากตำแหน่งเป็นเรื่องที่มีเบื้องหลังมากกว่าที่เห็น… เคยนึกสงสัยรึเปล่าครับว่าทำไมหลังจากที่ทำการเจริญสัมพันธไมตรีกับสมาพันธ์เทอร่าแล้ว พวกขุนนางฝ่ายปกครองก็เริ่มฟื้นฟูอำนาจขึ้นมา จนสามารถปลดแม่ทัพใหญ่กลางสมรภูมิได้แบบนี้”
สมาพันธ์เทอร่าคือการรวมตัวของหกอาณาจักรแห่งทวีปเทอร่า
หลังปราบความวุ่นวายในดินแดนของตนเองได้สำเร็จอาณาจักรทั้งหกก็ทำการประชุมเจรจาและลงนามในข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกันเพื่อรวมตัวเป็นสมาพันธ์ แม้ต่างฝ่ายต่างจะยังคงเคลือบแคลงใจในเจตนาของอีกฝ่าย แต่เพราะสภาพภูมิประเทศของทวีปเทอร่าซึ่งแต่ละอาณาจักรถูกแบ่งออกจากกันเป็นเอกเทศ ทำให้การเผชิญหน้ากันระหว่างอาณาจักรมีความตึงเครียดน้อยกว่าทวีปที่เป็นแผ่นดินใหญ่อย่างจูริสหรือโดมินาเรีย จึงสามารถบรรลุข้อตกลงเป็นพันธมิตรกันได้
เมื่อได้ยินคำถามชี้นำของซารามอธ ราคุชาก็แสดงสีหน้าเหมือนกับเชื่อมโยงอะไรได้ และมีท่าทีเคร่งเครียดลงไปอีก
“นี่หมายความว่า…”
“ใช่แล้วครับ สมาพันธ์เทอร่าน่ะมีเจตนาที่จะเข้าแทรกแซงการเมืองภายในของอาณาจักรต่าง ๆ ในโดมินาเรีย เราสงสัยว่าที่พวกเขาทำแบบนี้ก็เพื่อหวังผลในการปูทางหรือเตรียมการอะไรบางอย่าง สำหรับแผนการในอนาคต”
คำพูดนั้นทำให้แม่ทัพราคุชาถึงกับตะลึงงันจนนิ่งไป แม้ซารามอธจะไม่ได้พูดออกมาตรง ๆ แต่ราคุชาก็เคยได้ยินข่าวลือจากพวกทหารมาบ้าง ว่าสมาพันธ์เทอร่าให้การสนับสนุนกับอาณาจักรราวินคามากจนเกินเหตุ แม้แต่เสบียงและยุทโธปกรณ์ก็ยังส่งมาให้เป็นจำนวนมาก ราวกับกลัวว่าทางนี้จะไม่ยอมไปรบ ในหมู่ทหารจึงมีการพูดคุยกันว่าสมาพันธ์เทอร่าอยากให้อาณาจักรต่าง ๆ ในโดมินาเรียทำการรบกันเองจนบอบช้ำกันทั้งหมด แล้วค่อยกรีฑาทัพเข้ามารุกรานในภายหลัง
แม้ทั้งหมดนั้นจะเป็นเพียงเสียงร่ำลือที่ไม่มีอะไรมายืนยัน แต่เมื่อนำเรื่องนี้มาเชื่อมโยงกับการที่กลุ่มขุนนางปกครองกลับขึ้นมามีอำนาจและทำการปลดแม่ทัพใหญ่อย่างเขาออกได้ ทุกอย่างก็เริ่มจะมีมูลความจริงขึ้นมา
ซารามอธที่เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังคล้อยตามก็ไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไป เขาเริ่มสำทับทฤษฎีสมคบคิดใหม่ ๆ ให้ราคุชาฟังเพิ่มเติมอีก
“อลาเรียน่ะเป็นแค่อาณาจักรเล็ก ๆ อีกทั้งไพร่พลของอาณาจักรก็ไม่ใช่ทหารแกร่งเหมือนอย่างราวินคา การศึกครั้งนี้หากรบตามปกติแล้วทางราวินคาคงต้องเป็นฝ่ายชนะอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ถ้าหากให้แม่ทัพชาญศึกอย่างคุณราคุชาเป็นแม่ทัพใหญ่ สงครามครั้งนี้ก็คงจะจบเร็วเกินไปและเกิดความสูญเสียกับไพร่พลของราวินคาไม่มากนัก
เพราะแบบนี้สมาพันธ์เทอร่าจึงต้องหาทางปลดคุณราคุชาออก และผลักดันโอจาเน็น แม่ทัพตะวันตกให้มาเป็นผู้นำทัพแทน แม่ทัพโอจาเน็นน่ะขึ้นชื่อเรื่องความมุทะลุ ใช้ไพร่พลเหมือนเป็นเบี้ยหมาก หากให้เขาเป็นผู้นำทัพ ทหารของราวินคาคงต้องล้มตายกันเป็นใบไม้ร่วงแน่ มิหนำซ้ำเรายังรู้มาว่ามีคนให้การสนับสนุนกับอลาเรียอย่างลับ ๆ ทั้งในเรื่องเงินทุนและยุทโธปกรณ์ เมื่อเป็นแบบนี้ สงครามคราวนี้คงต้องสร้างความเสียหายให้กับกองทัพราวินคาไม่น้อยเลยทีเดียว”
ข้อมูลนี้ทำให้แม่ทัพราคุชาเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัยอีกครั้ง โดยเฉพาะเนื้อหาในช่วงท้ายนั้นหากเป็นจริงก็นับว่าจะส่งผลต่อการศึกครั้งนี้อย่างใหญ่หลวงทีเดียว
“ที่ว่ามีคนลอบส่งกำลังสนับสนุนให้กับอลาเรียน่ะ มีอะไรมายืนยันรึเปล่า?”
“หลักฐานที่แน่ชัดว่าใครส่งอะไรให้กับใครบ้างเราคงไม่มี แต่ตอนนี้ป้อมค่ายและกำแพงเมืองต่าง ๆ ในอลาเรียกำลังมีการเสริมความแข็งแรงเป็นการใหญ่ วัสดุและยุทโธปกรณ์หลาย ๆ อย่างที่นำมาใช้ก็ไม่ใช่ของที่เคยมีในอลาเรีย โดยเฉพาะปืนใหญ่พิสัยไกลบนกำแพงเมืองนั่น เรื่องนี้คุณราคุชาสามารถส่งคนไปสอดแนมดูได้”
ราคุชาก้าวเดินไปรอบ ๆ อย่างเชื่องช้าพลางเอามือลูบคลึงเคราอันดกหนาของตนเองเพื่อครุ่นคิดไปด้วย แม้จะไม่เชื่อในคำพูดของผู้สร้างสันติภาพคนนี้ทั้งหมด แต่เพราะอีกฝ่ายเน้นย้ำว่ามันเป็นเรื่องที่สามารถตรวจสอบดูได้ ทำให้เขาปักใจไปกว่าครึ่งแล้ว
“เรื่องที่ว่าตรวจสอบต้องตรวจสอบแน่ แต่ฉันก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมทางพีชคีปเปอร์ต้องให้ความสนใจในเรื่องนี้ด้วย? พวกแกหันมาสนใจความเป็นความตายของราวินคาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ราคุชาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงและสายตาที่ไม่เป็นมิตรนัก แต่ซารามอธก็แสดงรอยยิ้มที่เจือปนความเศร้าออกมา ก่อนจะตอบกลับไปด้วยสีหน้าจริงจัง
“ที่พวกเราเป็นห่วงไม่ใช่ราวินคา แต่เป็นโลกนี้ต่างหากล่ะครับ”
ราคุชาขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำตอบนั้น แต่ยังไม่ทันที่จะได้ถามย้ำ อีกฝ่ายก็อธิบายออกมา
“การศึกครั้งนี้หากสมาพันธ์เทอร่าเป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังและมีเป้าหมายคือการกรีฑาทัพมารุกรานโดมินาเรียจริง ๆ คิดว่าทางจูริสจะยอมให้ทางเทอร่าขยายอำนาจตามใจชอบได้เหรอครับ? แม้อาณาจักรในจูริสจะไม่ได้รวมตัวกันเป็นสมาพันธ์เหมือนอย่างเทอร่า แต่ทุกอาณาจักรต่างก็เป็นพันธมิตรที่แน่นแฟ้นและมีความคิดเห็นไปในทางเดียวกัน พวกเขาย่อมต้องรู้ว่าหลังจากฮุบกลืนโดมินาเรียเรียบร้อยแล้ว สมาพันธ์เทอร่าจะต้องสั่งสมกำลังพลเพื่อบุกยึดทวีปจูริสเป็นลำดับต่อไปอย่างแน่นอน
เมื่อเป็นแบบนี้ก็มีแต่ต้องรีบชิงลงมือก่อน ตอนนี้กองกำลังในจูริสก็เริ่มมีการเคลื่อนไหวแล้ว หากจูริสส่งทหารเข้ามาในโดมินาเรีย เทอร่าก็ยิ่งมีข้ออ้างในการส่งกำลังทหารมาช่วย และสงครามครั้งนี้ก็จะลุกลามกลายเป็นสงครามโลกที่มีโดมินาเรียเป็นสังเวียน ผมไม่กล้าคาดเดาหรอกครับว่าใครจะเป็นผู้ยืนหยัดเป็นคนสุดท้าย แต่คน ๆ นั้นคงไม่ใช่ผู้ที่เริ่มออกตัวเป็นคนแรกและหมดแรงเป็นคนแรกอย่างอาณาจักรราวินคาแน่”
เมื่อฟังคำอธิบายของซารามอธจนจบ แม่ทัพราคุชาก็ถึงกับหน้าถอดสีเพราะรู้สึกหวั่นใจกับภาพอาณาจักรราวินคาที่ถูกกองทัพพันธมิตรจากอีกสองทวีปเหยียบย่ำจนราบพนาสูญขึ้นมาวูบหนึ่ง
ในระหว่างที่เขายังคงครุ่นคิดอยู่ ซารามอธก็กล่าวต่อ
“พอจะเข้าใจแล้วใช่รึเปล่าครับ ที่เรากลัวไม่ใช่สงครามระดับอาณาจักร แต่เป็นสงครามโลก หากปล่อยให้มีสงครามโลกเกิดขึ้น ทั้งโลกก็ต้องได้รับความบอบช้ำจากไฟสงคราม สำหรับพวกปิศาจคงไม่มีเวลาไหนที่จะเหมาะกับการรุกรานโลกมากไปกว่านี้อีกแล้ว โดยเฉพาะตอนนี้ไม่มีทูตสวรรค์ประจำอยู่บนโลกด้วย หากการรุกรานครั้งที่สี่เกิดขึ้นในระหว่างที่เรายังไม่ฟื้นตัวจากสงครามภายในละก็ ความสูญเสียคงจะมากมายมหาศาลจนไม่อาจประเมินค่าได้”
ราคุชานิ่งเงียบไปอีกครั้ง เขาค่อย ๆ เดินไปนั่งบนเก้าอี้ด้านหลังโต๊ะบัญชาการของแม่ทัพใหญ่ซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก พลางครุ่นคิดอยู่เป็นเวลานาน ก่อนจะปรายตากลับมาพูดกับซารามอธอีกครั้ง
“แล้วแกต้องการจะให้ฉันทำอะไร?”
แววตาของชายหนุ่มสว่างวูบขึ้นมาเมื่อได้ยินคำนั้น เพราะนี่แปลว่าแม่ทัพใหญ่ผู้นี้เทใจเชื่อเรื่องที่เขาพูดมากกว่าครึ่งแล้ว และยังรู้อีกว่าที่เขานำเรื่องนี้มาบอกไม่ใช่แค่การเล่าสู่กันฟังเปล่า ๆ แต่เป็นการมาขอความร่วมมืออีกทางหนึ่ง ซารามอธจึงเก็บความยินดีนั้นเอาไว้ ก่อนจะบอกความประสงค์ออกไป
“อันดับแรกคุณราคุชาต้องจัดการกับปัญหาของตัวเองก่อน ที่เรามาแจ้งเตือนก็เพื่อให้คุณได้เตรียมตัวล่วงหน้าก่อนไปรับฟังข้อกล่าวหา จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของพวกขุนนางฝ่ายปกครองจนถูกปลดจากตำแหน่งไปจริง ๆ หากไม่มีคุณอยู่ การแทรกแซงของสมาพันธ์เทอร่าต่ออาณาจักรราวินคาก็จะทำได้ง่ายดายขึ้นมาก”
ราคุชาพยักหน้ารับคำด้วยสีหน้าที่สงบนิ่ง ซารามอธจึงกล่าวต่อไป
“อันดับที่สองคือเราอยากให้คุณช่วยบอกเล่าความไม่ชอบมาพากลต่าง ๆ ให้ฝ่าบาทได้รู้ โดยเฉพาะสภาพแนวป้องกันของอลาเรียที่เสริมกำลังด้วยวัสดุและยุทโธปกรณ์จากต่างแดน เราอยากให้คุณทำการตรวจสอบเรื่องนี้ก่อนจะกลับไป เพื่อที่จะได้ไปบอกเล่ากับฝ่าบาทได้อย่างเต็มปาก”
“อืม…”
“อันดับสุดท้าย เราอยากให้คุณและกลุ่มขุนนางฝ่ายกลาโหมช่วยกันระดมกำลังตรวจสอบเรื่องทั้งหมด เพื่อยับยั้งแผนการชั่วร้ายของสมาพันธ์เทอร่า ทางเราเองก็จะพยายามหาหลักฐานเพิ่มเติมมาสนับสนุนด้วยเช่นกัน”
“เข้าใจล่ะ… แต่บอกไว้ก่อนว่า ถ้าตรวจสอบแล้วปรากฏว่าเรื่องทั้งหมดเป็นแค่การกุเรื่องของแกเพื่อยืดเวลาตายให้กับพวกอลาเรียละก็…”
ราคุชาส่งสายตาที่เปี่ยมไปด้วยจิตสังหารมายังชายหนุ่มอีกครั้ง แต่ซารามอธก็ยังคงยิ้มอย่างมั่นใจก่อนจะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงและสีหน้าจริงจังเหมือนเช่นเคย
“ถ้าทำแบบนั้นจริง ก็เท่ากับเอาชื่อเสียงของผู้สร้างสันติภาพและองค์กรพีชคีปเปอร์มาแลกกับเวลาเพียงเล็กน้อยของอลาเรีย ท้ายที่สุดแล้วอลาเรียก็จะต้องล่มสลายไปพร้อม ๆ กับความน่าเชื่อถือของพวกเรา โดยได้ผลตอบแทนเป็นสำสรรเสริญเล็ก ๆ น้อย ๆ จากชาวอลาเรียที่สิ้นชาติไปแล้วว่า ‘พีชคีปเปอร์เคยช่วยยื้อเวลาล่มสลายของอลาเรียให้ตั้งหลายวันเชียวนะ’ คิดว่าเราจะทำเรื่องที่ขาดทุนย่อยยับแบบนั้นรึเปล่าครับ?”
แม่ทัพใหญ่จ้องมองเข้าไปในดวงตาของชายหนุ่มอยู่เป็นเวลานาน มันเป็นแววตาที่แน่วแน่และเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ แม้ราคุชาจะยังไม่คลายความสงสัยในบางประเด็น แต่ทุกอย่างที่ผู้สร้างสันติภาพหนุ่มพูดมาก็มีเหตุผล แถมส่วนใหญ่ยังเป็นเรื่องที่พิสูจน์ได้ เขาจึงตบปากรับข้อเสนอ
เมื่อการเจรจาลุล่วง ซารามอธก็เดินออกจากกระโจมของแม่ทัพ โดยมีสายตาข้องใจของทหารองครักษ์ทั้งสองคนมองตามไป เพราะพวกเขายังไม่เคยเจอใครที่เผชิญหน้ากับโทสะของแม่ทัพราคุชาได้อย่างไม่สะทกสะท้าน แถมยังสามารถพูดจนท่านแม่ทัพยอมสงบลงได้ในเวลาอันสั้นแบบนี้มาก่อน
เขาเดินตรงออกจากค่ายในทันที ส่วนเด็กชายที่รออยู่ด้านนอกเมื่อเห็นเขาออกมาก็รีบเดินตามไปติด ๆ เมื่อมาถึงด้านนอกสุดของค่าย ทั้งคู่ก็ขึ้นรถม้าส่วนตัวซึ่งจอดรออยู่ แล้วรถม้าก็แล่นออกไป
——————————————————————————————————–
Part 3
เมื่ออยู่บนรถม้าตามลำพังกับผู้ติดตาม บุคลิกของชายหนุ่มก็เปลี่ยนไป แววตาที่มุ่งมั่นจริงจังของเขาแปรเปลี่ยนไปเป็นแววตาที่ดูเจ้าเล่ห์ รอยยิ้มที่เคยดูจริงใจจึงกลายเป็นรอยยิ้มอันร้ายลึกตามไปด้วย เขานั่งเอนกายกับพนักพิงและยกขาขวาขึ้นมาไขว่ห้าง เป็นการปล่อยตัวเต็มที่ ผิดกับการวางตัวสำรวมตลอดเวลาที่อยู่ในค่ายทหาร ชายหนุ่มผู้ที่ดูเป็นสุภาพชนจนถึงเมื่อสักครู่นี้จึงกลายสภาพเป็นเหมือนกับคนเสเพลไปแทน
“เซอร์เก้ นายจะสะพายดาบนั่นไปอีกนานเท่าไหร่? ความจริงฉันก็บอกแล้วนะว่าไม่จำเป็นต้องพกดาบเอาไว้แบบนี้หรอก คนที่เห็นเขาจะหัวเราะเยาะเอาเปล่า ๆ ”
ซารามอธเอ่ยพูดกับเด็กผู้ชายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ เด็กผมดำคนนั้นมีชื่อว่า เซอเจรัส แฮลเซียน อายุแปดขวบ มีศักดิ์เป็นบุตรบุญธรรมของเขา ซึ่งซารามอธตั้งชื่อเล่นให้กับเซอเจรัสว่า เซอร์เก้
เซอร์เก้เป็นเด็กกำพร้าที่ซารามอธไปพบเข้าโดยบังเอิญในระหว่างเดินสำรวจสนามรบในคามิเท็นเมื่อสามปีก่อน ด้วยความถูกชะตาเขาจึงรับเด็กคนนี้มาอุปการะ แต่ด้วยความที่เขาไม่อยากให้ใครเรียกว่าพ่อตั้งแต่อายุสิบเก้า เขาจึงเลี้ยงดูเด็กคนนี้เหมือนกับเป็นน้องชายคนหนึ่งมากกว่า ทั้งสองคนจึงสนิทสนมราวกับเป็นพี่น้องจริง ๆ
“ฉันไม่อยากให้ใครเข้าใจผิดว่าเป็นเด็กรับใช้อีกนี่นา ตั้งแต่พกดาบเอาไว้เนี่ยก็ไม่มีใครเรียกไปใช้งานโน่นนี่อีกแล้ว ได้ผลดีออก”
เซอร์เก้พูดพลางเก็บดาบที่กลางหลังเข้าช่องมิติไป เนื่องจากเคยมีครั้งหนึ่งที่มีคนเข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นเด็กรับใช้ และสั่งงานให้เขาไปทำโน่นทำนี่ในระหว่างที่ซารามอธกำลังคุยธุระอยู่ สร้างความอึดอัดให้กับเจ้าตัวเป็นอย่างมาก นับแต่นั้นเขาจึงจงใจพกดาบเอาไว้ด้านนอก เพื่อให้คนรู้ว่าเขาเป็นนักผจญภัยคนหนึ่ง ไม่ใช่เด็กรับใช้
“ก็บอกแล้วไงว่าแค่สวมเสื้อแจ็คเก็ตขององค์กรไว้ก็พอแล้ว แค่นี้ก็ไม่มีใครกล้าใช้งานนายสุ่มสี่สุ่มห้าแล้วล่ะ สมัยนี้ยังมีใครพกพาอาวุธเดินไปทั่วบ้านทั่วเมืองกัน ทำแบบนี้เดี๋ยวเขาก็คิดว่าเป็นคนบ้ากันพอดี”
“รู้แล้ว ๆ ไม่ต้องพูดย้ำหรอกน่า คราวหน้าไม่พกแล้วก็ได้”
เซอร์เก้พูดรับปากแบบขอไปทีโดยสีหน้ายังดูไม่ค่อยเต็มใจสักเท่าไหร่ ความจริงแล้วส่วนหนึ่งที่เขาสะพายดาบเอาไว้กลางหลังก็เพราะคิดว่ามันดูเท่ดี ยิ่งเมื่อได้สัมผัสถึงสายตาของผู้คนที่จับจ้องมาเพราะความโดดเด่นก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกพึงพอใจอย่างบอกไม่ถูก
การได้เต๊ะท่าสร้างความงุนงงสงสัยให้กับผู้คนเป็นสิ่งที่เขาชื่นชอบเป็นพิเศษ ซารามอธเองก็รู้ดีและเข้าใจว่ามันเป็นนิสัยของเด็ก ๆ ที่ชอบการเป็นจุดสนใจ จึงกล่าวปรามพอเป็นพิธีโดยไม่ได้คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะทำตามอย่างจริงจังนัก
“แล้วเป็นไงบ้าง? ทุกอย่างราบรื่นดีรึเปล่า?”
เซอร์เก้หันมาเอ่ยถามในขณะที่ซารามอธกำลังเปิดดูช่องมิติเก็บของเพื่อคัดแหวนสื่อสารหลายวงออกมา ซึ่งเขาก็ตอบคำถามนั้นด้วยสีหน้าพึงพอใจ
“ไม่ต้องเป็นห่วง ถึงแม่ทัพราคุชาคนนี้จะไม่ใช่คนที่เชื่อใครง่าย ๆ แต่หลังจากสอดแนมแนวรับของอลาเรียและพูดคุยกับคนในราชสำนักแล้ว เขาจะต้องเชื่อทุกอย่างเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์แน่ และหลังจากนั้นเขาก็จะทำทุกอย่างเองโดยไม่ต้องมีใครชี้นำเลย”
“อืม… ว่าแต่เขากำลังจะถูกปลดจริง ๆ น่ะเหรอ? แล้วนายรู้เรื่องนั้นได้ยังไงล่ะ?”
“ก็ต้องรู้สิ ฉันเป็นคนทำให้เขาถูกปลดเองนี่นา”
คำตอบนั้นทำให้เซอร์เก้แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาทั้งที่ยังยิ้มอยู่ ทางซารามอธเองก็ส่งยิ้มกลับไปด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ทำให้รอยยิ้มของเขายิ่งดูร้ายขึ้นไปอีก ในระหว่างนั้นก็มีเสียงดังออกมาจากแหวนสื่อสารที่เขาเพิ่งจะสวมลงบนนิ้วไปพอดี
“ครับ? คุณซารามอธ”
“ทางด้านโน้นเป็นไงบ้าง เอกสารถูกส่งออกมารึยัง?”
“ถูกส่งออกไปตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วครับ คาดว่าน่าจะถึงที่โน่นภายในเย็นวันนี้”
“โอเค ขอบใจมากนะ”
เมื่อการสนทนาผ่านแหวนสื่อสารจบลง เขาก็ถอดแหวนออก ก่อนจะพึมพำกับตัวเองอีกครั้ง
“อืม… คำสั่งปลดประจำการจะมาถึงในเย็นวันนี้… ส่วนตอนนี้ราคุชาคงกำลังติดต่อกับคนในสภาสูงอยู่ ทางนั้นเราก็กำชับเอาไว้แล้วว่าต้องพูดยังไงบ้าง… ยังมีอะไรที่ไม่ได้ทำอีกนะ… อ้อ จริงสิ ควรสร้างหลักฐานเรื่อง ‘กองเรือลึกลับ’ ที่ส่งความช่วยเหลือไปยังอลาเรียด้วย เรื่องนี้ให้คุณเซดดริกช่วยจัดการก็น่าจะได้นะ”
เมื่อนึกออก ซารามอธก็นำแหวนสื่อสารสำหรับติดต่อกับหน่วยข่าวกรองของพีชคีปเปอร์ขึ้นมาสวม เพื่อประสานงานขอความร่วมมือในทันที
นี่คือวิธีสร้างสันติภาพและรักษาความสงบในแบบของซารามอธ
พีชคีปเปอร์เป็นองค์กรรักษาสันติภาพที่ไม่มีกำลังทหารเป็นของตนเอง แม้จะชุบเลี้ยงนักผจญภัยหรือนักรบฝีมือสูงเอาไว้มากมาย แต่ในกรณีที่เกิดสงครามระหว่างมนุษย์ด้วยกันขึ้นมาจริง ๆ ก็ไม่สามารถทำอะไรได้
เหล่า ‘ผู้สร้างสันติภาพ’ ของพีชคีปเปอร์ เป็นนักผจญภัยระดับสูงซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวแทนขององค์กร มีหน้าที่กวาดล้างภัยอันตรายและคอยดูแลความสงบเรียบร้อยในท้องที่ต่าง ๆ และในภาวะที่เค้าลางแห่งสงครามกำลังคุกรุ่นอยู่แบบนี้ พวกเขายังได้รับคำสั่งอีกอย่างหนึ่ง ก็คือเป็นทูตแห่งสันติภาพคอยเดินทางไปเจรจาไกล่เกลี่ยเพื่อถ่วงเวลาหรือระงับสงครามในภูมิภาคต่าง ๆ หรืออย่างน้อยก็ต้องดูแลไม่ให้มีการละเมิดสิทธิมนุษย์ชนในระหว่างสงคราม
ภารกิจนี้ดูจะเป็นอะไรที่เกินกำลังของนักผจญภัยเพียงคนหนึ่งไป จึงไม่ค่อยมีคนคิดจะใส่ใจกระทำนัก บางคนที่จริงจังหน่อยอาจพยายามเดินสายเจรจาทางการทูตจนสายตัวแทบขาด แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาก็คือเหล่าผู้นำอาณาจักรต่างก็รับปากแบบขอไปที และสุดท้ายก็หาข้ออ้างทำสงครามจนได้ เท่ากับความพยายามเหล่านั้นไม่บังเกิดผล
จวบจนกระทั่งซารามอธ แฮลเซียน หนึ่งในผู้สร้างสันติภาพประจำทวีปโดมินาเรียได้เสนอแผนการชนิดหนึ่งเข้าสู่ที่ประชุมของพีชคีปเปอร์ นั่นก็คือการใช้เส้นสายของพีชคีปเปอร์ร่วมกับศักยภาพของหน่วยข่าวกรองในการสร้างความบาดหมางขึ้นภายในกลุ่มขุนนางของแต่ละอาณาจักร เมื่อแต่ละอาณาจักรเกิดความขัดแย้งและแก่งแย่งกันเองภายใน ก็จะลดความคิดที่จะรุกรานอาณาจักรอื่น ๆ ลงได้
วิธีการนี้ดูจะได้ผล เพราะความจริงอาณาจักรต่าง ๆ ได้ฟื้นตัวเต็มที่จากสงครามปราบความไม่สงบตั้งแต่ศักราชที่ 294 และเริ่มมีความคิดที่จะรุกรานอาณาจักรใกล้เคียงแล้ว แต่เพราะแผนการของซารามอธทำให้สามารถสร้างความขัดแย้งและถ่วงแข้งถ่วงขาอาณาจักรต่าง ๆ ได้เป็นผลสำเร็จ จนทำให้โลกคงภาวะสงบสุขมาได้ถึงสามปี
ครั้งนี้ก็เช่นกัน ซารามอธได้แอบส่งข้อมูลประวัติครอบครัวของแม่ทัพราคุชาซึ่งหน่วยข่าวกรองสืบเสาะมาได้ให้กับเสนาบดีฝ่ายปกครองของราวินคานำไปขยายผล พวกขุนนางฝ่ายปกครองเมื่อได้ข้อมูลนี้ไปก็กระโดดโลดเต้นกันเป็นการใหญ่และเร่งทำงานกันอย่างแข็งขันเพราะต้องการจะฉุดดึงแม่ทัพใหญ่ของฝ่ายกลาโหมอย่างราคุชาลงจากอำนาจมานานแล้ว ข้อมูลเล็กน้อยอย่างการมีเป็นบรรพบุรุษเป็นชาวอลาเรียจึงถูกนำไปต่อยอดเชื่อมโยงจนกลายเป็นข้อกล่าวหาเรื่องการสมคบคิดกับอลาเรียอีกมากมาย
แต่อย่างที่แม่ทัพราคุชาบอก พระราชาของราวินคาเองก็ไม่ใช่คนโง่ แถมยังให้ความไว้วางใจกับแม่ทัพใหญ่คนนี้เป็นอย่างมาก ซารามอธจึงแอบโน้มน้าวคนสนิทของพระราชาให้ช่วยเพ็ดทูลอีกแรง ไม่ใช่ให้เพ็ดทูลเรื่องที่ราคุชาอาจคิดทรยศ แต่กราบทูลโน้มน้าวพระราชาเรื่องสภาพแวดล้อมในการทำศึก ว่าการศึกเป็นสิ่งที่ไม่แน่ไม่นอน หากให้ราคุชาซึ่งเป็นขุนพลคู่บัลลังก์อันดับหนึ่งนำทัพหน้าด้วยตนเองและเกิดเพลี่ยงพล้ำขึ้นมาจะส่งผลกระทบต่อขวัญกำลังใจของไพร่พลและเกียรติของอาณาจักรได้
ที่สำคัญคืออาณาจักรคามิเท็นทางฝั่งตะวันออกก็มีท่าทีไม่น่าไว้วางใจ หากคามิเท็นฉวยโอกาสโจมตีในขณะที่แม่ทัพใหญ่ราคุชากำลังติดพันการศึกที่แดนเหนือก็อาจส่งผลร้ายสุดคาดคิดได้ ควรจะให้แม่ทัพคนอื่นมาเป็นผู้นำทัพหน้าแทน ส่วนแม่ทัพราคุชาก็เรียกตัวกลับมาก่อนเพื่อรับการสอบสวนพอเป็นพิธีแล้วค่อยให้คุมทัพหลวงกลับขึ้นไปร่วมยุทธการสยบแดนเหนือในภายหลัง หรือถ้าคามิเท็นฉวยโอกาสโจมตีจริง ๆ ก็สามารถส่งราคุชาไปบัญชาการแนวรบฝั่งตะวันออกได้ พระราชาแห่งราวินคาเห็นว่าข้อเสนอนี้ฟังดูมีเหตุผล จึงให้ทำการเรียกตัวแม่ทัพราคุชากลับมา
สำหรับแนวป้องกันของอลาเรียที่มีวัสดุอุปกรณ์จากเทอร่าปะปนอยู่มากมายนั้น ก็เกิดจากการที่ซารามอธใช้เส้นสายของพีชคีปเปอร์จัดซื้อจัดหาทั้งอาวุธและอุปกรณ์จากเทอร่ามาลอบขายให้กับอลาเรียผ่านทางตลาดมืด โดยเน้นไปที่หัวเมืองชายแดนทางตอนใต้ซึ่งอยู่ติดกับอาณาจักรราวินคา แบบนี้เมื่อแม่ทัพราคุชาส่งคนไปตรวจสอบก็จะพบวัสดุอุปกรณ์และอาวุธจากเทอร่ามากมายอยู่ในการครอบครองของอลาเรีย ทำให้เข้าใจว่าทางฝั่งเทอร่าเป็นนกสองหัว แอบส่งยุทธ์ภัณฑ์ให้กับทั้งสองฝ่ายเพื่อให้รบกันเองจนอ่อนเปลี้ยแล้วค่อยเข้ามาฉกฉวยผลประโยชน์ในภายหลัง
เรื่องนี้แม้แต่ข่าวลือในหมู่ทหารและชาวบ้านของราวินคาที่ร่ำลือกันว่าสมาพันธ์เทอร่าส่งยุทธปัจจัยให้กับราวินคามากมายเหมือนพยายามจะยุให้รบ ก็เป็นข่าวลือที่ซารามอธให้หน่วยข่าวกรองของพีชคีปเปอร์เป็นคนปล่อยเช่นกัน ความจริงทางสมาพันธ์เทอร่าไม่ได้สนับสนุนการรบจนออกนอกหน้าขนาดนั้น แต่เพราะมีสินค้าและเครื่องบรรณาการจำนวนมากถูกส่งมาเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรี ทำให้สามารถนำเรื่องนี้มาบิดเบือนข้อมูลให้กลายเป็นการส่งยุทธปัจจัยได้ เมื่อชาวบ้านพูดกันปากต่อปาก ร่ำลือกันมากเข้า จนแพร่กระจายสู่เหล่าทหารและขุนนาง เรื่องที่ไม่มีมูลก็จะกลายเป็นมีมูลไปเอง
สรุปแล้วทั้งหมดนี้เป็นละครฉากใหญ่ที่ซารามอธทั้งเขียนบทเอง กำกับเอง และแสดงเองเสร็จสรรพ เพื่อปลดแม่ทัพราคุชาลงจากตำแหน่งและให้อาณาจักรราวินคาหันมาทบทวนภัยคุกคามจากภายนอก เพื่อที่จะได้ไตร่ตรองเรื่องการทำสงครามกับแดนเหนือให้มากขึ้น อย่างน้อยก็น่าจะชะลอสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้นไปได้อีกพักใหญ่
เป้าหมายที่แท้จริงของเขาไม่ได้มีเพียงแค่นี้ เพราะการพยายามสร้างความขัดแย้งภายในแต่ละอาณาจักรที่ดำเนินการมาหลายปีเริ่มจะมาถึงจุดอิ่มตัว การยุแหย่ในรูปแบบเดิม ๆ เริ่มจะใช้การไม่ได้อีก อาณาจักรต่าง ๆ จึงหันอาวุธเข้าหากันด้วยแววตาที่ดุดันยิ่งขึ้น สงครามจะปะทุขึ้นมาเมื่อไหร่ก็เป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น
ในระหว่างที่วิธีสร้างความขัดแย้งเพื่อประวิงเวลากำลังจะมาถึงทางตันนั้นเอง หน่วยข่าวกรองของพีชคีปเปอร์ก็สืบทราบข้อมูลอันน่าตกใจเรื่องหนึ่ง คือสมาพันธ์เทอร่ามีความเห็นว่า แทนที่จะรบราฆ่าฟันแย่งชิงกันเอง สู้จับมือกันไปยึดครองดินแดนของผู้อื่นจะดีกว่า ทางสมาพันธ์จึงเริ่มดำเนินแผนการบั่นทอนกำลังของอาณาจักรต่าง ๆ ในโดมินาเรียลง เพื่อปูทางไปยังการรุกรานในอนาคต นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ไม่ใช่การปั้นน้ำเป็นตัวของซารามอธ
เรื่องนี้สร้างความตื่นตระหนกให้กับเหล่าผู้นำของพีชคีปเปอร์เป็นอย่างมาก เพราะดังที่ซารามอธอธิบายให้ราคุชาฟัง หากเทอร่าเข้ามารุกรานโดมินาเรีย จูริสเองก็ไม่สามารถอยู่เฉยได้ สงครามครั้งนี้อาจลุกลามจนกลายเป็นสงครามโลกครั้งแรกของโลกใหม่ แต่ในระหว่างที่ทุกคนกำลังวิตกกังวล ซารามอธกลับมองเห็นโอกาสที่จะยับยั้งสงครามและสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นได้อีกครั้ง
ในเมื่อการยุแหย่ให้เกิดความขัดแย้งภายในเริ่มจะไม่ได้ผล ก็ต้องเปลี่ยนมาใช้ภัยคุกคามภายนอกสร้างความสามัคคีภายในแทน ซารามอธเห็นว่าหากเปิดโปงแผนการของสมาพันธ์เทอร่าให้อาณาจักรต่าง ๆ ในโดมินาเรียรับรู้ พวกเขาก็ต้องหันมาร่วมมือกันเพื่อรับมือภัยคุกคามที่เหนือกว่า สิ่งนี้จะช่วยระงับสงครามระหว่างอาณาจักรไม่ให้เกิดขึ้นได้ และเมื่อทั้งโดมินาเรียผนึกกำลังกันอย่างเป็นปึกแผ่น สมาพันธ์เทอร่าก็คงไม่กล้าจะยกกำลังมาโจมตีซึ่ง ๆ หน้า
ทุกทวีปจะได้แต่คุมเชิงซึ่งกันและกันโดยไม่มีใครกล้าโจมตี ในขณะที่ภายในแต่ละทวีป อาณาจักรต่าง ๆ ก็จะช่วยเหลือเกื้อกูลกันมากขึ้นเพราะเหมือนเป็นคนที่ลงเรือลำเดียวกันแล้ว ต้องคอยประคับประคองซึ่งกันและกันเพื่อให้มีชีวิตรอดด้วยกันทั้งหมด ที่สุดแล้วในระยะยาวก็จะสามารถสร้างความสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักรจนเกิดเป็นความกลมเกลียวกันได้
ด้วยเหตุนี้ ซารามอธจึงคิดว่าภัยคุกคามจากสมาพันธ์เทอร่าถือเป็นโอกาสดีที่จะยับยั้งสงครามภายในโดมินาเรีย และเป็นการตัดไฟตั้งแต่ต้นลมไม่ให้เกิดสงครามโลกด้วย เขาคิดว่าต่อให้สมาพันธ์เทอร่าไม่ได้มีความคิดที่จะรุกรานจริง ๆ ก็จะทำให้ทุกคนเชื่อว่าสมาพันธ์เทอร่าคิดจะทำอยู่ดี โดยในหัวของเขามีแผนการมากมายที่จะทำให้เป็นเช่นนั้นเอาไว้แล้ว
การปลดแม่ทัพราคุชาถือเป็นก้าวแรกของแผนการในการเปิดโปงภัยคุกคามภายนอกแก่เหล่าอาณาจักรในโดมินาเรีย ทั้งยังเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว เพราะสามารถชะลอสงครามระหว่างราวินคากับอลาเรียออกไปได้ และดึงแม่ทัพคู่บัลลังก์อย่างราคุชามาเป็นกระบอกเสียงเพื่อโน้มน้าวพระราชาแห่งอลาเรียให้เชื่อในภัยคุกคามนี้อีกแรงหนึ่งด้วย
ทุกอย่างเป็นไปตามแผนของซารามอธทั้งหมด ยกเว้นก็แต่เรื่องที่แม่ทัพซึ่งถูกแต่งตั้งมาแทนราคุชาคือโอจาเน็น แม่ทัพฝั่งตะวันตกที่มีนิสัยดุร้ายกระหายสงคราม หากสงครามเริ่มขึ้นโดยมีโอจาเน็นเป็นแม่ทัพแนวหน้าจริง ๆ ความสัมพันธ์ระหว่างสองอาณาจักรอาจย่ำแย่จนยากจะกอบกู้ เพราะโอจาเน็นเป็นแม่ทัพที่ขึ้นชื่อเรื่องความโหดเหี้ยม เขาสังหารทั้งทหารและพลเรือนทุกเพศทุกวัยโดยไม่มีละเว้น ทุกที่ที่กองทัพของเขายาตราผ่านไปล้วนแต่กลายเป็นดินแดนรกร้างที่ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตหลงเหลืออยู่
เขาได้แต่หวังว่าแม่ทัพราคุชาจะสามารถเกลี้ยกล่อมพระราชาแห่งราวินคาได้เร็วพอที่จะยับยั้งสงครามครั้งนี้ เพื่อตัดเส้นทางแห่งหายนะที่ชาวโลกกำลังมุ่งไปสู่ความถดถอยจากมหาสงครามของสามทวีป
รถม้าที่ซารามอธและเซอเจรัสโดยสารอยู่ยังคงแล่นต่อไป โดยมีปลายทางอยู่ที่ชายแดนทางตะวันออกเฉียงเหนือของอาณาจักรราวินคา เป็นที่ ๆ เขานัดพบกับผู้สร้างสันติภาพคนอื่น ๆ และตัวแทนหน่วยข่าวกรองของพีชคีปเปอร์ เพื่อหารือการดำเนินการในขั้นต่อไปนั่นเอง