Doombringer the 5th - ตอนที่ 94
Ch.94 – ตอนพิเศษ 4 – เทพสงคราม (2)
Translator : YoyoTanya / Author
Extra Ch. 4
เทพสงคราม (2)
Part 1
บริเวณชายแดนทางตะวันออกเฉียงเหนือของอาณาจักรราวินคา มีคฤหาสน์หลังหนึ่งถูกปลูกสร้างอยู่กลางป่า เพื่อหลบเร้นจากสายตาผู้คน
มันเป็นคฤหาสน์สองชั้นที่ดูไม่หรูหรานัก แม้สภาพของมันจะดูทรุดโทรมไปบ้างตามกาลเวลา เหมือนถูกสร้างขึ้นมาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว แต่ทั้งตัวคฤหาสน์และบริเวณโดยรอบก็ยังคงได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ไม่มีกิ่งไม้จากต้นไม้โดยรอบแผ่กิ่งก้านเข้าไปในบริเวณคฤหาสน์ แม้แต่ต้นหญ้าในพื้นที่ก็ถูกตัดจนเหี้ยนเตียนด้วย ทิวทัศน์อันโปร่งโล่งโดยรอบคฤหาสน์จึงดูขัดกับแนวป่าอันรกทึบที่แวดล้อมอยู่เป็นอันมาก
รถม้าคันหนึ่งแล่นผ่านถนนสายเล็ก ๆ ที่ทอดยาวมายังคฤหาสน์แห่งนี้อย่างแช่มช้า เมื่อมาถึง ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ซึ่งมีผมสีแดงดุจเปลวเพลิงกับเด็กผู้ชายผมดำรูปร่างผอมเพรียวอีกคนก็ลงจากรถ และเดินตรงเข้าไปยังคฤหาสน์ในทันที
ชายหนุ่มคนนี้คือ ซารามอธ แฮลเซียน ผู้สร้างสันติภาพของพีชคีปเปอร์ที่ถูกส่งมาควบคุมสถานการณ์ในทวีปโดมินาเรีย ซึ่งตอนนี้มีเค้าลางแห่งสงครามระหว่างอาณาจักรราวินคากับอาณาจักรอลาเรียกำลังจะปะทุขึ้น ส่วนเด็กที่มากับเขาก็คือ เซอเจรัส แฮลเซียน บุตรบุญธรรมที่ซารามอธรับมาอุปการะ แม้จะเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ ที่มีอายุแค่แปดขวบ แต่ด้วยการสั่งสอนจากซารามอธ ก็ทำให้เขาเป็นนักผจญภัยมือฉมัง ตั้งแต่อายุยังน้อย
เมื่อทั้งสองเดินมาถึงหน้าประตู ก็มีเสียงคนจากด้านในคฤหาสน์เอ่ยถามขึ้นมา
“สันติภาพที่แท้จริงจะเกิดขึ้นเมื่อใด?”
พอได้ยินคำพูดนั้น ซารามอธก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา ก่อนจะหันไปถามเซอร์เก้อีกต่อหนึ่ง
“นี่มันรหัสใหม่สำหรับใช้ในราวินคานี่นา… นายจำคำตอบได้รึเปล่าเซอร์เก้?”
เซอร์เก้ไม่ได้ตอบคำถามของอีกฝ่าย แต่กลับควักเอาเส้นลวดสองเส้นออกมา ก่อนจะแหย่มันเข้าไปในรูกุญแจของประตูคฤหาสน์ หลังจากขยับอยู่สองสามทีก็มีเสียง ‘แกร๊ก’ ดังขึ้น เขาจึงใช้มือบิดที่ลูกบิดของประตู ทำให้ประตูบานนั้นเปิดออกอย่างง่ายดาย
“เฮ้ย! เจ้าเด็กนี่! บอกรหัสผ่านมาก่อนเซ่!”
ผู้ที่อยู่หลังประตูตะโกนโวยวายออกมาพลางหวดกำปั้นเข้าใส่เซอร์เก้ในทันทีที่เขาก้าวเข้าไปในคฤหาสน์เพื่อหวังจะเขกศีรษะ แต่เขาก็หลุบตัวผ่านเข้าประตูไปอย่างรวดเร็วจนกำปั้นของชายคนนั้นหวดโดนแต่ความว่างเปล่า
“หนอย! กลับมานี่นะ!”
เซอร์เก้วิ่งขึ้นไปนั่งตรงขั้นบันไดของคฤหาสน์ซึ่งอยู่ห่างจากประตูหน้าไปไม่ไกล ก่อนจะมองกลับมายังเจ้าของเสียงอันเกรี้ยวกราดนั้นด้วยสีหน้าอันเบื่อหน่าย เขาเป็นชายแก่ที่ดูมีอายุ ทั้งเส้นผมและหนวดที่เฟิ้มหนาจนบดบังริมฝีปากนั้นต่างก็กลายเป็นสีเทาไปหมดแล้ว แต่ท่าทางยังคงดูกระฉับกระเฉง แถมใบหน้าก็ไม่ค่อยมีริ้วรอยด้วย จึงทำให้คาดเดาอายุที่แท้จริงได้ยาก
“ก็รู้อยู่แล้วว่าคนที่มาเป็นพวกเรา ทำไมยังต้องถามอะไรให้มากความอีกล่ะ คุณแกริส”
เซอร์เก้เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเอื่อย ๆ ทำให้ฝ่ายชายแก่มีสีหน้าถมึงทึงมากยิ่งขึ้น
“นี่เป็นขั้นตอนตามระเบียบนะ! รู้รึเปล่าว่าถ้าไปทำแบบนี้ที่อื่นละก็ ได้โดนเจี๋ยนเพราะต้องสงสัยว่าเป็นสายลับของฝั่งตรงข้ามแน่ ๆ !”
“สายลับบ้านไหนเขาเข้ามาทางประตูหน้ากันล่ะ.. แอ๊ก!”
ยังพูดไม่ทันจบประโยค เซอร์เก้ก็โดนเขกหัวจนหน้าคะมำโดยซารามอธซึ่งไม่รู้ว่าขึ้นไปยืนอยู่ด้านหลังตั้งแต่เมื่อไหร่
“ขอโทษจริง ๆ นะครับคุณแกริส เจ้านี่มันก็เป็นเด็กไม่รู้จักมารยาทแบบนี้แหละ แถมยังนั่งรถมานานจนเริ่มงอแงด้วย ไว้ผมจะอบรมสั่งสอนมันให้หนัก ๆ เองนะครับ ไม่ต้องเป็นห่วงครับ”
ชายแก่ที่หน้าประตูยังมีสีหน้าเคร่งเครียดอยู่เล็กน้อย แต่เขาก็หลับตาแล้วถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะเดินกลับไปยังห้องโถงของคฤหาสน์ โดยไม่หันกลับมามองทั้งสองคนอีก
ชายคนนี้คือ แกริส ฮาล์ม เจ้าหน้าที่ระดับสูงของพีชคีปเปอร์ซึ่งมีอายุเกือบหกสิบปีแล้ว และตอนนี้ได้รับภารกิจให้มาเป็นผู้ประสานงานของเหล่าผู้สร้างสันติภาพในโดมินาเรีย ซึ่งคฤหาสน์แห่งนี้คือจุดประสานงานที่ทางองค์กรกำหนดเอาไว้
ซารามอธเดินตามแกริสไปยังห้องโถง แต่เมื่อเดินไปถึงหน้าห้อง เขาก็หยุดเท้าและหันกลับมาพูดกับเซอร์เก้ที่กำลังเดินตามหลังมา
“นายไม่ต้องเข้าไป วิดพื้นรออยู่ตรงนี้ จนกว่าฉันจะกลับมา”
“หา!? ให้วิดพื้นรอเนี่ยนะ!? ก็…”
เซอร์เก้โวยวายไปได้แค่ครึ่งคำก็ถูกสายตาของอีกฝ่ายจ้องเขม็งจนกล่าวคำพูดต่อไปไม่ออก แม้ปกติทั้งสองคนจะสนิทสนมกันมากและพูดคุยกันอย่างไม่ถือเนื้อถือตัว แต่ในยามที่ซารามอธจริงจังขึ้นมา เขาก็ไม่กล้าที่จะขัดคอหรือโต้แย้งเช่นกัน
เมื่อเห็นอีกฝ่ายมีสีหน้าสลด ซารามอธก็ผ่อนคลายท่าทีลงเล็กน้อยและพูดกับเขาอีกครั้งด้วยแววตาที่อ่อนโยนลงกว่าเดิม
“ที่นายทำเมื่อกี้มันเสียมารยาทมากนะ ยังไงคุณแกริสก็เป็นผู้อาวุโส ทั้งอายุและตำแหน่งของเขาก็สูงกว่า ที่สำคัญคือเขายังเป็นอาจารย์ของฉันด้วย การทำตัวและพูดจากับเขาแบบนั้นถือว่าใช้ไม่ได้ อีกอย่างคือถ้านายไปทำแบบนี้ที่อื่นกับคนอื่นอาจทำให้มีปัญหาใหญ่อย่างที่คุณแกริสบอกจริง ๆ นั่นแหละ ดังนั้นจงสำนึกผิดอยู่ตรงนี้ซะ และท่องให้ขึ้นใจว่าอย่าไปทำแบบนี้อีก เข้าใจรึเปล่า?”
เซอร์เก้ได้แต่พยักหน้ แม้ในใจเขาส่วนหนึ่งยังไม่ค่อยอยากจะยอมรับ แต่หากเป็นคำพูดของซารามอธ เขาก็พร้อมที่จะเชื่อฟัง
เพราะความที่ผ่านเหตุการณ์ที่เด็กตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งไม่ควรจะผ่านมามากมาย แถมยังมีฝีมือสูงตั้งแต่อายุยังน้อย ทำให้เขาหลงลำพองหรือทำอะไรเลยเถิดไปบ้าง ซึ่งซารามอธก็ไม่ค่อยจะว่ากล่าวตักเตือนอะไรอย่างจริงจังนักเพราะว่าเขายังเด็กอยู่ แต่คราวนี้เพราะเห็นว่าหากปล่อยไปจะยิ่งเป็นผลเสียในอนาคต จึงตัดสินใจลงโทษเพื่อให้เขาหลาบจำ
เซอร์เก้ย่อตัวลงและเริ่มวิดพื้นทันทีโดยไม่ปริปากบ่นอะไรอีก ส่วนซารามอธก็ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเดินตรงไปยังห้องโถงซึ่งแกริสรออยู่
“ให้วิดพื้นรอจนกว่าจะเสร็จน่ะมันหนักเกินไปรึเปล่า? กว่าเราจะคุยกันเสร็จน่าจะอีกนานเลยนะ”
แกริสเอ่ยขึ้นทันทีที่ซารามอธเดินเข้ามาในห้อง ทำให้เขาเผยยิ้มขึ้นอีกครั้ง
“คุณแกริสนี่ใจดีเสมอเลยนะครับ เมื่อครู่นี้ก็เหมือนกัน เพราะกลัวเจ้านั่นจะเจ็บ ก็เลยออมแรงเอาไว้ ทำให้หลบได้ แต่แบบนั้นจะยิ่งทำให้เขาได้ใจมากขึ้นอีก คราวหน้าไม่ต้องออมมือหรอกนะครับ ควรจะสอนให้เขารู้มากกว่าว่าในโลกนี้ยังมีคนที่ฝีมือสูงกว่าเขาอีกเยอะแยะ จะได้รู้จักประมานตัวเองบ้าง”
“เฮ้อ.. เจ้าหนูนั่นน่ะเหมือนเธอสมัยเด็ก ๆ ไม่มีผิด ทั้งด้านนิสัยแล้วก็ด้านพรสวรรค์ด้วย แน่ใจนะว่าไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของเธอที่แอบไปไข่ทิ้งไว้น่ะ?”
“เห~ คุณแกริสอย่าพูดจาให้ร้ายผมแบบนั้นสิครับ ถึงปีนี้จะอายุ 22 แล้ว แต่ผมก็ยังซิงอยู่เลยนะ”
“ผู้ชายน่ะเขาไม่เอาเรื่องนี้มาพูดอวดอ้างเป็นความภูมิใจกันหรอกนะ…”
“ต้องภูมิใจสิครับ ตามตำนานของโลกเก่าน่ะได้กล่าวไว้ว่า หากบุรุษใดสามารถครองพรหมจรรย์ได้จนถึงอายุ 30 ละก็ คนผู้นั้นจะได้กลายเป็นจอมเวท! แปลว่าถ้าผมรักษาสถานะนี้ไปได้อีก 8 ปีละก็ ผมจะได้กลายเป็นจอมเวทในตำนานไงล่ะครับ”
“นั่นมันแค่คำร่ำลือที่มีมูลความจริงรึเปล่าก็ไม่รู้… แล้วเธอเองก็เป็นจอมเวทอยู่แล้วไม่ใช่เรอะ?”
ซารามอธเป็นนักผจญภัยที่มีลักษณะพิเศษแตกต่างไปจากนักผจญภัยคนอื่น ๆ คือในขณะที่คนอื่นจะพยายามมุ่งเน้นการฝึกฝนวิชาสายใดสายหนึ่งให้ถึงขั้นสูงสุด หรือไปให้ถึงคลาสระดับสี่ แต่ซารามอธกลับเรียนวิชาต่อสู้ในเกือบทุกแขนงไปพร้อม ๆ กันจนสำเร็จขั้นมาสเตอร์ของคลาสระดับสามไปมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ซอร์ดมาสเตอร์ (จอมดาบ), เฟนเซอร์ (มือกระบี่), ดรากูน (ทหารม้าเกราะหนัก), ครูเซเดอร์ (อัศวินเกราะหนัก), โบวมาสเตอร์ (จอมธนู), วิซาร์ด (จอเวท), หรือแม้แต่ บิชอป (นักบวชระดับสูง)
แม้เขาจะหยุดการฝึกแต่ละคลาสเอาไว้แค่ระดับสาม แต่ด้วยความเชี่ยวชาญในแต่ละสาขาวิชา ทำให้ฝีมือของเขาไม่ด้อยไปกว่าคนที่สำเร็จคลาสระดับสี่เลย แถมเพราะความสามารถในการผสมผสานและประยุกต์ใช้ทักษะของแต่ละคลาสมาเกื้อหนุนกันในการต่อสู้ ยังทำให้เขากลายเป็นนักผจญภัยที่มีฝีมืออยู่ในอันดับต้น ๆ ของเหล่าผู้สร้างสันติภาพแห่งพีชคีปเปอร์อีกด้วย
“แหม~ แต่มันก็น่าลองไม่ใช่เหรอครับคุณแกริส ถ้าแม้แต่ในโลกที่ไร้พลังเวทมนตร์อย่างโลกเก่า วิธีนี้ยังทำให้กลายเป็นจอมเวทได้ สำหรับโลกใหม่ที่เปี่ยมไปด้วยพลังเวทมนตร์อันมหาศาล วิธีนี้อาจทำให้กลายเป็นสุดยอดจอมขมังเวทในระดับที่พันปีจะมีสักคนหนึ่งเลยก็ได้!”
ซารามอธพูดออกมาด้วยแววตาเป็นประกายและสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ แต่ความจริงแล้วเขาก็ไม่ได้เชื่อเรื่องเหลวไหลนี่หรอก มันเป็นแค่ข้ออ้างที่เขาใช้ในการเอาตัวรอดจากบทสนทนาแนว ๆ นี้เท่านั้นเอง
เขาไม่ได้รังเกียจผู้หญิง แค่รู้สึกว่าการคบหากับผู้หญิงเป็นเรื่องน่าเบื่อ เพราะผู้หญิงนั้นเข้าใจยากและเอาใจลำบาก หากต้องเลือกระหว่างเที่ยวเล่นกับหญิงสาว หรือออกไปผจญภัยตะลุยดันเจียนกับ เขาเป็นคนประเภทที่จะเลือกอย่างหลังมากกว่า
แม้จะมีผู้หญิงมากมายพยายามเข้าหาและยินดีพลีกายถวายตัวให้กับเขา เพราะซารามอธเป็นคนที่มีหน้าตาหล่อเหลา รูปร่างสูงใหญ่ แถมยังเป็นผู้สร้างสันติภาพ ซึ่งจัดเป็นฐานะที่ไม่ต่างกับเอกอัครราชทูตอีกด้วย แต่เขาเป็นคนประเภทที่จะไม่ร่วมหลับนอนกับผู้หญิงที่ไม่ได้รัก จึงไม่เคยข้องแวะกับผู้หญิงเหล่านั้นมาก่อน ในเมื่อไม่ยอมรับทั้งความสัมพันธ์อันฉาบฉวย และไม่อยากจะยุ่งยากเสียเวลากับการคบหาอย่างจริงจัง จึงทำให้ ซารามอธ แฮลเซียน อายุ 22 ปี ยังคงโสดซิงมาจนถึงทุกวันนี้
แกริสเองก็พอจะรู้ว่าชายหนุ่มไม่ได้พูดเพราะคิดแบบนั้นจริง ๆ จึงรีบตัดบทและเข้าเรื่องสำคัญของการนัดพบในวันนี้
“เฮ้อ ช่างเถอะ ในเมื่อเธอมาถึงแล้ว เราก็เข้าไปร่วมการประชุมเลยละกัน”
พอพูดจบ แกริสก็วางมือลงบนโต๊ะตัวใหญ่ที่อยู่กลางห้องโถง ทันใดนั้นภายในห้องก็เริ่มมืดลง และปรากฏจอภาพเวทมนตร์สามจอถูกฉายขึ้นมา
———————————————————————————————-
Part 2
หน้าจอเวทมนตร์ทั้งสามที่ถูกฉายขึ้นบนผนังห้อง เผยให้เห็นรูปลักษณ์ของชายสามคนที่อยู่ในสถานที่แตกต่างกัน
ในหน้าจอทางซ้ายเป็นภาพของชายวัยกลางคนที่มีเค้าหน้าเหี้ยมเกรียมและแววตาดุดัน เขาคือ เซดดริก เดรค รองผู้บัญชาการของหน่วยข่าวกรองแห่งพีชคีปเปอร์ซึ่งตอนนี้ได้รับมอบหมายให้ใช้กำลังคนทั้งหมดในการสนับสนุนแผนการของซารามอธ ในทีแรกซารามอธคิดว่าจะต้องเผชิญแรงต้านจากเซดดริกบ้างเพราะอีกฝ่ายทั้งมีอาวุโสและตำแหน่งสูงกว่า ปกติแล้วคนระดับนี้จะไม่ค่อยพอใจที่ต้องมาทำหน้าที่ซึ่งเหมือนเป็นการรับคำสั่งจากผู้น้อย แต่เซดดริกก็ไม่เคยแสดงท่าทางเช่นนั้นออกมาเลย
กล่าวกันว่าเมื่อก่อนนี้เขาก็เป็นผู้สร้างสันติภาพมือฉมังคนหนึ่งของพีชคีปเปอร์ ซึ่งได้สร้างผลงานปราบปรามกลุ่มผู้ใช้ศาสตร์มืดไปมากมาย แต่หลายปีก่อนเขากลับทำงานพลาดจนเป็นเหตุให้ผู้บริสุทธิ์มากมายต้องจบชีวิตลง นับแต่นั้นเซดดริกก็ผันตัวเองมาอยู่ฝ่ายข่าวกรองแทน เพราะต้นเหตุในความผิดพลาดครั้งนั้นเกิดจากการที่พีชคีปเปอร์เชื่อถือข่าวสารจากหน่วยงานท้องถิ่นมากเกินไป เซดดริกที่เห็นว่าข้อมูลข่าวสารที่เชื่อถือได้คือสิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำงานจึงได้เข้ามาทำการปฏิรูปหน่วยข่าวกรองของพีชคีปเปอร์ซะใหม่ จนในตอนนี้พีชคีปเปอร์กลายเป็นองค์กรที่มีหน่วยข่าวกรองซึ่งมีประสิทธิภาพที่สุดในโลกก็ว่าได้
ที่อยู่ในหน้าจอทางขวาเป็นชายฉกรรจ์อายุราวสามสิบปี หน้าตาหมดจดแต่ยังไว้เคราเล็กน้อย สีหน้าดูเป็นมิตรและอ่อนโยน เขาคือ ออแลนด์ ซิลดอล์ฟ ผู้สร้างสันติภาพอันดับต้น ๆ ของพีชคีปเปอร์อีกคนหนึ่ง ซึ่งตอนนี้ถูกส่งไปประจำที่ทวีปเทอร่าเพื่อประสานงานและจับตาดูความเคลื่อนไหวของทางด้านนั้น คนผู้นี้เป็นทั้งรุ่นพี่ที่ซารามอธให้ความเคารพ และยังเป็นเพื่อนที่เขาสนิทสนมมากอีกคนหนึ่งด้วย
ต่างกับซารามอธที่เลือกฝึกวิชามากมายหลายคลาส ออแลนด์ เป็นคนที่ฝึกฝนแต่วิชาดาบอย่างช่ำชองจนได้เป็นนักดาบศักดิ์สิทธิ์ (Sword Saint) คลาสระดับสี่ของนักดาบซึ่งมีเฉพาะผู้ที่แตกฉานในวิชาดาบทุกแขนงเท่านั้นที่สามารถเป็นได้ ในกลุ่มสมาชิกของพีชคีปเปอร์นั้นเคยมีการวิเคราะห์เปรียบเทียบกันมาโดยตลอดว่าใครคือผู้สร้างสันติภาพที่มีฝีมือสูงที่สุดขององค์กร ซึ่งสองตัวเลือกสุดท้ายก็มักจะมาจบลงที่ซารามอธกับออแลนด์ที่ต่างก็มีผลงานอันโดดเด่นทั้งคู่ แต่เพราะทั้งสองคนยังไม่เคยประมือกันอย่างจริงจังมาก่อน จึงทำให้คาดเดาได้ยากว่าใครเป็นฝ่ายเหนือกว่าใครกันแน่
แม้คนนอกจะมองว่าทั้งสองคนมีฝีมือสูสีกัน แต่สำหรับซารามอธแล้วเขายกให้ออแลนด์เป็นผู้ที่มีฝีมือเหนือกว่า และยังเป็นเป้าหมายที่เขาอยากจะไล่ตามด้วย เพราะหากวัดกันด้วยฝีมือดาบเพียงอย่างเดียว เขารู้ตัวดีว่าคงยากที่จะชนะออนแลนด์ได้ แต่ถ้าให้สู้กันด้วยทุกอย่างที่มี ก็คงจะก้ำกึ่งจริง ๆ ทว่าในฐานะของลูกผู้ชายแล้ว การที่ไม่สามารถเอาชนะอีกฝ่ายด้วยเงื่อนไขที่เท่าเทียมกันได้นั้น ทำให้ซารามอธยอมรับว่าตัวเขาเป็นฝ่ายที่ด้อยกว่าออแลนด์
ส่วนหน้าจอที่อยู่ตรงกลาง เป็นภาพของชายสูงวัยอีกคนที่ดูจะมีอายุมากกว่าทุกคนในห้องนี้ทั้งหมด ริ้วรอยบนใบหน้าและเส้นผมที่หงอกขาวจนหงิกงอนั้นสื่อให้เห็นว่าเขาน่าจะมีอายุไม่ต่ำกว่าเจ็ดสิบปี แต่เค้าหน้าและรูปลักษณ์โดยรวมของเขาก็ยังดูทรงอำนาจและน่าเกรงขาม ไม่ดูอ่อนแอเหมือนชายชราทั่ว ๆ ไป
ชายคนนี้คือ ไคเอ็น นอร์ดิส ผู้นำรุ่นที่สามของพีชคีปเปอร์ ชายซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกคนหนึ่ง แม้ในตอนนี้สถานะของพีชคีปเปอร์ในสายตาชาวโลกยังเป็นเพียงแค่องค์กรทางการทูตที่มีอำนาจแค่ในนามและไม่ค่อยจะมีประสิทธิภาพนักก็ตาม
ดูเหมือนทุกคนจะกำลังรอการติดต่อจากฟากนี้อยู่ เพราะทันทีที่แกริสเปิดการทำงานของอุปกรณ์สื่อสารระยะไกลเพื่อฉายภาพของแต่ละคนขึ้นมา ทุกคนที่นั่งอยู่ในท่าสนทนาก็หันมายังหน้าจอโดยพร้อมเพรียงกัน แกริสจึงเตรียมจะเอ่ยปากขออภัยที่ทำการติดต่อมาล่าช้า แต่ซารามอธก็ชิงพูดตัดหน้าซะก่อน เพื่อไม่ให้อาจารย์ของเขาต้องเป็นคนรับหน้า
“ต้องขอโทษที่ทำให้รอนะครับ พอดีการสลัดการติดตามต้องใช้เวลามากกว่าที่คิด เลยทำให้ผมมาถึงที่นี่ช้ากว่ากำหนดนิดหน่อย”
เมื่อได้ยินคำขอโทษที่กล่าวออกมาพร้อมกับคำชี้แจงแบบนั้น ไคเอ็นก็ตอบคำพูดกลับมาด้วยแววตาอันสงบนิ่งที่ไม่สื่อถึงอารมณ์ใด ๆ
“ไม่ต้องห่วง เราเข้าใจดี เมื่อมาแล้วก็เริ่มประชุมกันเถอะ เซดดริก บอกเรื่องที่ได้รับรายงานมาเมื่อครู่นี้ให้เขาฟังอีกครั้งซิ”
เซดดริกพยักหน้ารับก่อนจะหันมาพูดด้วยสีหน้าที่ยังคงเคร่งเครียดอยู่ ทำให้ทั้งซารามอธและแกริสต่างก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ
“อืม… การดำเนินการเพื่อปลดแม่ทัพราคุชาออกจากการเป็นแม่ทัพปราบแดนเหนือดูจะเป็นไปตามแผนสินะ สายของเราในราชสำนักราวินคายืนยันเรื่องหนังสือปลดตำแหน่งออกมาแล้ว แต่กลับมีเหตุไม่คาดฝันแทรกซ้อนขึ้นมานี่สิ…”
“เหตุไม่คาดฝันเหรอครับ?”
“คนของเราที่คอยจับตาดูกองทัพตะวันตกของราวินคาอยู่ได้รายงานมาว่า แม่ทัพโอจาเน็นพร้อมกับทหารเกือบทั้งหมดของแดนตะวันตกได้เริ่มเดินทัพขึ้นเหนือตั้งแต่ก่อนที่คำสั่งปลดแม่ทัพราคุชาจะถูกส่งออกไปซะอีก พวกเขาน่าจะมาถึงชายแดนอลาเรียภายในอีกสองวัน”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซารามอธก็มีสีหน้าตกตะลึงจนตาเบิกค้าง เพราะเรื่องนี้ผิดจากที่เขาคาดการณ์เอาไว้
“หมายความว่ายังไงกันครับ? ก็จากข่าวล่าสุดที่ได้รับรายงานมา แม่ทัพโอจาเน็นควรจะยังอยู่ระหว่างการเดินทางไปรับคำสั่งแต่งตั้งที่เมืองหลวงไม่ใช่เหรอครับ?”
“เรื่องนั้นดูเหมือนว่าทางสมาพันธ์เทอร่าเองก็มีเส้นสายอยู่ในราชสำนักราวินคาไม่น้อยเช่นกัน พวกนั้นทำการโน้มน้าวเพื่อเร่งรัดพระราชาแห่งราวินคาให้รีบทำศึกจนเป็นผลสำเร็จ จึงมีคำสั่งให้ทำการเคลื่อนทัพในทันที ส่วนคำสั่งแต่งตั้งจะถูกส่งไปให้ที่ชายแดนตอนเหนือ ก่อนข้ามเขตแดนไปยังอลาเรีย”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซารามอธถึงกับหน้าถอดสี เพราะนี่เท่ากับว่าแผนการที่เขาได้วางเอาไว้ต้องพบกับความล้มเหลวแล้ว เดิมทีเขาตั้งใจจะให้แม่ทัพราคุชากลับไปกราบทูลความไม่ชอบมาพากลของเขตชายแดนและสมาพันธ์เทอร่ากับพระราชา ซึ่งเขาเชื่อว่าเมื่อได้ทราบเรื่องราวและข่าวสารทั้งหมดแล้ว พระราชาแห่งราวินคาต้องชะลอแผนการโจมตีอลาเรียลงแน่
แต่หากยังไม่ทันที่แม่ทัพราคุชาจะเดินทางกลับเมือง กองทัพแดนตะวันตกก็เคลื่อนพลขึ้นเหนือแล้วแบบนี้ กว่าแม่ทัพราคุชาจะกลับไปถึงและโน้มน้าวพระราชาได้ก็คงไม่ทันการณ์ ที่สำคัญคือถ้าฝ่ายตรงข้ามชิงกราบทูลจนพระราชายอมลัดขั้นตอนตามระเบียบปฏิบัติเพื่อเร่งทำศึกแบบนี้ ต่อให้แม่ทัพราคุชานำเรื่องกลับไปกราบทูลได้ทันท่วงที ก็ยังไม่แน่ว่าจะโน้มน้าวพระราชาให้เปลี่ยนใจได้ เพราะพระองค์ได้ถูกฝ่ายตรงข้ามชักจูงไปก่อนแล้วนั่นเอง
ซารามอธขบริมฝีปากแน่นด้วยความเจ็บใจเพราะเขารู้สึกว่าตนเองประมาทคู่ต่อสู้มากจนเกินไป ในระหว่างที่เขายังคงเงียบงันอยู่ ออแลนด์ก็กล่าวขึ้น
“ทางสมาพันธ์เทอร่าเองก็มีความเคลื่อนไหวด้วยเช่นกัน ตอนนี้ทั้งห้าอาณาจักรได้ส่งกองทัพของตนเองไปรวมกันที่ดินแดนโคโรน่า พวกเขาอ้างว่าเป็นการซ้อมรบร่วมของห้าอาณาจักรเพื่อกระชับความสัมพันธ์ ซึ่งฉากหน้าก็เป็นเช่นนั้นจริง แต่จากที่สายของเราสืบทราบมาได้นั้น กองเรือของทั้งห้าอาณาจักรต่างก็มีขบวนเรือเสบียงจำนวนมากผิดปกติ เสบียงเหล่านี้สามารถเลี้ยงทหารทั้งกองทัพเป็นเวลาครึ่งปีได้อย่างสบาย ทั้งที่กำหนดการซ้อมรบจะสิ้นสุดในเวลาเพียงเดือนเดียวเท่านั้น ทำให้เชื่อได้ว่าพวกเขาเตรียมตัวที่จะเคลื่อนทัพมาบุกโดมินาเรียแล้ว…”
ออแลนด์พูดออกมาด้วยแววตาที่ทั้งเศร้าสร้อยและเจ็บปวด เพราะเรื่องนี้หมายถึงสงครามโลกกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว โดยที่เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย ส่วนซารามอธที่ได้ยินเรื่องนี้ก็นิ่งอึ้งไปด้วยสีหน้าที่ตกตะลึงยิ่งกว่าเดิม
เมื่อเห็นว่าทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบงัน ไคเอ็น ผู้นำสูงสุดแห่งพีชคีปเปอร์จึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นบ้าง
“ดูเหมือนการเคลื่อนไหวของเราจะทำให้ทางสมาพันธ์เทอร่าเกิดไหวตัว เลยเร่งดำเนินแผนการให้เร็วขึ้นกว่ากำหนด พวกเขาอาจไม่รอให้ทางราวินคากับอลาเรียรบกันจนแตกหักอีกแล้ว แต่คงเคลื่อนพลเข้าโจมตีราวินคาทันทีที่สงครามเปิดฉาก ตอนนี้ทางกลุ่มพันธมิตรจูริสก็ได้ทราบเรื่องแล้วและกำลังตระเตรียมไพร่พลเพื่อเคลื่อนทัพเข้าไปแทรกแซงในกรณีที่สมาพันธ์เทอร่าบุกโจมตีราวินคาเช่นกัน สงครามครั้งนี้คงยากจะหลีกเลี่ยงแล้วล่ะนะ…”
คำพูดสุดท้ายนั้นทำให้ซารามอธได้แต่ก้มหน้ามองลงพื้นด้วยแววตาอันว่างเปล่าเหมือนกับคนที่สูญเสียซึ่งทุกสิ่ง เพราะแผนการที่เขาดำเนินงานมาหลายปีต้องพังครืนลงในวันนี้ พร้อม ๆ กับความหวังที่จะยับยั้งมนุษย์ชาติสู่เส้นทางแห่งการล่มสลายด้วย
เมื่อเห็นสีหน้าและท่าทางที่แสดงถึงความผิดหวังอย่างที่สุดของชายหนุ่ม ไคเอ็นซึ่งเฝ้าติดตามดูซารามอธมาโดยตลอดรู้ว่าเขาเป็นคนที่มีความมุ่งมั่นและจริงจัง ทั้งยังทุ่มเทให้กับการแก้ปัญหาของโลกที่สุด เมื่อสถานการณ์กลายเป็นแบบนี้คงทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดมากทีเดียว จึงเอ่ยคำพูดกับชายหนุ่มอีกครั้งเพื่อทำการปลอบใจ
“เธออย่าโทษตัวเองไปเลยนะ การที่สามารถประวิงเวลามาได้จนถึงป่านนี้ก็นับเป็นเรื่องที่ดีมากแล้ว หากสงครามเกิดขึ้นเร็วกว่านี้สักปีหรือสองปีละก็ ทางเราเองก็คงเตรียมการเพื่อรับมือไม่ทันเช่นกัน ถึงแม้ท้ายที่สุดแล้วจะยับยั้งสงครามเอาไว้ไม่ได้ แต่เราก็ยังมีความหวังในการที่จะจบมันลงให้เร็วที่สุดได้”
ไคเอ็นรู้ว่าถ้อยคำเหล่านั้นคงไม่ช่วยให้ซารามอธรู้สึกดีขึ้นสักเท่าไหร่ แต่เขาก็อยากจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดให้กับชายหนุ่มแม้สักนิดก็ยังดี ทว่าอีกฝ่ายกลับยิ้มออกมา พร้อมกันแสดงสายตาที่ยากจะคาดเดาได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ ทำให้ทุกคนที่อยู่ในการประชุมต่างก็ต้องรู้สึกประหลาดใจ
“หึหึหึ… ยังไงมันก็ต้องเป็นแบบนี้สินะ ก็คิดอยู่เหมือนกันว่านี่มันไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ยั่งยืนเท่าไหร่ เพราะท้ายที่สุดแล้วทุกฝ่ายก็ยังคงสะสมกำลังทหารกันต่อไปอยู่ดี สภาพแบบนี้ถึงจะทำให้เกิดสันติสุขได้ชั่วคราว แต่สักวันหากความขัดแย้งปะทุขึ้นอีกก็ไม่พ้นต้องเกิดสงครามอยู่แล้ว เราแค่ยื้อเวลาตายออกไปเท่านั้นเอง ไม่ว่ายังไงเรื่องนี้ก็ต้องจัดการที่ต้นตอของปัญหาถึงจะถูก…”
คำพูดที่แผ่วเบาจนฟังดูเหมือนกำลังพูดกับตัวเองคนเดียวนั้นทำให้ทุกคนในการประชุมยิ่งรู้สึกประหลาดใจ แม้แต่แกริสที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็เริ่มรู้สึกเป็นห่วง จนต้องเดินเข้ามาแตะไหล่ของเขาพร้อมกับเรียกชื่อ
“ซาล เธอไม่เป็นไรนะ?”
“ไม่ต้องห่วงครับคุณแกริส ผมยังมีสติดีอยู่”
ซารามอธตบมือของแกริสที่กุมไหล่ของเขาอยู่เบา ๆ พร้อมกับส่งยิ้มให้อีกฝ่ายคลายความกังวลลง ก่อนจะหันไปพูดกับอีกสามคนในหน้าจอสื่อสารด้วยสีหน้าและแววตาอันมุ่งมั่น ผิดกับท่าทางก่อนหน้านี้
“ในเมื่อเป็นแบบนี้เราก็คงไม่มีทางเลือกอื่นอีก ผมขออนุญาตใช้สิทธิ์ยับยั้งสงครามตามมาตราที่ 42 ของผู้รักษาสันติภาพ (พีชคีปเปอร์) ในการสกัดกั้นการรุกรานอลาเรียของกองทัพราวินคาด้วยครับ”
คำพูดของเขาทำให้ทุกคนในที่ประชุมต่างก็มีสีหน้าประหลาดใจไปตาม ๆ กัน
สิทธิ์ในการยับยั้งสงครามตามมาตราที่ 42 ของผู้รักษาสันติภาพ คือสิทธิ์ที่เหล่าอาณาจักรซึ่งเป็นสมาชิกขององค์กรลงนามร่วมกันเพื่อมอบอำนาจให้พีชคีปเปอร์สามารถใช้กำลังเข้าระงับสงคราม ในกรณีที่การกดดันด้วยมาตรการอื่น ๆ ไม่สามารถหยุดยั้งท่าทีอันแข็งกร้าวของประเทศที่คิดจะก่อสงครามได้
แต่ก็ตามคำอธิบายของมัน การจะบังคับใช้มาตรานี้ จำเป็นจะต้องมีกำลังทหารอยู่ในมือเพื่อการปฏิบัติการด้วย สำหรับพีชคีปเปอร์ซึ่งเป็นองค์กรกลางที่ไม่มีกองทัพอยู่ในสังกัดของตนเองย่อมไม่เคยบังคับใช้มาตรานี้มาก่อน หรือพูดอีกอย่างคือไม่มีความสามารถในการบังคับใช้มันได้ เพราะแม้ทางองค์กรจะขอความร่วมมือไปยังประเทศสมาชิกให้แบ่งกำลังทหารมาช่วยในกิจการได้ แต่นั่นก็ขึ้นกับความสมัครใจของประเทศ และน้อยประเทศที่จะยินยอมส่งคนของตนเองไปตายหรือเสี่ยงภัยเพื่อประเทศอื่น เว้นแต่จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการรุกรานจากนรกซึ่งกรณีนั้นทุกอาณาจักรจะมีศัตรูร่วมกันและพีชคีปเปอร์จะมีอำนาจเต็มในการระดมกองทัพจากทุกอาณาจักรมาเพื่อป้องกันโลก นอกเหนือจากกรณีนั้นแล้วก็เป็นการยากมากที่จะมีคนยอมส่งกำลังทหารมาให้
การขออนุญาตบังคับใช้มาตรานี้แปลว่าซารามอธคิดจะใช้กำลังทหารเข้ายับยั้งการบุกอลาเรียของราวินคา ซึ่งด้วยเหตุผลหลาย ๆ ประการแล้ว สิ่งนี้ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อยู่ดี
“นายหมายความว่าจะให้เราขอกำลังจากจูริสเพื่อไปสกัดทัพของราวินคางั้นรึ? แต่ทำแบบนั้นจะมีประโยชน์อะไร? หากมีการแทรกแซงของประเทศที่สาม สมาพันธ์เทอร่าก็ยิ่งมีข้ออ้างในการส่งกองทัพเข้าไปในโดมินาเรียมากขึ้นอีก อย่าว่าแต่ทางจูริสจะยอมรึเปล่าเลย ต่อให้พวกเขายอม กว่าจะเตรียมการจนเคลื่อนกำลังพลไปถึงจริง ๆ ก็คงต้องใช้เวลาอีกร่วมเดือน ถึงตอนนั้นทัพราวินคาอาจบุกตีจนถึงเมืองหลวงของอลาเรียไปแล้ว”
เซดดริกพูดขึ้นด้วยสีหน้าหงุดหงิด แต่เพราะเขาเป็นคนที่มีแววตาดุดันอยู่แล้ว ทำให้มองออกยากว่าเป็นการพูดตามปกติ หรือพูดด้วยความหงุดหงิดกันแน่ ส่วนซารามอธก็ตอบกลับไปด้วยแววตาอันมุ่งมั่นไม่เปลี่ยนแปลง
“ใช่ครับ หากจะส่งกองทัพมาแทรกแซง ยังไงก็คงไม่มีทางทันหรอก แถมการใช้กำลังทหารของอาณาจักรอื่นยังจะทำให้เรื่องแย่ลงอีก เพราะฉะนั้นเรื่องนี้จะต้องดำเนินการโดยผู้สร้างสันติภาพเท่านั้น จะให้คนอื่นเข้ามายุ่งด้วยไม่ได้เด็ดขาด”
ทุกคนในที่ประชุมต่างก็ไม่เข้าใจในสิ่งที่ซารามอธพยายามจะสื่อ จึงได้แต่จ้องมองเขาด้วยสีหน้างุนงง แต่ก่อนที่เซดดริกจะถามซ้ำ ไคเอ็นก็เป็นผู้ที่เอ่ยถามขึ้นมาซะก่อน
“เธออธิบายเรื่องนี้มาให้ชัด ๆ ซิ”
“ครับ การบังคับใช้มาตราที่ 42 ครั้งนี้ จะกระทำโดยผมคนเดียว ขอแค่คุณไคเอ็นอนุญาต ผมก็จะตรงไปใช้สิทธิ์ในการยับยั้งสงครามกับกองทัพของราวินคาด้วยตัวเอง”
คำพูดของซารามอธทำให้ทุกคนแสดงสีหน้างุนงงออกมาอีกครั้งเพราะยังจับต้นชนปลายไม่ถูก อาจเพราะสิ่งที่เขาพูดนั้นฟังดูเหลือเชื่อจนเกินกว่าจะเป็นจริงได้ด้วย ไคเอ็นจึงถามย้ำอีกครั้งเพื่อความกระจ่าง
“หมายความว่าเธอจะไปประกาศใช้มาตราที่ 42 ด้วยตัวคนเดียว และหากพวกเขาไม่ยอมก็จะใช้กำลังในการบังคับใช้ หรือก็คือจะสู้กับกองทัพของราวินคาทั้งกองทัพด้วยตัวคนเดียวงั้นรึ?”
“ครับ”
ความเงียบงันเข้าปกคลุมที่ประชุมอีกครั้ง โดยผู้ร่วมประชุมแต่ละคนต่างก็แสดงสีหน้าแตกต่างกันออกไป ส่วนใหญ่จะออกไปทางประหลาดใจ โดยเฉพาะแกริสที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ซารามอธนั้นจ้องมองเขาด้วยตากลมโตเท่าไข่ห่าน แต่คนที่ทำลายความเงียบนี้ลงไปกลับเป็นเซดดริกที่คำรามออกมาอย่างเกรี้ยวกราด
“แกจะบ้าไปแล้วรึไง!? รู้ตัวรึเปล่าว่าพูดอะไรออกมา!? กองทัพแดนตะวันตกของราวินคาน่ะประกอบไปด้วยทหารราบหนึ่งแสนห้าหมื่นนาย ทหารม้าสามหมื่นนาย และยังมีกองทัพอากาศที่เป็นเรือเหาะอีกนับร้อยลำ รวมไพร่พลทั้งหมดเป็นจำนวนเกือบสองแสนคน! จำนวนขนาดนี้น่ะใช้ต้านทานการรุกรานยังได้เลย แต่แกจะบอกว่าสามารถรับมือได้ด้วยตัวคนเดียวเนี่ยนะ!?”
เพราะรู้สึกเหมือนถูกล้อเล่นในภาวะตึงเครียด ทำให้เซดดริกที่ไม่ใช่คนใจเย็นอะไรอยู่แล้วระเบิดอารมณ์ออกมา แต่ซารามอธก็ยังตอบกลับไปด้วยสีหน้าที่เยือกเย็นไม่เปลี่ยนแปลง
“เราไม่จำเป็นต้องโค่นทหารทั้งสองแสนคนเพื่อให้พวกเขาถอยทัพนี่ครับ แค่จัดการกับคน ๆ เดียวได้ก็พอแล้ว”
คำพูดนั้นทำให้เซดดริกคลายท่าทีอันเกรี้ยวกราดลงเล็กน้อย เพราะต้องตีความหมายของคำพูดนั้น ส่วนคนอื่น ๆ ก็จ้องมองมายังชายหนุ่มด้วยแววตาที่จริงจังมากขึ้นเช่นกัน
“หมายความว่านายจะไปลอบสังหารแม่ทัพโอจาเน็นงั้นเหรอ?”
ออแลนด์เอ่ยถามขึ้น แต่ซารามอธก็ส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับไป
“หากจะลอบสังหารก็ไม่มีความจำเป็นต้องบังคับใช้มาตรา 42 หรอกครับ และการทำแบบนั้นก็ไม่ใช่การแก้ปัญหาในระยะยาวด้วย ถ้าจะทำให้ปัญหานี้หมดไปอย่างถาวรจริง ๆ มีแต่ต้องส่งคนเข้าไปซึ่ง ๆ หน้า และเอาชนะกองทัพของราวินคาได้อย่างสง่าผ่าเผยเท่านั้น”
คำพูดนั้นทำให้ทุกคนตกอยู่ในความงุนงงอีกครั้ง แต่ไม่ทันที่ใครจะเอ่ยถามขึ้น เขาก็กล่าวอธิบายต่อ
“ที่โลกมาจนถึงจุดนี้ได้เพราะมีค่านิยมในการสะสมกำลังทหาร พอมีกำลังทหารมากเข้า ค่าใช้จ่ายในการบำรุงกองทัพเพิ่มมากขึ้นเป็นเงาตามตัว จนนำไปสู่การแย่งชิงทรัพยากรอันทำให้เกิดสงครามปราบดินแดนเป็นเวลาเกือบห้าสิบปี แม้ตอนนี้สงครามภายในจะสงบลงแล้ว แต่ทุกอาณาจักรก็ยังคงสะสมกำลังพลเรื่อยมาด้วยความหวาดระแวงซึ่งกันและกัน
ความพยายามของเราที่จะทำให้แต่ละอาณาจักรลดขนาดกองทัพลงต่างก็ไร้ผล เพราะพวกเขายังเชื่อมั่นว่าสิ่งที่จะให้ความมั่นคงและปลอดภัยกับอาณาจักรของพวกเขาได้มีเพียงแต่กำลังทหารที่แข็งแกร่ง เพราะฉะนั้นหากเราสามารถทำลายความเชื่อนี้ลงไปได้ละก็ แต่ละอาณาจักรก็จะเกิดค่านิยมใหม่ ไม่ให้ความสำคัญกับการการเพิ่มกำลังทหารอีกต่อไป และนำไปสู่การลดขนาดกองทัพในที่สุด แบบนี้ต่างหากถึงจะทำให้โลกพบกับสันติภาพอันยั่งยืนได้”
เมื่อได้ฟังคำอธิบายของซารามอธ สีหน้าของทุกคนก็แปรเปลี่ยนไปอีกครั้ง ส่วนใหญ่ยังคงแสดงท่าทางข้องใจออกมา มีเพียงไคเอ็นที่ดูจะจับประเด็นได้แล้ว จึงถามย้ำกับเขาอีกครั้ง
“หมายความว่า เธอจะพิสูจน์ให้โลกเห็นว่าไม่จำเป็นต้องมีไพร่พลจำนวนมหาศาล ขอเพียงแค่มีนักรบมากฝีมืออย่างผู้สร้างสันติภาพ ก็สามารถเอาชนะกองทัพขนาดใหญ่ได้ เพื่อให้แต่ละอาณาจักรเลิกมุ่งเน้นการขยายขนาดกองทัพแบบเน้นจำนวน แล้วหันมาพัฒนาคุณภาพของนักรบเป็นรายบุคคลแทนสินะ?”
“ใช่ครับ ในประวัติศาสตร์ของโลกเก่าน่ะ มนุษย์ก็เปลี่ยนถ่ายจากยุคสมัยที่เน้นกองทัพขนาดใหญ่ไปเป็นยุคสมัยที่เน้นการพัฒนาวิทยาการและเทคโนโลยีแทนได้ เพราะอาวุธที่ชื่อว่า ‘ระเบิดปรมาณู’ ซึ่งภายหลังได้พัฒนาไปเป็น ‘ระเบิดนิวเคลียร์’ เพราะต่อให้มีกองทัพยิ่งใหญ่แค่ไหน หากถูกอาวุธชนิดนี้โจมตีเข้า ทุกอย่างก็จะสูญสลายกลายเป็นผงธุลีไปสิ้น
ที่เราต้องทำก็คือแสดงให้เห็นว่าในโลกนี้ยังมีอาวุธที่มีอานุภาพเทียบเท่า ‘นิวเคลียร์’ อยู่ เป็นอาวุธที่จะทำให้ไพร่พลนับหมื่นนับแสนกลายเป็นสิ่งไร้ค่า พวกเขาถึงจะเลิกขยายขนาดกองทัพได้ ตอนนั้นมนุษย์ถึงจะก้าวพ้นวิกฤติของการสะสมกำลังทหารซึ่งไม่ต่างจากการรัดคอตัวเองทีละน้อยได้อย่างแท้จริง”
ทุกคนต่างก็มีสีหน้าครุ่นคิดเมื่อได้ฟังคำอธิบายทั้งหมดนั้น มันเป็นแนวคิดที่ฟังดูมีเหตุผล แต่การจะทำให้เป็นจริงได้นั้นก็ยังเป็นเรื่องที่ยากเย็นอยู่ดี
ในที่สุด ออแลนด์ซึ่งพิจารณาเรื่องนี้พลางเอามือลูบคลึงเคราของตนเองอยู่เป็นนานก็เอ่ยออกมา
“แนวคิดของซาลจัดว่าไม่เลวทีเดียว… ถ้าเราระดมผู้สร้างสันติภาพขึ้นมาสักกลุ่มหนึ่งเหมือนกับการจัดเรด (Raid) แล้วบุกฝ่ากองทัพเข้าไปละก็ การจะเด็ดหัวของแม่ทัพก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แบบนี้เราก็สามารถบังคับใช้มาตราที่ 42 ได้เหมือนกัน โดยไม่จำเป็นต้องมีกำลังทหารเลย แม้การทำแบบนี้มันออกจะเสี่ยงไปหน่อยก็เถอะ…”
“แบบนั้นไม่ได้หรอกครับ”
“หืม?”
“การใช้คนจำนวนมากในการบุกโจมตี อาจยังไม่สามารถสร้างภาพลักษณ์ที่ชัดเจนและรุนแรงพอจะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงได้ หากต้องการให้พวกเขาประจักษ์ว่ากองทัพขนาดใหญ่เป็นของที่ไร้ค่าแค่ไหน มีแต่ต้องส่งผู้สร้างสันติภาพเข้าไปเพียงคนเดียวเท่านั้น”
แม้ในทางทฤษฎีแล้วมันจะทำให้เกิดผลเช่นนั้นได้ แต่ถ้าหากไม่สามารถฝ่ากองทัพนับแสนเข้าไปเด็ดหัวแม่ทัพได้ด้วยตัวคนเดียว ทุกอย่างก็จะกลายเป็นสิ่งไร้ค่า
เซดดริกยังคงคิดว่านี่เป็นแผนที่เหมือนกับการฆ่าตัวตายชัด ๆ เขาไม่ได้มีอคติกับซารามอธ กลับกัน เขาคาดหวังในตัวชายหนุ่มว่าจะเป็นกำลังสำคัญของพีชคีปเปอร์ในอนาคต เลยไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องเอาชีวิตมาทิ้งกับเรื่องบ้าบิ่นแบบนี้ จึงพยายามทัดทานอย่างเต็มที่
“นี่มันเป็นการฆ่าตัวตายชัด ๆ อีกฝ่ายคือกองทหารนับแสนคนเชียวนะ”
“อย่างที่บอกแหละครับว่าเราไม่จำเป็นต้องจัดการกับทหารทั้งหมดเพื่อการนี้ ตามที่ผมประเมิน ถ้าฝ่าทหารแนวหน้าสักหกหรือเจ็ดพันคนเข้าไปได้ก็น่าจะเข้าถึงใจกลางของกองทัพได้แล้ว อีกอย่างคือทหารเหล่านี้ต่อให้เป็นระดับทหารผ่านศึก แต่ความสามารถในการต่อสู้ก็ยังด้อยกว่านักผจญภัยจริง ๆ พอสมควร พลทหารส่วนใหญ่น่าจะมีฝีมือเทียบเท่านักผจญภัยระดับสองหรือสามเป็นอย่างมาก ผมเชื่อว่าน่าจะพอตะลุยฝ่าพวกเขาเข้าไปได้”
“ต่อให้เข้าไปถึงได้แล้วจะทำยังไง? แม่ทัพอย่างโอจาเน็นน่ะคงนั่งบัญชาการอยู่บนเรือเหาะมากกว่า แกหวังจะให้มันหย่อนเชือกลงมารับขึ้นไปเรอะ?”
“ถ้าไปถึงตรงนั้นแล้ว ผมพอจะมีวิธีทำให้เรือเหาะลงจอดได้ครับ”
“ฮึ่ม… ถึงพวกทหารจะมีฝีมือปลายแถว แต่โอจาเน็นน่ะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เจ้านั่นเคยเป็นนักผจญภัยระดับ S มาก่อนนะ แถมยังผ่านการรบมาอย่างโชกโชนด้วย คิดว่าจะโค่นเจ้าหมอนั่นได้จริงรึ?”
“นอกจากคุณออแลนด์แล้ว ไม่ว่าคู่ต่อสู้จะเป็นใคร ผมก็มั่นใจว่าสามารถเอาชนะได้ครับ”
“…ต่อให้จัดการกับเจ้านั่นได้ แล้วจะออกมาจากที่นั่นได้ยังไงล่ะ? ทั้งฝ่าทหารนับหมื่นเข้าไป สู้กับนายกองจำนวนนับไม่ถ้วน และเด็ดหัวแม่ทัพใหญ่ลงมา เมื่อถึงตอนนั้นแกเองจะยังมีแรงพอที่จะฝ่ากองทัพกลับออกมาอีกเหรอ? หรือคิดว่าแค่เอาชีวิตไปแลกชีวิตได้ก็พอใจแล้ว?”
“เรื่องนั้นผมคิดเอาไว้แล้วครับ ผมอยากให้ทางสำนักงานใหญ่ส่ง ‘ไบฟรอส’ มาให้ที่นี่โดยด่วนที่สุด เพื่อให้คุณแกริสใช้ในการอัญเชิญตัวผมกลับออกมาหลังจากทำภารกิจเสร็จแล้ว เท่านี้ก็สามารถหลบหนีออกมาได้อย่างไม่มีปัญหาครับ”
ซารามอธสามารถตอบคำถามของเซดดริกได้ทุกประเด็น ทำให้อีกฝ่ายได้แต่แสดงความแปลกใจเพราะเหมือนกับว่าเขาได้วางแผนการเกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้แล้ว ไม่ใช่แค่ความคิดบ้าบิ่นชั่ววูบเหมือนที่ทุกคนคิด
ไคเอ็นซึ่งฟังการสนทนาอยู่ตลอดก็เอ่ยถามไปยังชายหนุ่มอีกครั้ง
“เธอคิดเรื่องนี้เอาไว้นานแล้วรึ?”
“ครับ ผมเคยคิดเอาไว้นานแล้วว่ามีวิธีไหนบ้างที่จะแก้ไขปัญหาเรื่องการสะสมกำลังทหารอย่างจริงจังได้ ซึ่งที่คิดออกก็มีแต่เพียงวิธีนี้เท่านั้น แต่ถ้ามันไม่ถึงที่สุดจริง ๆ ก็ไม่ค่อยอยากจะเอามาใช้เลย เพราะให้พูดตามตรง ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าจะทำได้สำเร็จเหมือนกัน ความจริงมันเป็นแผนที่คิดขึ้นมาเพื่อให้คุณออแลนด์เป็นคนทำมากกว่า แต่ในเมื่อสถานการณ์คับขันขนาดนี้ จะรอให้คุณออแลนด์เดินทางมาก็คงไม่ได้ ผมคงต้องเป็นคนลงมือเองแล้วล่ะครับ”
ซารามอธกล่าวตอบพลางปิดท้ายด้วยคำพูดติดตลกพร้อมทั้งเหลือบตาไปมองออแลนด์วูบหนึ่ง ซึ่งอีกฝ่ายก็แสยะยิ้มตอบกลับมา
ไคเอ็นหลับตาครุ่นคิดเพื่อพิจารณาเรื่องทั้งหมดอยู่ครู่หนึ่ง ทุกคนในการประชุมจึงพากันนิ่งเงียบเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนสมาธิของเขา และในที่สุด ผู้นำแห่งพีชคีปเปอร์ก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะประกาศออกมาด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่นและก้องกังวาน
“ตกลง… ฉัน ไคเอ็น นอร์ดิส ผู้นำสูงสุดแห่งพีชคีปเปอร์ ขอมอบหมายให้ ซารามอธ แฮลเซียน เป็นผู้บังคับใช้สิทธิ์ยับยั้งสงครามตามมาตราที่ 42 ของผู้รักษาสันติภาพ ต่อกองทัพของราวินคา หากอีกฝ่ายไม่ยอมปฏิบัติตาม ก็ให้ใช้กำลังได้ทันที”
———————————————————————————————-
Part 3
ที่ชายแดนตอนเหนือระหว่างอาณาจักรราวินคากับอาณาจักรอลาเรีย
ทัพใหญ่ของแม่ทัพโอจาเน็นได้เคลื่อนพลมาจนถึงเขตริมชายแดนแล้ว
ขบวนทัพมีลักษณะเป็นกองคาราวานของรถหุ้มเกราะขนาดใหญ่ซึ่งมีจำนวนหลายพันคัน รถเหล่านั้นแล่นตามกันมาเป็นขบวนทอดยาวไปไกลจนสุดลูกหูลูกตา ส่วนบนท้องฟ้าก็มีเรือเหาะที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ใบพัดนับร้อยลำบินกำกับมาด้วย
รถหุ้มเกราะที่อยู่เบื้องล่างนั้นคือรถลำเลียงพลซึ่งใช้กันในการสงครามโดยเฉพาะ เพื่อให้การเคลื่อนย้ายกำลังพลทำได้อย่าสะดวกรวดเร็วและปลอดภัยมากขึ้นจึงได้มีการคิดค้นและพัฒนารถลำเลียงพลขึ้นมาใช้ในการเดินทัพ
รถลำเลียงพลขนาดใหญ่ที่สุดจะมีความสูงเทียบเท่ากับตึกสามชั้น มีความยาวตลอดคันรถร่วม 80 เมตร และมีความกว้าง 10 เมตร ขับเคลื่อนด้วยล้อขนาดใหญ่ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 5 เมตร จำนวน 18-20 ล้อ ทำให้มันมีลักษณะเหมือนกับเป็นอาคารเคลื่อนที่หลังหนึ่ง ภายในสามารถบรรทุกไพร่พลได้หลายร้อยนายซึ่งมีทั้งทหารราบ, พลธนู, พลปืน, ไปจนถึงกองทหารม้า
ในยามฉุกเฉิน ผนังของรถจะสามารถเปิดออกเพื่อให้ไพร่พลที่อยู่ภายในสามารถลงจากรถเพื่อไปจัดเตรียมกระบวนทัพรับศึกได้อย่างรวดเร็ว แต่ด้วยการที่มีกองเรือเหาะคอยสอดส่องภูมิประเทศอยู่จากบนฟ้า ทำให้การจะถูกซุ่มโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัวเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก
เหล่าทหารที่อยู่ภายในรถลำเลียงนั่งเบียดเสียดกันอย่างแออัด เพราะรถแต่ละคันต่างก็บรรทุกไพร่พลมาจนเกือบเต็มความจุ ยังดีที่ในสมัยนี้ทุกคนไม่จำเป็นต้องสวมชุดเกราะอันหนาเตอะและพกพายุทธ์โธปกรณ์ติดตัวตลอดเวลา เพราะสามารถเก็บอุปกรณ์ทุกอย่างไว้ในช่องมิติเก็บของแล้วนำออกมาสวมเฉพาะตอนที่ต้องใช้งานจริง ๆ ทำให้เหล่าทหารสามารถสวมใส่เสื้อผ้าตามสบายได้ในระหว่างอยู่บนรถลำเลียง ซึ่งช่วยผ่อนคลายความอึดอัดลงไปได้มาก
ภาวะที่แออัดนี้จะคงอยู่แค่ถึงเวลาเย็นเท่านั้น เพราะก่อนตะวันตกดินขบวนทัพจะต้องหาสถานที่เหมาะสมเพื่อตั้งค่ายพักแรมกัน ถึงตอนนั้นทหารทุกคนก็จะต้องลงไปจัดเตรียมค่ายพักกันบนพื้นดิน ส่วนตัวรถหุ้มเกราะแต่ละคันนั้นถูกออกแบบมาให้สามารถแยกส่วนไปกางเป็นเต๊นท์หรือกระโจมพักแรมขนาดใหญ่ได้นับสิบหลัง ทั้งยังนำมาประกอบเป็นหอสังเกตการณ์หรือรั้วค่ายได้อีกด้วย นับเป็นความงดงามทางการออกแบบที่เหล่าวิศวกรในยุคนั้นภาคภูมิใจ
บนท้องฟ้าเหนือขบวนรถลำเลียง มีเรือเหาะลำหนึ่งซึ่งมีโครงสร้างใหญ่โตและดูแข็งแรงทนทานกว่าเรือเหาะลำอื่น ๆ อย่างเด่นชัด ลอยอยู่บริเวณใจกลางของเรือเหาะอีกนับร้อยลำ ราวกับเป็นจุดศูนย์กลางของหมู่ดาว
รูปร่างของมันคล้ายกับเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ซึ่งลอยตัวได้ด้วยเครื่องยนต์ใบพัดขนาดยักษ์ที่ติดตั้งอยู่ทั้งสี่มุมของเรือ บริเวณดาดฟ้ามีลักษณะแบนราบไปจนเกือบตลอดลำเรือคล้ายกับเป็นลานบิน ซึ่งบนนั้นก็มีกองทหารสองหน่วยกำลังจัดแถวเรียงรายกันอยู่คนละฟากข้าง
ทางฝั่งซ้ายเป็นกองทหารที่ขี่อยู่บันหลังของม้ามีปีก หรือก็คือเพกาซัส นี่เป็นหน่วยโจมตีทางอากาศที่เน้นความปราดเปรียว ทหารของหน่วยเพกาซัสจะใช้อาวุธโจมตีระยะไกลเป็นหลัก ทั้งธนู, ปืน, และคทาเวท ทหารหน่วยนี้แม้จะมีจุดอ่อนในการต่อสู้ระยะประชิด แต่ความสามารถในการโจมตีระยะไกลจากบนอากาศของพวกเขาก็จัดเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ได้เปรียบในการรบ
ส่วนทางฝั่งขวา แถวหน้าสุดเป็นกองทหารที่ขี่อยู่บนหลังของมังกรขนาดกลาง และถัดไปก็เป็นกองทหารที่ขี่อยู่บนหลังของไวเวิร์น (มังกรที่มีสองขาและมีปีกแทนแขน) กองพลมังกรบินนี้เป็นทัพอากาศที่มุ่งเน้นการโจมตีระยะประชิด จึงใช้มังกรเป็นพาหนะ กลุ่มที่ขี่มังกรจะใช้ขวานขนาดใหญ่เป็นอาวุธและสวมชุดเกราะอันหนาหนักเพื่อเน้นความสามารถในการตะลุมบอน ส่วนกลุ่มที่ขี่ไวเวิร์นจะเน้นความคล่องตัวมากกว่าจึงใช้หอกเป็นอาวุธหลัก มังกรที่พวกเขาขี่อยู่ทั้งหมดเป็นร่างอัญเชิญ เพราะสามารถควบคุมสั่งการได้ง่ายกว่าการนำมังกรจริง ๆ มาฝึกมาก ทั้งยังไม่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญพิเศษของผู้ขับขี่ด้วย
ที่ห้องบัญชาการซึ่งตั้งอยู่ที่ชั้นบนสุดของหอบัญชาการด้านท้ายเรือ โอจาเน็น แม่ทัพแดนตะวันตกแห่งอาณาจักรราวินคากำลังนั่งบนเก้าอี้บัญชาการตัวใหญ่และกวาดสายตามองดูขบวนรบของทัพอากาศที่จัดแถวอยู่บนลานกว้างนั้นด้วยสีหน้าพึงพอใจ
โอจาเน็นเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่ มีผิวสีเข้มจนเกือบจะเป็นสีน้ำตาล ทำให้ขนคิ้วสีทองอันดกหนาของเขาดูโดดเด่นขึ้นไปอีก เขาไว้ผมสั้นเกรียนไม่ต่างจากพวกทหารชั้นผู้น้อย มีใบหน้าที่ดูดุดันและหยาบกร้าน ซึ่งมีรอยแผลเป็นปรากฏให้เห็นอยู่ทั่วไป หากแม่ทัพราคุชาแห่งแดนเหนือเป็นบุรุษที่ให้ภาพลักษณ์ของ ‘ราชสีห์’ โอจาเน็นแห่งแดนตะวันตกผู้นี้ก็เป็นบุรุษที่ให้ภาพลักษณ์ของ ‘พยัคฆ์’ เช่นกัน
โอจาเน็นกวาดสายตาพิจารณาดูขบวนทัพที่จัดแถวอยู่บนลานกว้างซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยไม่รู้สึกเบื่อ พลางครุ่นคิดถึงแผนการรบที่ต้องใช้งานกองทัพอากาศเหล่านี้ไปด้วย สมาธิทั้งหมดของเขาจดจ่ออยู่กับกองทหารเบื้องล่าง จนกระทั่งมีพลทหารสื่อสารนายหนึ่งเดินเข้ามารายงาน
“ท่านแม่ทัพ เรือสังเกตการณ์ของเราตรวจพบบุคคลต้องสงสัยคนหนึ่งยืนอยู่บริเวณที่ราบลุ่มด้านหน้า ห่างออกไปไม่ถึงสองกิโลเมตรครับ เขายังทำการติดต่อผ่านคลื่นสื่อสารระยะสั้นเข้ามาด้วย บอกว่าตนเองเป็น ‘ผู้สร้างสันติภาพ’ ของพีชคีปเปอร์ ได้รับมอบหมายให้มาเจรจากับท่านแม่ทัพครับ”
โอจาเน็นเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะถามกลับไปยังพลทหารด้วยน้ำเสียงอันทุ้มต่ำของเขา
“แค่คนเดียวเหรอ?”
“ครับ เราส่งเรือสังเกตการณ์ออกไปสำรวจบริเวณโดยรอบแล้ว ในรัศมีสิบกิโลเมตรบริเวณนั้น ไม่มีวี่แววของบุคคลอื่นอยู่อีกครับ”
“อืม… ลองโอนสายขึ้นมาซิ”
“ครับ”
โอจาเน็นแสยะรอยยิ้มอันเย้ยหยันออกมา เขาพอจะเดาออกว่า ‘ผู้สร้างสันติภาพ’ ของพีชคีปเปอร์เดินทางมาเจรจาด้วยเรื่องอะไร เพราะเมื่อเช้านี้ได้มีข่าวส่งมาจากเมืองหลวงว่า ทางพีชคีปเปอร์มีคำสั่งให้ราวินคายกเลิกการเคลื่อนทัพไปรุกรานดินแดนอลาเรีย แต่ทางสภาสูงแห่งราวินคาก็ได้ทำการปฏิเสธไปแล้ว
นี่ถือเป็นเรื่องปกติเพราะพีชคีปเปอร์เป็นองค์กรที่มีอำนาจแค่ในนาม หากไม่ใช่ยามที่โลกถูกรุกรานโดยทัพนรก อาณาจักรต่าง ๆ ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเชื่อฟังหรือทำตามคำสั่งของเหล่านั้นแต่อย่างใด ถึงกระนั้นพีชคีปเปอร์ก็ยังต้องพยายามทำหน้าที่เพื่อให้ผู้คนเห็นว่าพวกเขาได้ทำในส่วนของตนเองแล้ว จะได้ไม่ถูกครหาว่าไม่ทำอะไรเลย ซึ่งโอจาเน็นเองก็เข้าใจเรื่องนี้ดี
การเคลื่อนไหวเหล่านี้เป็นแค่ละครที่พีชคีปเปอร์แสดงขึ้นเพื่อรักษาหน้าของตัวเองเท่านั้น ทุกอย่างก็เป็นเช่นนี้มาช้านานแล้ว การที่พีชคีปเปอร์ส่งผู้สร้างสันติภาพมาดักรอระหว่างทางก็เพื่อตกแต่งละครฉากนี้ให้ดูสมจริงขึ้น โดยทำให้คนเห็นว่าทางองค์กรถึงขนาดส่งผู้สร้างสันติภาพมาเจรจาถึงชายแดน เป็นการทุ่มเททำงานอย่างแท้จริง คิดแล้วก็ทำให้โอจาเน็นรู้สึกขบขันกับความพยายามอันน่าสมเพชขององค์กรที่เป็นแค่เสือกระดาษอย่างพีชคีปเปอร์นัก
ทันทีที่พลทหารสื่อสารทำการเชื่อมต่อสัญญาณเสร็จสิ้น ก็มีเสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งดังออกมาจากแผงควบคุมบนที่วางแขนของเก้าอี้บัญชาการที่โอจาเน็นนั่งอยู่ เป็นเวลาเดียวกับที่ภาพของผู้ติดต่อซึ่งเป็นชายหนุ่มผมสีแดงรูปร่างสูงใหญ่ถูกฉายขึ้นจอใหญ่ของห้องบัญชาการด้วย
“ผม ซารามอธ แฮลเซียน ผู้สร้างสันติภาพแห่งพีชคีปเปอร์ ขออภัยที่มาขัดจังหวะการเดินทัพนะครับ คุณคือแม่ทัพแห่งแดนตะวันตก แม่ทัพโอจาเน็น ใช่รึเปล่าครับ?”
“ถูกต้อง ข้านี่แหละคือโอจาเน็นแห่งกองพลตะวันตก แต่ตอนนี้ได้รับแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพปราบแดนเหนือแล้วล่ะนะ (ถึงคำสั่งจะยังมาไม่ถึงก็เถอะ) คุณผู้สร้างสันติภาพมีอะไรจะให้กองทัพราวินคาของเรารับใช้รึ? ถึงได้อุตส่าห์ดั้นด้นมาถึงที่นี่น่ะ”
แม้จะใช้คำพูดที่ฟังดูเหมือนจะนอบน้อม แต่ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าท่าทางของโอจาเน็นล้วนเต็มไปด้วยความหยิ่งผยอง ไม่ได้ให้ความรู้สึกนอบน้อมเช่นเดียวกับคำพูดเลยแม้แต่น้อย ถึงซารามอธจะไม่ได้เห็นท่าทีนั้น เพราะได้ยินเพียงเสียงของโอจาเน็นที่ดังออกมาจากแหวนสื่อสาร แต่เขาก็พอเดาออกว่าแท้จริงแล้วอีกฝ่ายกำลังมีท่าทีเช่นไร ถึงกระนั้นซารามอธก็ยังเผยรอยยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปาก ก่อนจะกล่าวต่อ
“ถ้างั้นขอเข้าเรื่องเลยก็แล้วกันนะครับ การเคลื่อนทัพไปยังอลาเรียในครั้งนี้ถือเป็นการละเมิดข้อตกลงสันติภาพระหว่างอาณาจักร ตามมาตราที่ 2 ซึ่งระบุเอาไว้ว่า ‘ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รัฐสมาชิกทั้งปวงจักต้องละเว้นการคุกคาม หรือการใช้กำลังต่อบูรณภาพแห่งอาณาเขต หรือเอกราชทางการเมืองของรัฐใด ๆ รวมถึงการกระทำในลักษณะอื่นใดที่ไม่สอดคล้องกับเจตจำนงของผู้รักษาสันติภาพ (พีชคีปเปอร์) ด้วย’ ดังนั้นผมจึงต้องขอให้คุณโอจาเน็นยกทัพกลับไปด้วยครับ”
โอจาเน็นแสดงสายตาเหนื่อยหน่ายพร้อมกับรอยยิ้มเย้ยหยันออกมาตั้งแต่ซารามอธพูดไปได้แค่ครึ่งทางแล้ว สิ่งที่ผู้สร้างสันติภาพหนุ่มพูดขึ้นมาไม่ใช่เรื่องที่อยู่นอกเหนือการคาดการณ์ของเขาสักเท่าไหร่ ในสมองของโอจาเน็นคิดเพียงแค่ว่าอยากจะให้อีกฝ่ายพูดจบเร็ว ๆ จะได้รีบปฏิเสธไปซะที ซึ่งเมื่อซารามอธพูดจบแล้ว เขาจึงรีบตอบกลับเพื่อให้จบเรื่องไป
“เข้าใจแล้ว ๆ แหม แต่เรื่องนี้ทางสภาของเราก็ได้ปฏิเสธไปแล้วไม่ใช่รึ? ไม่เห็นจะต้องมาพูดซ้ำให้เปลืองเวลาเลย ถ้าหมดธุระแล้วละก็…”
“ที่ผมมาก็เพราะเรื่องนี้แหละครับ ในเมื่อทางราวินคาปฏิเสธการขอความร่วมมือจากเราและยืนยันที่จะบุกโจมตีอลาเรียต่อไป เราก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้สิทธิ์ยับยั้งสงครามตามมาตราที่ 42 กับอาณาจักรราวินคาเท่านั้น หากคุณยังไม่ยอมถอยทัพกลับไปโดยดี เราก็จำเป็นจะต้องใช้กำลังบังคับให้คุณกลับไป”
คำพูดของซารามอธทำให้โอจาเน็นพร้อมทั้งเหล่าแม่ทัพนายกองในห้องบัญชาการต่างก็มองหน้ากันไปมาอยู่พักหนึ่งด้วยความงุนงง พวกเขาไม่รู้จักว่ามาตราที่ 42 ของพีชคีปเปอร์นั้นคืออะไรและมีรายละเอียดอย่างไร เพราะมันไม่เคยถูกประกาศใช้มาก่อน แม้ข้อความช่วงท้ายที่บอกว่าจะใช้กำลังบังคับให้ถอยทัพนั้นจะมีความหมายสมบูรณ์ในตัวเอง แต่พวกเขาก็ยังไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ผู้สร้างสันติภาพคนนี้พูดออกมามีความหมายตามนั้นจริงรึไม่
“ที่ว่าจะใช้กำลังนั่น… หมายถึงพีชคีปเปอร์จะส่งกองทัพมาเพื่อสกัดกั้นการเดินทัพของเรางั้นรึ?”
โอจาเน็นเอ่ยถามชายหนุ่มโดยสีหน้ายังคงเต็มไปด้วยความข้องใจ ทว่าคำตอบของอีกฝ่ายที่ตอบออกมาแต่ละครั้ง ก็มีแต่จะยิ่งทำให้เขารู้สึกงุนงงมากขึ้นเรื่อย ๆ
“ไม่ใช่กองทัพ แต่เป็นผู้สร้างสันติภาพครับ”
“หมายถึง… พีชคีปเปอร์จะส่งผู้สร้างสันติภาพทั้งหมดมาสกัดกั้นการเดินทัพของเรางั้นรึ?”
“ไม่ใช่ผู้สร้างสันติภาพทั้งหมดหรอกครับ แค่ผมคนเดียวเท่านั้นเอง”
โอจาเน็นเลิกคิ้วขึ้นอีกครั้งด้วยสีหน้าประหลาดใจอย่างที่สุด เขามองไปรอบ ๆ ห้องเพื่อสบตากับเหล่าแม่ทัพนายกองคนอื่น ๆ อีกครั้ง ซึ่งทุกคนก็แสดงสีหน้าแบบเดียวกันออกมา
“แปลว่า… คุณผู้สร้างสันติภาพ ซึ่งมาคนเดียว จะใช้ ‘กำลัง’ สกัดกั้นการเดินทัพของเรา และบีบให้เราถอนทัพกลับไปงั้นรึ?”
“ใช่แล้วครับ แต่ถ้ายอมถอยทัพกลับไปโดยดีซะแต่ตอนนี้ก็จะหลีกเลี่ยงความสูญเสียได้นะครับ”
โอจาเน็นหันไปสบตากับเหล่าแม่ทัพนายกองรอบ ๆ ห้องอีกครั้ง ก่อนที่เขาและทุกคนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาพร้อมกัน มันเป็นการประสานเสียงหัวเลาะที่ดังลั่น จนซารามอธต้องยกแหวนสื่อสารออกห่างจากตัวและเอียงคอหนีเพื่อลดเสียงลง
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ ไม่นึกว่าพีฃคีปเปอร์ก็มีอารมณ์ขันกับเขาด้วยนะเนี่ย ก็เอาสิ! ถ้าคิดว่าทำได้ก็เข้ามาเลย! โอจาเน็นผู้นี้ไม่หลบเลี่ยงหรือหลีกหนีไปไหนอยู่แล้ว! เราจะย่ำศพของแกก่อน จากนั้นค่อยเคลื่อนทัพไปบดขยี้อลาเรีย!”
แม่ทัพใหญ่แผดเสียงอันแข็งกร้าวออกมาเป็นคำตอบ แม้เขาจะหัวเราะกับคำขู่อันน่าขันของอีกฝ่าย แต่ในใจส่วนหนึ่งก็รู้สึกเหมือนกำลังถูกเหยียดหยามด้วยเช่นกัน จึงบังเกิดโทสะขึ้นมาและคิดจะปลิดชีวิตของชายหนุ่มผู้อวดดีคนนี้เพื่อระบายความโกรธให้จงได้
ทันทีที่การสื่อสารถูกตัดไป ขบวนทัพของราวินคาทั้งบนพื้นดินและบนท้องฟ้าก็ค่อย ๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงจากรูปขบวนสำหรับเดินทางกลายเป็นรูปขบวนสำหรับทำศึกในทันที
———————————————————————————————-
Part 4
“แปรขบวนศึกเพื่อรับมือคน ๆ เดียวแบบนี้ จะไม่เป็นการทำเกินเรื่องไปหน่อยเหรอครับท่านแม่ทัพ? แค่ส่งหน่วยจู่โจมออกไปสักสองสามหน่วยก็น่าจะพอแล้ว”
รองแม่ทัพคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้น หลังจากที่โอจาเน็นถ่ายทอดคำสั่งให้แปรขบวนรบเต็มพิกัด
“ไม่เห็นจะเป็นไรเลย คิดซะว่าเป็นการซักซ้อมแปรขบวนก่อนจะรบจริงก็แล้วกัน พวกแกไปตรวจดูความพร้อมเพรียงและเวลาที่แต่ละกองพลใช้ในการจัดเตรียมรูปขบวนด้วย ถ้ากองพลไหนทำเวลาได้ช้ากว่ากำหนด จะต้องถูกลงโทษ!”
ทันทีที่ได้รับคำสั่ง เหล่าแม่ทัพนายกองก็ยืนตัวตรงเพื่อทำความเคารพอย่างพร้อมเพรียง ก่อนจะแยกย้ายกันไปสั่งการทหารในสังกัดของตนเองให้ปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง
ทุกคนต่างก็มองว่าคำสั่งครั้งนี้เปรียบเสมือนการซักซ้อมแปรรูปขบวน ไม่ใช่การซ้อมรบซะด้วยซ้ำ
อีกด้านหนึ่ง ซารามอธซึ่งอยู่ห่างจากจากกองทัพของโอจาเน็นไปไม่ถึงหนึ่งกิโลเมตร ก็ทำการอัญเชิญม้าศึกตัวหนึ่งออกมา
มันเป็นม้าสีเทารูปร่างสูงใหญ่และมีร่างกายกำยำ เป็นพาหนะอัญเชิญของดรากูน หนึ่งในคลาสที่ซารามอธฝึกฝนจนเป็นมาสเตอร์ ม้าศึกของดรากูนนี้มีฝีเท้าอันยอดเยี่ยมและพละกำลังมหาศาล ความสามารถของมันสูงกว่าม้าธรรมดาหลายเท่าตัว แลกกับการจำกัดเวลาในการใช้งาน
ซารามอธโดดขึ้นไปบนหลังม้าและมองไปยังกองทัพเบื้องหน้าที่กำลังแปรรูปขบวนอย่างช้า ๆ บนฟ้าก็มีเรือเหาะนับร้อยลำกำลังเรียงหน้ากระดานเพื่อเข้าตำแหน่งสำหรับโจมตี ส่วนบนพื้นดิน รถลำเลียงก็เริ่มกระจายตัวออกและเปิดผนังด้านข้างเพื่อให้เหล่าทหารที่อยู่ภายในลงมาจัดแถวเตรียมรับศึก ภาพของทหารนับหมื่นที่ค่อย ๆ เคลื่อนขบวนลงมาจากรถและเดินมาเรียงแถวหน้ากระดานกันอย่างพร้อมพรัก กลุ่มแล้วกลุ่มเล่า จนซ้อนตัวกันเป็นคลื่นมนุษย์นี้ ทำให้ใจของเขาเต้นแรงขึ้นด้วยความรู้สึกตื่นเต้น
‘ใจเย็น ๆ ก่อน… ถึงจำนวนจะดูน่าหวาดหวั่น แต่ความสามารถของทหารพวกนั้นยังไม่อยู่ในระดับที่จะทำอันตรายเราได้… ขอแค่คอยระวังพวกแม่ทัพนายกอง ไม่รับความเสียหายที่ไม่จำเป็น ไม่ถูกซ้ำในระหว่างที่จิตต่อสู้กำลังฟื้นตัว และใช้เวทเสริมพลังช่วยอุดช่องโหว่เหล่านั้น… แค่นี้ก็ไม่น่าจะมีปัญหา…’
เมื่อทำสมาธิและทบทวนแผนการเสร็จ ซารามอธก็ใช้ส้นเท้ากระทบสีข้างของม้าศึกเพื่อสั่งให้มันวิ่ง ม้าศึกตัวโตก็พุ่งทะยานออกไปทันทีราวกับลูกธนูที่หลุดจากคันศร ระหว่างนั้นเขาก็ร่ายเวทเสริมพลังทุกบทที่เขามีให้กับตัวเองและม้าที่ขี่อยู่ ซึ่งทุกเวทล้วนแล้วแต่เป็นเวทเสริมพลังระดับสูงของบิช็อป ทำให้ทั้งร่างของเขาและม้าเริ่มมีแสงสีฟ้าเรืองรองออกมา
“โฮ่ กล้าตรงเข้ามาจริง ๆ รึเนี่ย? นึกว่าพอขึ้นม้าแล้วจะรีบควบหนีไปซะอีก แต่แบบนี้ก็ไม่เลว กำลังอยากได้เป้าซ้อมยิงสำหรับกองเรือเหาะอยู่พอดี… ใช้ปืนเรือถล่มมันให้เป็นผงซะ!”
พลทหารสื่อสารทำการถ่ายทอดคำสั่งของโอจาเน็นไปยังเรือเหาะทุกลำ ทำให้กราบเรือของกองเรือเหาะที่อยู่บนท้องฟ้าค่อย ๆ เปิดออก ก่อนจะมีปากกระบอกปืนทั้งใหญ่น้อยยื่นออกมาและเล็งลงไปยังพื้นดินเบื้องล่างที่ข้าศึกเพียงหนึ่งเดียวกำลังควบม้าเข้ามา
โอจาเน็นให้เรือทุกลำทำการยิงอย่างอิสระ เสียงคำรามจากปืนใหญ่จึงดังกึกก้องไปทั่วท้องฟ้าของเขตชายแดนอย่างต่อเนื่องราวกับมีการจุดพลุฉลองในงานเทศกาล ลูกเหล็กสีดำทะมึนซึ่งถูกห่อหุ้มด้วยเปลวไฟจนดูเหมือนกับดาวหางจำนวนนับไม่ถ้วนต่างทยอยโปรยปรายลงมาราวกับห่าฝน
กระสุนปืนใหญ่แต่ละนัด เมื่อตกสู่พื้นก็ทำให้เกิดการระเบิดขนาดใหญ่จนฝุ่นควันคละคลุ้ง เปลวไฟจากการระเบิดยังแตกสะเก็ดกระเด็นไปทั่ว จนบริเวณนั้นกลายสภาพไปเปรียบเสมือนนรกบนดิน
ในระหว่างที่แม่ทัพใหญ่กำลังคิดว่าชายหนุ่มผู้อวดดีคงกลายเป็นเถ้าธุลีในทะเลเพลิงนี้ไปแล้ว ม้าศึกซึ่งห่อหุ้มด้วยชุดเกราะเงินก็พุ่งฝ่าม่านควันและเปลวไฟจากการระเบิดออกมา โดยไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน
ซารามอธเปลี่ยนชุดเป็นดรากูนก่อนที่กระสุนปืนใหญ่ชุดแรกจะตกกระทบพื้นดิน ทำให้ร่างของเขาถูกห่อหุ้มด้วยเกราะสีเงินอันแข็งแกร่ง เช่นเดียวกับม้าของเขาซึ่งได้รับการหุ้มเกราะตั้งแต่หัวจรดเท้าเช่นกันเพราะเป็นพาหนะอัญเชิญประจำคลาส
ด้วยฝีเท้าอันว่องไวของม้าศึก บวกกับสายตาอันเฉียบคมของผู้ขี่ ทำให้มันสามารถหลบเลี่ยงจุดที่กระสุนปืนใหญ่ตกลงมากระทบพื้นได้หมดทุกจุด แม้จะมีเปลวไฟและสะเก็ดจากการระเบิดปลิวว่อนไปทั่ว แต่ของแบบนั้นก็ไม่สามารถทำให้เกิดความระคายเคืองต่อเกราะเงินอันแข็งแกร่งของดรากูนได้
โอจาเน็นที่เห็นภาพนั้นก็เลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“โฮ่… ‘ไอรอนสตีด’ (Iron Steed) ม้าศึกของพวกดรากูนงั้นรึ? ทั้งความเร็วและความทนทานสมกับเป็นพาหนะอัญเชิญระดับสูงจริง ๆ ที่แท้เจ้านั่นก็เป็นดรากูนรึเนี่ย… หึหึหึ แต่ก็เท่านั้นแหละ ถึงจะหลบหลีกการโจมตีแบบปูพรมของปืนใหญ่ได้ แต่ถ้าเป็นการโจมตีแบบจำเพาะเจาะจงล่ะ? ถ่ายทอดคำสั่ง! ส่งหน่วยพิฆาตเวหาทั้งหมดออกไป เป้าหมายคือเจ้าดรากูนที่กำลังวิ่งเข้ามานั่น!”
หลังการถ่ายทอดคำสั่ง ทัพอากาศซึ่งประกอบไปด้วยหน่วยทหารซึ่งขี่เพกาซัส, มังกร, และไวเวิร์น ต่างก็ทยอยบินกันออกไปจากดาดฟ้าเรือแต่ละลำอย่างเป็นระเบียบ แล้วค่อย ๆ โฉบลงไปยังเบื้องล่างอย่างเป็นขบวน เรือเหาะแต่ละลำต่างก็มีหน่วยรบทางอากาศแบบนี้ประจำอยู่ตั้งแต่หนึ่งร้อยถึงห้าร้อยคน ทำให้บนท้องฟ้าคราคร่ำไปด้วยหน่วยพิฆาตเวหาของกองทัพราวินคา ราวกับเป็นฝูงค้างคาวจำนวนมหาศาลที่กำลังออกจากถ้ำเพื่อไปหาอาหาร
เมื่อเห็นการมาของทัพอากาศ ซารามอธก็เปลี่ยนชุดอีกครั้ง แม้ม้าศึกที่เขาขี่จะยังถูกห่อหุ้มด้วยเกราะเหล็กสีเงินอยู่ แต่ตัวเขาเองได้ถอดชุดเกราะนั้นออกและเปลี่ยนเป็นชุดผ้าซึ่งคลุมด้วยผ้าคลุมนักเวทแทน แถมในมือของเขายังมีไม้เท้าเวทมนตร์ขนาดใหญ่อยู่ด้วย
สิ่งนี้ทำให้โอจาเน็นต้องขมวดคิ้วด้วยความงุนงงสงสัย เพราะในทีแรกคิดว่าอีกฝ่ายเป็นดรากูน แม้การที่นักผจญภัยจะมีคลาสต่อสู้อยู่หลายคลาสก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ที่แปลกคือความสามารถในการเปลี่ยนชุดอันว่องไวนั้น เพราะคนทั่วไปจะไม่สามารถสับเปลี่ยนชุดทั้งชุดได้อีกครั้งในระยะเวลาอันสั้นแบบนี้ เนื่องจากการใช้เวทสับเปลี่ยนชุดจะมีระยะเวลาพักตัว (คูลดาวน์) อยู่ ทำให้ไม่สามารถใช้งานซ้ำในระยะเวลาอันสั้นได้
ที่เขาทำได้เพราะซารามอธร่ำเรียนวิชามาเป็นจำนวนมาก และชอบสลับคลาสไปมาเพื่อสอดรับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปในการต่อสู้ เขาจึงฝึกฝนการสับเปลี่ยนอุปกรณ์ด้วยเวทมนตร์มามากกว่าคนอื่น จนพัฒนาการใช้งานได้ถึงระดับที่สามารถสับเปลี่ยนอุปกรณ์ได้ตามใจชอบ สำหรับเขาแล้ว ระยะเวลาพักตัวของเวทสับเปลี่ยนอุปกรณ์นั้นถูกร่นระยะเวลาลงจนเหลือเพียงไม่กี่วินาที
ซารามอธควบม้าพลางร่ายคาถาไปด้วย เมื่อการบริกรรมเสร็จสิ้น เขาก็ควงไม้เท้าอันใหญ่นั้นขึ้นเหนือหัว จนปลายไม้เท้าส่องแสงสีฟ้าอ่อนออกมา เป็นเวลาเดียวกับที่เกิดวงเวทหลายวงขึ้นบนพื้นดินเบื้องหลัง
หลังจากเขาควบม้าออกห่างไปแล้ว วงเวทเหล่านั้นก็เปล่งแสงออกมา ก่อนจะแปรสภาพไปเป็นพายุหมุนซึ่งค่อย ๆ ทวีความรุนแรงและเพิ่มขนาดขึ้นเรื่อย ๆ เบื้องหลังของซารามอธจึงเกิดพายุหมุนหลายลูกก่อตัวขึ้นเป็นทางยาว ราวกับฝีเท้าของม้าที่วิ่งผ่านไปนั้นรวดเร็วจนทำให้เกิดพายุทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง
โอจาเน็นที่เห็นสภาพความเปลี่ยนแปลงนั้นก็ถึงกับตกตะลึงจนต้องลุกขึ้นจากเก้าอี้
“นั่นมัน ‘ทอร์นาโด’ !? เวทของพวกวิซาร์ดนี่นา!? หมายความว่ายังไงกัน? เจ้านั่นไม่ใช่ดรากูนหรอกเรอะ!? ทำไมมันถึงใช้เวทมนตร์ของนักเวทระดับสูงได้ แถมยังร่ายออกมาพร้อมกันหลายลูกในเวลาแค่นี้ด้วย!”
พายุหมุนเหล่านั้นค่อย ๆ เคลื่อนตัวเข้าหากันจนเกิดการรวมตัวของพายุ ทำให้ทั้งขนาดและความเร็วของมันเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ จากพายุหมุนที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางเพียงลูกละห้าเมตร เมื่อซ้อนทับกันก็เกิดการขยายขนาดเป็นพายุหมุนขนาดสิบเมตร ยี่สิบเมตร สี่สิบเมตร ทบไปเรื่อย ๆ จนเมื่อพายุทั้งหมดเข้าซ้อนทับกันจนครบแล้ว มันก็กลายสภาพไปเป็นพายุเฮอริเคนขนาดยักษ์ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางนับร้อยเมตร แถมยังมีความสูงในระดับที่เป็นภัยคุกคามต่อการบินของเรือเหาะได้
ความจริงการสร้างพายุที่มีพลังทำลายระดับนี้เป็นสิ่งที่เกินความสามารถของเขา แต่ซารามอธได้ทำการลองผิดลองถูกกับวิชาหรือเวทมนตร์ต่าง ๆ เพื่อพัฒนาฝีมืออยู่เสมอ และการประสานพายุก็เป็นเทคนิกที่เขาค้นพบเข้าโดยบังเอิญ ทำให้รู้ว่าเมื่อคำนวณทิศทางการหมุน, จังหวะการหมุน, และช่วงเวลาที่พายุแต่ละลูกจะเข้าสัมผัสกันอย่างแม่นยำแล้ว แทนที่พลังของพายุแต่ละลูกจะหักล้างกัน มันจะส่งเสริมซึ่งกันจนกลายเป็นพายุลูกใหญ่ขึ้นแทน ทำให้เขาสามารถสร้างพายุลูกใหญ่ขนาดนี้ขึ้นมาได้ด้วยการประสานพายุทั้งหมดหกลูก แม้จะฟังดูง่าย แต่วิธีนี้ก็เป็นเทคนิกชั้นสูงที่ต้องอาศัยการคำนวณอันซับซ้อนและแม่นยำ เพราะหากคำนวณพลาดไปเพียงนิดเดียว พายุเหล่านี้ก็จะหักล้างกันเองจนสลายตัวไป
“บ้าชมัด! ทำไมมันถึงใช้เวทที่มีความรุนแรงระดับนี้ได้ล่ะ!? นี่มันระดับของการร่ายเวทเป็นหมู่แล้วไม่ใช่เรอะ!? …แต่อย่าดูถูกพวกเราเกินไปนัก ถ่ายทอดคำสั่งออกไป! ให้พวกนักเวทประจำกองทัพจัดการสลายพายุนั่นซะ! อย่าให้มันเคลื่อนมาถึงกองเรือได้!”
ในกองทัพของราวินคาก็มีหน่วยทหารที่เป็นนักเวทอยู่เช่นกัน แม้นักเวทของกองทัพส่วนใหญ่จะไม่ใช่จอมเวทระดับสูง แต่หากรวมพลังกันก็สามารถใช้งานหรือคลายผลของเวทมนตร์ระดับสูงได้ ซึ่งในกองทัพของโอจาเน็นมีนักเวทอยู่ในสังกัดหลายพันคน ด้วยจำนวนคนขนาดนี้การจะคลายเวทของซารามอธจึงไม่ใช่เรื่องยากเลย
วงเวทสีฟ้าหลายวงปรากฏขึ้นภายในพายุ ก่อนจะเกิดเส้นแสงเชื่อมต่อวงเวทแต่ละวงจนกลายสภาพเป็นวงเวทขนาดใหญ่ซึ่งครอบคลุมเส้นผ่านศูนย์กลางของพายุทั้งลูกเอาไว้ เมื่อกลุ่มนักเวทประจำกองทัพเปิดการทำงานของวงเวทนั้นจนบังเกิดแสงสีฟ้าสว่างจ้าสาดส่องไปทั่ว พายุลูกใหญ่ของซารามอธก็สลายตัวไปในทันที ทำให้เกิดกระแสลมกรรโชกพัดออกไปทั่วทุกสารทิศ หน่วยทหารอากาศที่กำลังบินอยู่บนฟ้าจึงต้องค้อมตัวลงแนบกับสัตว์อัญเชิญที่ตนเองขี่อยู่เพื่อไม่ให้ถูกกระแสลมพัดปลิวไป
การที่พายุจะถูกสลายโดยนักเวทของกองทัพนั้นเป็นสิ่งที่ซารามอธคาดคะเนเอาไว้แล้ว ซึ่งจุดประสงค์ที่เขาสร้างพายุลูกนี้ขึ้นมาก็ไม่ใช่เพื่อจะใช้มันโจมตีเรือเหาะของฝ่ายตรงข้าม แต่เพื่อหวังผลสี่ประการด้วยกัน
ประการแรกคือแรงลมจากการสลายพายุที่จะช่วยหนุนให้เขาสามารถมุ่งตรงเข้าไปยังกองทัพของโอจาเน็นได้เร็วขึ้นกว่าเดิม ซึ่งก็เป็นไปตามคาด เพราะม้าของเขาถูกกระแสลมจากการสลายพายุหอบตัวไปข้างหน้า ทำให้ตอนนี้ตัวเขาอยู่ห่างจากแนวทหารของราวินคาเพียงไม่ถึงห้าร้อยเมตรแล้ว
ประการที่สองคืออาศัยพายุนี้ในการสกัดกั้นเหล่ากองทัพเวหาไม่ให้เข้ามาใกล้ ซึ่งเหล่าทหารที่เห็นพายุลูกใหญ่ขนาดนั้นต่างก็ยั้งพาหนะของตนเองค้างไว้บนอากาศ ไม่กล้าบุกต่อ เพราะกลัวจะถูกพายุหอบไป ช่วยให้ซารามอธมีเวลาในการรุกคืบได้มากขึ้นโดยไม่ถูกโจมตีจากทางด้านบน
ประการที่สามคือการใช้พายุลูกใหญ่นี้หอบเอาฝุ่นควันจากการระเบิดของการยิงปืนใหญ่แบบปูพรมของเรือเหาะกลับขึ้นไปบนอากาศ พายุที่อมฝุ่นควันเอาไว้จนแน่นนั่นเมื่อสลายตัวออกอย่างรุนแรงก็พ่นเถ้าธุลีและฝุ่นผงปริมาณมหาศาลออกมา ฝุ่นละอองที่ค่อย ๆ โปรยปรายกลับมายังพื้นดินเบื้องล่างจนเหมือนกับก้อนเมฆสีน้ำตาลนี้เป็นการเตรียมการสำหรับเป้าหมายประการที่สี่ของเขา
หลังจากที่พายุสลายตัวไปได้ครู่หนึ่ง หน่วยจู่โจมทางอากาศที่ตั้งตัวได้ก็ทยอยกันโฉบตัวลงมาเบื้องล่างเพื่อมุ่งหน้าลงมาโจมตีข้าศึกก่อนที่เขาจะไปถึงแนวทหารราบของราวินคาได้ ทัพเวหาจำนวนหลายพันต่างก็โฉบตัวฝ่าม่านฝุ่นละอองอันหนาทึบนั้นลงมาโดยไม่มีท่าทีลังเลใด ๆ เป็นเวลาเดียวกับที่ซารามอธชี้ไม้เท้าเวทมนตร์ของเขาขึ้นไปบนฟ้า
เมื่อเห็นว่าหน่วยรบเวหาส่วนใหญ่ลงมาได้ระยะแล้ว เขาก็ยิงสายฟ้าเส้นหนึ่งออกจากปลายไม้เท้าของเขา มันพุ่งตรงขึ้นไปยังทิศทางที่ไม่มีใครอยู่ ทำให้หน่วยรบเวหาบางคนถึงกับแสยะยิ้มออกมาเพราะคิดว่าอีกฝ่ายร้อนรนจนโจมตีพลาดเป้า แต่รอยยิ้มนั้นก็ต้องแปรเปลี่ยนไปเป็นสีหน้าอันตื่นตระหนกภายในพริบตา
แม้สายฟ้านั้นจะยิงไม่โดนใครเลย แต่ประกายของมันกลับทำให้เกิดเปลวไฟลุกไหม้ลามไปทั่วทั้งท้องนภา ราวกับบนนั้นมีกลุ่มก๊าซที่มองไม่เห็นลอยอยู่ และมันถูกจุดขึ้นด้วยสายฟ้าของซารามอธ เปลวไฟนี้แผ่ขยายเป็นวงกว้างและครอกหน่วยรบเวหาของราวินคาเกือบทั้งหมดในทันที
นี่ไม่ใช่เวทมนตร์ แต่เป็นปรากฏการณ์ฝุ่นระเบิด (Dust Explosion) ซึ่งเกิดจากอนุภาคของฝุ่นที่มีการฟุ้งกระจายอย่างเข้มข้นอยู่ในอากาศได้สัมผัสเข้ากับประกายไฟ ทำให้เกิดการเผาไหม้ลุกลามออกไปเป็นลูกโซ่ จนกลายเป็นระเบิดเพลิงขนาดใหญ่ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดที่มีการฟุ้งกระจายของฝุ่นละออง
การสร้างพายุของซารามอธมีเป้าหมายประการที่สี่คือสิ่งนี้ นั่นก็คือการสร้างภาวะที่เหมาะสมสำหรับทำให้เกิดปรากฏการณ์ฝุ่นระเบิดเพื่อใช้ในการทำกลายกองทัพเวหาของราวินคา ฝุ่นละอองที่ถูกพายุหอบขึ้นไปและโปรยไปทั่วท้องฟ้าหลังการสลายพายุเป็นสิ่งที่อยู่ในการคำนวณของเขาทุกอย่าง
ซารามอธมองดูเหล่าทหารที่กลายเป็นเปลวไฟจำนวนนับไม่ถ้วนค่อย ๆ ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าด้วยสายตาอันเจ็บปวดและเศร้าสร้อย หากเป็นไปได้เขาก็ไม่อยากจะพรากชีวิตของผู้คนจำนวนมากขนาดนี้เลย แต่ถ้าเทียบกันแล้ว หากปล่อยให้เกิดสงครามโลกขึ้นจริง ๆ จำนวนคนที่ต้องตายและสูญเสียคงจะมากกว่านี้ชนิดที่เทียบกันไม่ได้ เขาจึงได้แต่กล้ำกลืนความรู้สึกเจ็บปวดนี้ไว้ และมุ่งหน้าต่อไปยังขบวนทัพของราวินคา
แม้ทางซารามอธจะมุ่งหน้าต่อไปด้วยความรู้สึกเจ็บปวด แต่ฝั่งทหารราวินคาทั้งบนพื้นดินและบนท้องฟ้าต่างตกอยู่ในความประหวั่นพรั่นพรึง แม้แต่แม่ทัพโอจาเน็นที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่บนห้องบัญชาการของเรือเหาะก็ยังหน้าถอดสี
ศัตรูที่อยู่ตรงหน้านี้แม้จะมีเพียงคนเดียว แต่นอกจากจะพุ่งฝ่าการยิงปูพรมของเรือเหาะมาได้อย่างไร้รอยขีดข่วนแล้ว ยังปลดปล่อยเวทมหาประลัยออกมาอย่างต่อเนื่องอีกถึงสองครั้ง ทั้งเวทที่สร้างพายุขนาดมหึมาซึ่งมองเห็นได้จากท้ายขบวนของกองทัพซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายกิโลเมตร และเวทระเบิดอันทรงพลานุภาพที่เปลี่ยนท้องฟ้าให้กลายเป็นทะเลเพลิง ทั้งยังกลืนกินหน่วยรบเวหาของราวินคาเกือบทั้งหมดได้ในคราวเดียว สำหรับพวกเขาที่ไม่รู้ความจริงเบื้องหลังของปรากฏการณ์ทั้งสองนี้แล้ว นี่เป็นการเผชิญหน้ากับสิ่งที่อยู่เหนือสามัญสำนึกไปมาก ที่สำคัญคือ การที่อีกฝ่ายมีเพียงคนเดียวก็ยิ่งเน้นย้ำภาพลักษณ์ให้ตัวตนของคนผู้นั้นดูเป็นอะไรที่เหนือขอบเขตของมนุษย์ขึ้นไปอีก
ในสมัยนี้ ทหารทั้งกองทัพสามารถรับรู้สถานการณ์การรบจากทุก ๆ ตำแหน่งได้ ผ่านทางแหวนสื่อสารของกองทัพ นี่เป็นอุปกรณ์ที่มีบทบาทอย่างมากในการถ่ายทอดคำสั่งและทำให้เหล่าทหารติดตามสถานการณ์การรบเพื่อปรับตัวตามสถานการณ์ได้อย่างถูกต้อง แต่ตอนนี้มันกลับเป็นดาบสองคม เพราะความน่าสะพรึงกลัวของศัตรูที่อยู่ตรงหน้านั้นได้ถูกถ่ายทอดไปทั่ว แถมยังมีการเสริมแต่งเกินจริงเพราะการพูดแบบปากต่อปาก จนตอนนี้เหล่าทหารของราวินคาเริ่มเกิดภาพลักษณ์ว่าอีกฝ่ายคือ ‘เทพสงคราม’ ซึ่งสามารถบดขยี้ทหารทั้งกองทัพให้หายไปได้ด้วยการโบกปัดอาวุธแค่เพียงคราเดียว ใจสู้และความฮึกเหิมที่แต่ละคนเคยมีจึงมลายไปสิ้น เหลือเพียงความหวาดหวั่นและสั่นสะท้าน
โอจาเน็นจ้องมองภาพของชายหนุ่มบนหน้าจอที่กำลังควบม้าตะบึงเข้ามา ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
มันไม่ใช่ใบหน้าที่ที่แสดงความตกตะลึงหรือหวาดหวั่นออกมาเหมือนกับเหล่าทหารที่อยู่โดยรอบ แต่เป็นใบหน้าอันสงบนิ่งและจริงจัง เพราะตอนนี้ความคิดของเขาที่มีต่อฝ่ายตรงข้ามได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
“ว่ากันว่า ‘ผู้สร้างสันติภาพ’ ของพีชคือเปอร์ คือนักรบชั้นยอดที่ถูกชุบเลี้ยงและฝึกฝนขึ้นมาเพื่อต่อกรกับ ‘ผู้สร้างหายนะ’ โดยเฉพาะ เป็นผู้กล้าแห่งยุคใหม่ซึ่งจะทำหน้าที่สยบเภทภัยและนำโลกกลับสู่ความสงบสุขอีกครั้ง… นึกว่านี่เป็นคำโฆษณาชวนเชื่อเพื่ออวดอ้างตัวเองของพีชคีปเปอร์ซะอีก… แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่สินะ…”
โอจาเน็นพึมพำกับตัวเองในระหว่างที่สายตายังคงจับจ้องชายหนุ่มในหน้าจออยู่ ส่วนเหล่าแม่ทัพนายกองที่อยู่โดยรอบต่างก็หันมามองแม่ทัพใหญ่เพื่อรอคำสั่ง โดยที่สีหน้าของพวกเขายังไม่คลายความหวาดหวั่นลง
“สั่งให้แม่ทัพนายกองและยอดฝีมือของกองทัพทุกคนออกไปรบด้วยตัวเองซะ พวกทหารระดับล่างน่ะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมันแน่ แต่ก็น่าจะยังพอใช้ดึงความสนใจหรือก่อกวนได้อยู่ บีบวงล้อมเข้าไป โจมตีมันจากทุกด้าน อย่าให้มันเข้ามาใกล้มากกว่านี้ และอย่าให้มันรอดไปจากที่นี่ได้”
สิ้นคำสั่งอันหนักแน่นของโอจาเน็น เหล่าแม่ทัพนายกองก็แยกย้ายกันไปเพื่อถ่ายทอดคำสั่ง และเตรียมออกรบด้วยตนเองในทันที
เสียงกลองศึกของกองทัพราวินคาดังกระหึ่มขึ้น ช่วยเรียกสติของเหล่าทหารที่กำลังขวัญหนีดีฝ่อให้กลับคืนมา และตั้งสมาธิกับศัตรูที่กำลังมุ่งตรงเข้ามาอีกครั้ง
เหล่าพลปืนและพลธนูต่างก็เล็งอาวุธไปยังข้าศึกเพียงหนึ่งเดียวที่กำลังใกล้เข้า เมื่ออีกฝ่ายเข้ามาในระยะยิงแล้ว ทหารทุกคนก็ปลดปล่อยอาวุธสังหารของตนเองเข้าใส่เป้าหมายในทันที ทำให้กระสุนและลูกธนูจำนวนนับไม่ถ้วนสาดโถมไปยังซารามอธ ราวกับห่าฝนสีดำสนิท
ซารามอธสวมเกราะเงินอันมิดชิดของเขาอีกครั้ง แถมคราวนี้ยังนำโล่ขนาดใหญ่พร้อมกับทวนเงินด้ามยาวอีกอันขึ้นมาถือด้วย ทำให้ได้รูปลักษณ์ของอัศวินม้าเหล็กอย่างเต็มรูปแบบ ร่างกายของเขาและม้าศึกที่ขี่อยู่เปล่งแสงสีเงินออกมาวูบหนึ่งก่อนจะมีม่านพลังบาง ๆ ห่อหุ้มไปทั่ว เขาเร่งความเร็วขึ้นและพุ่งฝ่าดงกระสุนเข้าไปยังแนวรับที่เต็มไปด้วยโล่และหอกนั้นโดยไม่มีท่าทีว่าจะหยุดชะงักเลย
ทั้งธนูและกระสุนของเหล่าทหารที่ระดมยิงเข้าใส่ต่างก็แฉลบหรือกระเด้งกระดอนไปคนละทิศคนละทางทันทีที่กระทบเข้ากับชุดเกราะสีเงินอันแวววับนั้นราวกับมันเป็นแค่เมล็ดถั่ว เป็นภาพที่สร้างความตกตะลึงให้กับเหล่าทหารทั้งตั้งแนวรับอยู่มากขึ้นไปอีก เพราะดูเหมือนไม่ว่าอาวุธใด ๆ ก็ไม่สามารถทำอันตรายคนผู้นี้ได้เลย ทำให้ขวัญและกำลังใจของเหล่าทหารยิ่งตกต่ำลงกว่าเดิม
ความจริงแล้วนี่เป็นเวทเสริมพลังของดรากูน ชื่อว่า ‘ไอรอนวิล’ (Iron Will) เวทซึ่งทำให้ร่างกายของม้าศึกและผู้ขับขี่อยู่ในภาวะเกือบจะคงกระพันเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ แม้ทักษะนี้จะมีผลแต่กับการโจมตีทางกายภาพอย่างปืนหรือธนู แต่ซารามอธประเมินแล้วว่าเหล่านักเวทของกองทัพน่าจะยังอยู่ระหว่างการฟื้นตัวจากการสลายพายุลูกใหญ่นั้น ทำให้ไม่น่าจะสามารถใช้เวทโจมตีได้ไประยะหนึ่ง จึงกล้าใช้เวทนี้บุกเข้ามาซึ่ง ๆ หน้า เพราะไม่น่าจะมีใครสามารถโจมตีเขาที่อยู่ในสภาวะ ‘ไอรอนวิล’ ได้นั่นเอง
ซารามอธควบม้าพุ่งเข้าหาแนวรับของเหล่าทหารที่ซ้อนโล่กันจนเป็นกำแพงเหล็กสีดำทมิฬอันดูแข็งแกร่ง แต่ทันทีที่ถูกชน ทั้งคนและโล่ต่างก็กระจัดกระจายกันไปคนละทิศคนละทางราวกับกองไม้ที่ถูกท่อนซุงกระแทก แม้แต่เหล่าทหารม้าขบวนใหญ่ที่กรูกันเข้ามาเพื่อหยุดยั้งการรุกคืบก็ต้องแตกพ่ายไปด้วยสภาพที่ไม่ต่างกัน ทิศทางที่เขาควบม้าตะบึงไปจะเกิดเสียงโลหะถูกบดขยี้ดังขึ้นอย่างน่ากลัว ตามมาด้วยเสียงโหยหวนของเหล่าทหาร พร้อมกับภาพของผู้คนและยุทธ์โธปกรณ์ทั้งหอก, โล่, และม้า ถูกเหวี่ยงสะบัดขึ้นไปบนอากาศ สร้างความพรั่นพรึงให้กับเหล่าทหารจนไม่มีใครกล้าบีบวงล้อมเข้าไปใกล้
หลังจากไล่ย่ำเหล่าทหารราบมาจนใกล้จะถึงใจกลางของกองทัพ ผลของเวท ‘ไอรอนวิล’ ก็หมดลง และในวินาทีนั้นเอง ก็มีหอกเหล็กขนาดใหญ่หลายอันถูกซัดมาทางเขาอย่างต่อเนื่อง
ซารามอธบังคับม้าให้เบี่ยงตัวหลบจากหอกแต่ละอันได้อย่างฉิวเฉียด แต่เพราะหอกที่ถูกซัดเข้ามาจากรอบทิศทางนั้นมีเป็นจำนวนมาก และหอกที่พลาดเป้าไปก็ยังปักระเกะระกะลงบนพื้นดินโดยรอบ ทำให้ในที่สุด ม้าของเขาก็ย่ำไปสะดุดกับหอกอันหนึ่งเข้าจนเริ่มเสียหลัก
ระหว่างที่ม้าศึกของเขากำลังโซเซอยู่ ก็มีอัศวินร่างกายใหญ่โตในชุดเกราะอันมิดชิดกระโดดเงื้อขวานอันเขื่องโถมเข้ามา ซารามอธคิดจะแทงทวนในมือสวนกลับไปเพื่อสกัดกั้น แต่ก็มีอัศวินในชุดเกราะเหล็กอีกสองคนพุ่งโฉบเข้ามาตวัดง้าวเป็นแนวราบเข้าใส่จากทั้งซ้ายขวา ทำให้เขาได้แต่ไถลตัวลงจากหลังม้าเพื่อหลบการโจมตี
แม้ตัวเขาเองจะหลบการโจมตีได้ แต่ม้าศึกคู่ใจก็ถูกขวานอันใหญ่ของอัศวินร่างยักษ์ผู้นั้นสับจนขาดเป็นสองท่อน ทำให้มันสลายร่างกลายเป็นละอองแสงไป เมื่อยันตัวขึ้นมาได้ซารามอธก็พบว่าตอนนี้รอบตัวของเขาได้รายล้อมไปด้วยอัศวินในชุดเกราะเหล็กซึ่งสวมผ้าคลุมเนื้อหนาสีแดงฉานล้อมอยู่รอบทิศ อัศวินเหล่านี้ใช้อาวุธที่แตกต่างกันไป ทั้งดาบใหญ่, ดาบโล่, หอก, ง้าว, และ ขวาน เท่าที่เห็นอยู่นี้ก็มีจำนวนไม่ต่ำกว่ายี่สิบคน แต่จำนวนที่แท้จริงนั้นไม่อาจทราบได้
คนเหล่านี้คือแม่ทัพนายกองของกองทัพแดนตะวันตกแห่งราวินคา บนชุดเกราะของทุกคนจะประดับลวดลายรูปเสือ เป็นสัญลักษณ์เฉพาะตัวของทหารในสังกัดของแม่ทัพโอจาเน็น ซึ่งจากจิตต่อสู้ที่แผ่ออกมา บวกกับท่วงท่าการโจมตีประสานเมื่อก่อนหน้านี้ ก็ทำให้ซารามอธรู้ว่า คนพวกนี้มีฝีมือไม่ด้อยไปกว่าพวกนักผจญภัยระดับสูงเลย
เขารู้ว่าหากถูกตรึงอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่งเป็นเวลานาน สถานการณ์จะยิ่งเลวร้ายลง เพราะพวกแม่ทัพนายกองจากส่วนอื่น ๆ จะเข้ามาสมทบได้ ซารามอธจึงตัดสินใจตีฝ่าวงล้อมออกไปในทันที และเพราะเห็นว่าโดยรอบมีแต่อัศวินซึ่งใช้อาวุธระยะประชิด เขาจึงเปลี่ยนชุดอีกครั้ง โดยเก็บชุดเกราะอันหนาหนักของดรากูนพร้อมกับทวนและโล่สำหรับใช้บนหลังม้าเข้าไปในช่องมิติเก็บของ คงเหลือเพียงชุดสูทและผ้าคลุมประจำองค์กรของพีชคีปเปอร์เอาไว้เท่านั้น และนำดาบเล่มใหญ่ที่มีความยาวเกือบสองเมตรออกมา
เหล่าอัศวินที่รายล้อมอยู่ไม่รอให้ฝ่ายตรงข้ามมีเวลาเตียมตัวไปมากกว่านี้ พวกเขากระโจนเข้าใส่ศัตรูตรงหน้าพร้อมกับเงื้ออาวุธในมือขึ้นเพื่อโจมตีอย่างสุดแรง แต่ซารามอธก็จับดาบด้วยสองมืออย่างมั่นคงก่อนจะหมุนตัวเหวี่ยงดาบเป็นวงกลมอย่างต่อเนื่องด้วยความเร็วสูงราวกับลูกข่าง ทำให้เหล่าอัศวินที่พุ่งเข้ามาโจมตีนั้นถูกคมดาบฟันเข้าจนต้องกระเด็นกลับไป เกราะเหล็กกล้าที่พวกเขาสวมใส่อยู่นั้นดูจะไม่ช่วยในการป้องกันอะไรเลย เพราะทันทีที่สัมผัสกับคมดาบเล่มใหญ่นั้น มันก็ถูกเฉือนออกราวกับหยวกกล้วย แขนขาและอวัยวะของเหล่าอัศวินที่พุ่งเข้าไปโจมตีในระลอกแรกจึงปลิวกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ
นี่คือท่า ‘เวิลวินด์’ (Whirlwind) ท่าโจมตีของซอร์ดมาสเตอร์ หนึ่งในคลาสถนัดของซารามอธ ซึ่งจะใช้การเหวี่ยงอาวุธหนักเช่นขวานหรือดาบขนาดใหญ่ ผสานเข้ากับการเสริมพลังและเร่งความเร็ว ในการหมุนตัวโจมตีอย่างต่อเนื่อง เป็นท่าที่มีพลังทำลายมหาศาลและยังใช้ป้องกันการโจมตีจากรอบทิศได้ในเวลาเดียวกันด้วย
เขาเคลื่อนที่ฝ่าวงล้อมออกไปด้วยท่าเวิลวินด์ ซึ่งด้วยพลังทำลายของมันทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าไปขวางพายุมรณะลูกนี้ แม้แต่เหล่าทหารที่ตั้งแนวรับอยู่เมื่อเห็นภาพอันน่าสยดสยองเมื่อสักครู่ก็ต่างพากันแตกฮือเพื่อเอาชีวิตรอด แต่เหล่าแม่ทัพนายกองในชุดเกราะเหล็กก็ยังคงวิ่งตามเขาไปไม่ห่าง เพราะรู้ว่ากระบวนท่านี้ไม่สามารถใช้งานต่อเนื่องเป็นเวลานานได้ พวกเขาเพียงต้องรอให้อีกฝ่ายหมุนตัวไปจนถึงขีดจำกัดเท่านั้น และนั่นก็จะเป็นโอกาสให้ทำการโจมตี
ก่อนที่จะถึงขีดจำกัดของการใช้ท่า ซารามอธก็เปลี่ยนวิถีดาบไปเป็นแนวตั้ง ทำให้แรงเหวี่ยงนั้นส่งตัวเขาหมุนเคว้งขึ้นไปบนอากาศโดยที่ความเร็วไม่ลดลง เขาผนึกกำลังเข้ากับดาบอีกครั้งจนทำให้คมดาบเปล่งออร่าสีแดงราวกับเปลวเพลิงออกมา กงจักรมรณะที่กำลังหมุนอยู่กลางอากาศในขณะนี้จึงมีสภาพเหมือนกับเป็นกงล้อไฟที่ยังหมุนวนอย่างบ้าคลั่ง
เขาใช้แรงเหวี่ยงจากการหมุนรอบสุดท้ายตวัดดาบลง ทำให้กงล้อเพลิงนั้นพุ่งกลับลงมายังพื้นดินอย่างรวดเร็ว และก่อนที่จะถึงพื้นเพียงเสี้ยววินาที ซารามอธก็อาศัยจังหวะนั้นฟาดดาบอย่างสุดแรงลงไปบนพื้น ด้วยแรงเหวี่ยงของการหมุนบวกกับการอัดพลังอย่างเต็มที่ของเขา ทำให้เกิดการระเบิดอย่างรุนแรง เหล่าแม่ทัพนายกองที่ห้อมล้อมเขาอยู่จึงต้องยืนปักหลักให้มั่นเพื่อไม่ให้ถูกแรงปะทะจากการระเบิดผลักกระเด็นออกไป แต่เพราะฝุ่นควันอันหนาทึบจากการระเบิด ก็ทำให้ทุกคนไม่กล้าเข้าไปโจมตี เพราะยังไม่สามารถมองเห็นเป้าหมายได้อย่างชัดเจน แถมยังอาจโจมตีโดนพวกเดียวกันเองได้
ยังไม่ทันที่ฝุ่นควันจะจางลงไป ก็มีหอกแสงสีขาวอันสว่างเจิดจ้าแหวกม่านควันพุ่งขึ้นไปบนฟ้า จนไปแทงทะลุเครื่องยนต์ขับเคลื่อนด้านขวาหน้าของเรือธงแห่งกองทัพแดนตะวันตกที่แม่ทัพโอจาเน็นโดยสารอยู่ ทำให้เกิดการระเบิดอย่างรุนแรง
เหล่าแม่ทัพนายกองในชุดเกราะอัศวินต่างก็ตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พวกเขามองกลับลงมายังม่านควันอีกครั้ง ซึ่งตอนนี้กลุ่มควันได้เริ่มจางลงแล้ว เผยให้เห็นซารามอธซึ่งกำลังถือคันธนูขนาดใหญ่ที่มีความยาวเกือบสองเมตรเล็งขึ้นไปบนฟ้า ในมือขวาของเขามีลูกศรที่อาบจิตต่อสู้จนเปล่งแสงสีขาวเจิดจ้าออกมา เพียงพริบตาที่เหล่าแม่ทัพนายกองกำลังสับสนอยู่ แสงสีขาวนั้นก็แผ่ปกคลุมทั้งคันธนูและสายของมันจนกลายเป็นคันธนูแห่งแสง ดูเหมือนกับเป็นอาวุธของเหล่าทูตสวรรค์ที่ใช้ในการประหัตประหารกับเหล่าปิศาจมากกว่าจะเป็นเครื่องมือของมนุษย์
ความจริงมันคือท่า ‘โฮลี่แอโรว’ (Holy Arrow) ท่าโจมตีระดับสูงของ ‘โบวมาสเตอร์’ คลาสสายธนูที่ซารามอธเคยฝึกฝนจนช่ำชอง แม้ตัวเขาจะชอบการใช้ดาบมากกว่า แต่เขาคิดว่าการมีท่าโจมตีระยะไกลเอาไว้สำหรับต่อกรกับศัตรูด้วยก็เป็นความคิดที่ไม่เลว การใช้ธนูจึงเป็นทางเลือกแรก ๆ ที่เขาคิดศึกษา ก่อนจะสำเร็จขั้นมาสเตอร์และหันไปเรียนคลาสสายเวทมนตร์ต่อ
ที่เขาพยายามตะลุยฝ่าเข้ามาจนถึงใจกลางกองทัพ ก็เพื่อให้เข้ามาอยู่ในระยะที่สามารถโจมตีเรือธงของแม่ทัพโอจาเน็นได้ เพราะเรือเหาะนั้นลอยอยู่สูง การโจมตีจากระยะไกลมาก ๆ จะทำให้มีประสิทธิภาพลดลง ที่สำคัญคืออาจถูกสกัดก่อนที่การโจมตีจะเข้าถึงเป้าหมายได้ เขาจึงจำเป็นต้องฝ่ากองทหารทั้งหมดนี้เข้ามาให้ถึงบริเวณด้านใต้ท้องเรือ เพื่อให้การโจมตีมีประสิทธิภาพสูงสุด
ส่วนที่เลือกใช้ธนูแทนที่จะเป็นเวทมนตร์นั้นก็เพราะการจะสอยเรือเหาะขนาดใหญ่ซึ่งมีเครื่องยนต์ขับเคลื่อนถึงสี่ตัวได้นั้นจำเป็นจะต้องทำลายเครื่องยนต์ฟากใดฟากหนึ่งทั้งสองเครื่องทิ้งไป ซึ่งเวทมนตร์ที่มีความรุนแรงพอที่จะทำเช่นนั้นได้ต้องอาศัยการรวบรวมพลังเวทและการบริกรรมคาถาระยะหนึ่ง ทำให้การใช้เวทมนตร์แบบนั้นสองครั้งซ้อนเป็นเรื่องที่ทำได้ลำบาก โดยเฉพาะในภาวะที่ถูกศัตรูรายล้อมอยู่แบบนี้ ที่สำคัญคือการโจมตีด้วยเวทมนตร์ต่อเป้าหมายที่อยู่ไกลนั้นคาดหวังผลได้ยาก เพราะการโจมตีอาจพลาดเป้า หรือมีพลังทำลายไม่เพียงพอที่จะสร้างความเสียหายให้กับเครื่องยนต์ซึ่งห่อหุ้มแผ่นเกราะเหล็กกล้าที่หนายิ่งกว่าท้องเรือได้
แต่หากเป็นท่าโจมตีของธนู จะใช้เวลาในการรวบรวมพลังที่สั้นกว่า และโจมตีต่อเนื่องได้เร็วกว่า อีกทั้งความแม่นยำและพลังทำลายก็ยังสูงด้วย แม้ลูกศรแสงของโฮลี่แอโรวจะมีพลังโจมตีแค่เฉพาะจุด ไม่มีพลังทำลายเป็นวงกว้างเหมือนเวทโจมตี แต่แค่สามารถเจาะทะลุและทำลายใบพัดของเครื่องยนต์ขับเคลื่อนได้ก็นับว่าเพียงพอแล้ว
แม้จะตะลึงงันไปชั่วขณะ แต่เหล่าแม่ทัพนายกองของโอจาเน็นก็เข้าใจสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว ทุกคนพุ่งตัวเข้ามาเพื่อที่จะยับยั้งฝ่ายตรงข้ามอย่างสุดกำลัง บางคนก็ซัดอาวุธในมือเข้าใส่เพื่อให้เขาต้องหลบ แต่ซารามอธก็รวบรวมพลังมาจนถึงระดับที่ใช้โจมตีได้แล้ว เขาปลดปล่อยสายธนูออกจากมือ ทำให้ลูกศรแสงพุ่งตรงขึ้นไปยังเครื่องขับเคลื่อนส่วนท้ายของเรือเหาะ ราวกับดาวตกที่พุ่งย้อนทางขึ้นมาจากบนพื้นดิน
ลูกศรแสงนั้นเจาะทะลุเครื่องยนต์ขับเคลื่อนด้านขวาหลังของเรือเหาะจนเกิดการระเบิดอย่างรุนแรงเพราะใบพัดที่ถูกทำลายได้สะบัดตัวกรีดลึกเข้าไปในเครื่องยนต์ เรือเหาะที่ลอยอยู่บนฟ้าจึงเสียการทรงตัวและค่อย ๆ เอียงลดระดับลงมาทีละน้อย ทหารนับแสนที่เฝ้ามองเหตุการณ์อยู่นั้น ต่างก็ตกอยู่ในความตะลึง เพราะเรือธงของแม่ทัพใหญ่ถูกโจมตีจนกำลังจะร่วงหล่นลงจากฟากฟ้า
ทางด้านซารามอธ แม้จะสามารถทำลายเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเครื่องที่สองได้ตามที่ตั้งใจเอาไว้ แต่เพราะฝืนใช้เวลาจนวินาทีสุดท้ายทำให้ถูกคมอาวุธที่เหล่าแม่ทัพนายกองซัดออกมาแฉลบโดนไปเล็กน้อย แต่อาการบาดเจ็บก็ยังไม่หนักหนานักเพราะเขายังเบี่ยงตัวลดความเสียหายได้ทัน ซึ่งซารามอธก็เก็บคันธนูเข้าช่องมิติไปในทันที ก่อนจะนำชุดเกราะออกมาสวมอีกครั้ง
คราวนี้ชุดที่เขานำขึ้นมาสวมเป็นชุดเกราะหนักของครูเซเดอร์ ซึ่งมีอาวุธประจำกายเป็นดาบกับโล่ขนาดใหญ่ แม้เกราะของครูเซเดอร์จะบางกว่าเกราะของดรากูน แต่ความสามารถในการป้องกันก็ยังไม่ด้อยไปกว่ากันนัก ที่สำคัญคือมันมีความเบาและคล่องตัว ทำให้ผู้สวมใส่เคลื่อนไหวได้สะดวกกว่า เป็นเกราะที่เหมาะกับการต่อสู้ระยะประชิด
เขากวัดแกว่งดาบเข้าปัดป้องการโจมตีของเหล่านายกองที่โถมเข้ามาในทันที แม้ในชุดเกราะนี้เขาจะดูเทอะทะไม่ต่างไปจากฝ่ายตรงข้ามที่รายล้อมอยู่สักเท่าไหร่ แต่การเคลื่อนไหวของเขาก็ยังรวดเร็วและว่องไวกว่ามาก ถึงศัตรูจะมีจำนวนมากกว่า และโจมตีมาจากรอบทิศ แต่เขาก็ยังหลบหลีก ปัดป้อง และโจมตีสวนกลับไปจนเหล่านายกองค่อย ๆ ล้มลงกับพื้นทีละคน
การโจมตีของเหล่าแม่ทัพนายกองนั้นทั้งน่าครั่นคร้ามและรุนแรง อาวุธของพวกเขาถูกห่อหุ้มด้วยจิตต่อสู้อันเข้มข้นจนเปล่งออร่าราวกับเปลวเพลิงออกมา คมดาบเหล่านั้นสามารถตัดเฉือนเนื้อหินได้ราวกับกระดาษ ขวานที่สับลงกับพื้นก็ทำให้เกิดแผ่นดินแยกเป็นแนวยาวราวหุบเหวลึก แต่ซารามอธกลับตอบโต้ด้วยท่วงท่าอันเรียบง่ายและเฉียบคม เขาแทงดาบเข้าใส่ช่องว่างระหว่างเกราะของเหล่าอัศวินได้อย่างแม่นยำ ทำให้ไม่จำเป็นต้องโหมใช้พลังหรือท่าโจมตีอันรุนแรงเพื่อสะบั้นชุดเกราะเหล่านั้นเลย
นี่คือทักษะที่เขาได้มาจากการเป็นเฟนเซอร์ คลาสที่เชี่ยวชาญการใช้กระบี่และการต่อสู้แบบตัวต่อตัว ซึ่งมุ่งเน้นไปที่กระบวนท่าและเทคนิกมากกว่าการใช้กำลัง เมื่อผสานความเชี่ยวชาญนี้เข้ากับความสามารถในด้านอื่น ๆ แล้ว ในโลกนี้จึงมีคนเพียงไม่กี่คนที่สามารถเอาชนะเขาในเชิงดาบได้
หลังจากถูกสังหารไปนับสิบคน เหล่าแม่ทัพนายกองในชุดเกราะอัศวินที่รายล้อมอยู่ก็เริ่มลังเลที่จะเข้าต่อกรกับฝ่ายตรงข้าม เพราะดูอย่างไรผู้ที่อยู่ตรงหน้านี้ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่พวกเขาสามารถเอาชนะได้เลย ความจริงกำลังใจของพวกเขาได้เหือดหายไปจนแทบไม่เหลือตั้งแต่ตอนที่เรือธงของแม่ทัพถูกสอยลงมาจากฟ้าแล้ว แม้ตอนนี้มันจะยังตกลงมาไม่ถึงพื้นดิน แต่ภาพของเรือเหาะที่เอียงกะเท่เร่และมีไฟลุกท่วมซึ่งกำลังลอยลงมาบนพื้นอย่างช้า ๆ นั้นกลับทำลายขวัญและกำลังใจของทุกคนมากยิ่งกว่า
เหล่าแม่ทัพนายกองต่างก็หยุดนิ่งอยู่กับที่ เกียรติและศักดิ์ศรีในความเป็นทหารทำให้พวกเขาไม่สามารถถอยหนีศัตรูที่มีเพียงคนเดียวนี้ได้ แต่สามัญสำนึกก็กรีดร้องอย่างรุนแรงว่าหากฝืนสู้ต่อไปก็มีแต่ตาย ความขัดแย้งในจิตใจนี้ทำให้ทุกคนยืนนิ่งราวกับรูปปั้นเพราะไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไปดี
ในระหว่างนั้นเอง ก็มีเงาร่างของคนผู้หนึ่งซึ่งมีร่างกายอันใหญ่โตกำยำพุ่งเข้าโจมตีซารามอธอย่างรวดเร็ว ทำให้เขาต้องตั้งดาบและโล่ขึ้นมารับการโจมตีนั้น แต่ก็ยังถูกผลักจนถอยครูดกับพื้นไปอีกหลายเมตร
เมื่อเงยหน้ากลับขึ้นมามอง สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาของเขาก็คือนักรบรูปร่างสูงใหญ่กำยำที่มีรูปลักษณ์เป็นเสือโคร่ง หรืออาจพูดว่าเป็นมนุษย์เสือโคร่งในชุดเกราะนักรบก็ได้ ตามร่างกายของเขามีเปลวควันจากการเผาไหม้คุกรุ่นอยู่เล็กน้อย ราวกับเพิ่งจะวิ่งฝ่ากองเพลิงมา ดวงตาอันแดงก่ำของสัตว์ร้ายนั้นจ้องมองมายังซารามอธด้วยความโกรธเกรี้ยวจนสุดจะบรรยาย มันเป็นแววตาที่สื่อความหมายออกมาอย่างชัดเจนว่าต้องการจะฉีกชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านี้เป็นชิ้น ๆ
———————————————————————————————-
Part 5
ที่บริเวณพื้นราบซึ่งไม่ห่างออกไปจากจุดปะทะนัก เรือธงของราวินคาที่ไฟลุกท่วมก็ลอยลงมากระแทกกับพื้นดินจนเกิดเสียงโลหะเบียดกันดังสนั่นไปทั่วบริเวณ ตามมาด้วยการระเบิดอีกหลายครั้งจนเกิดลูกไฟดวงใหญ่พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ตอนนี้เรือรบหลวงอันเกรียงไกรของอาณาจักรราวินคาได้กลายเป็นกองซากเหล็กอยู่ท่ามกลางทะเลเพลิง ณ เขตขายแดนของอลาเรียนั่นเอง
“ให้รอตั้งนานแน่ะครับ คุณโอจาเน็น… คิดว่าโดดลงจากเรือเหาะไม่ทันซะอีก กำลังนึกเป็นห่วงอยู่เลย”
ซารามอธเอ่ยคำพูดกับผู้มาเยือนด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ สบายๆ ทำให้อีกฝ่ายแยกเขี้ยวออกมาด้วยอารมณ์ที่พุ่งพล่านกว่าเดิม เส้นขนสีเหลืองพาดลายสีดำที่ปกคลุมอยู่ตลอดทั้งใบหน้าและร่างกายนั้นลุกชันขึ้นด้วยโทสะ จนทำให้ร่างกายของคนผู้นี้ดูใหญ่ขึ้นไปอีก
ผู้มาเยือนที่มีรูปลักษณ์เป็นมนุษย์เสือโคร่งคนนี้ก็คือแม่ทัพโอจาเน็นนั่นเอง ชาวราวินคาจำนวนไม่น้อยจะมีเชื้อสายของเผ่าเวอร์บีส (Werebeast) ทำให้สามารถกลายร่างเป็นกึ่งสัตว์ได้ ในโดมินาเรียมีสองอาณาจักรที่มีเผ่าเวอร์บีสอยู่อย่างหนาแน่น คืออินิสตร้าและราวินคา แต่สองอาณาจักรนี้จะต่างกันตรงที่เวอร์บีสในอินิสตร้าส่วนใหญ่จะเป็นพวกไลเคน หรือก็คือพวกมนุษย์หมาป่า ส่วนเวอร์บีสในราวินคาส่วนใหญ่จะเป็นพวกเฟลีน หรือก็คือมนุษย์สายพันธุ์แมว ซึ่งมีตั้งแต่แมวป่า, เสือ, ไปจนถึงสิงโต
สำหรับแม่ทัพโอจาเน็นผู้นี้เป็นเวอร์บีสสายเฟลีนเผ่าเสือโคร่ง ทำให้สามารถกลายร่างเป็นมนุษย์เสือโคร่งได้ จัดเป็นเผ่าพันธุ์หายากที่มีความโดดเด่นทั้งด้านพละกำลังและความเร็ว และนั่นก็คือสาเหตุที่ทำให้เขาได้ขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่แห่งทัพตะวันตกของราวินคาด้วย
โอจาเน็นที่ได้ยินคำพูดยั่วยุของซารามอธก็เกิดโทสะพลุ่งพล่านขึ้นในทีแรก แต่เพราะความที่เป็นแม่ทัพมากประสบการณ์จึงรู้ตัวว่าในสถานการณ์แบบนี้ควรรักษาความเยือกเย็นเอาไว้ อีกทั้งฝ่ายตรงข้ามยังเป็นคู่ต่อสู้ที่ประมาทไม่ได้ด้วย เขาจึงกล้ำกลืนโทสะ ก่อนจะเอ่ยคำพูดกับชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าด้วยน้ำเสียงอันแหบแห้งและน่าขนลุก
“นี่คือการทำงานในรูปแบบใหม่ของพีชคีปเปอร์สินะ? สร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นด้วยกำลังงั้นรึ? หึหึหึหึ ในโลกคงไม่มีอะไรน่าหัวเราะไปกว่านี้อีกแล้วล่ะ… ไม่สิ พวกแกก็ทำแบบนี้มาโดยตลอดอยู่แล้วนี่นะ แค่ปกติจะลงมือกับพวกปลาซิวปลาสร้อยที่ไม่มีทางสู้เท่านั้นเอง ก็ถือว่าแกพยายามได้ดีทีเดียว แต่ว่าน่าเสียดายที่…”
ยังไม่ทันที่พูดจบ ปลายดาบของซารามอธก็พุ่งเข้าแทงที่คอหอยของโอจาเน็นอย่างรวดเร็ว โดยที่อีกฝ่ายยังไม่ทันได้ขยับไปไหนเลย
เขาตัดสินใจลงมือเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายยังบาดเจ็บอยู่และอาจต้องการซื้อเวลาเพื่อพักฟื้น นี่ไม่ใช่การดวลแบบตัวต่อตัว แต่เป็นการต่อสู้กับคนเกือบสองแสนคน ทำให้ไม่ใช่เวลาที่จะมาใส่ใจเรื่องหยุมหยิมอย่างการโจมตีทีเผลอ เพราะเรื่องนี้มีชะตากรรมของโลกเป็นเดิมพันด้วย
ทว่าปลายดาบนั้นกลับหยุดอยู่แค่ผิวนอกโดยไม่ได้แทงลึกเข้าไป แม้จะมีหยาดเลือดไหลออกมาจากจุดที่โดนแทงเล็กน้อย แต่ตามปกติหากถูกแทงในลักษณะนี้ คมดาบคงจะทะลุลำคอไปเรียบร้อยแล้ว
ไม่ทันที่จะดึงดาบออก โอจาเน็นก็โถมตัวเข้าใส่และใช้ลำคอนั้นดันดาบของซารามอธกลับมาด้วย ทำให้เขาต้องกระโดดถอยหลังเพื่อฉากหลบออกมา เป็นเวลาเดียวกับที่แม่ทัพพยัคฆ์โจมตีเข้าใส่ซารามอธด้วยอาวุธคู่กายของเขา เกราะแขนของโอจาเน็นแต่ละข้างมีใบมีดเหล็กกล้าสามอันติดอยู่ ทำให้รูปทรงของมันดูเหมือนกับกรงเล็บ เป็นอาวุธที่เหมาะกับรูปลักษณ์ดุจพยัคฆ์ของเขาอย่างยิ่ง
เขาฟาดกรงเล็บทั้งสองเข้าใส่ร่างของซารามอธที่กำลังเสียหลักอย่างรวดเร็ว ทำให้ซารามอธต้องยกโล่ขึ้นมาบังเอาไว้ แต่โล่ของเขาก็ถูกกรงเล็บอันหนักหน่วงและคมกริบนั้นฟาดจนฉีกออกเป็นริ้ว ๆ ในพริบตา แถมชุดเกราะบริเวณอกของเขายังถูกบาดจนแหว่งเป็นรอยเล็บลึกลงไป หากยกโล่ขึ้นมากันไม่ทัน กรงเล็บนี้คงจิกเข้าถึงเนื้อหนังของเขาที่อยู่ใต้ชุดเกราะไปแล้ว
‘จิตต่อสู้ที่คลุมกายอยู่มีความแข็งแกร่งมากทีเดียว แถมร่างเวอร์บีสนี่ยังมีพละกำลังเหนือมนุษย์อีกด้วย แบบนี้การโจมตีทั่วไปคงไม่มีผลแน่…’
ซารามอธครุ่นคิดในระหว่างถอยออกมาตั้งหลัก เขาประเมินแล้วว่าหากไม่ใช่ท่าโจมตีระดับสูงของซอร์ดมาสเตอร์คงยากจะเจาะม่านจิตคุ้มกันของอีกฝ่ายไปได้ จึงถอดชุดเกราะของครูเซเดอร์ออก และนำดาบเล่มใหญ่ออกมาอีกครั้ง
โอจาเน็นพุ่งตัวเข้าโจมตีอย่างต่อเนื่องด้วยกรงเล็บคู่ที่ตะปบลงอย่างหนักหน่วงและรวดเร็วจนมองเห็นแขนทั้งสองข้างของเขาเป็นแค่ภาพเบลอ ซารามอธได้แต่หลบหลีกและปัดป้องโดยไม่มีโอกาสสวนกลับ เพราะอีกฝ่ายสามารถเคลื่อนไหวได้รวดเร็วมากทั้งที่มีร่างกายอันใหญ่โตจนดูเทอะทะ แถมยังเข้ามาโจมตีในระยะประชิดแบบกัดไม่ปล่อยจนซารามอธซึ่งใช้ดาบเล่มใหญ่เป็นอาวุธแทบไม่มีโอกาสเหวี่ยงดาบเต็มวงสวิงได้เลยสักครั้ง
แม้เขาจะพยายามจะเร่งฝีเท้าเพื่อทิ้งระยะห่างออกจากฝ่ายตรงข้าม จะได้มีเวลารวบรวมพลังและโจมตีได้อย่างถนัดมือ แต่ก็ไม่สามารถสลัดการติดตามได้ เพราะพละกำลังที่เหนือมนุษย์ของสายเลือดสัตว์ป่าทำให้ขีดความสามารถทางร่างกายของโอจาเน็นเหนือกว่าเขาอย่างชัดเจน เพียงเร่งฝีเท้านิดเดียว โอจาเน็นก็สามารถร่นระยะเข้ามาจนประชิดตัวเขาได้อีกครั้งอย่างง่ายดาย ซารามอธจึงคิดว่าต้องหาวิธีอื่นในการสลัดการติดตามนี้
ในระหว่างที่ปัดป้องการโจมตีพลางหลบหลีกอยู่นั้น ในที่สุดเขาก็นึกวิธีขึ้นได้ จึงทำการสู้พลางหนีพลางและตีวงอ้อมเป็นวงกลมจนเกือบจะกลับมาที่เก่า ทำให้โอจาเน็นแสยะยิ้มเพราะคิดว่าอีกฝ่ายเริ่มจนแต้มแล้ว
“เป็นอะไรไป? หมดทางหนีแล้วงั้นเรอะ? ดูซิว่าจะวิ่งต่อไปได้อีกสักกี่น้ำ!”
เมื่อวนกลับมาจนถึงจุดเดิม ซารามอธก็เก็บดาบและนำชุดเกราะของครูเซเดอร์ขึ้นมาสวมอีกครั้งก่อนจะถีบเท้าส่งตัวกระโดดหงายหลังข้ามพื้นที่อยู่ตรงหน้าไป พฤติกรรมอันผิดสังเกตนี้ทำให้โอจาเน็นต้องรีบยั้งเท้าเพราะท่วงท่าของอีกฝ่ายนั้นแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพยายามจะหลบเลี่ยงอะไรบางอย่างที่อยู่บนพื้น แต่เพราะเขาติดตามอีกฝ่ายมาอย่างกระชั้นชิดเกินไปทำให้กว่าจะรู้ตัวก็สายเกินไปแล้ว
เท้าของโอจาเน็นเหยียบลงบนวงเวทซึ่งอำพรางตัวอยู่บนพื้นอย่างแนบเนียน ทันทีที่เขาเหลือบตาลงไปมอง วงเวทนั้นก็ส่องแสงวาบขึ้นมาก่อนจะระเบิดออกเป็นลูกไฟใหญ่ในทันที บริเวณนั้นเกิดการระเบิดอย่างต่อเนื่องเป็นลูกโซ่เพราะยังมีวงเวทอีกหลายวงถูกวางเอาไว้ใกล้ ๆ กันด้วย แรงระเบิดได้ผลักร่างของโอจาเน็นจนกระเด็นถอยหลังไปหลายเมตร แต่เขาก็ยังหยั่งเท้าลงมายืนบนพื้นได้อย่างมั่นคง โดยไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากนัก แม้บริเวณข้อเท้าที่เหยียบลงไปบนวงเวทจะมีร่องรอยถูกเผาไหม้อย่างชัดเจนก็ตาม
ทางด้านซารามอธซึ่งอยู่ใกล้กับการระเบิดพอสมควรก็ถูกแรงระเบิดส่งตัวจนลอยกระเด็นออกไปไกลเช่นกัน แต่นี่เป็นความตั้งใจของเขาอยู่แล้ว วงเวทบนพื้นคือ ‘เอ็กโพลซีฟแทรป’ (Explosive Trap) เวทสายกับดักของพวกนักธนู ซึ่งเขาได้มาตั้งแต่ตอนยังเป็นฮันเตอร์ คลาสระดับที่สองก่อนจะเป็นโบวมาสเตอร์
เขาแอบวางวงเวทเหล่านี้ไว้ในระหว่างต่อสู้ และจงใจวิ่งวนกลับมาที่เดิมเพื่อใช้มันเป็นตัวช่วยในการผละตัวออกจากการพัวพันของโอจาเน็น ซึ่งด้วยท่วงท่าของเขาที่หงายแผ่นหลังลงพื้นก็ทำให้แรงระเบิดช่วยส่งร่างของเขาออกไปไกลนับสิบเมตร โดยที่ชุดเกราะของครูเซเดอร์ช่วยรับแรงระเบิดส่วนใหญ่ไปทำให้เขาไม่ได้รับบาดเจ็บมากนัก เขาพลิกตัวและหยั่งเท้าลงกับพื้น ก่อนจะถอดชุดเกราะออกและนำไม้เท้าเวทมนตร์ออกมาชูขึ้นฟ้า จากนั้นก็เริ่มรวมรวมพลังเวทเพื่อเตรียมร่ายเวทโจมตี
เมื่อเห็นเช่นนั้น โอจาเน็นก็รีบพุ่งตัวสุดฝีเท้าเพื่อเข้าไปโจมตีอีกครั้ง เขามั่นใจว่าเวทที่รวบรวมพลังแค่ในระยะเวลาสั้น ๆ ไม่มีทางสร้างอาการบาดเจ็บอย่างรุนแรงให้กับตนได้ และหากเข้าไปใกล้ได้เร็วพอ อีกฝ่ายที่อยู่ในสภาพตัวเปล่าก็มีแต่ต้องยกเลิกการร่ายเวทเพื่อหลบการโจมตีเท่านั้น
เพียงชั่ววินาที แม่ทัพพยัคฆ์ก็พุ่งตัวมาจนถึงเบื้องหน้าของซารามอธและย่อแขนเข้าข้างตัวเพื่อเตรียมทิ่มแทงเข้าใส่ฝ่ายตรงข้าม แต่ซารามอธก็ยังไม่มีท่าทีจะขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย ไม่มีแม้แต่การพยายามปลดปล่อยเวทมนตร์ที่ร่ายอยู่ออกมา ทำให้โอจาเน็นรู้สึกผิดสังเกตอยู่บ้าง แต่นั่นอาจเพราะอีกฝ่ายมั่นใจในการโจมตีแลกกันครั้งนี้ หรืออาจมีลูกเล่นซ่อนอยู่อีก ทว่าแม่ทัพใหญ่แห่งราวินคาก็มั่นใจในพลังของตนเองเช่นกัน จึงพุ่งตรงเข้าไปโจมตีเข้าใส่อีกฝ่ายโดยไม่ลังเล การกระโจนครั้งสุดท้ายนั้นทำให้ร่างของเขาหายไปจากสายตาของทุกคน รวมทั้งซารามอธด้วย
โอจาเน็นโถมร่างเข้าตะปบกรงเล็บใส่เป้าหมายอย่างสุดกำลัง แต่สิ่งที่กรงเล็บคู่นั้นจิกทะลวงลงไปกลับเป็นโล่และเกราะอันหนาเตอะของดรากูน แม้เกราะแต่ละชั้นจะมีความหนากว่าหนึ่งนิ้ว แต่ทั้งโล่และชุดเกราะต่างก็ถูกกรงเล็บคู่นั้นฉีกกระชากจนกลายเป็นเศษเหล็ก นับเป็นพลังทำลายอันน่ากลัวทีเดียว แต่กลับไม่มีใครอยู่ภายในเกราะนั้น ทำให้โอจาเน็นต้องขมวดคิ้วด้วยความตกตะลึง
นั่นเพราะพริบตาที่โอจาเน็นพุ่งตัวครั้งสุดท้าย ซารามอธก็นำโล่และชุดเกราะของดรากูนออกมาจากช่องมิติเก็บของเพื่อใช้กำบังการโจมตี เขาอ่านทิศทางการโจมตีจากท่วงท่าของอีกฝ่ายและจุดที่เหยียบเท้าเป็นครั้งสุดท้าย จึงนำชุดเกราะออกมาบังได้อย่างถูกตำแหน่ง ความเร็วของโอจาเน็นกลับกลายเป็นดาบสองคมเพราะชั่วพริบตาที่เขาเร่งความเร็วเข้าโจมตีนั้น ภาพที่เขามองเห็นก็จะเลือนลางไปด้วยเพราะสายตายังปรับตัวกับความเร็วไม่ทัน จึงมองไม่เห็นว่าอีกฝ่ายนำชุดเกราะกับโล่ออกมากำบัง แต่ถึงจะมองเห็น ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในเวลาเพียงเสี้ยววินาทีนี้ก็ยังเป็นสิ่งที่ยากจะรับมือได้
ในระหว่างที่โอจาเน็นยังคงตะลึงงันกับการโจมตีที่พลาดเป้า ซารามอธที่หลบอยู่หลังชุดเกราะนั้นก็ชะโงกตัวออกมาพร้อมกับชี้ไม้เท้าเวทมนตร์เข้าใส่ใบหน้าที่ยังคงอยู่ในความตกตะลึงของแม่ทัพใหญ่ พลันก็เกิดสายฟ้าฟาดอันรุนแรงราวกับพายุคลั่งแผ่พุ่งจากปลายไม้เท้าเข้าใส่ศีรษะพยัคฆ์ของโอจาเน็นจนเกิดการสะบัดอย่างรุนแรง
โอจาเน็นถูกสายฟ้าผลักร่างจนกระเด็นออกมา การโจมตีนั้นยังทำให้เขารู้สึกมึนงงด้วย แต่ก็ยังพลิกตัวลงยืนบนพื้นได้แม้จะเกิดอาการโซเซจนต้องทรุดเข่าลงกับพื้นก็ตาม กล้ามเนื้อทั่วทั้งตัวของเขาเกิดอาการสั่นกระตุก เป็นผลมาจากที่สมองและร่างกายถูกไฟฟ้าช็อตเข้าอย่างจังจนเส้นประสาททำงานผิดปกติ
แม้จะมีจิตต่อสู้อันแข็งแกร่งคุ้มกายอยู่ แต่จิตต่อสู้มีคุณสมบัติในการป้องกันการโจมตีทางกายภาพเป็นหลัก จึงแทบไม่สามารถลดทอนพลังโจมตีด้วยเวทมนตร์ได้เลย กระนั้นโอจาเน็นก็ยังมั่นใจในความแข็งแกร่งของตนเอง เพราะร่างเวอร์บีสของเขาสามารถทนทานการโจมตีด้วยเวทมนตร์ระดับสูงได้อย่างสบาย แม้แต่ ‘เอ็กโพลซีฟแทรป’ ที่เหยียบไปก่อนหน้านี้ก็แค่ทำให้เขารู้สึกคัน ๆ เท่านั้น ซึ่งสายฟ้าของซารามอธก็ไม่ได้สร้างความเสียหายทางกายภาพให้กับโอจาเน็นมากนักเช่นกัน แต่ที่ซารามอธเล็งเอาไว้จริง ๆ คือการโจมตีระบบประสาทด้วยกระแสไฟฟ้าเพื่อสกัดกั้นการเคลื่อนไหว อีกทั้งร่างกายที่อยู่ในภาวะแข็งเกร็งนี้ยังไม่สามารถเปล่งจิตต่อสู้ออกมาได้อย่างเต็มที่ ทำให้พลังป้องกันลดลงอย่างมาก
โอจาเน็นกัดฟันและเงยหน้าขึ้นมองฝ่ายตรงข้ามอีกครั้ง แต่ดวงตาที่ยังพร่ามัวอยู่ของเขาก็พบว่าซารามอธไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว ที่ตรงนั้นมีเพียงชุดเกราะเปล่า ๆ ที่กลายเป็นเศษเหล็กเพราะกรงเล็บของเขาวางทิ้งเอาไว้ จิตใต้สำนึกของโอจาเน็นส่งเสียงร้องเตือนถึงภัยอันตรายที่กำลังจะมาถึง ทำให้เขาหลั่งเหงื่ออันเย็นเยียบออกมาจนชุ่มต้นคอ แต่ก็ยังไม่สามารถยันกายขึ้นจากพื้นได้ เพราะเข่าของเขายังสั่นเพราะอาการชาอยู่
เงาร่างของคนผู้หนึ่งทาบทับลงบนร่างของแม่ทัพใหญ่แห่งราวินคา
โอจาเน็นเงยหน้ามองขึ้นไปบนฟ้าอีกครั้ง และพบว่าสิ่งที่บดบังแสงอาทิตย์อยู่ ก็คือมัจจุราชดี ๆ นี่เอง
บนนั้นมีร่างของซารามอธซึ่งกำลังเงื้อดาบขนาดใหญ่ที่ห่อหุ้มด้วยแสงสีขาวอันเข้มข้นจนดูเหมือนกับใบดาบทั้งหมดถูกหล่อหลอมขึ้นจากแสงสว่าง เขาทิ้งตัวลงมาโดยมีเป้าหมายคือโอจาเน็นที่ยังคงนั่งทรุดอยู่บนพื้นเบื้องล่าง
“ผู้สร้างสันติภาพ (พีชเมคเกอร์) งั้นรึ… หึหึหึ…”
โอจาเน็นพึมพำกับตัวเองและยิ้มเยาะออกมา ไม่รู้ว่าเจตนาของการยิ้มเยาะครั้งนี้คือตัวเขาเอง หรือผู้ที่กำลังจะลงดาบปลิดชีวิตของเขากันแน่
แม่ทัพใหญ่แห่งราวินคาหลับตาลงอีกครั้ง ทำให้ใบหน้าพยัคฆ์ของเขาดูสงบนิ่งและเยือกเย็น เป็นใบหน้าของผู้ที่ยอมรับทั้งความพ่ายแพ้และความตายที่ใกล้เข้ามา
หลังจากนั้น คมดาบแสงของซารามอธก็ผ่าร่างของโอจาเน็นออกเป็นสองส่วน
———————————————————————————————-
Part 6
การตายของโอจาเน็นทำให้ทั้งเหล่าแม่ทัพนายกองและพลทหารที่รายล้อมอยู่ห่าง ๆ ต่างก็ตกตะลึง
กองทัพปราบแดนเหนือของอาณาจักรราวินคาซึ่งมีทหารถึงสองแสนคน กลับถูกคน ๆ เดียวบุกทะลวง ทำลายเรือธง และยังสังหารแม่ทัพจนสิ้นชีพคาสนามรบอีกด้วย
จิตใจของเหล่าทหารแห่งราวินคาเต็มไปด้วยความหวาดผวา ในตอนนี้ ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าพวกเขานั้น เป็นตัวตนที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่ามารหรือปิศาจที่พวกเขาเคยได้ยินจากเรื่องเล่าซะอีก
เหล่าทหารต่างพากันทิ้งอาวุธและวิ่งหนีออกจากสนามรบ โดยไม่สนใจว่าศัตรูมีเพียงแค่คนเดียว สำหรับพวกเขาแล้วข้าศึกที่อยู่ตรงหน้าเป็นบุคคลที่ไม่มีทางเอาชนะได้ คลื่นแห่งความหวาดกลัวนี้แผ่ขยายออกไปอย่างรวดเร็วพร้อม ๆ กับข่าวการพลีชีพของแม่ทัพโอจาเน็นที่แพร่ออกไปทางแหวนสื่อสารของกองทัพ ทำให้กองทัพราวินคาทั้งบนพื้นดินและบนอากาศต่างก็หันหัวกลับและเร่งหลีกหนีออกจากสนามรบ ราวกับกำลังจะเกิดวันสิ้นโลก
เมื่อกองทัพของราวินคาถอนกำลังออกไปไกลแล้ว ซารามอธก็ผ่อนคลายการระวังตัวลง และนำแหวนสื่อสารออกมาติดต่อกลับไปยังแกริส เพื่อบอกว่าภารกิจเสร็จสิ้นลงแล้ว
เขาสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดอีกครั้ง ก่อนจะผ่อนออกมาด้วยความโล่งใจ ใบหน้าของเขามีรอยยิ้มเล็ก ๆ ของความพึงพอใจประดับอยู่ แต่เมื่อเหลือบไปเห็นซากศพอันเกลื่อนกลาดที่ถูกทิ้งเอาไว้เบื้องหลังแล้ว รอยยิ้มของเขาก็จางหายไป
“ไม่ต้องห่วงนะ พวกนายไม่ได้ตายเปล่าหรอก การตายของพวกนายเป็นการเสียสละเพื่อให้มนุษย์ชาติได้ตาสว่างและหลีกพ้นจากเส้นทางแห่งการล่มสลาย… ครอบครัวของพวกนาย… ญาติพี่น้อง… ลูกหลานของพวกนาย จะได้ใช้ชีวิตต่อไปบนโลกที่มีความสงบสุขอย่างแท้จริง เพราะฉะนั้นจงหลับให้สบายเถอะนะ…”
ซารามอธกล่าวไว้อาลัยให้กับผู้ตาย ก่อนจะอัญเชิญม้าศึกคู่ใจออกมา และขึ้นขี่มันเพื่อกลับไปสมทบกับแกริส
ข่าวความพ่ายแพ้ของกองทัพราวินคากลายเป็นเรื่องที่สะท้านสะเทือนไปทั้งสามทวีป
เพราะกองทัพนับแสน กลับพ่ายแพ้ให้กับคนเพียงคนเดียว นี่เป็นสิ่งที่เชื่อได้ยาก แต่ก็เพราะมีทหารนับแสนที่รอดชีวิตกลับไปยังราวินคาเป็นพยานยืนยัน ทำให้มันกลายเป็นความจริงที่มิอาจปฏิเสธได้ ส่วนซารามอธผู้ที่สร้างตำนานในครั้งนี้ ก็ได้รับการขนานนามจากเหล่าทหารของราวินคา โดยยกให้เป็น ‘เทพสงคราม’ ซึ่งสามารถสยบสมรภูมิได้ด้วยตัวคนเดียว
พระราชาแห่งราวินคาทรงพิโรธอย่างมากกับการกระทำครั้งนี้ของพีชคีปเปอร์ จึงมีคำสั่งให้กองทัพแดนเหนือ, กองทัพแดนใต้, และกองทัพภาคกลาง ขึ้นไปรวมกันที่ภาคเหนือเพื่อเตรียมบุกโจมตีอีกครั้ง แต่ระหว่างกำลังเคลื่อนทัพ ก็มีผู้สร้างสันติภาพของพีชคีปเปอร์ไปประกาศคำสั่งเพื่อยับยั้งการทำสงครามเช่นเคย โดยผู้ที่ไปแสดงตนที่กองทัพภาคกลางก็คือซารามอธ ซึ่งกำลังเป็นที่ครั่นคร้ามของเหล่าทหารราวินคา แม่ทัพที่คุมกองทัพภาคกลางอยู่นั้นเป็นราชนิกุลที่รักตัวกลัวตาย จึงยอมถอยทัพแต่โดยดี
ส่วนผู้ที่ไปแสดงตนกับกองทัพแดนใต้คือ ออแลนด์ ซิลดอลฟ์ ซึ่งแม้จะเป็นที่รู้จักในนามของผู้สร้างสันติภาพ แต่ก็ยังไม่เป็นที่เกรงกลัวเทียบเท่าซารามอธ บวกกับแม่ทัพแดนใต้เป็นน้องร่วมสาบานของโอจาเน็นจึงเจ็บแค้นคนของพีชคีปเปอร์เป็นพิเศษ เขาจึงสั่งการให้กองทัพเดินหน้าเข้าบดขยี้ออแลนด์ในทันที แต่ออแลนด์ก็สามารถบุกฝ่ากองทัพเข้าไปเด็ดหัวของแม่ทัพแดนใต้ลงมาได้เช่นกัน ทำให้ชื่อเสียงของ ‘ผู้สร้างสันติภาพ’ ที่มีความสามารถในระดับหนึ่งสยบแสนได้นั้นยิ่งระบือไกล
หลังเหตุการณ์นี้ผู้คนจึงลือกันว่าผู้สร้างสันติภาพของพีชคีปเปอร์นั้นไม่ว่าคนไหนก็เป็นตัวตนระดับปิศาจซึ่งสามารถสยบกองทัพนับแสนได้ทั้งสิ้น ทำให้อาณาจักรต่าง ๆ ไม่กล้ากระทำการอย่างอุกอาจอีกต่อไป แผนการของสมาพันธ์เทอร่าที่พยายามจะยกทัพมาบุกโดมินาเรียจึงยุติลง
เรื่องนี้ยังทำให้มีการทบทวนเรื่องของค่านิยมในการสะสมกำลังทหารเป็นวงกว้าง เพราะการที่ทหารนับแสนกลับถูกสยบโดยคนเพียงคนเดียวได้นั้นเป็นเรื่องที่ทำให้ความเชื่อด้านแสนยานุภาพเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง เกิดคำถามตามมามากมายว่าจะชุบเลี้ยงทหารเรือนหมื่นเรือนแสนให้สิ้นเปลืองไปทำไม ในเมื่อผู้มีฝีมือเพียงคนเดียวก็มีกำลังรบเทียบเท่ากับกองทัพนับแสนแล้ว แถมยังประหยัดงบประมาณแผ่นดินมากกว่ากันอย่างเทียบไม่ติด
สิ่งนี้นำไปสู่การลดขนาดกองทัพของอาณาจักรต่าง ๆ ซึ่งพากันเลิกสะสมกำลังทหาร และหันมาชุบเลี้ยงเหล่านักผจญภัยหรือนักรบที่มีฝีมือมากยิ่งขึ้น เพราะประจักษ์แล้วว่าในโลกใหม่นี้ คุณภาพของบุคคล ย่อมสำคัญกว่าจำนวน ทำให้ความตึงเครียดระหว่างอาณาจักรต่าง ๆ ค่อย ๆ ลดลงตามลำดับ จนโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งความสงบสุขอย่างแท้จริง
———————————————————————————————-
Part 7
สองปีต่อมา ที่ทวีปเทอร่า
ซารามอธซึ่งถูกส่งมาปฏิบัติภารกิจก็กำลังทำการสื่อสารผ่านทางไกลกับแกริสผ่านทางหน้าจอสื่อสาร โดยข้างตัวเขามีเซอร์เก้กำลังนั่ง ๆ นอน ๆ อ่านหนังสืออยู่บนโต๊ะด้วย
“ก็บอกแล้วไงล่ะคุณแกริส ของพรรค์นั้นน่ะผมไม่ต้องการหรอก บอกพวกเขาว่าไม่เป็นไร เอาไปให้คนอื่นก็ได้”
“พูดแบบนั้นได้ไงล่ะ การที่สวรรค์จะประทานพรให้กับใครสักคนน่ะมันหาไม่ได้ง่าย ๆ นะ และเพราะผลงานที่เธอทำเอาไว้ ทำให้โลกได้พบกับความสงบสุขที่แท้จริง พวกเขาจึงอยากจะมอบรางวัลตอบแทนให้ ของแบบนี้จะยกให้คนอื่นได้ยังไงกัน? อีกอย่างหนึ่งคือ ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างโลกกับสวรรค์ในช่วงนี้ เธออาจเป็นมนุษย์คนสุดท้ายที่ได้รับพรจากสวรรค์แล้วก็ได้นะ”
“พรจากสวรรค์มีอะไรวิเศษกันล่ะ? ถึงจะบอกให้ขออะไรก็ได้ก็เถอะ แต่ความจริงแล้วมีข้อยกเว้นโน่นนี่อยู่เยอะจะตายไป ผมยังสงสัยอยู่เลยว่าในเมื่อเป็นแบบนี้จะบอกว่าให้ ‘ขออะไรก็ได้’ ทำไม ในเมื่อความจริงใช่ว่าจะขอได้ทุกอย่างซะหน่อย”
“ถึงจะมีข้อจำกัดหลายอย่างเพื่อป้องกันการทำลายสมดุลของโลกและธรรมชาติก็เถอะ แต่สิ่งที่พรประทานให้ได้ก็ยังมีเยอะอยู่ดีนะ ไม่อยากได้พวกอาวุธในตำนานของสวรรค์ หรือพลังพิเศษเหนือมนุษย์ อะไรพวกนี้บ้างรึไง?”
“แบบนั้นมันก็ขี้โกงน่ะสิ ต่อจากนี้ถึงไปสร้างวีรกรรมหรือเอาชนะใครได้ เขาก็จะบอกกันว่า ‘ก็แน่ล่ะสิ ไอ้หมอนั่นมันได้พรจากสวรรค์มานี่นา’ หรือ ‘ไอ้หมอนั่นมันมีอาติแฟคเทพของสวรรค์อยู่นี่นา ใครจะไปสู้ได้’ แบบนั้นน่ะไม่เอาด้วยหรอก อุตส่าห์ฝึกมาแทบตายกว่าจะถึงจุดนี้ได้ แล้วจะให้สวรรค์เป็นฝ่ายได้รับความดีความชอบไปเนี่ยนะ? สมัยก่อนเวลามีคนชมว่าเป็นคนที่มีพรสวรรค์เนี่ย ผมก็หงุดหงิดจะแย่อยู่แล้ว เกิดมายังไม่เคยข้องแวะกับสวรรค์เลยแท้ ๆ แต่ความสำเร็จกลับเป็นผลงานของสวรรค์ไปซะได้”
ซารามอธพูดพลางบ่นพลางด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย ทางพีชคีปเปอร์เพิ่งจะแต่งตั้งให้เขาเป็นผู้สร้างสันติภาพอันดับหนึ่งขององค์กรไปหมาด ๆ ทางสวรรค์ก็แสดงเจตจำนงจะให้พรกับเขาเป็นการตอบแทนที่สร้างผลงานอีก แต่ทั้งสองเรื่องนี้กลับทำให้เขาอารมณ์เสีย
ประการแรกคือเขาคิดว่าคนที่ควรจะได้เป็นผู้สร้างสันติภาพอันดับหนึ่งขององค์กรควรจะเป็นออแลนด์มากกว่า เพราะออแลนด์เหมาะสมกว่าเขาทั้งด้านความอาวุโสและฝีมือ อีกทั้งเขายังอยากจะเอาชนะและแซงหน้าฝ่ายตรงข้ามด้วยตัวเอง แต่ทางองค์กรกลับเลื่อนตำแหน่งให้เขาแซงหน้าออแลนด์ไปเพราะเห็นว่าเขามีชื่อเสียงมากกว่า ทำให้ซารามอธรู้สึกไม่พอใจสักเท่าไหร่
ส่วนเรื่องพรจากสวรรค์ ก็เป็นอย่างที่เขาอธิบายไป ตัวเขาเองไม่ต้องการสิ่งเหล่านั้น เพราะมันจะทำให้ความพยายามบากบั่นที่ผ่านมากลายเป็นสิ่งไร้ค่า ของทุกอย่างที่ต้องการเขาอยากจะแสวงหามันมาด้วยตัวเอง จึงกล่าวปฏิเสธไปแล้ว แต่ทางผู้หลักผู้ใหญ่ในองค์กรกลับมองว่านี่เป็นการเสริมสร้างหน้าตาให้กับพีชคีปเปอร์ จึงพยายามจะให้เขารับรางวัลจากสวรรค์ให้ได้ ซึ่งการติดต่อมาของแกริสครั้งนี้ก็เป็นความพยายามครั้งที่สามแล้ว
“นี่ ซาล คำว่า ‘เซนไป’ เนี่ย แปลว่าอะไรเหรอ?”
เซอร์เก้ที่ตอนนี้กำลังสนใจวัฒนธรรมท้องถิ่นของคามิเท็นอยู่ หันมาถามซารามอธเมื่อพบกับคำศัพท์ที่ไม่คุ้นหูในนิตยสารที่สั่งซื้อมาจากคามิเท็น เขาอ่านไปถามไปอยู่แบบนั้น ทำให้ซารามอธที่อารมณ์ไม่ค่อยดีอยู่แล้วยิ่งรู้สึกรำคาญมากขึ้นอีก จึงตอบไปแบบใส่อารมณ์เล็กน้อย
“เซนไป แปลว่ารุ่นพี่ไง ตอนอยู่โดมินาเรียก็ไม่ยักสนใจนะ พอมาเทอร่าแล้วดันผ่าอยากจะศึกษาวัฒนธรรมคามิเท็นดูซะได้ ทำอะไรให้มันถูกกาลเทศะหน่อยสิ”
คำพูดนั้นทำให้เซอร์เก้มองค้อนกลับมาเล็กน้อย ก่อนจะหันไปอ่านนิตยสารต่อ ส่วนแกริสก็รู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้าเช่นกัน เพราะดูยังไงอีกฝ่ายก็คงจะไม่เปลี่ยนใจแน่ จึงพยายามหาทางออกที่รวบรัดขึ้น
“เอางี้ก็แล้วกัน ฉันจะให้เธอคุยกับตัวแทนของทางสวรรค์โดยตรงเลย อยากได้หรือไม่อยากได้ยังไงก็บอกกับเขาไปตรง ๆ ละกัน ถ้าเจ้าตัวยืนกรานว่าไม่เอา อีกฝ่ายก็คงไม่ดึงดันหรอกมั้ง ฉันจะโอนสัญญาณให้นะ”
“อ้าว เฮ้! เดี๋ยวก่อนสิคุณแกริส! ช่วยปฏิเสธให้เลยไม่ได้เหรอ!? ปัดโถ่เอ๊ย!”
แกริสตัดสัญญาณไปเพื่อเตรียมโอนการสื่อสารให้กับคนอื่น ภาพของเขาจึงหายไปจากหน้าจอ
“พวกคนแก่นี่น้า… ทำไมต้องทำทุกอย่างให้เป็นเรื่องยุ่งยากด้วย น่ารำคาญชมัดเลย”
ซารามอธบ่นพึมพำกับตัวเองพลางมองไปทางอื่น จึงไม่ทันสังเกตว่าภาพบนหน้าจอได้เปลี่ยนไปเป็นภาพของคนผู้หนึ่งซึ่งมีเส้นผมสีทองและมีใบหน้าอันงดงามราวกับผู้หญิงปรากฏขึ้นมา
“เอ่อ… สวัสดีจ้า คุณ ซารามอธ แฮลเซียน ใช่มั้ยเอ่ย? ฉันซีเนีย เป็นผู้ประสานงานระหว่างสวรรค์กับโลกจ้า… ต้องการให้สวรรค์ประทานพรอะไรให้ก็บอกมาได้เลยนะ ทางเราจะจัดเตรียมให้จ้า”
บุคคลในหน้าจอสื่อสารพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา เป็นเวลาเดียวกับที่เซอร์เก้เอ่ยถามเกี่ยวกับคำศัพท์อีกครั้ง ทำให้ซารามอธที่กำลังเพ่งความสนใจไปทางนั้นไม่ทันได้ยิน
“นี่ ๆ คำว่า ‘ไวฟุ’ เนี่ยล่ะ? แปลว่าอะไรเหรอ? อืม… อันนี้เหมือนจะเคยถามแล้วแฮะ แต่จำไม่ได้ง่ะ”
“เฮ้อ… ก็บอกแล้วไงล่ะ ว่าเมียน่ะ! เมีย! เข้าใจที่พูดรึเปล่า!?”
ซารามอธตวาดใส่เซอร์เก้ด้วยความหงุดหงิด แต่คนที่ได้ยินคำตอบอันชัดเจนของเขานั้นยังมีอีกคนหนึ่ง
“อะ.. เอ๋? เมีย…? หมายถึง… ภรรยาน่ะเหรอ?”
เมื่อได้ยินเสียงนั้น ซารามอธก็หันขวับมายังหน้าจอสื่อสาร และพบว่าบุคคลรูปงามที่ไม่รู้ว่าเป็นชายรึหญิงซึ่งกำลังมองเขาด้วยสายตาแปลก ๆ นี้เป็นคนที่ไม่คุ้นหน้าเลย ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ว่าแกริสกำลังโอนสัญญาณให้เขาพูดคุยกับตัวแทนของทางสวรรค์อยู่
“แหม… ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครยื่นคำขอแบบนี้มาเลยนะเนี่ย… จะว่าไปมันก็ไม่ได้ผิดข้อยกเว้นอะไรน่ะนะ แต่ก็… เอาเป็นว่าทางเราจะพยายามจัดหาให้ก็แล้วกัน เตรียมตัวรอไว้ก็แล้วกันเน้อ”
เมื่อพูดจบ คนในหน้าจอสื่อสารก็ตัดการติดต่อไป เป็นเวลาเดียวกับที่ซารามอธเพิ่งจะปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดได้
“ฮะ.. เฮ้ย เดี๋ยวก่อนสิ… ไม่ใช่นะ! กลับมาคุยกันก่อนเซ่!”
ซารามอธพยายามติดต่อกลับไปอีกครั้งแต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับใด ๆ กลับมา
ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวด้วยความร้อนรนและข้องใจ เพราะไม่รู้ว่าทางสวรรค์จะจัดการกับคำขอที่ไม่ได้ตั้งใจนั้นอย่างไรกันแน่
เรื่องนี้ทำให้เขาต้องไปพัวพันกับเหตุการณ์อันยุ่งยากในเวลาต่อมา แต่นั่นก็เป็นเรื่องของอนาคต
เป็นเรื่องเล่าอีกเรื่องหนึ่ง ของอีกช่วงเวลาหนึ่ง