Doombringer the 5th - ตอนที่ 98
Ch.98 – ความเห็นต่าง
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 94
ความเห็นต่าง
Part 1
หลังจากกล่าวเปิดการประชุม ซาลก็เตรียมจะเอ่ยถึงประเด็นที่เตรียมไว้ แต่เซธ (ขุนพลผู้มีผมสีดำ) ก็กล่าวแทรกซะก่อน
“ก่อนที่จะเข้าเรื่องการประชุม ผมคิดว่าเรามีเรื่องเร่งด่วนที่ต้องจัดการก่อนไม่ใช่เหรอครับ?”
คำกล่าวของเซธทำให้หลายคนในที่ประชุมแสดงอาการแปลกใจออกมา ซาลซึ่งรู้สึกประหลาดใจเช่นกันจึงเอ่ยถามกลับไป
“เรื่องเร่งด่วนงั้นเหรอ? มีความเปลี่ยนแปลงอะไรเกี่ยวกับเรื่องที่เราเตรียมการเอาไว้รึ?”
“ไม่ใช่ครับ ผมหมายถึงเด็กคนเมื่อสักครู่นี้ต่างหาก ตอนนี้เขารู้การคงอยู่ของที่นี่แล้ว และเหมือนจะเห็นตัวเทเรนซ์ไปแล้วด้วย แบบนี้หากปล่อยไว้อาจมีเรื่องยุ่งยากตามมานะครับ เราควรหาทางจัดการกับเด็กคนนั้นซะก่อน”
คำพูดนั้นทำให้ทั้งห้องประชุมเกิดความตึงเครียดขึ้นมาในทันที
อาซาเรล (ขุนพลผู้มีผมสีขาว) หลับตาลงด้วยอาการเหนื่อยหน่าย เพราะคิดเอาไว้แล้วว่าเซธจะต้องเสนอเรื่องนี้ขึ้นมา เนื่องจากเขาเป็นคนที่ชอบใช้วิธีอันเด็ดขาดในการจัดการกับปัญหาหรือเค้าลางแห่งปัญหาเสมอ ๆ ทำให้ทั้งสองต้องเกิดการโต้เถียงกันอยู่บ่อยครั้ง
เทเรนซ์ (ขุนพลผู้มีผมสีส้ม) ที่ได้ยินคำพูดของเซธก็หน้าเสียและหันไปมองลูเซียน (ขุนพลผู้มีผมสีทอง) ที่อยู่ข้าง ๆ ด้วยท่าทีลุกลี้ลุกลน เพราะรู้สึกผิดที่มีส่วนทำให้ความลับของซาลเปิดเผย และทำให้คุโระถูกมองว่าเป็นภัยคุกคาม
เอ็มเมอริช (ขุนพลผู้มีผมสีฟ้า) แสดงอาการลังเลออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยคำถามไปยังเซธ โดยไม่กล้าสบตาอีกฝ่ายตรง ๆ
“เพิ่งเปิดเรียนวันแรกก็มีเด็กนักเรียนหายไปแบบนี้ แถมยังเป็นคนที่จับคู่กับท่านจอมพลอีก แบบนั้นจะไม่ยิ่งน่าสงสัยเกินไปเหรอครับ?”
เซธดูจะไม่พอใจกับคำถามนั้นเท่าไหร่จึงขมวดคิ้วและจ้องเขม็งมายังเอ็มเมอริช ทำให้เจ้าตัวต้องหลบตาลงอีกครั้ง
“คิดว่าฉันโง่รึไง? ทำแบบนั้นก็ผิดกับเจตนาที่ไม่ต้องการจะให้มีเรื่องยุ่งยากตามมาน่ะสิ ที่ว่าต้องจัดการน่ะหมายถึงด้วยวิธีการอื่นต่างหาก ตอนนี้เรามีเวทลบความทรงจำอยู่ ถ้าใช้เวทนั้นก็น่าจะทำให้เจ้าเด็กนั่นลืมเรื่องของที่นี่ไปได้”
เวทลบความทรงจำคือเวทที่ยูนิตี้ (ขุนพลผู้มีผมสีเขียว) พยายามวิจัยขึ้นมา เพราะเจ้าตัวเป็นคนขี้เบื่อ เลยมีความคิดอยากจะลบความทรงจำบางอย่างออกไปเพื่อให้สัมผัสกับประสบการณ์เดิมได้อีกครั้งด้วยความรู้สึกแปลกใหม่เรื่อย ๆ จะได้ไม่รู้สึกเบื่อนั่นเอง
“เวทนั้นมันยังไม่สมบูรณ์หรอกนา~ แถมจะมีผลข้างเคียงยังไงบ้างก็ไม่รู้ ยังไม่เหมาะจะเอามาใช้งานจริงหรอก~”
ยูนิตี้เสนอความเห็นแย้งด้วยน้ำเสียงเอื่อย ๆ และสีหน้ายิ้มแย้มที่ดูเฉื่อยชา แต่เซธก็ยังยืนกรานดังเดิม
“ถึงงั้นมันก็ยังใช้งานได้ไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้ยังผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ถ้าแค่ลบความทรงจำในช่วงเวลานี้ก็ไม่น่าจะมีปัญหานะ”
“อย่างที่บอกแหละว่ามันยังไม่สมบูรณ์ เวทนี้ไม่ใช่การลบความทรงจำจริง ๆ หรอกนา~ มันแค่ทำให้ลืมไปชั่วคราวเท่านั้นเอง โอกาสที่ความทรงจำนั้นจะผุดกลับขึ้นมาได้ก็ยังมีอยู่ ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ยั่งยืนหรอก”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เซธก็มีสีหน้าที่ซีเรียสขึ้น เห็นได้ชัดว่าเขากำลังคิดถึงวิธีการที่รุนแรงกว่านี้อยู่ หลายคนจึงมีอาการตึงเครียดตามไปด้วย แต่ก่อนที่เซธจะเสนออะไรออกมาอีก ซาลก็กล่าวกับเขาด้วยรอยยิ้มสบาย ๆ
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอก ฉันคิดวิธีที่จะจัดการเรื่องนี้เอาไว้แล้ว และนี่ก็เป็นหนึ่งในหัวข้อการประชุมวันนี้ด้วย มาเข้าเรื่องกันดีกว่า”
“…ถ้างั้นก็ยังมีอีกเรื่องหนึ่งครับ”
ยังไม่ทันจะเข้าเรื่องหลักของการประชุม เซธก็กล่าวขัดขึ้นมาอีกครั้ง ทำให้หลายคนเริ่มแสดงอาการไม่พอใจเล็กน้อย แต่ซาลก็ยังไม่ได้แสดงท่าทีหงุดหงิดอะไรออกมา เพียงแต่ถามกลับไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“ยังมีอะไรอีกเหรอ?”
“การที่เด็กคนนั้นเข้ามาที่นี่ได้แปลว่าทางเข้านั้นไม่ปลอดภัย สมควรจะมีการเพิ่มระดับการป้องกัน เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำซ้อนขึ้นอีก”
“อ้อ นั่นสินะ…”
เมื่อถูกทักจนนึกขึ้นได้ ซาลก็อัญเชิญสมุนที่มีรูปลักษณ์คล้ายคลึงกับเขาออกมา คือเป็นเด็กผู้ชายหน้าตาน่ารักที่มีผมสีแดง ก่อนจะพยักหน้าเป็นสัญญาณ ให้สมุนตนนั้นออกจากห้องประชุมไป
“นั่นเป็นร่างตัวแทนของฉันเอง ฉันส่งให้ไปนอนอยู่ที่ถุงนอนด้านนอกแทนแล้ว แบบนี้ถึงมีคนอื่นมาพบเข้าก็คงไม่ผิดสังเกตอะไร แล้วเดี๋ยวหลังการประชุมฉันจะปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการใช้งานของลูกแก้วเคลื่อนย้ายให้มีแค่คนที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นที่ใช้งานได้ เท่านี้ก็ไม่น่าจะมีปัญหาแล้วนะ”
หลังจากได้ยินคำตอบของซาล เซธก็พยักหน้ารับ และไม่ได้พูดอะไรอีก
ซาลเองก็มีเรื่องให้ครุ่นคิดอยู่หลายอย่าง ทำให้บางครั้งเขาก็เผอเรอหรือลืมอะไรไปบ้าง คำแนะนำหรือการตักเตือนจากเหล่าขุนพลจึงมีส่วนช่วยอย่างมากในการอุดช่องโหว่ในสิ่งที่เขามองข้ามไป ซึ่งซาลก็น้อมรับคำแนะนำของทุกคนไว้อย่างไม่ถือตัว ทำให้ทุกคนกล้ามอบคำแนะนำให้กับเขาอย่างเต็มที่ด้วย
เมื่อไม่มีประเด็นอื่นแล้ว การประชุมก็ดำเนินต่อด้วยหัวข้อหลักที่เตรียมเอาไว้
——————————————————————————–
Part 2
“อันดับแรกคือระบบป้องกันของโรงเรียนนี้ จากที่พวกนายไปสำรวจมา เป็นไงบ้าง?”
ตั้งแต่ก่อนวันปฐมนิเทศ ซาลก็ได้ส่งขุนพลทั้งแปดกระจายกำลังกันออกไปทำหน้าที่ของตนเอง เพื่อเตรียมการเบื้องต้นสำหรับการเข้าเรียนที่อีจิสไพร์มแล้ว
ผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ตรวจสอบระบบป้องกันภายในโรงเรียนก็คือ เอ็มเมอริช (ขุนพลผู้มีผมสีฟ้า), บริแกนดีน (ขุนพลผู้มีผมสีม่วง), และ ออร์เฟียซ (ขุนพลผู้มีผมสีน้ำเงิน)
ความจริงบุคคลภายนอกจะไม่สามารถเข้ามาในบริเวณโรงเรียนได้ แต่เพราะก่อนหน้านี้ซาลได้ให้เซธแอบไปขโมยบัตรประจำตัวของเจ้าหน้าที่ประจำโรงเรียนซึ่งเข้าไปเที่ยวในเมือง เพื่อนำบัตรมาวิเคราะห์ส่วนประกอบทางเวทมนตร์ จนในที่สุดก็ได้ชุดอักขระที่ใช้ระบุฐานะว่าเป็น ‘คนใน’ ของโรงเรียนมา
เมื่อมีอักขระชุดนี้แล้ว เขาก็ให้เทเรนซ์ (ขุนพลผู้มีสมสีส้ม) ซึ่งเชี่ยวชาญการประดิษฐ์อาติแฟค ทำการสร้างบัตรผ่านสำหรับทุกคนขึ้นมา เพื่อให้ใช้เข้าออกโรงเรียนได้โดยไม่ถูกระบบตรวจจับพบเข้า
อย่างไรก็ตาม บัตรผ่านปลอมนี้ก็ยังเป็นของที่ใช้งานได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น เพราะตามองค์กรใหญ่ ๆ จะมีการเปลี่ยนรหัสเป็นประจำ ซึ่งจากการสอดแนมที่ผ่านมาทำให้ซาลรู้ว่าโรงเรียนอีจิสไพร์มจะมีการเปลี่ยนรหัสใหม่ทุก ๆ หนึ่งสัปดาห์ จึงต้องหาศูนย์ควบคุมหลักของระบบป้องกันเพื่อจะได้ทำการเจาะระบบและฝังชุดอักขระของตนเองลงไปแทน ถึงจะเป็นการแก้ปัญหาอย่างถาวร
นอกจากเรื่องนี้แล้ว ซาลก็ยังต้องการจะรู้ถึงระบบป้องกันและระบบสอดแนมของโรงเรียนด้วย ว่ามีความเข้มงวดแค่ไหน เพื่อที่จะได้ทำการหลบเลี่ยงหรือแทรกแซงแก้ไขให้ตัวเขาและเหล่าขุนพลสามารถดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ภายในบริเวณโรงเรียนได้สะดวกขึ้น
เพราะเป็นคนที่มีความละเอียดรอบคอบและคำนึงถึงความปลอดภัยมากที่สุด เอ็มเมอริชจึงได้รับตำแหน่งเป็นหัวหน้าทีมในการตรวจสอบระบบป้องกันภายในโรงเรียน เมื่อถูกถาม เขาจึงรายงานกลับมาในทันที
“เท่าที่ตรวจสอบดู วงเวทป้องกันของอีจิสไพร์มน่าจะเป็นวงเวทแบบ ‘ฝัง’ และมีมากกว่าหนึ่งจุด แต่เพราะต้องคอยหลบเลี่ยงระบบตรวจจับทำให้สำรวจในบางพื้นที่อย่างละเอียดไม่ได้ ถึงอย่างนั้นผมก็พอจะระบุตำแหน่งคร่าว ๆ ของวงเวทได้แล้ว ไว้เข้าถึงวงเวทได้เมื่อไหร่ก็น่าจะเจาะระบบและสาวไปถึงตำแหน่งของหน่วยควบคุมหลักได้ครับ”
“อืม เรื่องนี้สำคัญมากทีเดียว ระวังอย่าให้ทางโรงเรียนรู้ว่ากำลังมีคนแอบเจาะระบบป้องกันของพวกเขาเชียวนะ”
“ไม่ต้องห่วงครับ ระบบป้องกันของอีจิสไพร์มนี่ยังด้อยกว่าระบบป้องกันของลิลลี่โฮไรซอนอยู่ 1-2 ขั้นทีเดียว ถึงอย่างนั้นผมก็จะใช้ความระวังเป็นพิเศษครับ ตรงไหนที่ต้องการความแน่นอนก็จะรบกวนให้นายพลยูนิตี้มาช่วยด้วย ไม่น่าจะมีปัญหาครับ”
“โอเค แล้วเรื่องระบบสอดแนมล่ะ?”
เมื่อซาลถามถึงระบบสอดแนม ออร์เฟียซ ซึ่งรับหน้าที่ในเรื่องนี้จึงเป็นฝ่ายเอ่ยพูดขึ้น
“ในเขตอาคารสถานที่ของโรงเรียนมีกล้องสอดแนมอยู่เยอะพอสมควร เอาไว้ตรวจสอบจนครบหมดแล้วผมจะเขียนแผนผังรัศมีความครอบคลุมของกล้องสอดแนมออกมา และนำเสนอมุมอับที่เหมาะจะใช้เป็น ‘จุดเคลื่อนย้าย’ อีกทีครับ”
“อืม แล้วในหอพักนี่ล่ะ?”
“ภายในหอพักจะมีกล้องสอดแนมอยู่เยอะในส่วนของพื้นที่สาธารณะ แต่สำหรับเขตพักอาศัยจะมีกล้องอยู่แค่บริเวณระเบียงและบริเวณบันได ภายในห้องพักของนักเรียนแต่ละคนจะไม่มีกล้องอยู่ ส่วนชั้นลอยของระเบียงที่ท่านจอมพลถูกจัดให้นอนนี่อยู่ในมุมอับของกล้องที่บริเวณระเบียงพอดี แต่ที่นอกดาดฟ้าจะมีกล้องที่คอยจับตาคนเข้า-ออกจากประตูบานนี้อยู่ครับ”
“โอเค แค่ระวังตอนออกไปนอกดาดฟ้าก็พอสินะ แล้วทางด้านพื้นที่โดยรอบโรงเรียนล่ะ เป็นไงบ้าง?”
ซาลเอ่ยถามพลางหันไปทางลูเซียน (ขุนพลผู้มีผมสีทอง) และเทเรนซ์ (ขุนพลผู้มีผมสีส้ม) เพราะทั้งสองคนได้รับมอบหมายหน้าที่พร้อมกับยูนิตี้ให้ไปทำการ ‘ยึดครอง’ พื้นที่ดันเจียนโดยรอบอีจิสไพร์ม นี่เป็นงานที่ดำเนินการล่วงหน้าก่อนพิธีปฐมนิเทศมานับเดือนแล้ว
ทำเลที่ตั้งของโรงเรียนอีจิสไพร์มนั้นถูกเลือกให้เป็นตำแหน่งของโรงเรียนนักผจญภัยก็เพราะในรัศมี 30 กิโลเมตรโดยรอบตัวโรงเรียนนั้นอุดมไปด้วยดันเจียน ทั้งดันเจียนมิติ และดันเจียนตามธรรมชาติ
ซาลเล็งเห็นว่าภารกิจตามหลักสูตรของโรงเรียนก็ต้องเกี่ยวเนื่องกับดันเจียนที่อยู่โดยรอบพื้นที่โรงเรียนนี่แหละ โดยเฉพาะดันเจียนตามธรรมชาติซึ่งมีถึง 7 แห่งนั้นถูกใช้เป็นสถานที่ทดสอบสำคัญ ๆ สำหรับนักเรียนแต่ละชั้นปีอยู่บ่อยครั้ง หากสามารถยึดครองพื้นที่ดันเจียนด้วยการวางดันเจียนมิติทับลงไปบนดันเจียนตามธรรมชาติได้ เขาก็จะสามารถควบคุมการทำภารกิจของนักเรียนในอีจิสไพร์มได้ดั่งใจนึก
เมื่อถูกถามถึงความคืบหน้าในเรื่องนี้ ลูเซียนผู้เป็นหัวหน้าทีมสำรวจก็มีสีหน้าลำบากใจเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับมา
“เอ่อ… พวกเราตรวจสอบดูแล้ว ถึงแม้จะมีการวางระบบสอดแนมเอาไว้ในดันเจียนแต่ละแห่งบ้าง แต่ก็ไม่ได้มีการวางดันเจียนมิติแบบเปิดทับลงไปบนพื้นที่เหล่านั้น การจะวางดันเจียนของเราลงไปจึงไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาคือดันเจียนแต่ละแห่งมีพื้นที่กว้างใหญ่เกินไป ขนาดดันเจียนที่เล็กที่สุดอย่าง ‘ป่าสนธยา’ (Twilight Forest) ก็ยังมีพื้นที่ถึงเก้าตารางกิโลเมตร ส่วนดันเจียนที่ใหญ่ที่สุดอย่าง ‘เทือกเขาออโรร่า’ (Aurora Mountain) จะมีพื้นที่ถึงสี่สิบห้าตารางกิโลเมตรเลยทีเดียว ทำให้ด้วยทรัพยากรของเราในตอนนี้ จึงยังไม่สามารถวางดันเจียนครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดได้ครับ…”
การจะวางพื้นที่ดันเจียนทับลงไปบนดันเจียนตามธรรมชาตินั้นต้องใช้หินเวทมนตร์คุณภาพสูงเป็นแกนของดันเจียน ซึ่งหินเวทมนตร์นี้ก็เป็นเหล่งกำเนิดพลังเวทมนตร์ที่มีราคาแพง และแต่ละเม็ดจะครอบคลุมพื้นที่ได้จำกัด โดยหินเวทมนตร์เกรด B ซึ่งมีคุณภาพคุ้มราคาที่สุดจะสามารถครอบคลุมพื้นที่ได้ 1/4 ตารางกิโลเมตร แปลว่าพื้นที่ 1 ตารางกิโลเมตรต้องใช้หินเวทมนตร์ถึง 4 เม็ด การจะวางดันเจียนมิติให้ครอบคลุมดันเจียนตามธรรมชาติที่มีขนาดไพศาลจึงอาจต้องใช้หินเวทมนตร์หลายสิบหรือหลายร้อยเม็ดเลยก็ได้
แม้ซาลพอจะมีหินเวทมนตร์ซึ่งได้จากเวท ‘โซลแทรป’ ของดันเจียนในอคาทอชและโครซิส อยู่จำนวนหนึ่ง แต่มันก็ยังไม่เพียงพอที่จะใช้ในการยึดพื้นที่ดันเจียนในอีจิสไพร์มทั้งหมดอยู่ดี
“คิดแล้วเชียว… ปัญหาอยู่ที่เงินทุนจริง ๆ ซะด้วย… ถ้างั้นก็ทำการวางดันเจียนในพื้นที่ระดับล่าง ๆ ให้ครบก่อนก็แล้วกัน เน้นดันเจียนที่มักจะเป็นภารกิจของนักเรียนปีหนึ่ง แล้วค่อยรอการขยับขยายอีกที”
“รับทราบครับ ความจริงเรื่องนั้นพวกเราก็ดำเนินการไปแล้ว ตอนนี้เราได้พื้นที่ดันเจียนที่มักจะใช้ในภารกิจของนักเรียนปีหนึ่งมาเกือบครบแล้วครับ”
“โอ้ ดีมาก สำหรับเรื่องหินเวทมนตร์ที่ขาดอยู่ก็เบิกจากกองกลางไปใช้ตามความเหมาะสมก็แล้วกัน ส่วนการขยับขยายพื้นที่คงต้องรอไปก่อน เพราะเรายังต้องเก็บหินเวทมนตร์ไว้ใช้กับแผนอื่นด้วย… พูดถึงเรื่องเงินทุนแล้ว แผนสร้าง ‘หมู่บ้านนักผจญภัย’ (ชื่อชั่วคราว) ไปถึงไหนแล้ว?”
ซาลพูดพลางหันไปหาบริแกนดีน ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้ ทำให้อีกฝ่ายยิ้มอย่างสุภาพก่อนจะตอบกลับมา
“ตอนนี้เราได้ทำเลเหมาะ ๆ สำหรับใช้เป็นที่ตั้งหมู่บ้านแล้วครับ แต่ก็ยังมีปัญหาเรื่องเงินทุนอยู่ดี หากจะดำเนินการตามแผน ‘ขั้นแรก’ ให้ลุล่วงได้จริง ๆ ละก็ ต้องใช้ทั้งเงินและหินเวทมนตร์มากกว่าที่เราเคยประเมินเอาไว้ประมาณสามเท่าได้”
คำตอบของบริแกนดีนทำให้ซาลพิงตัวเข้ากับพนักเก้าอี้และยกมือขึ้นมาลูบคลึงริมฝีปากพลางครุ่นคิดอีกครั้งด้วยสีหน้าจริงจัง บรรยากาศโดยรอบจึงเงียบสงัดเพราะผู้นำสูงสุดอย่างเขามีท่าทีเคร่งเครียด ทำให้เหล่าขุนพลไม่กล้าทำตัวตามสบายในระหว่างนี้
แผนสร้าง ‘หมู่บ้านนักผจญภัย’ เป็นแผนการระยะยาวที่เขาคิดค้นขึ้น เพื่อที่จะสร้างแหล่งเงินทุนอันยั่งยืนขึ้นมาใช้หล่อเลี้ยงกองทัพซาลารัสและขับเคลื่อนแผนการอื่น ๆ แต่ตัวแผนการนี้ก็ต้องอาศัยเงินทุนจำนวนมากในการดำเนินการเช่นกัน จึงทำให้แผนการด้านอื่น ๆ พลอยติดขัดไปด้วย
ระหว่างนั้นซาลก็เหลือบไปเห็นลวดลายอักขระที่ข้อมือของเขา ซึ่งเป็นอักขระของ ‘มานาไทด์เบรซเล็ท’ อาติแฟคระดับตำนานที่เขาได้รับมาจากแซนโดร ทำให้เกิดความคิดขึ้นมาแวบหนึ่งว่า หากนำอาติแฟคชิ้นนี้ไปขายก็คงมีเงินทุนเพียงพอที่จะทำตามแผนการทุกอย่างได้ เพราะกำไลนี้มีราคาขายถึงห้าหมื่นโกลด์เป็นอย่างต่ำ นับเป็นเม็ดเงินที่สามารถนำมาสร้างหมู่บ้านทั้งหมู่บ้านได้อย่างสบาย
แต่ความคิดนั้นคงอยู่ได้แค่ครู่เดียวก็จางหายไปกับความรู้สึกขบขัน เพราะซาลคิดว่าถ้าแซนโดรรู้เข้าว่าเขาเอากำไลที่เธอมอบให้ไปขายละก็ คงโดนลงทัณฑ์อย่างสาสมแน่ พอนึกถึงเรื่องนี้แล้วเขาก็เริ่มหวนนึกถึงวันคืนเก่า ๆ ที่ได้เดินทางร่วมกับทุกคน จนเผลอยิ้มออกมา
“ท่านจอมพลครับ?”
อาซาเรลที่เห็นว่าซาลนิ่งเงียบไปพักใหญ่แถมยังมีทีท่าเหมือนกำลังจะใจลอยก็เลยรีบทักให้เขารู้สึกตัวอีกครั้ง ทำให้ซาลนึกขึ้นได้ว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะมัวมาระลึกอดีต
“อ้อ อืม… เอาเป็นว่าเตรียมความพร้อมของทั้งสองเรื่องรอไปก่อนละกัน ส่วนเรื่องเงินทุน เอาไว้ฉันจะลองหาทางดูอีกที หรือถ้าใครคิดอะไรออกก็ลองนำมาเสนอดูได้นะ”
เมื่อซาลพูดจบ เหล่าขุนพลก็ได้แต่พยักหน้ารับคำ เพราะความจริงแต่ละคนก็เคยนำเสนอวิธีการหาเงินทุนในรูปแบบต่าง ๆ มาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการปล้นชิง (โดยเซธ) เปิดรับบริจาค (โดยอาซาเรล) นำไปฝากธนาคารแล้วรอดอกเบี้ย (โดยเอ็มเมอริช) ไปกู้เงินจากลานาเทล (โดยบริแกนดีน) และสารพัดวิธีตามแต่จะคิดได้อีกมากมาย ซึ่งไม่ว่าจะอันไหนก็ยังไม่เป็นที่พอใจของซาลนัก จึงถูกปฏิเสธกลับไปทั้งหมด
เมื่อพูดคุยเกี่ยวกับเนื้อหาหลักของแผนการไปหมดแล้ว ซาลจึงกลับมาที่เรื่องใกล้ตัวบ้าง ก็คือเรื่องของคุโระ กับ วารัล นั่นเอง
——————————————————————————–
Part 3
“สำหรับการเปิดเรียนวันแรกนี้ ก็อย่างที่หลายคนคงจะรู้กันไปแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง…”
“เรื่องนั้น ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผมเถอะครับ”
ยังไม่ทันที่ซาลจะพูดจนจบประโยค เซธก็เสนอตัวขึ้นมาทันที ทำให้ขุนพลคนอื่น ๆ หันไปมองโดยพร้อมเพรียงกัน แม้ทุกคนจะยังไม่รู้ว่าซาลกำลังจะมีคำสั่งอะไร แต่ก็พอจะเดาออกว่าเซธต้องการจะทำอะไรกับเรื่องนี้
ซาลเองก็พอจะรู้เช่นกัน เพราะนิสัยของเซธเป็นอะไรที่เดาได้ไม่ยากนัก แต่ก็ต้องพูดทำความเข้าใจกันไว้ก่อนเพื่อความชัดเจน
“ฉันยังไม่คิดที่จะทำให้เขา ‘หายไป’ หรอกนะ”
“เรื่องนั้นผมทราบดีครับ เราต้องสืบประวัติของหมอนั่นก่อน ผมจะขุดคุ้ยเรื่องราวของมัน ทั้งตัวมันเองและคนในครอบครัว รวมไปถึงทุกคนที่เกี่ยวข้องให้หมดทุกซอกทุกมุม และนำเจตนาที่แท้จริงรวมไปถึงจุดอ่อนทุกอย่างของมันออกมาตีแผ่ให้ได้”
ที่เซธพูดถึงอยู่นั้นคือวารัล ซึ่งความจริงทีแรกซาลก็คิดจะให้เซธเป็นคนรับหน้าที่นี้อยู่แล้ว เพราะเขากับอาซาเรลคือสองขุนพลที่รับหน้าที่เป็นหน่วยข่าวกรองประจำกองทัพซาลารัส แต่เมื่อเห็นท่าทางที่จริงจังและแฝงไปด้วยจิตอาฆาตของเขาแล้ว ซาลก็เกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา เพราะไม่อยากให้การตรวจสอบมีอคติมากเกินไป
“งั้นก็ดี ช่วยไปตรวจสอบประวัติของ คุโรฮาเนะ คิริฟุเสะ มาทีนะ ว่าเขามีความเป็นมายังไง โดยเฉพาะเรื่องที่ว่าทำไมถึงถูกอาจารย์อย่างวารัลเขม่นเอาได้น่ะ ฉันอยากรู้เป็นพิเศษเลย”
“เอ๋? อะ.. เอ่อ… รับทราบครับ”
แม้จะถูกมอบหมายภาระที่คาดไม่ถึงให้ เซธก็ยังรับคำสั่งโดยไม่โต้แย้งอะไร เพราะเขาถือคำสั่งของซาลเป็นเด็ดขาด แต่ก็ยังแสดงอาการผิดหวังเล็ก ๆ ออกมาทางสีหน้า
“สำหรับอีกคนคือ วารัล วารันเด้ ฉันอยากให้นายช่วยไปทำการตรวจสอบประวัติความเป็นมาในแบบเดียวกัน โอเคมั้ย อาซาเรล?”
“ได้ครับ ไม่มีปัญหา”
อาซาเรลก้มศีรษะรับคำโดยพยายามทำสีหน้าเรียบเฉยไว้ เพราะไม่อยากให้เซธคิดว่าเข้าใจผิดว่าเขากำลังเยาะเย้ย แต่นั่นก็ดูจะไม่สามารถช่วยบรรเทาอาการหงุดหงิดของอีกฝ่ายไปได้
“สำหรับสองคนนี้ฉันอยากให้สืบประวัติเป็นการเฉพาะก่อน แต่หลังจากที่เจาะระบบของโรงเรียนอีจิสจนได้รายชื่อนักเรียน, อาจารย์, และเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนทุกคนมาแล้ว ฉันอยากให้ทำการสืบประวัติของทุกคนมาเก็บรวบรวมเอาไว้ด้วย นี่ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนอะไร แต่ก็เป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการให้เสร็จสิ้น เข้าใจนะ?”
เมื่อได้ยินคำสั่งของซาล ทั้งอาซาเรลและเซธ ต่างก็พยักหน้ารับคำโดยพร้อมเพรียงกัน
“ถ้างั้น วาระการประชุมในวันนี้ก็จบลงแค่นี้แหละนะ ทุกคนแยกย้ายกันไปทำงานของตัวเอง และถ้ามีความคิดอะไรดี ๆ ก็ลองนำมาเสนอโดยไม่ต้องรอการประชุมครั้งต่อไปก็ได้นะ เอ้า เลิกประชุมได้”
หลังจากคำกล่าวปิดประชุม ทุกคนก็ค้อมศีรษะลงเพื่อทำความเคารพ และรอให้ซาลลุกออกจากห้องไปก่อน จากนั้นแต่ละคนจึงทยอยกันลุกตามไป
ซาลตรงไปยังห้องนอนของตัวเองเพื่อทำการเตรียมตัวสำหรับการเรียนในวันพรุ่งนี้ก่อนจะเข้านอน ส่วนเหล่าขุนพลคนอื่น ๆ ก็ยังคงมีการจับกลุ่มคุยกันในส่วนต่าง ๆ ของบ้านพัก เพื่อพูดคุยกันถึงเรื่องหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย
ในจำนวนนี้ มีเซธเพียงคนเดียวที่ปลีกตัวออกไป
เขาใช้ลูกแก้วเคลื่อนย้ายในห้องนอนของเขาเพื่อเคลื่อนย้ายออกจากบ้านพัก ทันทีที่สัมผัสกับมัน ร่างของเซธก็ถูกแสงที่เปล่งออกมาจากลูกแก้วกลืนหายวับไป
เซธมาปรากฏตัวอีกครั้งที่เนินเขาซึ่งอยู่ด้านหน้าของชายป่าแห่งหนึ่ง
เมื่อมาถึงที่นี่แล้ว เขาก็ร่ายเวทเพื่อเปิดหน้าจอสื่อสารออกมาสามหน้าจอด้วยกัน
ในแต่ละหน้าจอ เป็นภาพของบุคคลทั้งชายและหญิงที่เร้นกายอยู่ในเงามืดจนแทบมองไม่เห็นใบหน้า ในจอจึงปรากฏเพียงเพียงเค้าร่างอันดำทะมึนเท่านั้น
เมื่อเห็นว่าหน้าจอสื่อสารทั้งหมดทำงานโดยสมบูรณ์แล้ว เซธก็กล่าวกับทุกคนในหน้าจอทันที
“พวกเธอทุกคนคงรู้งานที่ได้รับมอบหมายแล้วใช่มั้ย?”
เหล่าผู้ที่อยู่ในหน้าจอก็คือสมุนที่เซธสร้างขึ้นด้วยการสังเคราะห์จิต เป็นสมุนรุ่นที่สองซึ่งถูกสร้างขึ้นมาเป็นการเฉพาะ เพื่อใช้ช่วยงานในด้านต่าง ๆ ซึ่งเหล่าขุนพลแต่ละคนก็จะมีสมุนแบบนี้เป็นลูกมือคอยช่วยงานกันทั้งสิ้น โดยขุนพลแต่ละคนอาจมีสมุนคนสนิทตั้งแต่ 1-5 คน แล้วแต่ความพอใจ ซึ่งความจริงเซธมีสมุนอยู่ 5 คน แต่สามคนนี้คือคนที่ทำการเคลื่อนไหวอยู่ภายนอก
สมุนเหล่านี้จะมีเวท ‘สายใยวิญญาณ’ คอยถ่ายทอดประสบการณ์ด้วย ซึ่งในปัจจุบัน ซาลได้พัฒนาเวทนี้จนทำให้มันมีผลเหมือนกับการเชื่อมต่อทางกระแสจิตอย่างหนึ่ง ทำให้สามารถเลือกถ่ายทอดประสบการณ์บางอย่างเป็นการเฉพาะได้ นี่เป็นเหตุผลที่ขุนพลทุกคนสามารถรับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นที่โรงเรียนได้ทันทีตั้งแต่ก่อนเริ่มประชุม เช่นเดียวกับที่เหล่าสมุนของเซธได้รับรู้ภารกิจที่พวกเขาได้รับมอบหมายผ่านทางการถ่ายทอดประสบการณ์เช่นกัน
เมื่อเหล่าสมุนในหน้าจอสื่อสารพยักหน้ารับ เซธก็กล่าวมอบหมายหน้าที่ให้กับแต่ละคน
“กีเดี้ยน เธอไปจัดการสืบประวัติของ คุโรฮาเนะ คิริฟุเสะ มาซะ ส่วนสลาวิคกับมาร์ซิออน พวกนายไปสืบประวัติของ วารัล วารันเด้ มา… สืบมาให้ละเอียดด้วย”
เมื่อได้ยินคำสั่งของเซธ เหล่าสมุนก็มีท่าทีสับสนเล็กน้อย เพราะคำสั่งนี้ไม่ตรงกับที่พวกเขารับรู้จากการถ่ายทอดประสบการณ์
“เอ่อ… ท่านจอมพลให้พวกเราสืบเฉพาะประวัติของคุโรฮาเนะไม่ใช่เหรอครับ?”
สมุนชายในหน้าจอหนึ่งพูดขึ้น แต่เมื่อเห็นเซธขมวดคิ้วใส่ เขาก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก
“อาซาเรลคงไม่ทำหน้าที่บกพร่องหรอก แต่เจ้าหมอนั่นมันมองโลกในแง่ดีเกินไป ดูยังไงเจ้าวารัลมันก็เป็นศัตรูของเรา เป็นอุปสรรคต่อแผนการของเราชัด ๆ แค่ที่มันทำในวันนี้ก็ไม่สมควรที่จะปล่อยให้มีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว… พวกนายไปสืบประวัติของมันมา สาวออกมาให้หมดไส้หมดพุง ไม่ว่าอาซาเรลจะมีรายงานยังไงก็ไม่เกี่ยว ฉันต้องการให้เจ้าวารัลต้องออกไปจากที่นี่ และต้องออกไปอย่างอัปยศที่สุดด้วย”
เซธกล่าวพูดด้วยดวงตาเบิกโพลงที่แฝงความคลุ้มคลั่งอยู่ในที ทำให้เหล่าสมุนได้แต่ก้มหน้ารับคำสั่งด้วยความยำเกรง ก่อนจะตัดการติดต่อไป
เมื่อหน้าจอสื่อสารทั้งหมดปิดลงแล้ว เซธก็หันมองไปยังที่ราบเบื้องล่างอีกครั้ง
ตรงกลางของที่ราบขนาดไพศาลนั้นก็คือโรงเรียนอีจิสไพร์มซึ่งรายล้อมไปด้วยเขตชุมชนเป็นวงแหวน จนดูราวกับเมืองที่สร้างล้อมโรงเรียนเป็นวงกลมนั่นเอง
เซธมองดูโรงเรียนพลางแสยะยิ้มที่สื่อถึงความรู้สึกพึงใจออกมาครั้งหนึ่ง ก่อนจะแตะสัมผัสอักขระที่ซ่อนอยู่บนต้นไม้ใกล้ ๆ จากนั้นก็มีแสงสว่างวาบออกมา กลืนร่างของเขาให้หายวับไป ทำให้ที่แห่งนั้นเหลือเพียงความว่างเปล่า