Doombringer the 5th - ตอนที่ 99
Ch.99 – เด็กไม่ดี
Translator : YoyoTanya / Author
Ch. 95
เด็กไม่ดี
Part 1
เช้าวันต่อมา
คุโระที่เพิ่งจะอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ออกจากห้องเพื่อเตรียมจะไปยังอาคารเรียน
แต่ก่อนจะเดินลงบันไดไปเขาก็ยั้งเท้าลง เพราะไม่แน่ใจว่าควรจะรอไปพร้อมกับซาลดีหรือไม่
ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเดินลงจากหอไปคนเดียว เพราะถึงแม้จะอยู่กลุ่มเดียวกัน แต่คุโระก็ไม่อยากให้คนคิดว่าตนเองสนิทสนมกับบุตรชายของผู้สร้างหายนะ จึงไม่อยากให้คนอื่นเห็นเขากับซาลเดินทางไปยังห้องเรียนพร้อมกัน นี่ไม่ใช่ความรู้สึกรังเกียจ แค่เป็นการพยายามลดปัญหาของตนเองลงเท่านั้น
หอพักของนักเรียนปีหนึ่งอยู่ห่างจากเขตอาคารเรียนไปไม่มาก แต่ก็ต้องใช้เวลาเดินหลายนาที ระหว่างนั้นคุโระก็เห็นนักเรียนรุ่นพี่จำนวนมากกำลังมุ่งตรงไปยังลานน้ำพุใจกลางโรงเรียน ทำให้เขานึกขึ้นได้ว่าวันนี้เป็นวันปฐมนิเทศของนักผจญภัยรุ่นสามัญชั้นปลาย (ปี 4-6) แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับนักเรียนปีหนึ่งอย่างเขา อีกทั้งเส้นทางจากหอไปยังอาคารเรียนก็ไม่ต้องผ่านพื้นที่ส่วนกลางบริเวณลานน้ำพุด้วย เขาจึงได้แต่เหลือบมองบรรยากาศอันคึกคักบริเวณใจกลางโรงเรียนอยู่ห่าง ๆ ในระหว่างเดินไปยังอาคารเรียน
คุโระเป็นคนไม่ชอบทานของคาวในตอนเช้า มื้อเช้าที่เขากินเป็นปกติจึงมีเพียงขนมปังและนมเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ได้แวะที่ห้องอาหารซึ่งอยู่ใต้หอพัก เพราะที่นั่นมีนักเรียนจำนวนมากกำลังเข้าคิวซื้ออาหารเช้าอยู่ ส่วนของที่เขากินสามารถซื้อได้จากห้องอาหารขนาดเล็กที่อยู่ใต้อาคารเรียนเช่นกัน เขาจึงเลือกที่จะเดินมาซื้อที่นี่ จะได้ไม่ต้องไปเบียดเสียดกับคนอื่น ๆ
แต่ทันทีที่มาถึงห้องอาหารประจำอาคารเรียน คุโระก็ต้องรู้สึกแปลกใจ เพราะแม้ที่นั่นจะแทบไม่มีคนอยู่เลยดังที่เขาคาดไว้ แต่กลับมีคน ๆ หนึ่งกำลังนั่งรับประทานอาหารอยู่เพียงลำพัง
คนผู้นั้นก็คือซาลารัส แฮลเซียน ทายาทของผู้สร้างหายนะคนที่สี่นั่นเอง
หลังจากเหลียวซ้ายแลขวาจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีคนอื่นอยู่บริเวณนี้ คุโระจึงเดินเข้าไปทักทายซาลเพื่อไม่ให้เสียมารยาท
“อะ.. อรุณสวัสดิ์ครับ”
“โอ้ ว่าไงคุโระ มากินข้าวเหรอ?”
“ชะ.. ใช่ครับ”
เมื่อพูดจบ คุโระก็เดินตรงไปยังตู้ขายอาหารอัตโนมัติ และกดซื้อชุดอาหารเช้าที่มีเพียงขนมปังกับนมมา ซึ่งหลังจากผ่านไปแค่ไม่กี่วินาที ช่องจ่ายของด้านหน้าของตู้ก็เปิดออก เผยให้เห็นถาดหลุมซึ่งมีขนมปังสีน้ำตาลอ่อนหนึ่งก้อนกับนมสดอีกหนึ่งขวดวางอยู่
อาหารจากตู้ขายอัตโนมัตินี้เป็นอาหารสำเร็จที่เก็บรักษาและจัดเตรียมด้วยเทคโนโลยีผสมผสานระหว่างวิทยาศาสตร์กับเวทมนตร์ คุณภาพของมันก็ไม่ได้ด้อยกว่าอาหารที่ปรุงแบบสดใหม่สักเท่าไหร่นัก แต่ผู้คนก็ยังมีค่านิยมที่ชอบทานของสดมากกว่าอยู่ดี โดยปกติแล้วนักเรียนส่วนใหญ่จึงนิยมทานอาหารที่ใต้หอพักมากกว่า เพราะเป็นอาหารที่ปรุงใหม่แบบวันต่อวัน
คุโระหยิบถาดอาหารออกมาจากช่องจ่ายของก่อนจะเดินกลับมายังที่ ๆ ซาลนั่งอยู่
ในใจเขาก็มีความรู้สึกลังเลอยู่บ้าง แต่ถ้าจะปลีกตัวไปนั่งที่อื่น หรือถือแค่ขนมปังกับนมไปกินบนห้องก็จะดูเป็นการแสดงความรังเกียจจนเกินไป จึงต้องกลับมานั่งที่โต๊ะเดียวกับซาลด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
ทางด้านซาลที่เห็นสีหน้าแบบนั้นของคุโระก็รู้สึกขบขันอยู่ในใจ เพราะถึงแม้อีกฝ่ายจะมีท่าทีกังวลและไม่อยากข้องแวะกับเขานัก แต่เมื่อคืนก็ยังอุตส่าห์เอาหมอนกับผ้าห่มไปให้เพราะกลัวว่าเขาจะลำบาก นับว่าเป็นคนที่มีจิตใจดีและซื่อตรงต่อความถูกต้องคนหนึ่ง
ในระหว่างนั้นเอง ซาลก็นึกขึ้นมาได้ว่ามีเรื่องที่อยากจะถามอีกฝ่ายอยู่ แม้จะสั่งให้ขุนพลคนสนิทอย่างอาซาเรลไปสืบประวัติของคุโระดูแล้ว แต่นั่นก็แค่เผื่อไว้เท่านั้นเอง ความจริงเขาคิดว่าเรื่องที่อยากรู้นั้นถ้าถามกับเจ้าตัวอาจได้รับคำตอบเร็วกว่าก็ได้ และตอนนี้ก็อยู่กันตามลำพังพอดี เขาจึงเอ่ยถามตามที่ตั้งใจเอาไว้
“นี่ ทำไมนายถึงโดนอาจารย์วารัลหมายหัวล่ะ?”
“เอ๋? อะ.. อะไรนะครับ?”
คุโระแสดงอาการลนลานออกมาพลางหลบสายตาไปทางอื่นเพราะจู่ ๆ ก็ถูกถามในเรื่องที่คาดไม่ถึง ซึ่งซาลก็พอจะเข้าใจดีว่านี่เป็นเรื่องที่เจ้าตัวคงไม่อยากให้คนอื่นรู้สักเท่าไหร่ จึงต้องแสดงให้อีกฝ่ายเห็นว่าเขารู้ทุกอย่างหมดแล้ว เพื่อให้คุโระยอมพูดออกมาง่ายขึ้น
“ทั้งที่รู้ว่าชั่วโมงโฮมรูมกำลังจะเริ่ม ก็ยังส่งนายไปยกเอกสารจากอาคารอื่นมา แถมเขายังลงเวทป้องกันเอาไว้ทำให้นายต้องหอบเอกสารกองโตนั่นมาด้วยตัวเอง สุดท้ายคือการจัดให้นายมาอยู่กลุ่มเดียวกับฉัน ซึ่งเป็นคนที่ไม่มีใครอยากจะยุ่งเกี่ยวด้วย ดูยังไงมันก็เป็นการจงใจสร้างความลำบากให้กับนายชัด ๆ เลยนี่นา?”
เมื่อถูกซาลมองออกถึงขนาดนี้ คุโระก็ได้แต่นิ่งเงียบไป เขายังคงหลบสายตาไปทางอื่นและมีอาการลังเลอยู่พักหนึ่ง แต่ในที่สุดคุโระก็ตัดสินใจบอกเหตุผลออกมาด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา
“นั่นเพราะ.. ผมเคยทำให้เขาเกือบถูกเพิกถอนใบอนุญาตน่ะครับ…”
คำตอบนั้นทำให้ซาลเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ เขาอยากรู้รายละเอียดมากขึ้นอีกว่าเรื่องราวเป็นมายังไง จึงชะโงกหน้าเข้าไปใกล้อีกฝ่ายและถามย้ำอีกครั้งด้วยระดับเสียงที่เหมือนกับเป็นการกระซิบ
“หมายความว่าไงน่ะ? เล่ามาให้ชัด ๆ ซิ”
“เดิมทีผมเรียนอยู่ที่โรงเรียนไพรเวน (Priwen) เป็นโรงเรียนนักผจญภัยที่อยู่ทางตอนใต้ของอีจิสไพร์มครับ และอาจารย์วารัลก็เป็นอาจารย์อยู่ที่นั่นด้วย เขารับผิดชอบเป็นผู้ดูแลของนักเรียนปีสาม ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของนักผจญภัยรุ่นเยาว์
ปัญหามันมีอยู่ว่า เขาเป็นอาจารย์ที่ไม่ใส่ใจกับการสอนสักเท่าไหร่ ทั้งยังให้นักเรียนที่เขารับผิดชอบใช้โควต้านักผจญภัยรุ่นเยาว์ไปรับภารกิจเคลียร์ดันเจียนมาดองทิ้งไว้แต่ไม่ให้ทำการเคลียร์ รอจนครบเวลาค่อยไปส่งภารกิจว่าผ่านแล้ว จากนั้นเขาถึงจะประเมินคะแนนให้ ซึ่งก็เป็นการประเมินคะแนนแบบสั่ว ๆ จนได้เกรดออกมาแบบสะเปะสะปะเหมือนกับการวัดดวง ทำให้ทุกคนต่างก็ไม่พอใจกันทั้งนั้น”
“เห? ให้นักเรียนไปรับภารกิจมาดองไว้เหรอ? ทำไมล่ะ? ตามกฎเบื้องต้นของนักผจญภัยแล้ว เมื่อพบดันเจียนก็ต้องทำการเคลียร์ให้เร็วที่สุดเพื่อความปลอดภัยของมวลชนนี่นา”
แม้ซาลจะรู้อยู่แล้วว่านั่นเป็นแค่ข้อควรปฏิบัติที่พวกนักผจญภัยทั่วไปไม่ค่อยทำกัน แต่สำหรับโรงเรียนนักผจญภัยซึ่งมีหน้าที่อบรมให้นักเรียนรู้จักกฎระเบียบพื้นฐานของนักผจญภัยแล้ว นี่ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ถูกละเลยได้
“นั่นเพราะเขาจะเก็บดันเจียนไว้ให้บริการน่ะครับ”
“ให้บริการเหรอ?”
“ในสมัยนี้ บางฤดูก็จะเกิดการขาดแคลนดันเจียนขึ้นมา เพราะจำนวนของนักผจญภัยมีเยอะกว่าดันเจียน ทำให้นักผจญภัยหลาย ๆ กลุ่มเกิดการว่างงาน แต่จะมีดันเจียนที่ทางสมาคมในพื้นที่กันไว้สำหรับให้นักเรียนของโรงเรียนนักผจญภัยใช้เป็นสถานที่ฝึกฝนและเรียนรู้ อาจารย์วารัลจึงใช้ประโยชน์จากจุดนี้ นำดันเจียนที่ควรจะให้นักเรียนใช้ฝึกฝนไปเป็นสถานที่ล่าวัตถุดิบของพวกนักผจญภัยแทนเพื่อเก็บค่าบริการน่ะครับ”
เมื่อได้ฟังเรื่องนี้ ซาลก็ถึงกับขมวดคิ้วด้วยความข้องใจ
——————————————————————————–
Part 2
เรื่องที่ดันเจียนกลายเป็นสิ่งขาดแคลนจนถึงกับต้องมีการแย่งชิงในบางช่วงนั้นเป็นเรื่องที่เขาพอจะรู้อยู่แล้ว แต่นึกไม่ถึงว่าจะมีคนนำดันเจียนมาหาประโยชน์ในรูปแบบนี้ ทั้งคนที่ทำยังเป็นถึงอาจารย์ด้วย
“งั้นที่ว่านายเกือบทำให้เขาต้องถูกเพิกถอนใบอนุญาตน่ะ?…”
“…เพราะการกระทำของเขาทำให้ทุกคนต่างก็ไม่พอใจกันทั้งนั้น ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปว่าเราจะยื่นจดหมายร้องเรียนกับทางสมาคมนักผจญภัยเพื่อเปิดเผยความผิดของเขา แต่ในขั้นตอนนี้กลับไม่มีใครกล้าที่จะออกหน้าเป็นผู้นำ ไม่มีแม้แต่คนที่ยอมเป็นตัวแทนในการนำหลักฐานไปทำการร้องเรียน เพราะทุกคนต่างก็กลัวว่าถ้าเกิดความผิดพลาดขึ้นมาก็จะทำให้ตัวเองเดือดร้อน สุดท้ายกลุ่มแกนนำก็เลยเลือกคน ๆ หนึ่งขึ้นมาทำหน้าที่เป็นตัวแทนในการร้องเรียน…”
เมื่อได้ฟังคำอธิบายนั้น ซาลก็เข้าใจอย่างกระจ่างชัด ว่าคนที่ถูกกลุ่มนักเรียนคัดเลือกให้เป็นตัวแทนก็คือคุโระนั่นเอง
“แล้วสุดท้ายก็เกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นจริง ๆ สินะ?”
“ครับ… เพราะเขาเป็นคนที่มีเส้นสายมากกว่าที่เราคิด คือมีคนคอยหนุนหลังทั้งในโรงเรียนและในสมาคมนักผจญภัย ทำให้ความผิดแค่นี้ไม่สามารถลงโทษเขาได้ จึงถูกทำทัณฑ์บนเอาไว้เท่านั้น แถมคนรู้จักของเขาในสมาคมนักผจญภัยยังเอารูปพรรณของผมไปเปิดเผยว่าเป็นคนยื่นจดหมายร้องเรียนอีก ทำให้ผมถูกมองว่าเป็นตัวการของเรื่องนี้ไปในที่สุด
หลังจากนั้น ผมก็ถูกบีบคั้นจากเกือบทุกด้าน ทั้งจากอาจารย์วารัลเอง ทั้งจากกลุ่มอาจารย์ที่เป็นพรรคพวกของเขา และทางโรงเรียนซึ่งมองว่าผมทำให้โรงเรียนเสียชื่อเสียงเพราะไปร้องเรียนกับสมาคมนักผจญภัย โดยที่เหล่านักเรียนคนอื่น ๆ ต่างก็กลัวจะตกเป็นเป้าการโจมตีไปด้วยจึงได้แต่เพิกเฉยและตีตัวออกห่าง ยังดีที่ทางโรงเรียนกลัวว่าหากทำเรื่องที่ไม่ยุติธรรมมากไปผมอาจยื่นจดหมายร้องเรียนกับหน่วยงานอื่นอีก เขาจึงปล่อยให้ผมจบการศึกษาออกมาแบบกะท่อนกะแท่นน่ะครับ แต่ไม่นึกว่าผมจะสอบเข้าเรียนที่นี่ได้ในปีเดียวกับที่อาจารย์วารัลได้เข้ามาสอนแบบนี้…”
เมื่อได้ฟังดังนั้น ซาลก็มีอาการขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความหงุดหงิด โดยนิสัยแล้วเขาไม่คิดว่าคุโระจะโกหกหรือแต่งเรื่องขึ้นมา แต่อย่างไรก็ตามนี่ก็เป็นคำให้การเพียงฝ่ายเดียว เขายังอยากจะรอข้อมูลอีกด้านหนึ่งจากอาซาเรลก่อนแล้วค่อยตัดสินใจอีกที
หลังจากสงบอารมณ์และพิจารณาเรื่องทั้งหมดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยคำพูดขึ้นอีกครั้ง
“แล้วมีคนจากโรงเรียนเดิมได้เข้ามาเรียนที่นี่บ้างรึเปล่า?”
“มะ.. ไม่ครับ ผมเป็นคนเดียวในโรงเรียนที่สอบเข้าที่นี่ได้”
ซาลคิดว่านั่นไม่ใช่เรื่องแปลกนัก เพราะถ้าอาจารย์สอนแบบขอไปที แถมยังยึดดันเจียนไว้หาประโยชน์ส่วนตนแทนที่จะใช้ฝึกฝนนักเรียนแบบนี้ หากมาตรฐานของนักเรียนจะต่ำลงจนสอบแข่งขันกับโรงเรียนอื่นไม่ได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ถึงกระนั้นคุโระก็ยังสามารถสอบเข้าที่นี่ได้ แปลว่าเขาต้องเป็นคนที่มีความพยายามและมุมานะพอตัวเลยทีเดียว
“แปลว่าไม่มีนักเรียนคนไหนที่มีเหตุผลจะต้องกีดกันนายสินะ?”
“ก็.. คงไม่มีครับ แต่ถ้าอาจารย์วารัลเขาไปพูดอะไรกับคนอื่น ๆ ละก็…”
“เรื่องนั้นถ้านายสนิทสนมกับทุกคนได้ก่อนและเปิดเผยเรื่องนี้กับทุกคนก่อนที่วารัลจะไปปลุกปั่นอะไรได้ก็ไม่น่าจะมีปัญหานะ”
“แต่… ผมจะทำแบบนั้นได้ยังไงกันล่ะครับ คือ… ผมเองก็ไม่ใช่คนที่ถนัดเรื่องการผูกมิตรซะด้วย…”
ถึงเจ้าตัวจะไม่บอก ซาลก็พอจะรู้เรื่องนั้นอยู่แล้ว เพราะเด็กที่ดูขี้อายและขาดความมั่นใจอย่างคุโระคงยากที่จะเดินเข้าไปทำความรู้จักและสนิทสนมกับทุกคนได้ในเวลาอันสั้น แต่ทันใดนั้น เขาก็เหลือบไปเห็นกลุ่มนักเรียนที่กำลังเดินมายังอาคารเรียน ทำให้นึกแผนการหนึ่งขึ้นมาได้
“นายลุกขึ้นยืนซิ”
“เอ๋?”
“ช่วยทำตามที่บอกก่อนเถอะน่า แล้วก็ตั้งใจฟังเรื่องที่ฉันจะพูดให้ดี ๆ ด้วยนะ”
แม้จะรู้สึกสับสนเพราะไม่รู้ว่าเขาต้องการจะให้ทำอะไร แต่คุโระก็ทำตามที่อีกฝ่ายบอกอย่างว่าง่าย
ระหว่างนั้น ซาลก็เลื่อนถาดอาหารของตัวเองไปด้านข้าง แล้วดึงถาดของคุโระมาไว้ตรงหน้าของตัวเองแทน ก่อนจะพูดต่อ
“ไม่ต้องหันไปมองนะ ในกลุ่มนักเรียนที่กำลังเดินมานั่นมีคนหนึ่งชื่อว่า ฟาลโก้ เอซาล่อน เขาคนนี้เป็นคนที่มีนิสัยรักความยุติธรรมและมักจะออกหน้าช่วยเหลือผู้อื่นทุกเมื่อ ถึงจะไม่รู้ว่านั่นเป็นนิสัยที่แท้จริงของเจ้าตัวรึเปล่า แต่ฟาลโก้ก็มักจะทำเช่นนั้นเป็นประจำจนผู้คนต่างพากันนิยมชมชอบและยกให้เป็นศูนย์กลางของกลุ่ม เรียกได้ว่าเป็นคนที่ค่อนข้างป๊อปปูล่าร์เลยล่ะ
หากเขามาเจอนายกำลังถูกคนไม่ดีรังแกเข้าละก็ ด้วยวิถีปฏิบัติของฟาลโก้แล้วต้องรีบยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือและรับนายเข้ากลุ่มแน่นอน ที่นายต้องทำก็แค่พยายามตามน้ำไปในฐานะของผู้ถูกกระทำ และใช้โอกาสนี้ฝังตัวเข้าไปในกลุ่มซะ เมื่อมีโอกาสก็เล่าเรื่องที่เคยเกิดขึ้นในโรงเรียนเก่าของนายให้ฟาลโก้ฟังด้วย ถ้าได้คนอย่างฟาลโก้มาเป็นกระบอกเสียงให้แล้วละก็ ต่อให้วารัลพยายามปลุกปั่นใส่ร้ายยังไงก็คงไม่มีผลแน่”
คำพูดของซาลยิ่งทำให้คุโระแสดงสีหน้างุนงงขึ้นไปอีก เขาจึงถามย้อนกลับมาอีกครั้ง
“ผะ.. ผมไม่เข้าใจครับ คุณซาลเอาเรื่องพวกนี้มาบอกกับผมทำไมเหรอครับ?”
“เพราะนายกำลังจะถูกคนไม่ดีรังแกไงล่ะ”
เขาพูดพลางแสยะยิ้มออกมา คุโระที่รู้สึกสับสนอยู่แล้วจึงขมวดคิ้วมากขึ้นด้วยความงุนงง
ในระหว่างนั้น กลุ่มนักเรียนที่ซาลพูดถึงก็เดินเข้ามาในห้องอาหารพอดี เมื่อสบโอกาส เขาจึงงัดถาดอาหารที่อยู่ตรงหน้าเข้าใส่คุโระ จนขนมปังในถาดกระดอนขึ้นไปโดนหน้าของอีกฝ่าย แถมขวดนมก็ยังหล่นลงพื้นจนน้ำนมที่อยู่ข้างในไหลนองออกมาเต็มพื้นไปหมด
เสียงถาดอาหารที่หล่นลงพื้นจนเกิดเสียงดังไปทั่วห้องได้ดึงความสนใจของกลุ่มนักเรียนให้หันมามองโดยพร้อมเพรียงกัน เป็นเวลาเดียวกับที่ซาลเอามือทุบโต๊ะแล้วตวาดออกมาด้วยสีหน้าเกรี้ยวกราด
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ใช่อันนี้! ตอนเช้ามันก็ต้องนมรสกาแฟเซ่! ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องรึไง!?”
“อะ.. เอ๋?”
คุโระที่ยังคงปรับตัวรับกับสถานการณ์ไม่ทันก็ได้แต่อ้ำอึ้งด้วยความงุนงง ส่วนซาลที่เห็นว่ากลุ่มนักเรียนได้หันความสนใจมาทางนี้แล้วก็ลุกขึ้นเพื่อกระพือการแสดงให้เร้าใจขึ้นอีก
“ยังมัวยืนบื้ออยู่ได้! อยากเจ็บตัวรึไง!?”
ซาลลุกขึ้นพลางกระแทกเสียงและเอากำปั้นทุบลงบนโต๊ะอีกครั้งจนทำให้คุโระต้องสะดุ้งด้วยความตกใจ และทันใดนั้นเองก็มีเสียงของคน ๆ หนึ่งแทรกขึ้นมา
“หยุดนะ!”
เสียงนั้นทำให้ทั้งซาลและคุโระหันไปมองโดยพร้อมเพรียงกัน
——————————————————————————–
Part 3
เจ้าของเสียงก็คือเด็กผู้ชายผมทองผู้มีใบหน้าหล่อเหลาซึ่งก้าวออกมายืนอยู่หน้ากลุ่มนักเรียนอย่างองอาจ แม้เขาจะจ้องมองมายังซาลด้วยสีหน้าจริงจังและเป็นปฏิปักษ์ แต่ดวงตาคู่นั้นก็ยังฉายแววของความอ่อนโยนให้เห็นอยู่ภายใน
ถึงนี่จะเป็นสิ่งที่เขาวางแผนไว้เอง แต่ทั้งสถานการณ์และบุคคลที่เหมือนกับหลุดมาจากในละครนี้ทำให้ซาลเกือบจะหลุดยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกขบขัน ทว่าเขาก็ต้องพยายามสงบสีหน้าเอาไว้และเล่นไปตามบท
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนายซะหน่อย มายุ่งอะไรด้วย?”
ซาลพยายามปั้นหน้าเหยเกแล้วถลึงตาถามกลับไปให้สมกับเป็นตัวร้าย (เป็นลักษณะของพวกนักเรียนนักเลงที่เขาเคยอ่านมาจากบันทึกของโลกเก่า) แต่สีหน้าที่ผิดธรรมชาตินั้นกลับทำให้คุโระเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ
ทางด้านฟาลโก้ยังคงไม่มีท่าทีสะทกสะท้านกับท่าทางที่ดูเหมือนเป็นการคุกคาม (?) นั้น และตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่น
“ฉันไม่กล้าอ้างตัวเองว่าเป็นผู้ผดุงความยุติธรรมหรอกนะ แต่การรังแกคนอ่อนแอน่ะมันเป็นเรื่องที่ผิด และนายเองก็ไม่มีสิทธิ์จะไปใช้งานเพื่อนนักเรียนเหมือนกับเป็นคนรับใช้แบบนี้ด้วย โดยเฉพาะการระบายอารมณ์หรือใช้กำลังกับอีกฝ่ายแบบนี้ก็ยิ่งไม่ควร ถ้ายังไงช่วยเลิกราไปแค่นี้จะได้มั้ย?”
ระหว่างที่ฟาลโก้กำลังพูดถ้อยคำอันน่าชื่นชมเหล่านั้นอยู่ กลุ่มนักเรียนด้านหลังที่เป็นพวกผู้หญิงซะส่วนใหญ่ต่างก็กระซิบกระซาบกันด้วยท่าทางปลาบปลื้มและระริกระรี้ เหมือนกำลังได้เห็นพระเอกของตัวเองออกโรงฉะกับผู้ร้ายแบบสด ๆ ทำให้ซาลต้องพยายามขบเม้มริมฝีปากมากกว่าเดิมเพื่อไม่ให้หลุดยิ้มออกมา แต่ท่าทีนั้นกลับทำให้อีกฝ่ายคิดว่าเขากำลังแสดงอาการเจ็บแค้นอยู่
“ฉันเข้าใจว่าเพราะประวัติทางบ้านทำให้นายไม่ได้รับการยอมรับจากคนอื่นสักเท่าไหร่ แต่นั่นมันก็เป็นแค่ส่วนประกอบ การจะได้รับการยอมรับหรือไม่มันขึ้นกับการกระทำของตัวนายเองด้วย ถ้ามัวแต่ทำตัวแบบนี้ก็ไม่มีวันที่จะได้รับการยอมรับหรอก”
คำพูดสำทับของฟาลโก้ทำให้ซาลฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ แต่นี่ก็เป็นจังหวะเหมาะสมสำหรับการปิดม่านละครโรงเล็กนี้พอดี เขาจึงแสร้งทำสีหน้าหงุดหงิดแล้วเดินออกจากห้องอาหารไปด้วยท่าทีไม่พอใจ โดยทิ้งทุกคนเอาไว้เบื้องหลัง
ในระหว่างนั้น ฟาลโก้ก็เดินเข้ามาทักทายกับคุโระที่ยังคงยืนอึ้งอยู่ เพื่อปลอบขวัญ
“นายไม่เป็นไรใช่มั้ย? ถ้าจำไม่ผิด นายก็เป็นนักเรียนห้อง E เหมือนกันสินะ?”
“เอ๊ะ? อะ.. เอ่อ… ใช่ครับ”
“ฉัน ฟาลโก้ เอซาล่อน ยินดีที่ได้รู้จัก”
“ผะ.. ผม คุโรฮาเนะ คิริฟุเสะ ครับ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ”
“ถูกจับให้อยู่กลุ่มเดียวกับคนแบบนั้นคงจะแย่หน่อยนะ แต่ไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวฉันจะลองไปคุยกับอาจารย์ดู ถ้าอาจารย์ยอมให้มีกลุ่มสี่คนได้สักหลาย ๆ กลุ่มละก็ น่าจะพอเจียดคนจากกลุ่มอื่น ๆ มาตั้งกลุ่มใหม่ให้นายได้ ฉันมีคนรู้จักอยู่เยอะแยะ พวกเขาไม่มีปัญหาแน่ ส่วนนาย เวลาเลิกเรียนแล้วก็ตรงมาหาพวกเราได้เลย ถ้าอยู่กับคนเยอะ ๆ ละก็ หมอนั่นคงไม่กล้าทำอะไรแน่”
“คะ.. ครับ…”
คุโระรับคำพลางเหลือบมองไปยังทิศทางที่ซาลเดินไปอีกครั้ง แม้ตอนนี้อีกฝ่ายจะเดินลับไปแล้วก็ตาม
ตอนนี้เขาเข้าใจในเจตนาของซาลโดยกระจ่างแล้ว เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นไปตามที่ซาลได้พูดเอาไว้ทุกอย่าง คือฟาลโก้จะออกตัวปกป้องและรับเขาเข้าไปในกลุ่มอย่างรวดเร็ว
เรื่องนี้ทำให้คุโระทั้งรู้สึกทึ่งในความฉลาดและประทับใจที่ซาลยอมรับบทตัวร้ายเพื่อช่วยให้เขามีทางออกในสถานการณ์อันล่อแหลมของตนเอง แต่ในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกสงสัยว่าทำไมซาลจึงยอมทำขนาดนั้นเพื่อช่วยคนที่รู้จักกันเพียงผิวเผินอย่างเขาด้วย ถึงเขาจะเคยแสดงไมตรีด้วยการนำหมอนกับผ้าห่มไปให้ แต่มันก็เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย แถมยังเป็นการช่วยเหลือที่ไม่จำเป็นกับอีกฝ่ายด้วยซ้ำ
คุโระได้แต่เก็บความสงสัยนั้นเอาไว้ในใจ ในระหว่างที่ฟาลโก้พาเขาไปแนะนำตัวให้คนอื่น ๆ ได้รู้จัก
ทางด้านซาลที่เดินออกมาจากห้องอาหารได้พักหนึ่งแล้วก็แอบมายืนคอตกและเอามือพิงผนังไว้ เพราะเพิ่งจะนึกได้ว่าทำเรื่องที่ขัดกับแผนการของตัวเองลงไป
“แย่ล่ะ… ความจริง… เรากะจะแสดงตัวเป็นคนธรรมดาที่ไม่โดดเด่นและพยายามผูกมิตรกับคนอื่นไปด้วยนี่นา… แต่แบบนี้มันก็โคตรเด่นแถมยังทำให้ผูกมิตรกับคนอื่นยากไปด้วยไม่ใช่เรอะเนี่ย!?”
เนื่องจากรีบร้อนจะช่วยคุโระและเห็นสถานการณ์ประจวบเหมาะที่จะดำเนินแผนการได้พอดี ซาลจึงตัดสินใจลงมือโดยลืมนึกถึงผลลัพธ์ที่จะตามมา ว่ามันขัดกับแผนการที่เขาตั้งใจเอาไว้ในทีแรก ทำให้เกิดอาการจิตตกเมื่อเพิ่งจะนึกถึงเรื่องนี้ได้
เขาขบคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่พักหนึ่ง ก่อนจะกลับมายืนตัวตรงด้วยสีหน้าที่เป็นปกติอีกครั้ง
“ไม่สิ.. ความจริงแบบนี้ก็ไม่เลวทีเดียว สำหรับคนที่ถูกกีดกันและได้รับความกดดันจากทุกด้าน จะให้คงสภาพจิตใจที่ผ่องใสเป็นมิตรและเฮฮาปาร์ตี้ไปวัน ๆ ก็จะดูน่าสงสัยมากกว่า… ถึงจะทำให้ผูกมิตรกับคนอื่นได้ยากขึ้น แต่แบบนี้ก็น่าจะดูสมเหตุผสมผลในสายตาของพีชคีปเปอร์มากขึ้นด้วย…
สำหรับเรื่องการผูกมิตร ก็ใช่ว่าจะหมดหนทางไปซะทีเดียว… โดยเฉพาะถ้ามีคุโระอยู่ในกลุ่มแกนนำของห้องแบบนั้น การจะจัดการกับข้อมูลข่าวสารเพื่อปรับทัศนะคติของทุกคนในวันหน้าก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำไม่ได้… โดยเฉพาะเรายังมีแผนการสำหรับการเป็น ‘ตัวร้ายที่แสนรัก’ เตรียมเอาไว้เผื่อสถานการณ์แบบนี้แล้วด้วย ยังไงก็ไม่น่าจะมีปัญหาแหละน่า…”
ซาลเคยคิดแผนรองรับสถานการณ์หลากหลายรูปแบบเอาไว้แล้ว เพื่อให้สามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นทุกเมื่อได้อย่างเหมาะสม
แม้แผนการเดิมที่เตรียมเอาไว้จะล้มเหลวไปโดยไม่ได้ตั้งใจ จนทำให้ต้องเปลี่ยนมาใช้แผนอื่น แต่ซาลก็ไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดหรือขัดใจอะไร แถมยังรู้สึกพึงใจจนเผยรอยยิ้มออกมาบนใบหน้า
เพราะเขาคิดว่าหากอะไรเป็นไปตามแผนหมดทุกอย่างมันก็คงจะเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ อีกอย่างคือแผนเดิมที่ตั้งใจเอาไว้ก็เป็นอะไรที่เน้นความปลอดภัยมากเกินไปจนขาดสีสันอยู่แล้ว (นำเสนอแผนโดยเอ็มเมอริชและอาซาเรล) การที่มีเรื่องเหนือคาดจนต้องเปลี่ยนแผน โดยเฉพาะต้องเปลี่ยนมาเล่นบทที่น่าสนใจอย่างการเป็นตัวร้ายนี้เป็นอะไรที่เขารู้สึกว่าน่าสนใจมากกว่า
“อืม… รู้สึกสบายใจที่ไม่ต้องทำตัวเป็นคนดีแบบนี้ แปลว่าจริง ๆ แล้วเราก็เป็นคนไม่ดีสินะ? อุ๊บ.. ฮุฮุฮุ”
ซาลหัวเราะให้กับตัวเองอีกครั้ง ก่อนจะเดินต่อไปยังห้องเรียน เพื่อเริ่มการเรียนในวันแรกอย่างเป็นทางการ ในฐานะของ ‘ตัวร้าย’