Dungeon Defence - ตอนที่ 16
วกเลือดผสม, แลพิส แลซูลี
ปฎิทินจักรวรรดิ์: ปี 1505, วันที่ 16, เดือน 8
ลานกว้างหน้าวิหารเฮอร์มีส เมืองนีฟเฮม
เพล้ง
แก้วแตกกระจาย
เพียงพริบตาเดียว ความสนใจทั้งหมดก็หันมาด้านนี้
คนบนลานกว้างกว่า 200 คน ไม่มีผู้ใครส่งเสียงแม้แต่น้อย ความเงียบงันนั้น เพียงพอที่จะทำให้เสียงแก้วแตกกระจายดังไปทั่วลานกว้าง…… แม้จะเป็นเพียงแค่แก้ว ๆ เดียว แต่มันก็เพียงพอที่จะได้ยินไปถึงมุมที่ไกลที่สุด
“อ๋าาา?”
อันโดรมาเลียส หันมามองทางพวกเรา
ดวงตาบิดเบี้ยวน่ารังเกียจที่ชวนให้นึกถึงดวงตาของหมาป่า สายตาที่บ่งบอกถึงนิสัยที่หยาบคายและอารมณ์ฉุนเฉียว
“นี่แกคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน? ทำไมถึงไม่ก้มมองพื้นหลบตาข้าหา?”
อันโดรมาเลียส หันมาพูดกับฝ่าบาท
แค่ฝ่าบาทก็ยังคงนิ่งเงียบไม่มีการตอบสนองใด ๆ นี่ฝ่าบาทกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่? เราค่อย ๆ หันไปมองดูสีหน้าของฝ่าบาทอย่างระมัดระวังและ — ก็รู้สึกเย็นเยือกไปถึงสันหลัง
มันคือใบหน้านั้นเอง
มันคือใบหน้าในยามที่ฝ่าบาทได้ค้นพบเหยื่อและกำลังเฝ้ารอมันด้วยความใจเย็น
มันไม่ใช่ใบหน้าเกียจคร้านในเวลาปกติ แต่เป็นใบหน้าที่มีรอยยิ้มจาง ๆ ที่มุมปาก มันคือใบหน้าของฝ่าบาทในยามที่กำลังวางแผนชั่วร้ายอยู่ในหัว
ดูเหมือนอีกฝั่งหนึ่งดูเหมือนจะยังไม่รู้ว่าฝ่าบาทนั้นเป็นใคร แต่ก็ไม่แปลก เพราะเขาของฝ่าบาทนั้นถูกเส้นผมบนหัวบังจนแทบจะหมดสิ้น
อันโดรมาเลียส ถ่มน้ำลายลงบนพื้น — “โฮ่ ดูนั่นสิ ไอ้หมอนี่มันไม่ยอมก้มหน้าหลบข้าแม้แต่นิดเดียวเลยว่ะ”
หลังจากที่เตะใส่คนแคระอีกครั้ง อันโดรมาเลียสก็หันเดินมาทางพวกเรา ด้วยการเดินแบบซ้ายทีขวาทีราวกับแมวป่าที่กำลังเจอของเล่นชิ้นใหม่
เผ่าปีศาจที่นั่งอยู่รอบ ๆ ต่างค่อย ๆ ถอยออกไปเปิดทางให้อันโดรมาเลียสเดินผ่าน ปกติแล้วก็คงเป็นเช่นนี้เอง อยู่ ๆ คงไม่มีใครอยากแส่หาเรื่องยุ่งยากใส่ตัว
แต่ในทางกลับกัน เหล่าแม่มดเบอเบอรเรก็ได้แต่เพียงนั่งนิ่งเงียบบนเก้าอี้ เนื่องจากพวกเธอถูกฝ่าบาทจ้างให้มาทำหน้าที่คุ้มกัน ดังนั้นศักดิ์ศรีของพวกเธอจึงไม่มีทางที่จะยอมให้ทำเรื่องอย่างการทิ้งฝ่าบาทและหนีไปได้
“ไอ้พวกชาวบ้านที่ไม่รู้จักดีชั่วเอ้ย”
ดูเหมือนว่าอันโดรมาเลียสจะขมวดคิ้วไม่พอใจที่เหล่าแม่มดไม่ยอมเป็นฝ่ายทักทายเขาทั้งที่รู้ว่าเขาเป็นใคร
“ถ้าพวกแกได้พบกับจอมมาร อย่างน้อย ๆ พวกแกก็ต้องเข้าไปทักทายด้วยการคำนับสิวะ แล้วนี่มันอะไรกัน? ทำไมพวกแกถึงยังเชิดหน้าชูตาด้วยท่าทางจองหองแบบนี้อยู่?”
อันโดรมาเลียส กระชากดึงเส้นผมของแม่มดคนหนึ่งขึ้นมาจนเธอส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด
“อึก……”
พวกแม่มดนั้น เป็นพวกที่ชอบเดินทางไปไหนมาไหนอยู่ตลอด ในบางครั้งพวกเธอจะหายตัวออกไปร่อนเร่เป็นเวลามากกว่าร้อยปี ส่วนเธอที่กำลังถูกดึงผมนั้นมีชื่อว่าเบียทริซ เราได้ยินว่าเธอเพิ่งออกจากการเร้นตัว และเพิ่งจะได้กลับมาทำงานเป็นผู้คุ้มกันครั้งแรกก็งานนี้เอง ทั้งที่งานนี้เป็นงานแรกของเธอในช่วงหลายสิบปีแท้ ๆ ก็ต้องมาเจอกับอันโดรมาเลียสเสียแล้ว ช่างโชคร้ายเสียจริง
“เฮ้ย ไอ้พวกทาส จอมมารอยู่ที่นี่ทั้งคนนะเว้ย จอมมารผู้ทรงเกียรติที่มอบชีวิตและเลี้ยงดูพวกแกไงล่ะ หัดรู้จักทักทายข้าให้มันสุภาพกว่านี้หน่อยสิวะ นี่พวกแกแม้แต่จะลุกจากที่นั่งก็ยังไม่ยอมลุกเลยเรอะ”
“อึก อือ……”
เสียงของเส้นผมที่ถูกกระชากจนหลุดนั้น ดังจนสามารถได้ยินได้
แต่พวกเธอก็ยังคงปิดปากเงียบ ไม่ตอบสนองใด ๆ
มันคือเรื่องของมารยาท พวกแม่มดจำเป็นต้องให้เกียรติฝ่าบาทดันทาเลียนที่เป็นผู้ว่าจ้างของตัวเอง จึงไม่อาจก้มหัวทำความเคารพอันโดรมาเลียส เพราะมันจะมีความหมายเท่ากับการยอมรับว่า อันโดรมาเลียสนั้นมีลำดับชั้นสูงกว่าฝ่าบาทดันทาเลียนไปโดยปริยาย
“โฮ่ ดูสิ”
อันโดรมาเลียส แสยะยิ้มซาดิสออกมา
“ไอ้พวกทาสพวกนี้กลายใบ้กันหมด ถ้าลิ้นของพวกแกมันงี่เง่านักอย่างน้อยก็ขยับหัวสิวะ ดูสิ คอของพวกแกเนี่ยเกร็งกันทุกคนเลย จะให้ข้าผู้ยิ่งใหญ่คนนี้จะช่วยทำให้มันแข็งแรงขึ้นเอาไหม? เลิกทำเป็นเล่นตัวแล้วก็……”
“ช่างเป็นคนที่เหมือนกับขยะอาจมจริง”
ในที่สุดฝ่าบาทดันทาเลียนก็เปิดปากพูด
และทำให้อันโดรมาเลียสถึงกับผงะ
“ว่าไงนะ?”
“ข้าบอกว่าแกเป็นคนที่เหมือนกับขยะอาจม ตอนแรกนึกว่าจะมีแค่สมองแกนี่มันเน่าเฟะ แต่ดูเหมือนว่าในหูของแกก็คงจะมีแต่น้ำหนองด้วย”
เรารู้สึกได้ถึงบรรยากาศความรู้สึกแตกตื่นของทุกคนในลานกว้างแห่งนี้
แม้แต่เราเองก็ยังคิดว่าตัวเองคงได้ยินอะไรผิดไปชั่วขณะหนึ่ง ขยะอาจมงั้นหรือ? นั่นเป็นคำพูดที่ห้ามพูดออกมาต่อหน้าจอมมารในที่สาธารณะเด็ดขาด และมันก็กำลังทำให้ใบหน้าของอันโดรมาเลียสบิดเบี้ยวอย่างรวดเร็ว
“นี่แกกล้าดียังไงถึงได้กล้าใช้คำสิ้นคิดต่อหน้าข้าผู้ยิ่งใหญ่คนนี้……”
“ก็เพราะแบบนี้แหละ ไอ้พวกกุ้ยข้างถนนที่ชอบลำพองตัวถึงได้น่าสมเพช ถ้าแกไม่มีเงินจ่ายค่าเหล้า ก็ขอโทษแล้วเดินจากไปดี ๆ สิ จะมาทำเป็นหาเรื่องโวยวายจนกับต้องทำร้ายคนแก่ทำไม แล้วนี่แค่ส่งเสียงดังให้โลกเขารู้ถึงความงี่เง่าของตัวเองยังไม่พอ ยังจะลามปามมาหาเรื่องข่มเหงพวกแม่มดอีกรึ”
ฝ่าบาทดันทาเลี่ยนหัวเราะเยาะ
“ยังมีหน้าจะมาเรียกตัวเองว่า ‘ผู้ยิ่งใหญ่’ อีกนะ นี่มันผลงานชิ้นเอกเลยชัด ๆ อันโดรมาเลียสเอ๋ย แกน่ะไม่ใช่จอมมารหรอก แกก็เป็นแค่ไอ้มือใหม่ที่เกิดมาพร้อมกับเขาบนหัวเท่านั้นเอง”
“อะ-ไอ้บัดซบนี่……?”
“เหล่าเทพเจ้านี่ก็ช่างโหดร้ายเสียจริง ทำไมพวกท่านถึงได้ส่งขยะอาจมอย่างแกมาเกิดเป็นจอมมารบนโลกนี้ได้ ต่อให้เป็นนักบุญก็นักบุญเถอะ ถ้าได้มาเห็นหน้าแกเข้าก็คงอดที่จะสาปส่งเหล่าเทพเจ้าไม่ได้แน่ การที่มีผู้ศรัทธาในตัวพวกท่านน้อยลงทุกวัน ๆ ก็คงเป็นเพราะแบบนี้เอง……”
สีหน้าของอันโดรมาเลียสสลับไปมาระหว่างขาวซีดกันแดงเถือก
ถ้าสังเกตุดูดี ๆ ก็จะเห็นไหล่ของอันโดรมาเลียสกำลังสั่นกระตุกอยู่ ก็คงเป็นเช่นนั้นเอง ชั่วชีวิตของจอมมารอย่างอันโดรมาเลียสคงไม่เคยที่จะถูกหยามหยันถึงเพียงนี้มาก่อนหรอก
อันโดรมาเลียส ตะคอกใส่ผู้คนที่อยู่รอบ ๆ
“พวกแกทำอะไรกันอยู่!? ทำไมพวกแกยังไม่ลากไอ้คนไร้ยางอายนี่ออกไปให้พ้นหน้าข้าอีก!?”
ส่วนฝ่าบาทดันทาเลียน ก็พ่นลมออกทางจมูก เหมือนกับว่ากำลังรู้สึกตลกอยู่จริง ๆ
“เห็นไหม ผลงานชิ้นเอกเลยใช่ไหมล่ะ? ไอ้งั่งนี่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนที่อยู่ข้างหน้ามันก็เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน คงไม่ใช่แค่หู แต่ลูกตามันก็หนองขึ้นด้วยแล้วล่ะมั้งเนี่ย ท่าทางจะเน่าเฟะไปทั้งตัวยิ่งกว่าศพจริง ๆ อีก”
“เผ่าพันธุ์เดียวกัน……?”
ฝ่าบาททำท่ายักไหล่
“ข้าคือจอมมารลำดับที่ 71 จอมมารดันทาเลียน และก็ขอด้วยว่าพวกแม่มดที่แกกำลังข่มเหงอยู่ คือคนที่ข้าจ้างวานมาคุ้มกันข้าในวันนี้เอง”
“ลำดับที่ 71……”
“เอาสิ เชิญร่ำร้องขอโทษที่ข่มเหงรังแกเหล่าผู้คุ้มกันสุดรักของข้าได้ตามสบายเลย”
ฝ่าบาทลดระดับแแก้วเบียร์ที่ถืออยู่ในมือลง
“เข้าใจหรือยัง? ขอโทษพวกเธอดี ๆ แล้วก็ไสหัวไปซะ ถึงมันออกจะเป็นเรื่องที่ทำใจยากหน่อย แต่มันก็คือมารยาทพื้นฐานของสังคม จงใช้โอกาสนี้เรียนรู้เสียสิ”
“เฮอะ ข้าก็อุตสาห์หลงนึกว่าแกเป็นขุนนางยิ่งใหญ่มาจากที่ไหนซะอีก”
อันโดรมาเลียส ทำท่าเยาะเย้ยอย่างผู้มีชัย
อันโดรมาเลียสคงจะกำลังคิดอยู่ว่า อีกฝ่ายก็เป็นเพียงแค่ฝ่าบาทดันทาเลียน ที่มีลำดับสูงกว่าเขาเพียง 1 ขั้น เป็นพวกปลาซิวปลาสร้อยที่ไม่มีความสามารถและไม่มีใครหนุนหลังเหมือนกับตัวเขาเป็นแน่
แต่นั่นเป็นความคิดที่โง่เขลา ไม่มีอะไรที่จะโง่เขลาไปกว่าการเผลอคลายความระมัดระวังป้องกันต่อหน้าฝ่าบาทดันทาเลียนอีกแล้ว
แม้ในยามปกติฝ่าบาทจะทำตัวขี้เกียจสันหลังยาวถึงเพียงไหนก็ตาม แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ฉากหน้า เป็นเพียงรูปลักษณ์ที่มีไว้เพื่อปิดบังตัวตนที่แท้จริงของฝ่าบาท ตัวตนที่เหมือนกับปีศาจร้ายที่คอยล่อลวงให่อีกฝ่ายคลายความระมัดระวัง จากนั้นก็จัดการกลืนกินเข้าไปในอึดใจเดียว
ส่วนอันโดรมาเลียสที่กำลังแสยะยิ้มอยู่นั้น ไม่มีทางที่จะรู้เรื่องนี้ได้ ท่าทางในตอนนี้ของมันก็เหมือนกับหมูป่าที่กำลังวิ่งตะบึงไปสู่ปลายผา
“อย่างนั้นหรือ อย่างนั้นหรอกหรือดันทาเลียน โอย กลัวจังเลย จริงสิข้าได้ข่าวว่าช่วงนี้แกกำลังดังสุด ๆ เลยนี่หว่า ก่อนหน้านี้ก็มีข่าวลือว่ามีไอ้โง่ที่ไหนไม่รู้ที่รับพวกจัณฑาลมาเป็นสนม ใช่แล้ว ถ้าแกคือดันทาเลียนล่ะก็…… งั้นยัยนี่ก็คือยัยเลือดผสมที่โด่งดังคนนั้นสินะ”
อันโดรมาเลียสหันมามองยังเรา
นี่เราตกเป็นเป้าหมายแทนฝ่าบาทอย่างนั้นหรือ?
“ชาวบ้านธรรมดาที่หาญกล้าใช้ร่างกายล่อลวงจอมมาร! ไม่ผิดแน่ ขนาดสีผมของแกยังเหมือนกับสายเลือดต่ำทรามของแกไม่มีผิด”
เพี๊ยะ เพี๊ยะ
อันโดรมาเลียสใช้ฝ่ามือตีแก้มของเรา
แก้มของเรารู้สึกเจ็บพอตัว แม้อันโดรมาเลียสจะตั้งใจทำเป็นเหมือนกับตบแก้มเราเล่น ๆ แต่กระนั้น เราก็ยังสัมผัสได้ถึงความตั้งใจที่แท้จริง
“ข้าล่ะไม่เข้าใจรสนิยมของแกเลยสักนิด ยัยนี่มันมีดีตรงไหนกัน? หน้าตาของยัยนี่มันก็สวยดีอยู่หรอก แต่ไอ้ที่สำคัญน่ะ มันคือสายเลือดต่างหาก สายเลือดของยัยนี่มันสกปรกจะตายไป”
การเปลี่ยนเป้าหมายมาเล่นงานเรานั้น ถือเป็นการตัดสินใจที่ใช้ได้
แม้จอมมารนั้นจะถือว่าเป็นสิ่งที่ห้ามล่วงละเมิดและต้องเคารพก็จริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ากฎนี้จะสามารถใช้กับจอมมารด้วยกันเอง หรือก็คือ เหล่าจอมมารนั้นเสมอภาคกัน ถ้าหากว่าจอมมารเกิดทำร้ายจอมมารด้วยกันเองแล้วล่ะก็ ทั้งสองฝ่ายก็จะตกอยู่ภายใต้กฎหมายธรรมดาโดยทันที แต่ในทางกลับกัน จอมมารนั้นสามารถทุบตีจัณทาลอย่างเราได้โดยไม่ต้องรับความผิดใด ๆ
และนั่นก็เป็นเหตุผลที่อันโดรมาเลียสเริ่มหันเหเป้าหมายมาที่เรา ดูท่าคงจะตัดสินแล้วว่าตำแหน่งของตัวเองนั้นไม่พอที่จะหาเรื่องกับฝ่าบาท ก็เลยรีบเปลี่ยนเป้าหมายไปยังเป้าหมายที่อ่อนแอกว่า
“หรือจะเป็นเพราะแบบนั้น? ปากล่างของแกมันคงจะสุดยอดจนทำให้ดันทาเลียนมันหลงเสน่ห์แกจนหัวปักหัวปำได้สินะ?”
อันโรามาเลียสเริ่มหัวเราะคิกคัก
“ว่ายังไงล่ะ ข้าผู้ยิ่งใหญ่คนนี้จะยอมให้แกเชยชมร่างกายของข้าก็ได้? ได้นอนกับจอมมารถึง 2 คน สำหรับคนที่เกิดมาเป็นแค่ชาวบ้านอย่างแก คงไม่มีเกียรติอะไรที่จะมากไปกว่านี้อีกแล้วล่ะ!”
“……”
“ก๊ากฮ่าฮ่า! ฝั่งหนึ่งเป็นจอมมารปัญญาอ่อนลำดับที่ 71 ส่วนอีกฝั่งหนึ่งก็เป็นยัยร่านที่เกิดจากผู้หญิงที่ถูกมนุษย์ข่มขืน เหมาะกันอย่างกับอะไรดี! ใช่มั้ยล่ะ?”
ทันใดนั้นเอง
อันโดรมาเลียสก็ตบแก้มของเราโดยที่ไม่มีเวลาให้ตั้งตัวใด ๆ
และครั้งนี้มันก็ไม่ใช่เพียงแค่การตบเล่น ๆ
อันโดรมาเลียตั้งใจตบเราอย่างเต็มที่ ความรุนแรงของมันถึงกับทำให้หน้าของเรานั้นหันไปด้านข้าง
—ถ้าถามว่าเจ็บไหม ก็คงต้องตอบว่าเจ็บเอาการ
เพียงแต่ว่าสำหรับเราแล้ว นี่มันไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่โตอะไรเลย
สำหรับเราที่โดนทุบตีมาตั้งแต่เด็ก โดนทุบตีมามากเสียจนรู้สึกเฉยชา เคยโดนแม้กระทั่งถูกคนในหมู่บ้านรุมเอาหินขว้างใส่ทุกวัน หากเมื่อเทียบกันแล้ว การตบของอันโดรมาเลียสก็เหมือนกับเด็กเล่นเท่านั้น
คนเราแม้ไม่อาจด้านชากับความรู้สึกเจ็บปวด แต่ก็สามารถชินชากับความเจ็บปวดได้ นั่นล่ะคือสิ่งที่เรียกว่าคน และเราก็คือหนึ่งในพวกที่ว่านั่น
“……”
เราหันคอกลับไปมองเบื้องหน้าเช่นเดิม
ทันทีที่เราทำเช่นนั้น เสียงหัวเราะของอันโดรมาเลียสก็หยุดลง
“อ๋าาา? นี่แกมองอะไรของแกกันวะ?”
อันโดรมาเลียสตบหน้าเราอีกครั้ง โดยที่คราวนี้เรารู้สึกเหมือนกับว่าอีกฝ่ายทุ่มน้ำหนักตัวทั้งหมดมาที่มือด้วย แต่น่าเสียดายที่มันไม่มีความหนักหน่วงเลยแม้แต่น้อย อันโดรมาเลียสคงไม่ได้ใช้เวลาในการออกกำลังกายเลยกระมั้ง
เราหันหน้าไปกลับมองตรงอีกครั้ง
“……น่ารำคาญพอกันทั้งเจ้านายทั้งข้ารับใช้เลยโว้ย!”
อันโดรมาเลียสส่งเสียงคำราม
และเหวี่ยงแขนเข้าใส่ใบหน้าของเราไม่หยุด
เพียงแต่มันไม่มีประโยชน์อันใด
เพราะทุกครั้งที่โดนตบ ใบหน้าของเราก็จะหันกลับมายังที่เดิมเสมอ
“กะ กรอดด……!”
ใบหน้าของอันโดรเมเดียสค่อย ๆ บิดเบี้ยวด้วยความโกรธขึ้นเรื่อย ๆ
แค่ความโกรธแบบเด็ก ๆ แค่นี้ก็เก็บซ่อนเอาไว้ไม่ได้ ต่ำเสียจริง มันช่างน่าสมเพชจนแม้แต่เราเองก็ไม่อยากที่จะมอง
ส่วนเรานั้นก็ได้แต่สงสัยว่าฝ่าบาทกำลังคิดแบบเดียวกับเราอยู่หรือเปล่า เพราะฝ่าบาทเอาแต่หัวเราะคิกคักอยู่ข้าง ๆ เรามาสักพักแล้ว
“ภาพที่ข้ากำลังเห็นอยู่นี่มันอะไรกัน อันโดรมาเลียส เอ๋ย มีอย่างที่ไหนกัน เป็นถึงจอมมารผู้ทรงเกียรติทั้งทีแต่แค่จัณฑาลคนเดียวก็ทำให้ยอมสยบไม่ได้ แน่ใจนะว่านี่ไม่ใช่ความผิดพลาดของเหล่าทวยเทพที่ส่งแกมาเป็นจอมมารน่ะ? จริง ๆ อย่างแกน่าจะต้องเกิดเป็นชาวบ้านธรรมดามากกว่าล่ะมั้ง?”
หน้าของอันโดรมาเลียสเปลี่ยนเป็นสีแดงแจ๋
“ขะ-ข้าผู้ยิ่งใหญ่……ข้าผู้ยิ่งใหญ่คนนี้……!”
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ไม่จำเป็นต้องหาข้อแก้ตัวอีกแล้วล่ะ ข้าเองก็เข้าใจว่าแม้แต่เหล่าทวยเทพเองก็มีเวลาที่พวกท่านเผลอหลับเวลาทำงานเหมือนกัน”
ฝ่าบาทดันทาเลียนยิ้มออกมา
“แต่ข้าขอเตือนเป็นครั้งสุดท้าย จงหยุดพฤติกรรมการทุบตีคนรักของข้าเดี๋ยวนี้ และก็ขอโทษจากใจจริงที่ลงมือทำร้ายคนรักกับคนคุ้มกันของข้าซะ”
“อย่าพูดอะไรบ้า ๆ นะ!”
ผัวะ
เหล่าแม่มดส่งเสียงกรีดร้อง
อันโดรมาเลียส ใช้หมัดต่อยมาที่เราด้วยพลังทั้งหมด จนตัวเรานั้นกระเด็นตกมาจากเก้าอี้กลิ้งไปบนพื้น
“……”
ปากของเรารู้สึกชาจากแรงกระแทก ลิ้นของเราก็สัมผัสได้ถึงรสของเหล็กภายในปาก ผ้าเช็ดหน้าที่เราหยิบขึ้นมาเช็ดมุมปากของเราก็แดงฉ่ำไปด้วยเลือด
เราค่อย ๆ ลุกขึ้นมาอย่างช้า ๆ
“โทษตายสำหรับแก!”
สายตาของอันโดรมาเลียสที่ขยับนิ้วชี้มายังเรานั้น
เต็มไปด้วยความชิงชังเคียดแค้น
ทุกท่านต่างก็รู้สึกประหลาดเหมือนกับเราคนนี้ไหม?
ตัวเรานั้นไม่เคยนึกเลยว่า จะมีใครที่รู้สึกจงเกลียดจงชังคนที่เพิ่งจะเคยพบหน้ากันได้เป็นครั้งแรกถึงขนาดนี้อยู่ด้วย ช่างเป็นคนที่ตั้งราคาค่างวดอารมณ์ของตัวเองไว้ถูกเสียจริง
น่าเสียดาย แต่สำหรับคนค้าคนขายอย่างเราแล้ว เราไม่มีทางที่จะรู้สึกเคารพคนที่ขายสินค้าของตัวเองอย่างไร้ค่าเช่นนี้ได้
“โทษตาย! แกจะต้องได้รับโทษตายเท่านั้น! ไอ้พวกจัณฑาลอย่างแกน่ะ ข้าจะตัดสินให้มีความผิดจริงโดยไม่ต้องมีการไต่สวนเลยก็ยังได้……! ต่อให้แกจะต้องถูกข้าคนนี้ฆ่ากับมือ แกก็ไม่มีสิทธิ์ขัดขืนใด ๆ ทั้งนั้น! เข้าใจไหม!? จงขอโทษที่ทำตัวหยิ่งผยองต่อหน้าข้าผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ซะ!”
หนึ่งคำก็โทษตาย สองคำก็โทษตายอยู่นั่นล่ะ หนวกหูจริง
สมองมีปัญญาพูดได้แค่คำนี้คำเดียวหรือยังไงกัน ขนาดก็อบลินอายุ 5 ขวบยังพูดได้หลากหลายกว่านี้เลย เราหันหน้าที่ไร้อารมณ์ของเรากลับไปจ้องมองที่อันโดรมาเลียสอีกครั้ง
“ยัยสำส่อนนี้ จนถึงที่สุดแล้วก็ยังไม่สำนึกอีก!”
อันโดรมาเลียสเดินตรงมายังเรา
“ได้! ข้าจะฉีกปากของแกออกมาเดียวนี้แหละ! จงไปสำนึกในนรกซะเถ—อ๊ากกกกกก!?”
แต่ก้าวที่ 5 ยังไม่ทันบรรลุ
ทุกคนบนลานกว้างก็พากันส่งเสียงกรีดร้อง
อันโดรมาเลียสล้มลง เลือดสีแดงค่อย ๆ พวยพุ่ง
“อึก อักกก? อ๊ากกก!?”
อันโดรมาเลียสขยับมือไปปิดปากแผลโดยสัญชาตญาณ
แต่นั่นไม่ใช่บาดแผลน่ารัก ๆ ที่เพียงแค่เอามือไปปิดไว้เลือดก็จะหยุด
ปริมาณเลือดที่ไหลออกมานั้นอันตรายมาก
อันโดรมาเลียสจ้องมองเลือดบนมือตัวเองแล้วร้องตะโกนลั่น
แทงเข้าจุดสำคัญในดาบเดียว
หนึ่งครั้งเห็นผล
เราที่เห็นเหตุการณ์เบื้องหน้า ก็ได้แต่คิดว่า—
ช่างเป็นวิธีการล่าเหยื่อที่สมกับฝ่าบาทดันทาเลียนจริง ๆ
“น่าเสียดาย”
ฝ่าบาทเช็ดเลือดที่ติดอยู่บนปลายมีด พร้อมกับพูดว่า
“ที่ยึดถือคำเตือนของข้าเป็นเพียงแค่ลมปาก”
ฝ่าบาทอยู่ในท่าทางที่ไม่ยี่หระถึงที่สุด ในจำนวนคนหลายร้อยคนบนลานกว้างแห่งนี้ คงมีเพียงฝ่าบาทผู้เดียวกระมังที่ไม่รู้สึกสะทกสะท้านกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำตัวราวกับว่าตัวเองนั้นอยู่คนละโลกกับบรรยากาศที่กำลังปกคลุมรอบ ๆ ตัวพวกเรา
‘เจ้าหมอนี่เพิ่งแทงอันโดรมาเลียสไปจริงหรือ?’
จนถึงขนาดว่ามีคนที่เริ่มสงสัยกับภาพที่เบื้องหน้าแล้วคิดเช่นนั้นออกมา
แต่อย่างไรก็ตาม ฝ่าบาทก็กำลังถือมีดที่ชุ่มไปด้วยเลือดอยู่ในมือจริง ๆ และเลือดที่กำลังหยดลงมานั้นก็ช่วยขจัดความไม่แน่ใจที่เกิดขึ้นออกไปจนหมดสิ้น
บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าผู้ก่อเหตุนั้นทำตัวเฉยชาเกินไป
เฉยชาจนทำให้ลานกว้างที่เต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องเมื่อสักครู่ค่อย ๆ เงียบสงบลง
เงียบสนิทจนรู้สึกอึดอัด
เงียบจนเสียงของฝ่าบาทนั้นดังก้องไปทั่วลานกว้าง
“แลพิส แลซูลี”
“ค่ะ ฝ่าบาท”
เราก้มหัวทำความเคารพทันทีที่ได้ยินเสียงเรียก
“ช่วยท่องกฎเกี่ยวกับการที่จอมมารจะโจมตีจอมมารด้วยกันให้ฟังอีกครั้งที”
“ตามบัญชา สำหรับการที่จอมมารจะสามารถทำร้ายจอมมารด้วยกันเองได้นั้น ฝ่ายแรกจะต้องแจ้งเตือนอีกฝ่ายด้วยความเคารพสองครั้งเสียก่อน ถ้าหากอีกฝ่ายยังคงไม่สนใจในคำเตือน และยังคงทำในสิ่งที่ก่อให้เกิดความอับอายให้แก่ฝ่ายแรก ฝ่ายแรกจึงจะสามารถที่จะโจมตีอีกฝ่ายได้”
กฎหมายสามัญ
เพราะว่าจอมมารนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่หาได้ยากยิ่ง ดังนั้นจอมมารจึงไม่ถูกผูกติดกับกฎหมายทั้งปวงเว้นเสียแต่จะเป็นการขัดแย้งระหว่างจอมมารด้วยกันเอง และในกรณีนั้น จอมมารทั้งสองฝ่ายก็จะถูกบังคับด้วยกฎหมายสามัญ
ส่วนกฎหมายสามัญที่ตัวเรานั้นเพิ่งท่องออกไปก็รู้จักกันในชื่อว่า [คำเตือนของโคคิวทัส]
อ้างอิงจากตำนาน คนที่ตายไปแล้วนั้นจะต้องข้ามผ่านแม่น้ำ 5 สาย ได้แก่ แม่น้ำแอเคอรอน, แม่น้ำโคคิวทัส, แม่น้ำเฟลจีธอน, แม่น้ำลีธี และ แม่น้ำสติกส์…… ซึ่งแม่น้ำโคคิวทัสก็คือแม่น้ำที่จะต้องข้ามผ่านเป็นลำดับสอง ซึ่งถ้าผ่านไปแล้วก็ต้องเจอกับแม่น้ำเฟลจีธอนที่ไม่ใช่แม่น้ำแต่เป็นธารลาวา และวิญญาณที่ข้ามผ่านแม่น้ำสายนี้ไปนั้น ก็จะต้องถูกไฟแผดเผา นี่คือที่มาของคำว่าคำเตือนของโคคิวทัส ที่มีความหมายเป็นการเตือนให้อีกฝ่ายเลิกเล่นกับไฟก่อนที่จะต้องเจ็บตัวนั่นเอง
อันโดรมาเลียสร้องครวญคราง
“ค-คำเตือนของโคคิวทัส……? หึหึ! ไอ้ระยำเอ้ย นี่แกรู้รึเปล่าว่าแกกำลังพูดบ้าอะไอยู่!?”
ถูกแล้ว นี่เป็นปฎิกิริยาตอบสนองตามปกติ
เพราะโดยทั่วไปแล้ว คำเตือนของโคคิวทัสจะใช้ในเวลาสงครามเท่านั้น ถ้าจอมมารคนหนึ่งคิดที่จะโจมตีฐานที่มั่นของจอมมารอีกตนหนึ่ง ก็จะต้องส่งสารประกาศสงครามถึงสองครั้ง คำเตือนของโคคิวทัสจะถูกใช้ในสถานการณ์เช่นนี้
จุดประสงค์ดั้งเดิมของมันก็เพื่อที่จะหยุดยั้งสงครามด้วยการประกาศว่า การลอบจู่โจมโดยไม่ประกาศสงครามล่วงหน้านั้น เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย สรุปก็คือ จุดประสงค์ที่แท้จริงของมันก็เพื่อจะควบคุมความขัดแย้ง แต่ฝ่าบาทดันทาเลียนกลับหากประโยชน์จากช่องว่างของกฎหมายนี้ได้อย่างชาญฉลาด
อันโดรมาเลียสยังคงเห่าหอนต่อไป
“เฮอะ ไอ้บัดซบเอ้ย แกจะต้องตายแน่ ดันทาเลียน! นี่คือจุดจบของแก…… จอมมารคนอื่นไม่มีทางที่จะปล่อยเรื่องนี้ไปง่าย ๆ …… อ๊อก! ตอนนี้แกจะมาร้องไห้ฟูมฟายขอโทษก็ช้าไปแล้ว! ข้าผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้ไม่มีทางที่จะยอมยกโทษให้แกเด็ดขาด!”
“คนที่ตายมันคือแกต่างหาก”
ฝ่าบาทดันทาเลียนเหยียบลงบนหลังมือของอันโดรมาเลียสจนเสียงกระดูกป่นดังก้องไปทั่วลานกว้าง ส่วนอันโดรมาเลียสนั้น ก็ส่งเสียร้องโหยหวนที่ยิ่งกว่าเดิมออกมาพร้อมกับดิ้นอยู่บนพื้น
“จอมมารลำดับที่ 72 ความผิดที่แกได้ก่อไว้มีดังนี้ ข้อแรก แกดูถูกและทุบตีคนคุ้มกันของข้าอย่างไม่มีเหตุผล ข้อสอง แกได้ลงมือทำร้ายคนรักของข้าโดยไม่มีเหตุผลใด ๆ”
ฝ่าบาทมองไปรอบ ๆ พร้อมกับพูดด้วยเสียงอันดัง
“ข้าได้ร้องขออันโดรมาเลียสอย่างสุภาพแล้วว่าให้หยุด แต่คำเตือนของข้าก็ถูกเพิกเฉย อันโดรมาเลียสไม่เพียงจะเป็นภัยคุกคามต่อความปลอดภัยของข้าเท่านั้น แต่ยังทำร้ายศักดิ์ศรีของข้าด้วย ขอให้ทุกคนในที่นี้เป็นพยาน!”
ผู้คนในลานกว้างต่างก็เริ่มหันไปซุบซิบกัน
ตัวตนของอันโดรมาเลียสในหัวของฝ่าบาทคงถูกลืมเลือนไปจนหมดแล้ว ยามนี้เป้าหมายของฝ่าบาทก็คือการฉุดลากคนในลานกว้างให้กลายเป็นพยานของฝ่าบาท
“ดูนี่สิ!”
ฝ่าบาทโยนถุงมือบนมือตัวเองทิ้งไป จากนั้นจับมือซ้ายของเราถอดถุงมือออกก่อนจะชูขึ้นฟ้า ราวกับเป็นการประกาศให้โลกรับรู้
แหวนที่อยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายของเรา
เพชรสีครามที่ส่องประกายเจิดตรัส
โดยแหวนที่เหมือนกันไม่มีผิดอีกวงหนึ่งกำลังส่องประกายอยู่บนนิ้วนางของฝ่าบาทเช่นกัน
“ข้าคือจอมมาร ส่วนนางผู้นี้เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา พวกเราทั้งสองต่างถูกห้ามไม่ให้ครองคู่กัน แต่จะทำไมล่ะ ข้าจอมมารผู้มีลำดับที่ 71 จอมมารดันทาเลียน ขอประกาศความรักของข้าที่มีต่อนางในนามของท่านเทพีแอโฟรไดที! ขอแหวนคู่นี้เป็นสักขีพยาน! ต่อให้ผู้คนขัดขวางความรักของพวกเรา แต่หัวใจของเราสองก็จะเป็นหนึ่งเดียวกันตลอดไป!”
ทุกคนต่างก็พากันอ้าปากค้าง
เพราะจอมมารได้ประกาศว่าตัวเองนั้นตกหลุมรักกับสาวชาวบ้านในลานกว้างสาธารณะเบื้องหน้าฝูงชนหลายร้อย
ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป สังคมคนชั้นสูงคงถล่มทลายดุจแผ่นดินพลิกกลับ เสียงกระซิบเรื่องความรักอันร้อนแรงของจอมมารกับสาวชาวบ้านคงได้ยินทุกมุมถนน นั่นก็ย่อมเป็นธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยไหน ผู้คนต่างก็รู้สึกตื่นเต้นกับหัวข้อ ‘ความรักต้องห้าม’ เสมอ
และนี่ก็คือที่ ๆ กลลวงของฝ่าบาทได้ถูกวางเอาไว้
ในเรื่องราวของความรักอันยิ่งใหญ่นี้ ตัวละครที่มีชื่อว่าอันโดรมาเลียสก็จะกลายเป็นเพียงก้อนหินรองเท้า
แผนการอันหลักแหลม
หากฝ่าบาทดันทาเลียนเพียงสังหารอันโดรมาเลียสทิ้งเสียเฉย ๆ มันจะเกิดอะไรขึ้น? แน่นอนว่ามันก็จะกลายเป็นคดีฆาตกรรม
แต่ถ้าหากฝ่าบาทได้ฆ่าคนเพื่อ ‘หญิงสาวชาวบ้านที่เขารัก’ เรื่องราวมันก็จะกลายเป็นอีกเรื่องหนึ่ง การฆาตกรรมที่ไร้สีสันจะกลับกลายเป็นเรื่องราวของความรักต้องห้ามอันเย้ายวนโดยฉับพลัน
ฝ่าบาทและตัวเรานั้นก็คือ โรมิโอและจูเลียต
ส่วนอันโดรมาเลียสก็คือตัวละครประกอบที่ถูกฆ่าตายด้วยน้ำมือของโรมิโอที่มีชื่อว่าติบอลท์
ความจริงก็ถูกบิดเบือนได้ง่ายเช่นนี้เอง
“ตะ-ตกหลุมรักกับจัณฑาลงั้นเรอะ นี่แกบ้าไปแล้วหรือยังไง ไอ้ฟั่นเฟือน……ไอ้ความอับอายของจอมมาร!”
อันโดรมาเลียสส่งเสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวด
ชายที่น่าสงสารผู้นี้ไม่รู้ตัวแม้แต่น้อยว่า ตัวเองนั้นกำลังจะต้องพบกับจุดจบ ไม่รู้แม้แต่น้อยว่าตัวเองนั้นกำลังถูกดึงเข้าไปพัวพันกับแผนการประเภทไหน เราผู้นี้คงได้แต่เพียงรู้สึกสงสารเขาเท่านั้น
“เจ้าตัวบัดซบ แกมันไม่คู่ควรที่จะถูกนับว่าเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกับผู้ยิ่งใหญ่อย่างข้า ลำดับชั้นเป็นกฎอันศักดิ์สิทธิ์ แต่แกกลับกล้าที่จะล่วงละเมิดกฎของธรรมชาติ……!”
“กฎของธรรมชาติอย่างนั้นหรือ?”
สายตาของฝ่าบาทก้มลงมองไปยังอันโดรมาเลียส
จากนั้นเสียงกระซิบที่เงียบเชียบ แต่น่าสะพรึงกลัวได้ถูกเอ่ยออกมา
“ข้าจะบอกให้เอาบุญว่าอะไรคือกฎของธรรมชาติไอ้มือใหม่ มันคือกฎของป่ายังไงล่ะ หากวิฬารคิดจะเทียบรอยเท้ากับพยัคฆ จุดจบของมันก็มีแต่ความตายสถานเดียว ความจริงของโลกมันก็น่าเบื่อเช่นนี้เอง ไม่คิดอย่างนั้นบ้างหรือ?”
พริบตาที่ได้ยินฝ่าบาทพูดเช่นนั้นสีหน้าของอันโดนมาเลียสก็ซีดขาว
ดูท่าตอนนี้คงจะสำนึกตัวขึ้นมาได้บ้างแล้วว่าฝ่าบาทตั้งใจที่จะสังหารเขาจริง ๆ
แต่มันก็สายเกินการ
“เช่นนี้เองข้าจึงชอบเรื่องโกหกมากกว่าเรื่องจริง ใบหน้าคนเราต้องแต่งแต้มเติมแต่งฉันใด ชีวิตคนเราก็ต้องการเรื่องตื่นเต้นเร้าใจฉันนั้น”
“ว-ไว้ชีวิต……”
“ผิด”
ฝ่าบาทสะบัดมีดในมือโดยไม่สนใจไต่ถามถึงเรื่องถูกผิด
แทงคมดาบไปยังลำคอของอันโดรมาเลียสทั้ง ๆ แบบนั้น
โลหิตไหลทะลักเข้าไปในหลอดลมจนอันโดรมาเลียสสำลัก
“อึก อ๊อกกกก……”
“ไว้ชีวิต? เป็นคำพูดที่น่าเบื่อหน่ายเสียจริง ชีวิตคนเรามันก็น่าเบื่ออยู่แล้วแท้ ๆ คำพูดของเจ้ากลับยิ่งทำให้ข้าต้องรู้สึกทรมาณกับความน่าเบื่อเพิ่มขึ้นไปอีก ข้าน่ะคิดอยู่เสมอว่าความน่าเบื่อก็คือบาปของมนุษย์ และก็เหมือนกับแมลงร้ายที่สมควรต้องกำจัดให้สิ้น”
จากนั้นฝ่าบาทก็ส่งเสียงกระซิบ
เสียงกระซิบนั้นแผ่วเบาจนมีแต่เราที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ฝ่าบาทเท่านั้นที่ได้บิน
“คราวหน้า ช่วยมาพบข้าพร้อมกับคำพูดก่อนตายที่ดีกว่านี้นะ เจ้านักแสดงระดับสามเอ๋ย”
“……”
ตัวของอันโดรมาเลียสสั่นระริก
ก่อนศรีษะจะตกลงอย่างสิ้นเรี่ยวแรงราวกับตุ๊กตาที่ถูกตัดเส้นด้าย
อารมณ์สุดท้ายที่แสดงบนดวงตาของเขานั้นคือความกลัว หรือความเกลียดชังในตัวฝ่าบาทกันแน่นะ ส่วนตัวเรานั้นคิดว่ามันคงจะเป็นไปได้ทั้งคู่
ฝ่าบาทยืดตัวตรงหันกลับไปมองรอบลานกว้างอีกครั้ง แต่ไม่มีผู้ใดที่คิดจะสบตา ทุกคนต่างพากันหลบสายตาด้วยสัญชาตญาณ และถูกตราตรึงด้วยบรรยากาศอันสงบนิ่งของฝ่าบาท
มันช่างน่าอัศจรรย์ใจ ภาพที่เราเห็นในตอนนี้นั้น คือภาพของฝ่าบาทดันทาเลียนที่สยบผู้คนจำนวนมากบนลานกว้างแห่งนี้ได้ด้วยลำพังตัวคนเดียว
จนถึงเมื่อสักครู่ ตัวเราเคยคิดว่าบารมีของกษัตริย์นั้นเป็นเพียงนามธรรมที่เลื่อนลอย เป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง จนกระทั่งได้มาเห็นฝ่าบาทในยามนี้ถึงได้เข้าใจเสียที ว่าฝ่าบาทนั้นมีอะไรบางอย่างที่สามารถสะกดเหล่าผู้ชมรอบข้างได้
ฝ่าบาทไม่ได้ปกครองประชาชนด้วยความหวาดกลัว ฝ่าบาทไม่ได้ดึงดูดผู้คนด้วยความมั่งมี แต่เป็นอะไรบางอย่างที่แตกต่างไปจากนั้น……
ทำไมในอดีตฝ่าบาทถึงไม่เคยแสดงความสามารถเช่นนี้ออกมา หรือฝ่าบาทสามารถเข้าถึงความสามารถอันมากล้นนี้ หลังจากผ่านพ้นความเป็นความตายจากเงื้อมมือของเหล่านักผจญภัยได้อย่างไร ตัวเราในเวลานี้คงไม่มีทางที่จะตอบคำถามเหล่านี้ได้
แต่ว่า
“อดทนได้ดีมาก ลาล่า”
“คะ?”
“ผู้ติดตามของข้าจะต้องไม่มีวันเชื่อฟังคำสั่งของผู้อื่น แม้ว่าเธอจะถูกอันโดรมาเลียสทุบตีไปขนาดไหน แต่เธอก็ไม่ยอมที่จะหลบสายตาจนถึงที่สุด ข้าประทับใจมาก เธอช่างเป็นผู้หญิงที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ ”
ฝ่าบาทส่งเสียงหัวเราะเจ้าเล่ห์ออกมา
ตัวเราที่ได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ นั้นก็ได้แต่เพียงคิดว่า
สุดท้ายแล้ว เราก็เลือกเจ้านายไม่ผิดคนจริง ๆ
นี่เป็นวันแรกที่เราคิดเช่นนั้น