Dungeon Defence - ตอนที่ 19
-ไม่ใช่ว่าข้าไม่สามารถหาผู้ชายได้หรอกยะ, แต่ข้าตั้งใจที่จะไม่มีความสัมพันธ์กับใครต่างหากล่ะ,นังโสเภณี ข้าเต็มใจเป็นโสดเองเว้ย แน่นอนว่า ผู้หญิงที่โยนร่างของเธอไปทั่วราวกับผ้าขี้ริ้วย่อมจะไม่เข้าใจอะไรแบบนี้หรอก ”
“อาฮ่ะ อย่าตอแหลเลย ข้าคนนี้เข้าใจมากกว่าที่หล่อนคิดนะ ”
ไพม่อน หรี่ตาของเธอลง
เจตนาเยาะเย้ยได้แฝงอยู่ในนัยน์ตาสีแดงของเธอ
“หล่อนไม่สามารถเลือกพวงองุ่นได้หรอกนะ ดังนั้นมันจะดีต่อสุขภาพจิตของหล่อนมากกว่าถ้าหล่อนไม่เรื่องมากและแดกองุ่นเปรี้ยวไปซะ ไม่ว่าเมื่อใด, มันก็เป็นเรื่องไม่น่าพิศมัยเมื่อเห็นคนที่หาเหตุผลเข้าข้างตัวพวกเขาเอง เนอะบาร์บาทอส? หล่อนอาจจะพูดได้ว่ามันรู้สึกเหมือนกำลังมองหาบุคลิกและสติปัญญาที่ขาดไปของพวกเขา …… ”
“…… ”
บาร์บาทอสได้ขบฟันของเธอ
ผมรู้สึกประทับใจกับบทสนทนาระหว่างจอมปีศาจทั้งสองมาก นั่นเป็นเหตุผลที่ผมรีบสื่อความรู้สึกที่ผมมีต่อลาพิส ลาซูรี่ในทันที
“ลาล่า ข้าอาจจะมีความเกลียดชังโลกภายนอกสุดๆ แต่ว่า, ถ้าข้าอยู่กับทั้งสองนั่น, ความคิดที่จะออกไปข้างนอกก็ดูไม่เลวเท่าไหร่เลยนะ เพียงแค่ยืนอยู่เฉยๆเช่นนี้และฟังพวกเขาพูดก็ทำให้ข้าอารมณ์ดีขึ้นแล้วล่ะ ”
“เราผู้นี้คิดว่านั้นเป็นเพราะภายในจิตใจของฝ่าบาทเสื่อมทรามไปแล้วค่ะ”
“เธอคิดว่ามันเป็นไปได้มั้ยที่จะขอนัดเดทกับทั้งคู่พร้อมๆกัน? ข้าจะออกไปเที่ยวกับพวกเขา, จากนั้นก็ลอบไปอยู่ข้างหลังและเฝ้าดูทั้งสองคนทะเลาะกัน ”
“เทพทั้งน้อยใหญ่คงจะตกใจสุดขีด, ผู้คนจะหวาดผวา, และแม้กระทั่งนักปราชญ์รุ่นเก่าๆจะสะดุ้งจนพวกเขาเตะฝาโลงของพวกเขาออกมาเพราะ ‘สันดานอันชั่วช้า’ ของฝ่าบาทแน่นอนเลยค่ะ”
ลาพิส ลาซูรี่ถอนหายใจ
“ในช่วงเวลา 300 ปีที่ผ่านมา บาร์บาทอส และ ไพม่อน ได้ทำสงครามระหว่างพวกเขาทั้งสองคนถึง 14 ครั้ง ในบรรดาจอมปีศาจ พวกเขามีความสัมพันธ์ที่เลวร้ายสุดๆ เราผู้นี้, ในฐานะที่จงรักภักดีต่อฝ่าบาท, ขอถวายคำแนะนำแก่ฝ่าบาทให้ล้มเลิกความฝันสิ้นคิดอันนั้นเถอะค่ะ. ”
“พวกเขาทำสงครามกันทุกๆ 21 ปีงั้นเหรอ?”
สงครามไม่ใช่การเล่นสนุกของเด็ก มันใช้ทั้งกำลังคน, เสบียงและเวลาเป็นจำนวนมหาศาล ถ้าพวกเขาไม่ได้ถึงกับเกลียดเข้ากระดูกดำ, งั้นพวกเขาก็คงจะไม่หาเรื่องฝ่ายตรงข้าม เช่น ทำสงครามกันบ่อยๆหรอกนะ
“ช่างเป็นพวกผู้หญิงที่ดุร้าย ป่าเถื่อนอะไรเช่นนี้หนอ. ข้ายิ่งสนใจในตัวพวกเขามากขึ้นแล้วแฮะ ”
“เราผู้นี้เริ่มกังวลอย่างยิ่งกับสเปคผู้หญิงของฝ่าบาทแล้วค่ะ เราผู้นี้หวังว่ามันจะเป็นความกังวลที่ไม่จำเป็น …… ”
“ฝ่ายที่สามอยู่ที่ไหน?”
ลาพิส ลาซูรี่เอียงศีรษะของเธอ
“อะไรนะคะ?”
“ข้าพูดถึงเรื่องฝ่ายที่สาม บุคคลที่สามน่ะ โลกเป็นเหมือนจักรวาลย่อส่วน, นั่นคือเหตุผลที่มันต้องมีความสมดุลภายในตัวของพวกมันเอง ดูนั่นสิ คนหนึ่งเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆผู้ใช้ชีวิตอยู่กับคำสาปบนลิ้นของหล่อน ในขณะที่อีกด้านหนึ่งเป็นผู้หญิงที่เสแสร้งเป็นคนดีมีศีลธรรม แต่ใช้ชีวิตของเธอด้วยการพูดพล่ามตามที่เธอต้องการ ความสมดุลของจักรวาลจึงได้พังทลายอย่างป่นปี้ …… ”
ผมส่ายหน้าไปมา
“เป็นไปไม่ได้หรอกที่การประชุมโดยที่ไม่มีผู้ไกล่เกลี่ยจะดำเนินงานมาได้นานถึงนับร้อยปี มันต้องมีบุคคลอันทรงเกียรติผู้ซึ่งสามารถกำราบผู้หญิงทั้งสองคนนี้ที่ดื้อรั้นดั่งควายติดสัตว์ ผู้หญิงคนนั้นบางทีอาจจะตรงกับสเปคของข้าก็ได้นะ”
และในตอนนั้นเอง
“ทั้งสองคนน่ะ ใจเย็นๆก่อนสิ.”
น้ำเสียงอันมืดมนอย่างเหลือเชื่อได้ดังก้องทั่วห้องบอลรูม
“เนื่องจากการทะเลาะวิวาทของพวกเจ้าการประชุมถึงได้หยุดชะงักลง อย่างน้อยก็ให้เกียรติ อีวาน ล๊อทบรอค คนที่ยอมเป็นเจ้าภาพจัดงานให้พวกเราบ้างเหอะ ”
เหล่าจอมปีศาจผู้ที่กำลังเถียงกันอยู่ได้เงียบปากลง
แสงเทียนส่องให้เห็นถึงใบหน้าของผู้พูดคนนั้น
อันดับที่ 5, มาร์บาส
ด้วยเสื้อโค้ทสไตล์ยุโรปตะวันออกที่คลุมอยู่บนไหล่ทั้งสองข้าง, ร่างกายที่ล่ำบึ้กแข็งแรง กำลังมองมาที่ผู้ร่วมงานอย่างช้าๆด้วยแว่นตาเลนส์เดียว …… เขาเป็นคนหัวล้านคนหนึ่ง
เขาก็คือ บุคคลที่สามผู้ซึ่งไม่มีอะไรมากไปกว่าผู้ชายที่มีรูปร่างหนาและสูงใหญ่
ลาพิส ลาซูรี่พึมพำออกมาว่า
“เราผู้นี้ไม่มีเหตุผลที่จะต้องกังวลเกี่ยวกับรสนิยมผู้หญิงของฝ่าบาทจริงๆด้วยค่ะ.”
“…… ข้าขอถอนคำพูดก่อนหน้านี้”
“มาร์บาสเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่ผู้หญิง แต่ทว่า, เราผู้นี้ไม่รู้ว่ามันเป็นเช่นเดียวกันกับผู้ชายด้วยค่ะ ”
เมื่อจอมปีศาจลำดับสูงสุดที่เข้าร่วมประชุมได้เข้ามาห้ามปราม, บรรยากาศภายในห้องบอลรูมก็เงียบสงบลง อีวาน ล๊อทบรอคได้รับความช่วยเหลือ, และดำเนินการประชุมต่อ ในขณะที่ผมกำลังเพิ่มความชุ่มชื้นในปากด้วยไวน์ ผมก็ได้ฟังการพูดคุยในหัวข้อต่างๆไปด้วย
————————————————-
และแล้วเวลาก็ได้ผ่านไปอย่างยาวนาน
มันน่าจะสนุกนะถ้ามีการโต้เถียงเกิดขึ้นอีกครั้งนึง แต่ทั้งบาร์บาทอส และ ไพม่อน ต่างก็ปิดปากของพวกเธอซะสนิทเลย ดังนั้นความบันเทิงทั้งหลายจึงไม่เกิดขึ้นจริง
ความน่าเบื่ออย่างเหลือเชื่อทำให้เปลือกตาของผมหนักขึ้น ถ้าไม่ได้ลาพิส ลาซูรี่หยิกสีข้างผมอย่างต่อเนื่อง ผมคงจะผลอยหลับไปแล้วในตอนนี้
ขณะที่ผมกำลังต่อสู้กับความง่วงอยากดุเดือดเลือดพล่าน ไพม่อนก็ได้เปิดปากของเธอในที่สุด
“เหล่าสหายที่รักของข้า, และ อีวาน ล๊อทบรอค ก่อนที่พวกเราจะเข้าสู่การหารือเกี่ยวกับโรคระบาด, มีเหตุการณ์นึงที่พวกเราต้องแก้ปัญหากันก่อนเป็นอันดับแรก ”
“สิ่งนั้นคืออะไรหรือครับ, ฝ่าบาท?”
“มันคือเหตุการณ์ฆาตกรรม. ข้าเชื่อว่าทุกคนในที่นี้ตระหนักถึงเหตุการณ์อันน่าอัปยศอดสูที่เกิดขึ้นเมื่อหลายวันก่อน ญาติพี่น้องของพวกเรา แอนโดรมาเรียส จอมปีศาจ อันดับที่ 72, ถูกฆาตกรรม ”
เอ๊ะ?
ผมกระพริบตาของผมที่ถูกบดบังด้วยความง่วงนอน
ไพม่อนได้หยิบยกประเด็นที่ค่อนข้างซีเรียสขึ้นมา
“แม้แอนโดรมาเรียสเป็นผู้ชายที่นำความอับอายขายขี้หน้ามาให้ ทั้งประพฤติตัวไม่เหมาะสมกับการที่เป็นถึงจอมปีศาจ แต่ว่า, แม้จะเป็นเช่นนั้น ,เขาก็ยังเป็นจอมปีศาจเช่นเดียวกันกับพวกเรา. ”
ด้วยก้าวย่างอันแผ่วเบา, ไพม่อนได้ก้าวเดินไปยังกลางห้องบอลรูม ในแต่ละก้าวของเธอได้ดึงเอาอาการง่วงเหงาหาวนอนในกะโหลกศีรษะของผมออกไปทีละน้อย เมื่อถึงตอนที่เธอหยุดเดินผมก็ตื่นจากความง่วงเต็มที่แล้ว
“ไม่ว่าขนาดของทวีปจะใหญ่สักเพียงใด จำนวนของผู้ถูกเลือกให้เกิดมาเป็นจอมปีศาจก็มีแค่ 72 ตน พวกเราเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีเพียง 72 ตนเท่านั้น คุณค่าในแต่ละคนจึงมีค่ามากจนพวกเราไม่สามารถนำไปเทียบกับเผ่าพันธุ์อื่นๆได้ แต่ญาติพี่น้องของพวกเรานั้นกลับถูกฆ่าอย่างเลือดเย็น ”
ไพม่อนได้หันศีรษะของเธอมาจ้องมองที่ผม
อารมณ์อันพลุ่งพล่านได้ปรากฏขึ้นในดวงตาสีแดงคู่นั้น, พวกมันเป็นสายตาที่ไม่เป็นมิตรแน่นอน
“ทุกคนย่อมน่าจะรู้กันดีอยู่แล้วว่าเหตุใดเหตุการณ์ดังกล่าวนี้จึงเป็นเรื่องร้ายแรง ผู้กระทำผิดที่ฆ่าญาติพี่น้องของพวกเราต้องถูกนำตัวมาลงโทษอย่างยุติธรรม ”
และฉับพลันนั้นเอง จอมปีศาจทั้งหลายก็พร้อมใจกันหันมามองทางนี้
“…… ”
มีสัญญาณเตือนเกิดขึ้นในหัวของผม
ความง่วงนอนได้ระเหยจากไปและความรู้สึกของผมก็เปลี่ยนเป็นหนาวยะเยือกอย่างรวดเร็ว มันเป็นการโจมตีที่ไม่ทันตั้งตัว มันเป็นสถานการณ์ที่ผมไม่ได้เตรียมตัวไว้ล่วงหน้าเลย เมื่อตัดสินได้ว่าผมกำลังเผชิญหน้ากับอันตราย ความคิดอ่านของผมก็ทำงานอย่างรีบเร่งมากขึ้น
‘ทำไมกัน?’
มันรู้สึกราวกับว่าพื้นที่รอบๆตัวผมเชื่องช้าลง
‘ทำไมเธอถึงโจมตีผมในตอนที่ผมยังไม่ทันทำอะไรเลยล่ะ?’
ข้อมูลที่ผมเจตนาปิดกั้นไว้ได้เริ่มเอ่อล้นเข้ามา
เสื้อผ้าของบรรดาจอมปีศาจ
การแสดงออกทางสีหน้า
รูปร่างปากของผู้คนขณะที่พวกเขาได้ซุบซิบนินทากับคนอื่น
ข้อมูลแต่ละชิ้นถูก ‘เก็บรวบรวม’ และ ‘วิเคราะห์’ จากนั้นก็วางซ้อนกันขึ้นเป็นดาต้า
ตัวอย่างเช่น – ไพม่อน
เธอได้จ้องมองผมเพียงแค่ครั้งเดียวก่อนที่จะหันไปมองทางอื่นในทันที แม้แต่ตอนนี้, เธอก็ไม่ได้กล่าวด้วยอารมณ์อันพลุ่งพล่านต่อผมแต่เป็นจอมปีศาจคนอื่นต่างหาก นี่มันหมายความว่าอะไรกันเนี่ย?
‘เธอไม่ได้โจมตีผมด้วยเหตุผลที่เธอมีความรู้สึกเคียดแค้นต่อผม’
ถ้าอย่างงั้นแสดงว่า
‘ เธอโจมตีผมด้วยเหตุผลทางการเมืองบางอย่าง นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมก่อนที่จะโจมตีผม, จึงให้ความสำคัญต่อการโน้มน้าวจอมปีศาจคนอื่นๆก่อน. ‘
ผมยอมรับสมมติฐานดังกล่าวชั่วคราว
ดังนั้น, จุดเริ่มต้นสำหรับการหาเหตุผลได้สำเร็จแล้ว ผมได้จัดหารากฐานให้ เหมือนดั่งต้นไม้ใหญ่ที่งอกขึ้นบนผืนแผ่นดินเล็กๆ สมมติฐานต่างๆและเหตุผลได้แตกงอกออกมาจากหัวของผมเหมือนกิ่งก้านต้นไม้
‘ผลประโยชน์ทางการเมืองอะไรล่ะที่เธอจะได้รับจากการโจมตีผม?’
‘ดันทาเลี่ยนเป็นแค่ปลาซิวปลาสร้อย ไม่มีผลประโยชน์อะไรที่จะได้มาจากการแทงเขา ‘
‘งั้นมันคงจะเป็นเรื่องโรคความตายสีดำสินะ’
คำตอบได้ออกมาโดยพลัน
‘โดยการใช้เรื่องฆ่าแอนโดรมาเรียสเป็นข้ออ้าง พวกเขาก็จะได้สมุนไพรสีดำจำนวนมากที่อยู่ในการครอบครองของผม เป้าหมายของไพม่อนอยู่ที่นั่นเอง’
‘แล้วผู้สมรู้ร่วมคิดล่ะ?’
‘ถ้าเธอพยายามครอบครองการผูกขาดสมุนไพรทั้งหมดด้วยตัวของเธอเอง จอมปีศาจคนอื่นๆจะต้องต่อต้านแน่ๆ มันต้องมีผู้สมรู้ร่วมคิด ณ ที่นี้ เค้าคือใครกันนะ?’
ขั้นแรกของการหาเหตุผลของผมเสร็จสมบูรณ์แล้ว
ผมแอบเหลือบมองเล็กน้อยรอบๆตัวผม
จำนวนจอมปีศาจทั้งหมดคือ 32 จำนวนเพื่อนร่วมงานที่มาพร้อมกับจอมปีศาจก็คือ 32 ถ้ารวมเจ้าภาพอีวาน ล๊อทบรอคด้วยก็จะมีจำนวน 65 คน ในทั้งหมด 65 คนกำลังมองไปมาระหว่าง ไพม่อนและตัวผมเอง
‘มันมีมากเกินไป’
ผมต้องลดจำนวนของผู้ต้องสงสัยที่เป็นไปได้ลง
ผมได้เปลี่ยนแนวคิดของผมใหม่
อิงจากคู่มือที่สลักไว้ในจิตใต้สำนึกของผม
ยิ่งแบ่งจำนวนรูปการณ์มากขึ้นเท่าไหร่
ก็ยิ่งได้ข้อสรุปดีมากขึ้นเท่านั้น
ต้องคิดให้เร็วกว่านี้อีก
‘ถ้าเป้าหมายหลักของเธอไม่ใช่การโจมตีผมล่ะ?’
ในมุมมองของบุคคลอื่น, ผมไม่ได้คาดเดาการเกิดโรคระบาด แต่ผมได้บอกมันล่วงหน้าแทน พวกเขาต้องคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้แน่เมื่อคิดด้วยสามัญสำนึก
ต้องมีใครบางคนตั้งใจแพร่กระจายโรคนี้ มันน่าจะเป็นสิ่งปกติมากกว่าที่ตัดสินเช่นนั้น พวกเขายังน่าจะคิดอีกว่าในเมื่อจอมปีศาจดันทาเลี่ยนไร้ความสามารถ ผู้ร้ายที่แท้จริงก็ควรจะเป็นคนอื่น
ผู้ร้ายงั้นเหรอ
ผู้ร้ายที่มีศักยภาพในการสร้างเชื้อโรคขึ้นมาและแพร่ระบาดมัน
สายตาของผมค่อยๆมองไปยังจอมปีศาจบางคน เด็กสาวที่มีผมสีขาวกำลังถือแก้วของเธอและจิบไวน์แดงอย่างเงียบๆ
‘บาร์บาทอส’
“มีแค่เนโครแมนเซอร์เท่านั้นที่สามารถควบคุมกาฬโรคได้”
เนโครแมนเซอร์ ที่เก่งกาจที่สุดในประวัติศาสตร์
จอมปีศาจที่ได้รับตำแหน่งอาร์คเมจ(archmage)ในสาขามนต์ดำ
ในมุมมองของบุคคลที่สาม ไม่มีใครที่ใกล้เคียงเท่ากับ ‘ผู้กระทำผิดที่แท้จริง’ อย่างบาร์บาทอสได้อีกแล้ว
‘น่าจะเป็นเช่นนั้น’
หัวใจของผมเยือกเย็นลง
‘เพราะเป็นเช่นนั้นถึงได้เป็น ไพม่อน นี่เอง’
คราวนี้ผมหันไปมองที่ไพม่อน
ไพม่อนได้ถือพัดของเธออย่างสง่างามราวกับว่าเธอกำลังพยายามจะประกาศบางอย่างให้รับรู้กัน การเคลื่อนไหวของเธอเป็นไปอย่างช้าๆ กระโปรงของเธอได้หยุดพลิ้วไหวในฉับพลันและคงไว้ในที่เดิม ปากของเธอขยับอย่างช้าๆ ฉากที่เห็นตรงนั้นไม่สามารถตามทันกระบวนการคิดของผมได้
ไพม่อน
ศัตรูคนสำคัญของบาร์บาทอส
ตามที่เธอคิดไว้, บาร์บาทอสเป็นผู้ร้ายตัวจริงที่แพร่กระจายโรคความตายสีดำ
ดันทาเลี่ยนไม่ได้มีค่ามากไปกว่าตัวหมากที่กำลังเคลื่อนไหวแทนบาร์บาทอส
‘ผมประหลาดใจแฮะ’
ผมเข้าใจอย่างชัดเจนถึงสถานการณ์อันไม่น่าสบายใจของผมในปัจจุบัน
โดยที่ผมไม่ทันทราบ, ดูเหมือนว่า, สุดท้ายผมถูกกวาดรวมเข้าสู่การต่อสู้ทางการเมืองระหว่างขุนนางชั้นสูงสองคนนี้
นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมพวกนักการเมืองจึงน่ารำคาญยิ่งนัก พวกเขาชอบสร้างความวุ่นวายในแบบฉบับของพวกเขาและลากคนที่ไม่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาด้วย ถ้าพวกเขาไม่ได้ก่อให้เกิดภัยร้ายแรง งั้นผมก็ไม่รู้ว่าพวกเขานั้นกำลังทำอะไรอยู่หรอก
ปัญหาก็คือบาร์บาทอสและไพม่อนมีความสัมพันธ์ที่ไม่สู้ดีนัก พวกเขาทำสงครามระหว่างกันทุกๆ 21 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตของพวกเขาเสื่อมทรามเป็นอย่างมาก ถึงจุดที่ว่าคำโต้เถียงระหว่าง ลาพิส ลาซูรี่ และผม ไม่สามารถเทียบกันได้เลยกับสิ่งที่พวกเขาทำกัน
เมื่อใดที่ความสัมพันธ์ทางการทูตของจอมปีศาจทั้งสองแย่ลง, สงครามก็จะเกิดขึ้น แม้จะเป็นเช่นนั้น, เพย์ม่อนก็ยังเข้ามาป่วน ‘เจ้าดันทาเลี่ยนผู้ซึ่งเป็นเบี้ยของบาร์บาทอส’ เธอกำลังกล่าวหาผมในขณะที่ไม่ลังเลต่อผลลัพธ์ที่อาจจะออกมาแย่สุดๆ
แผนการมีขนาดใหญ่เกินไปที่จะดำเนินการเมื่ออิงจากทรัพยากรพื้นฐานที่มี สงครามไม่ใช่สิ่งที่คุณคิดอย่างขอไปที กำลังคนจะถูกใช้ไป, ทรัพยากรก็จะสูญสิ้นและสภาพจิตใจของคุณก็จะบั่นทอนลง
นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมไพม่อนถึงได้เลือกลงมือ
เหตุผลที่ว่าทำไมเธอถึงปรักปรำผมให้เป็นอาชญากรในขณะที่รู้ดีว่าผลลัพธ์ที่แย่ที่สุดอาจจะเกิดเป็นสงครามขึ้น
กล่าวอีกนัยนึงก็คือ, เธอมีหลักฐานที่ปฏิเสธไม่ได้
‘ไพม่อนมีหลักฐาน’