Dungeon Defence - ตอนที่ 26
มปีศาจที่อ่อนแอสุด, อันดับที่ 71st, ดันทาเลี่ยน
ปฏิทินจักรวรรดิ : ปี 1505, เดือน 9, วันที่ 20
นิฟเฮม, ณ ลานกว้างเฮอร์เมส
“ข้าได้ยินมาทุกอย่างเลย ว่านายได้ทะเลาะกันครั้งยิ่งใหญ่กับแฟนสาวซัสคิวบัสของนาย ใช่ป่ะ? ”
“ข่าวลือช่างแพร่กระจายอย่างรวดเร็วจริงๆ”
“เผอิญข้าเป็นหญิงสาวผู้ค่อนข้างไวต่อกระแสข่าวอ่ะนะ”
บาร์บาทอสได้มาเยี่ยมเยือนตัวผมถึงที่พำนักของผมเอง
ด้วยเหตุผลบางประการ จอมปีศาจผู้มีชื่อเสียงคนนี้ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 8 ดันมาชื่นชอบผมพอควรเลยทีเดียว เธอคงจะมีความรู้สึกที่ดีต่อผมเนื่องจากเหตุการณ์ที่ผมได้น็อคไพม่อนลงจากบัลลังก์ของเธอ แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลเพียงอย่างเดียวหรอกล่ะมั้ง
“พูดมาได้เลยและปลดปล่อยมันออกมาให้หมด ว่าทำไมเธอทั้งสองคนถึงได้ทะเลาะกันล่ะ? ”
“นี่เธอไม่เห็นข้ากำลังใช้น้ำแข็งประคบอยู่ยังงั้นเหรอ? มันพึ่งผ่านมาแค่ 20 นาทีเองเท่านั้นนะนับตั้งแต่ที่ข้าถูกลาพิสตบเอาน่ะ อันที่จริง ข้าไม่ต้องการที่จะพูดคุยกับใครในตอนนี้เลยด้วยซ้ำไป ”
“โอ้ ผู้ชายที่น่าสงสารคนนี้”
บาร์บาทอสยิ้มอย่างมีเลศนัย
มันค่อนข้างน่ารำคาญแฮะ
“มาคิดดูดีๆแล้ว คนรักของนายคือซัสคิวบัสเลือดผสม เธอเป็นพวกจัณฑาลที่โดยปกติแล้วจะถึงกับถูกประหารชีวิตจากการที่เพียงแค่ได้แตะต้องจอมปีศาจเท่านั้น ถ้าเด็กพรรณนั้นได้ตีนาย งั้นเธอก็คงจะทำเช่นนั้นในขณะที่วางเดิมพันชีวิตของเธอไว้อย่างแท้จริง การกระทำอันชั่วร้ายแบบไหนกันที่นายได้ทำลงไปจนถึงกับทำให้เธอได้เสี่ยงกระทำถึงขนาดนี้ฮะ? ”
“ถ้าอย่างงั้นเธอกำลังบอกว่านี่เป็นความผิดของข้าทั้งหมดเลยหรือไง?”
“ช่าย ตลอดช่วงชีวิตทั้งหมดของข้า เมื่อใดก็ตามที่มีปัญหาเกิดขึ้น บรรดาผู้ชายมักจะมีโอกาสสูงที่จะเป็นฝ่ายผิดมากกว่าผู้หญิงเสมอนิ ”
“เธอต้องค่อนข้างดีใจแน่ๆที่ได้เกิดมาเป็นผู้หญิงเนอะ”
บาร์บาทอสได้หัวเราะออกมา
โดยปกติแล้ว พวกเราไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะแลกเปลี่ยนคำพูดซึ่งเป็นกันเองอย่างเปิดเผยแบบนี้หรอกนะ
บาร์บาทอสเป็นจอมปีศาจอันดับที่ 8 เธอมีกองทัพพร้อมรบถึง 6,000 นายและข้ารับใช้อีกนานับไม่ถ้วนภายใต้คำบัญชาของเธอ อีกทั้งเธอยังเป็นผู้นำกลุ่มทางการเมืองขนาดใหญ่ที่รู้จักกันในนามว่าฝ่ายเขตที่ราบ
ในทางกลับกัน ผมเป็นแค่จอมปีศาจอันดับที่ 71 ไม่เพียงแต่ผมจะไม่มีบริวารเท่านั้น แต่ผมก็ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเลยเช่นกัน ผมอาจจะมีเงินเป็นล้นพ้น แต่นั่นคือทั้งหมดที่ผมมี เมื่อเทียบกับบาร์บาทอสผมเป็นเพียงแค่แมลงวันตัวเล็กๆเท่านั้นแหละ
แม้จะเป็นเช่นนั้น มันกลับมีความรู้สึกคล้ายกับว่าบาร์บาทอสต้องการให้ผมเป็นเพื่อนของเธอนะ จะให้ผมทำยังไงล่ะในเมื่ออีกฝ่ายต้องการสนทนาสไตล์ชิลๆจากผมก่อนล่ะ? เอาเถอะผมเต็มใจเป็นอย่างมากที่จะสร้างความบันเทิงให้กับเธอเองก็แล้วกัน
“ดันทาเลี่ยน พวกเราอาจจะยังไม่ได้เป็นเพื่อนกัน แต่ข้าเชื่อว่าพวกเราได้บรรลุถึงบางสิ่งบางอย่างที่คล้ายคลึงกับความเป็นเพื่อนแล้วล่ะ ”
“นั่นค่อนข้างเป็นเกียรติอย่างยิ่งจัง”
“นี่ข้าจริงจังน้า”
บาร์บาทอสได้ฉีกยิ้มกว้าง
สีหน้านั้นของเธอคือเหตุผลที่ว่าทำไมถึงแม้เธอจะบอกผมว่าเธอจริงจัง ผมก็รู้สึกไร้ความน่าเชื่อถือสิ้นดี
“จอมปีศาจส่วนใหญ่เป็นพวกเศษสวะทั้งนั้น ในหมู่พวกเขาไม่มีใครเลยที่พอมีแววน่าสนใจ แต่กระนั้น นายกลับเป็นน้องใหม่คนแรกในรอบ 60 ปีที่ดูท่าจะมีพรสวรรค์น่ะ ข้าแค่อยากจะปฏิบัติต่อนายอย่างดีในฐานะรุ่นพี่ในวงการอาชีพนี้เองง่ะ ”
รุ่นพี่ งั้นเหรอ
บาร์บาทอสเป็นผู้นำกลุ่มที่รู้จักกันในนามว่า ‘ฝ่ายเขตที่ราบ’ ฝ่ายนี้ได้ชื่อมาจากข้อเท็จจริงที่ว่าจอมปีศาจส่วนใหญ่ที่อยู่ในกลุ่มนี้มีปราสาทที่ตั้งอยู่ณ ที่ราบ ผลลัพธ์จากการที่อาศัยอยู่ในพื้นที่โล่ง ก็คือการเผชิญหน้ากับบรรดามนุษย์อย่างบ่อยครั้ง
ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นธรรมดาที่บาร์บาทอสได้เป็นศัตรูกับเหล่ามนุษย์ ถ้ากองทัพของบรรดาจอมปีศาจจะรุกรานเข้าสู่โลกของมนุษย์ งั้นบาร์บาทอสด้วยความไร้ข้อกังขาใดๆ จะต้องเป็นหนึ่งในผู้นำของพวกเขาแน่นอน เธอได้แพร่ขยายเครือข่ายข้อมูลข่าวสารไปทั่วโลกของมนุษย์และคอยจับตาดูมนุษย์อยู่ตลอดเวลาในขณะเดียวกันเธอก็เตรียมพร้อมสำหรับการทำสงครามครั้งยิ่งใหญ่อยู่เสมอ
ในทางกลับกัน ไพม่อน, จอมปีศาจที่ผมพึ่งได้เอาชนะมาเป็นที่รู้จักกันในฐานะหัวหน้าของ ‘ฝ่ายเขตภูเขา’ ซึ่งเป็นไปตามที่ชื่อได้เกริ่นไว้ ฝ่ายนี้ประกอบไปด้วยจอมปีศาจที่ส่วนใหญ่มีปราสาทซึ่งตั้งอยู่ในเขตเทือกเขา ที่ซึ่งพวกเขาไม่ค่อยจะเผชิญหน้ากับพวกมนุษย์มากสักเท่าไหร่
ฝ่ายเขตที่ราบและฝ่ายเขตภูเขาถูกติดพันอยู่ในวังวนแห่งการแข่งขันชิงดีชิงเด่นกัน
หรือกล่าวได้ว่าเป็นฝ่ายหัวรุนแรงกับฝ่ายเป็นกลางซึ่งน่าจะเหมาะสมมากกว่าเนอะ?
ดังนั้นเมื่อบาร์บาทอสเรียกตัวเธอเองว่า ‘รุ่นพี่’ และเรียกตัวผมเองว่า ‘น้องใหม่’ เธอคงจะพยายามที่จะล่อให้ผมเข้าไปในฝ่ายของเธอเองอย่างอ้อมๆล่ะมั้ง มันเป็นคำกล่าวอย่างมีอุบายอยู่ในใจน่ะ
ผมเหล่ตามองอย่างมีเล่ห์นัยไปยังบาร์บาทอส
“ต้องการอะไรกันแน่”
“ถ้านายกำลังพยายามที่จะเลิกกับแฟนสาวซัสคิวบัสของนาย งั้นข้าสามารถช่วยได้น้า ตั้งแต่แรกแล้ว ที่มันไม่เข้าท่าเลยสำหรับพวกจัณฑาลที่จะมีเพศสัมพันธ์กับจอมปีศาจนะยะ มันยังไม่สายเกินไปหรอก เพราะฉะนั้นขอความช่วยเหลือจากข้าซะเถอะ”
“……”
พวกเราได้จ้องหน้าซึ่งกันและกันอยู่ชั่วขณะ
“นี่เธอกำลังบอกข้าให้เลิกกับลาพิสสินะ?”
“ทำไมอ่ะ? หรือว่านายลำบากใจฮึ? อย่าไปกังวลกับมันเลย เท่าที่บรรดาผู้คนได้ตื่นเต้นอย่างรวดเร็ว ความตื่นเต้นนั้นก็จะจางหายไปอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน ให้เวลามันสักปีนึงและผู้คนก็จะลืมมันไปเองว่านายเคยผิดประเวณีกับพวกจัณฑาลเองแหละ ”
บาร์บาทอสได้พูดราวกับว่ามันไม่มีอะไรสำคัญเลยจริงๆ
ผมได้ขมวดคิ้วของผมและกล่าวว่า
“เธอไม่ใช่คนที่จะมาตัดสินสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างข้าและลาพิสหรอกนะ แต่เป็นข้าต่างหากล่ะ อย่ามาก้าวก่ายอย่างลึกซึ้งกับชีวิตรักของคนอื่นสิฟะ ”
“โดยปกติแล้ว ข้าไม่ได้ชอบเสือกถึงขนาดนี้หรอกย่ะ แต่นายไม่ใช่เด็กทั่วๆไป นายเป็นน้องใหม่สุดเมพที่สามารถซัดหน้าไพม่อนได้ ในฐานะที่เป็นจอมปีศาจรุ่นพี่ ข้าจึงมีหน้าที่มาแสดงความห่วงใยสักหน่อยต่อชื่อเสียงรุ่นน้องของข้าน่ะ ”
บาร์บาทอสได้เปลี่ยนมานั่งไขว่ห้างแทน
ขาอ่อนและน่องอันขาวเกลี้ยงเกลาได้ปรากฏเข้ามาในสายตาของผม
“แน่นอนว่ามันไม่ง่ายเลยที่จะบอกเลิกกับคนรักที่นายแสดงให้เห็นถึงความเสน่หามากขนาดนี้ ข้าเข้าใจดี แต่บรรดาคนทั้งหลายจะเข้มแข็งขึ้นทุกครั้งที่พวกเขาสูญเสียความรักของพวกเขานะ เจ้าเด็กน้อย ”
“……”
“สิ่งสำคัญเพียงอย่างเดียวที่ความรักมีก็คือมันเผยให้เห็นถึงจุดอ่อนของนาย ผู้คนไม่ได้เข้มแข็งขึ้นจากประสบการณ์หรือการมอบความรักให้กันหรอกนะ พวกเขาเข้มแข็งขึ้นหลังจากที่ทิ้งมันไปต่างหากล่ะ”
“โฮ่”
ผมเบ้มุมปากของผม
“นั่นมันจริงรึ?”
“แน่นอน เชื่อข้าสิ แม้ว่าข้าจะมีรูปร่างหน้าตาแบบนี้ แต่ข้าได้มีชีวิตมากว่า 500 ปีแล้วน้า จำนวนของบรรดาแฟนที่ข้าได้มีความสัมพันธ์ด้วยจนถึงทุกวันนี้มีมากกว่า 1,000 คนเลยเชียวแหละ ถ้านายเชื่อฟังคำแนะนำเรื่องความรักของข้าแล้ว งั้นผู้หญิงสวยๆจะกรูกันเข้ามาอมนกเขานายให้อย่างแน่นอนแม้ว่านายจะเพียงแค่ล้มตัวนอนพักผ่อนเฉยๆเท่านั้น ”
บาร์บาทอสได้แสยะยิ้มออกมา
มันเป็นรอยยิ้มที่กลิ้งกลอกดั่งแมวจรจัด
“ยังไงก็เหอะ แค่บอกข้าว่าอะไรที่นำไปสู่การแตกแยกในครั้งนี้ ปลดปล่อยทุกสิ่งออกมาให้หมดและยอมให้จิตใจของนายรู้สึกผ่อนคลายเถอะ ถ้านายปล่อยมันออกมาทั้งหมดแล้วนายจะรู้สึกเบาสบายเลยเชียวแหละ ”
ผมนิ่งเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง
เกิดอะไรขึ้นถึงทำให้ลาพิส ลาซูรี่นั้นตบผมเอา
สถานการณ์ที่เป็นต้นเหตุของเรื่องนี้มีมากมายเหลือเกิน มันประกอบไปด้วยเรื่องราวที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนจนผมไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากตรงไหนดีอ่ะนะ
ผมค่อยๆเปิดปากของผมอย่างช้าๆและกล่าวว่า
“เมื่อครึ่งเดือนก่อนมีหญิงชราคนหนึ่งมาเยี่ยมเยือน”
“หืม”
“ในตอนแรก ข้าคิดว่าเธอเป็นแค่ขอทานธรรมดาคนนึง เพราะรูปลักษณ์ของเธอทั้งน่าสงสารและสกปรก แต่ไม่นานนักข้าก็พบว่าเธอไม่ใช่ขอทานทั่วไป หญิงชราคนนั้น …… ”
ผมปิดตาของผมเป็นเวลาไม่กี่วินาที
ผมยังคงจำฉากเหตุการณ์ทั้งหมดได้อย่างชัดเจน
“หญิงชราคนนั้นเป็นแม่ของลาพิส”
จอมปีศาจที่อ่อนแอที่สุด, อันดับที่ 71st, ดันทาเลี่ยน
ปฏิทินจักรวรรดิ : ปี 1505, เดือน 9, วันที่ 3
นิฟเฮม, ณ พระราชวังของเจ้าเมือง
“งี้นี่เอง ที่แท้คุณก็คือแม่แท้ๆของลาล่า ไปไงมาไงถึงมาที่นี้ล่ะ? ”
“ค่ะ, ท่านเจ้าผู้เกรียงไกร คนต่ำต้อยผู้นี้ได้ยินข่าวลูกสาวของเธอ ผู้ซึ่งคนต่ำต้อยผู้นี้ได้เที่ยวพเนจรหลายปีเพื่อตามหานาง แม้ว่าอาจจะเสี่ยงที่จะแสดงความไร้มารยาทต่อท่าน แต่คนต่ำต้อยผู้นี้ก็ยังคงหันเหเส้นทางของเธอมาที่นี่ ที่ซึ่งฝ่าบาทพำนักอาศัยอยู่ค่ะ ”
หญิงชราผู้มีริ้วรอยเหี่ยวย่นอย่างเหลือเชื่อได้กล่าวออกมา
ผมได้รินน้ำชาให้แก่หญิงชราด้วยตนเอง เธอยืนกรานว่ามันเป็นเกียรติมากจนเกินไปและพยายามปฏิเสธหลายต่อหลายครั้ง แต่ถึงแม้รูปลักษณ์ผมจะเป็นแบบนี้ ผมก็จัดวางความเคารพต่อผู้สูงอายุเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกเสมอนะเออ นอกจากนี้ ถ้าคนๆนี้เป็นแม่ของลาพิส ลาซูรี่จริงๆงั้นก็เป็นอันจบเกม เพราะมันหมายความว่านั่นไม่ทำให้เธอเป็นแม่ยายของผมหรอกหรือ?
“ได้โปรดอย่าทำให้ความเมตตาของข้าต้องสูญเปล่าเลย”
“ขะ-ขอบพระคุณมากค่ะท่าน”
หญิงชรา ราวกับว่าไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว จึงค่อยๆรับแก้วน้ำชาแก้วแรกในที่สุด แต่ดูจากการกระทำของเธอ มันไม่ได้รู้สึกเลยว่าเธอไม่ชอบมันจริงๆ
“คุณบอกว่าคุณเที่ยวพเนจรไปทั่วเพื่อตามหาลาล่า ถูกต้องมั้ย?”
“ใช่ค่ะฝ่าบาท”
“จากสิ่งที่ข้ารู้มา ลาล่ากลายเป็นเด็กกำพร้าตั้งแต่อายุยังน้อยอยู่เลยนะ เมื่อเธอได้สติกลับคืนมา พ่อแม่ของเธอก็ได้หายไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นี่อาจจะเป็นการหยาบคายไปบ้างที่ข้าจะพูดออกมา, แต่ข้าคิดว่าคุณได้ทอดทิ้งลาลาและวิ่งหนีไปตัวคนเดียว …… ”
“โอ้ไม่นะ นั่นไม่ถูกต้องเลยค่ะ ”
หญิงชราได้เริ่มที่จะหลั่งน้ำตาออกมา
“หญิงต่ำต้อยผู้นี้ได้ถูกเนรเทศออกจากหมู่บ้านของเธอในทันทีที่เธอได้ให้กำเนิดเด็กคนนั้น ผู้ใหญ่บ้านได้ไล่คนต่ำต้อยผู้นี้ออกไป เนื่องจากซัสคิวบัสผู้ได้สมสู่กับเจ้าพวกมนุษย์จะไม่ได้รับการยอมรับว่าเป็นส่วนหนึ่งของหมู่บ้าน นั่นคือกฎของหมู่บ้านของพวกเราค่ะ ”
ผมฟังเรื่องราวชีวิตของหญิงชราผู้นี้โดยไม่กล่าวคำพูดใดๆ
“คนต่ำต้อยผู้นี้ได้ให้กำเนิดลูกในวันที่อากาศหนาวเย็น ขณะที่สติสัมปชัญญะของคนต่ำต้อยผู้นี้ยังมึนงงอยู่ผู้ใหญ่บ้านดันสั่งให้ข้าน้อยจากไปอย่างกระทันหัน คนต่ำต้อยผู้นี้พยายามอ้อนวอนอย่างดึงดันเพื่อขอเวลาอยู่ต่อเพิ่ม …… ซักสัปดาห์หรืออย่างน้อยก็อีกซักหนึ่งวัน แต่มันก็ไม่มีประโยชน์ คนต่ำต้อยผู้นี้ก็ยังคงถูกขับไล่ออกจากหมู่บ้านโดยไม่ได้ให้นมลูกของตนเองแม้แต่ครั้งเดียวเลยด้วยซ้ำ …… ”
หญิงชราได้วางถ้วยชาลงและคุกเข่า
เธอคลืบคลานมาที่ผมและจับมือซ้ายของผมไว้
“โอ้ท่านเจ้าผู้เกรียงไกร สิ่งเดียวที่ผู้หญิงอันเกิดมาต่ำต้อยผู้นี้ได้ทิ้งเอาไว้ให้แก่เด็กคนนั้นก็คือชื่อของเธอ, ลาพิส ลาซูรี่ พ่อของเธอมีนัยน์ตาสีลาพิส(สีฟ้า)เหมือนๆกัน ด้วยเหตุนี้คนต่ำต้อยผู้นี้จึงได้ตั้งชื่อเธอตามนั้น เด็กคนนั้นคือลูกสาวของหญิงต่ำต้อยผู้นี้เป็นแน่แท้ค่ะ ดังนั้นได้โปรดเถอะค่ะ ให้คนต่ำต้อยผู้นี้ได้เห็นใบหน้าลูกสาวของเธอ …… ดูว่าลูกสาวของเธอกำลังอยู่ดีมีสุข …… นั่นคือสิ่งที่ผู้หญิงอันเกิดมาต่ำต้อยผู้นี้ปรารถนาเพียงอย่างเดียวค่ะ”
คำวิงวอนของหญิงชราผู้นี้ประทับใจผมอย่างมากจริงๆ
ซัสคิวบัสที่ให้กำเนิดบุตรเพราะความรักของเธอที่มีต่อมนุษย์
โดยปกติแล้ว การแต่งงานระหว่างปีศาจกับมนุษย์เป็นสิ่งต้องห้าม หญิงชราผู้นี้ถึงกับยอมละเมิดข้อห้ามดังกล่าวจนถูกเนรเทศและสูญเสียลูกสาวของเธอ รอยแผลเป็นได้เกิดขึ้นเพียงเพราะความรักชั่วข้ามคืนในฤดูร้อน ผู้คนคงจะสามารถเห็นได้เพียงแค่ว่ามันเป็นเรื่องยากลำบากสาหัสมากขนาดไหน
“เข้าใจล่ะ ข้าจะจัดการให้คุณได้พบกับลาพิสเอง ”
“จะ-จริงหรือค่ะ!? ขอบพระคุณมากเจ้าค่ะฝ่าบาท! ”
“มารดาที่กำลังจะได้พบเจอกับลูกของเธอเอง ข้าเพียงแค่อนุญาตให้กับสิ่งที่ควรกระทำอย่างไม่ต้องสงสัยเอง มันไม่มีเหตุผลที่คุณจะต้องมาขอบคุณข้าหรอกนะ”
ผมเรียกให้ลาพิส ลาซูรี่เข้ามาในห้อง
ไม่นานหลังจากนั้น ลาพิส ลาซูรี่ที่สวมใส่ชุดซึ่งเป็นระเบียบเรียบร้อยตามปกติ เมื่อมาถึงลาล่าก็ได้เหลือบมองที่หญิงชราแต่ดูเหมือนว่าเธอไม่สามารถจำได้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใครกันแน่
“ฝ่าบาทเรียกเราผู้นี้เหรอค่ะ?”
“ลาล่า คู่รักชั่วนิจนิรันดร์และข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ของข้า ”
“…… ทำไมจู่ๆฝ่าบาทถึงทำตัวแบบนั้นล่ะค่ะ? เมื่อใดก็ตามที่ฝ่าบาทเริ่มเลียนแบบการพูดชวนน่าขนลุกนั้น เราผู้นี้อดไม่ได้ที่จะรู้สึกวิตกกังวลแบบแปลกๆนะค่ะ ”
“ลองพินิจหญิงชราผู้นี้ให้ดีสิ เธอน่าจะจำหล่อนได้, ล่ะมั้ง? ”
ลาพิส ลาซูรี่ได้ขมวดคิ้วของเธอ
มันเป็นใบหน้าที่แสดงว่าเธอไม่รู้จริงๆ
“เราผู้นี้ต้องขออภัยด้วยค่ะ แต่บุคคลนี้เป็นคนแปลกหน้าสุดๆต่อเราผู้นี้แน่นอนค่ะ”
“มองดูให้ดีนะ นี่เธอไม่รู้จริงๆเหรอ? ”
“เราผู้นี้ไม่สามารถเดาได้ว่าฝ่าบาทกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ค่ะ”
มันเป็นช่วงเวลานั้นเองที่หญิงชราเริ่มเข้าใกล้ลาพิส ลาซูรี่
ในขณะที่ร้องไห้ออกมา หญิงชราก็ได้โผเข้ากอดลาล่า
“อาา…… ! ลูกของฉัน! นี่คือลูกของฉันแน่ๆ! ”
เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ลาพิส ลาซูรี่ได้ยืนชะงักชะงันไป แทนที่จะแสดงท่าทีงงงวย เธอดูคล้ายกับว่าเธอไม่สามารถเข้าใจได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ มันเป็นความรู้สึกแบบนั้นแหละ จากนั้นลาล่าก็ได้หันมามองทางนี้
“ฝ่าบาท กรุณาช่วยอธิบายด้วยค่ะ”
“อย่างที่เธอได้ยินเมื่อตะกี้นี้แหละ คนๆนั้นคือแม่บังเกิดเกล้าของเธอยังไงล่ะ แน่นอนว่ามันมีหลายสิ่งที่ต้องยืนยันก่อน แต่เป็นที่แน่ชัดว่าคนทั่วคงจะไม่พูดโกหกในขณะที่อยู่ต่อหน้าจอมปีศาจหรอกนะ เพราะเสี่ยงที่ความจริงสามารถถูกเปิดโปงได้ตลอดเวลา ”
ผมรู้สึกค่อนข้างภูมิใจนะ
ที่เด็กกำพร้าสามารถได้พบเจอกับบุพการีในที่สุด แม้แต่ตัวผมเองที่ชอบคิดในแง่ร้ายเสมอ ก็อดไม่ได้ที่จะรุ้สึกประทับใจกับการพบเจอกันในครั้งนี้ ผมเฝ้ารอคอยอย่างไม่เร่งรีบต่อคำว่า ‘ขอบคุณ’ ที่จะออกมาจากปากของลาพิส ลาซูรี่
แต่
“……”
ลาพิส ลาซูรี่กลับมีท่าทีผิดแปลกไป
อารมณ์ที่แปลกประหลาดได้ปรากฏขึ้นในดวงตาของเธอชั่วขณะหนึ่ง มันเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆเท่านั้น ถ้ามีใครก็ตามต้องการคาดคะเนเวลาให้แม่นยำ งั้นมันก็คือชั่วเวลาพริบตาสั้นๆนั้นแหละ ใบหน้าของลาพิส ลาซูรี่ดูเฉยเมย—บางทีอาจจะดูเฉยเมยเกินไปซะด้วยซ้ำ
ถึงแม้จะยังไม่รู้ว่าอารมณ์นั้นคืออะไรกันแน่
แต่มันเป็นที่แน่ชัดว่านี่ไม่ใช่ลักษณะของการแสดงออกที่ผู้คนทั่วไปควรกระทำเมื่อได้พบกับแม่ของตัวเองเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปีหรอกนะ
ผมรีบตัดสินใจอย่างรวดเร็ว
“ลาพิส ลาซูรี่”
“คะ ฝ่าบาท”
“คุกเข่าลง”
โดยที่ไม่เอ่ยถามคำถามใดๆ ลาพิส ลาซูรี่ก็ได้คุกเข่าลง ผมคิดว่าหญิงชราน่าจะรู้สึกสับสนต่อคำสั่งอย่างฉับพลันที่ผมได้กล่าวออกมา เพราะเธอได้มองไปมาระหว่างลาพิสและผมด้วยสายตาที่งุนงง
ผมเดินเข้าหาลาซูรี่และเหวี่ยงมือขวาของผม มันไม่ใช่การล้อเล่นนะเออ ผมได้บรรจงใส่แรงในแขนของผมอย่างเต็มที่และตบหน้าเธอ ลาพิส ลาซูรี่ที่ไม่สามารถต้านทานเรี่ยวแรงได้เลยล้มลงบนพื้น ในทันทีที่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น หญิงชราก็ได้กรีดร้องเสียงแหลมออกมา
“อะ- อะไรกันค่ะฝ่าบาท! นี่ฝ่าบาททำอะไรลงไปค่ะเนี่ย!? ”
“เงียบปากไปเจ้าซัสคิวบัสสมองกลวง พูดอีกคำหนึ่งแล้วข้าจะตัดลิ้นของเจ้าซะและยัดเข้าไปในหูของเจ้า”
ผมเมินเสียงร้องไห้ของหญิงชราและคว้าเส้นผมของลาพิส ลาซูรี่ จากนั้นผมก็ดึงตัวลาล่าขึ้นมาโดยแรง ลาพิส ลาซูรี่ไม่ได้ส่งเสียงซักอย่างและทำแค่เพียงมองขึ้นมายังผมด้วยสายตาที่ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ
“สารภาพซะ เธอบังอาจใช้ลูกไม้สกปรกสินะ? ”
“…… เราผู้นี้พึ่งค้นพบเป็นครั้งแรกว่าฝ่าบาทป่าเถื่อนเกินกว่าที่เราผู้นี้เดิมทีได้คาดคิดไว้ซะอีก”
“เธอเก่งมากเลยทีเดียวที่ดำเนินกลอุบายอย่างหน้าด้านๆแบบนั้น นี่เธอกลายเป็นคนตาบอดเพียงเพราะเธอได้รับพระมหากรุณาธิคุณของข้าหรือไง? ข้าอุตส่าห์อนุญาตให้สามัญชนธรรมดาเช่นเธอได้มายืนอยู่เคียงข้างข้าและตอนนี้เธอยังต้องการให้ข้าดูแลบุพการีของเธออีกด้วยงั้นเหรอ? พูด นี่ข้าเป็นนายของเธอหรือเป็นถุงเงินถุงทองของเธอกันแน่หา? ”
ผมชำเลืองมองเล็กน้อยไปที่หญิงชราและเห็นริมฝีปากของเธอกำลังสั่นอยู่
มันดูเหมือนว่าเธอไม่สามารถเข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าเธอคืออะไรกันแน่
“แม่ของเธอไม่ได้มาหาเธอ แต่เป็นเธอต่างหากซึ่งเป็นคนที่พบแม่ของเธอก่อน เธอและแม่ของเธอได้วางแผนการแสดงละครอันน่าเบื่อเพื่อประชดข้า ใช่มั้ย? ”
“นั่นเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ…… ท่านเจ้าผู้เกรียงไกร มันเป็นการเข้าใจผิดกันค่ะ!”
หญิงชราตะโกนออกมาราวกับว่าเธอกำลังกรีดร้องอยู่
“คนต่ำต้อยผู้นี้เพิ่งได้พบกับลูกสาวของเธอเป็นครั้งแรกในวันนี้ค่ะท่าน! มันไม่มีโอกาสที่คนต่ำต้อยผู้นี้และลูกสาวของเธอได้พบเจอกันก่อนและสมคบคิดกลอุบายต่อฝ่าบาทนะคะ ได้โปรดเชื่อคนต่ำต้อยผู้นี้เถอะค่ะ! ”
“ข้ารู้ดีว่าลูกสาวของคุณเจ้าเล่ห์ขนาดไหน พยายามที่จะหลอกข้าอยู่ตลอดเวลาและแทงข้าที่ด้านหลังเมื่อเธอมีโอกาสเสมอ นี่ก็เช่นกัน มันไม่เพียงพอที่เธอจะใช้ชีวิตอย่างร่ำรวยอยู่คนเดียว ดังนั้นเธอจึงนำแม่ของเธอเข้ามาด้วย นังผู้หญิงที่น่ารังเกียจเอ้ย ”
ผมตบแก้มของลาล่าอีกครั้งนึง
ครั้งที่หนึ่ง สอง และสาม ผมก็ยังคงตบตีเธอต่อ
ในการตบแต่ละครั้งหญิงชราก็ได้กรีดร้องซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่นั่นก็แค่นั้นแหละ เมื่อผมได้นำเอากริชออกมาหญิงชราก็รีบวิ่งออกจากห้องและหนีหายไปที่ไหนสักแห่ง
“……”
ห้องรับแขกได้เงียบสงบลง
ลาพิส ลาซูรี่ลุกขึ้นยืนและปัดฝุ่นจากกระโปรงของเธออย่างเงียบๆ ใบหน้าของลาล่ายังคงไร้ซึ่งอารมณ์เหมือนเดิม และมันยังดูเหมือนว่าเธอไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดใดๆจากแก้มที่บวมจนแดงช้ำของเธอ
“…… ห่าเอ้ย”
ฉึก
ผมได้แทงกริชเข้ากับโต๊ะและกล่าวว่า
“มันเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ แม่ของเธอปั่นหัวพวกเราด้วยคำตอแหลของหล่อน ลาล่า! หล่อนไม่ได้มาหาเธอเพราะหล่อนเป็นห่วงเธอหรอกนะ หล่อนน่าจะวางแผนที่จะเกาะเธอเหมือนกับพวกปรสิตต่างหากล่ะ ”
“นั่นน่าจะถูกต้องที่สุดแล้วค่ะ”
ลาพิส ลาซูรี่พูดออกมาอย่างเยือกเย็นว่า
“เราผู้นี้ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการแล้วว่าเป็นภริยาของฝ่าบาทดันทาเลี่ยน ยิ่งไปกว่านั้นฝ่าบาทก็ยังเข้าร่วมต่ำแหน่งบุคคลซึ่งร่ำรวยที่สุดในทวีปอีกด้วย แม่ของเราผู้นี้น่าจะเข้าหาฝ่าบาทและเราผู้นี้เพราะทรัพย์สมบัติของพวกเราแน่ๆค่ะ ”
“ถึงกับวิ่งหนีไปตัวคนเดียวเมื่อยามที่ลูกสาวของหล่อนเองกำลังโดนทำร้าย …… !”
มันดูเรียบง่ายแต่ความจริงแล้วเป็นบททดสอบที่รุนแรง
เพื่อยืนยันว่าเจตนาที่แท้จริงของหญิงชรานั้นคืออะไรน่ะ
ถ้าหญิงชราผู้นั้นร่อนเร่เป็นเวลากว่า 40 ปีจริงๆในการตามหาลูกของเธอ งั้นมันก็ไม่มีทางเลยที่เธอจะยืนอยู่เฉยๆและปล่อยให้ความรุนแรงเกิดขึ้นแน่นอน เธอน่าจะพยายามหยุดผมแม้ว่าเธอจะต้องเสี่ยงชีวิตของตัวเองก็ตาม
อย่างไรก็ตาม ยัยแก่ผู้นั้นกลับวิ่งหนีไปอย่างง่ายดาย นี่หมายความว่าอะไรกัน? มันหมายความว่าหญิงชราผู้นั้น ทั้งที่เป็นแม่ กลับไม่ได้รักหรือเป็นห่วงลาพิส ลาซูรี่เลย
ความเป็นไปได้ที่เธอจะมาเยี่ยมเยือนที่นี่นั้น 10:1 น่าจะมาเพราะเงินมากกว่า เธอน่าจะคืบคลานมาที่นี่เพื่อพึ่งพาลูกสาวของเธอและใช้ชีวิตอย่างหรูหราต่างหาก หัวใจของผมกลายเป็นสีดำมืดด้วยความโกรธ
“สำหรับคนที่มีเพศสัมพันธุ์กับผู้ชายอย่างซี้ซั้ว มีลูกอย่างซี้ซั้ว และหนีออกจากหมู่บ้านตัวคนเดียวอย่างมักง่าย— ดันพยายามจะกลับมาทำหน้าที่เป็นแม่ในตอนนี้เหรอฟะ! ทำไมคนเราถึงหน้าด้านได้ขนาดนี้หลังจากที่ทิ้งลูกไปนานถึง 40 ปี! ”
“ฝ่าบาท”
“ข้าจะฆ่าหล่อนซะ!”
ผมตะโกนออกมา
“ข้าจะตัดลิ้นของหล่อน หักแขนขาของหล่อนและโยนหล่อนเข้าไปในเล้าหมู มันเป็นสิ่งที่เหมาะสมเพียงอย่างเดียวสำหรับคนชาติชั่วพรรณนั้นที่ควรจะได้รับทัณฑ์สวรรค์ แต่ถ้าพระเจ้าละเลยหน้าที่ของพวกท่านงั้นมันก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากให้ข้าลงทัณฑ์หล่อนแทนพวกท่านเอง! ”
“ฝ่าบาท”
ลาพิส ลาซูรี่มองตรงมาที่ผมและกล่าวว่า
“สงบสติอารมณ์ตนเองเถอะค่ะ มันไม่มีเหตุผลที่ฝ่าบาทจะต้องทำให้มือของคุณสกปรกไปหรอกค่ะ”
“ไม่ มันมีเหตุผลมากพอแล้ว ลาล่า เธอเป็นคนรักของข้า ไม่ว่ามันจะเป็นการปกป้องเกินไปหรือไม่เธอก็ยังคงเป็นถึงคู่หมั้นของข้านะ การดูหมิ่นที่เธอได้รับก็กลายเป็นการลบหลู่ข้า การดูหมิ่นที่ข้าได้รับก็กลายเป็นการลบหลู่เธอ ทำไมมันจะไม่สำคัญไปได้ล่ะ!? ”
“……”
“อย่ากังวลไปเลย เป็นไปได้ยังไงที่ข้าจะบอกให้เธอฆ่าแม่ของเธอเองได้ลงคอ แค่รออย่างอดทนไปก่อนนะ ข้าจะจัดการมันอย่างเงียบๆเอง ข้าจะทำให้แน่ใจว่าไม่ทางที่เศษสวะพรรณนั้นจะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับชีวิตของเธออีกต่อไป อย่างแรกเลยต้องติดสินบนพวกยามก่อนและ …… ”
เพี้ย
ผมไม่สามารถเข้าใจได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับผมเมื่อครู่นี้
เป็นเพราะมันคือบางสิ่งที่ผมไม่เคยคาดฝันว่าจะเกิดขึ้นมาก่อนเลย
ผมมองไปที่ ลาพิส ลาซูรี่ ด้วยใบหน้าที่มึนงง อีกทั้งยังไม่สามารถเชื่อถึงสิ่งที่ได้เกิดขึ้น
“ท่านดันทาเลี่ยน”
“……”
“เราผู้นี้บอกให้ท่านสงบอารมณ์ของตนเองก่อนค่ะ”
ความรู้สึกในอกของผมได้สงบลง
ลาล่าพึ่งตบผมเมื่อกี้นี้เอง
นั่นมันไม่ใช่ปัญหาอะไรหรอกนะ ไม่ใช่ว่าข้าก็ตบแก้มของเธอหลายครั้งก่อนหน้านี้เช่นกันนี่? ตาต่อตาฟันต่อฟัน แน่นอนว่าเธอก็มีสิทธิที่จะตบผมเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ความจริงที่ว่า ‘ลาซูรี่ได้ตบผม’ ก็ทำให้ผมตกตะลึงไปเหมือนกัน
“ลาล่า ……”
“ในที่สุดฝ่าบาทก็สงบใจลงแล้วใช่มั้ยค่ะ?”
“ข้าขอโทษนะ ก่อนหน้านี้ข้าไม่ได้ตบเธอเพราะข้าต้องการหรอกนะ ข้าขอโทษด้วยสำหรับการเหวี่ยงมือของข้าเหมือนพวกอันธพาล ขอโทษจริงๆนะ แต่ข้าต้องทำให้แน่ใจว่าแม่ของเธอจริงใจหรือเปล่าน่ะ ”
ผมพูดด้วยเสียงที่แผ่วเบา
“ถ้าข้าไม่ทำให้เรื่องนี้ให้ชัดเจนแล้ว ข้าคิดว่าในท้ายที่สุดเธอจะเป็นคนที่เจ็บช้ำแทน แม้ว่าผลที่ได้ข้าจะกลับกลายเป็นคนชั่วก็ตาม ข้าอยากจะรับประกันความปลอดภัยของเธอน่ะ ข้าขอสาบานในเรื่องนี้เลยว่าข้าไม่ได้มีเจตนาใดๆแอบแฝงนะ ”
“เราผู้นี้รู้ค่ะ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เป็นปัญหาหรอกนะคะ”
ลาพิส ลาซูรี่ส่ายหน้าของเธอและกล่าวว่า
“ไม่มีเหตุผลใดๆที่จะต้องขอโทษสำหรับการทุบตีเราผู้นี้หรอกค่ะ เราผู้นี้เป็นแค่สามัญชน แค่เพียงได้อยู่เคียงข้างฝ่าบาทดันทาเลี่ยนเราผู้นี้ก็สามารถที่จะได้รับสิทธิพิเศษที่ไม่สมควรได้รับแล้ว ปัญหาที่แท้จริงคือเรื่องอื่นค่ะ ”
“เธอหมายถึงอะไรกันแน่จากคำว่าปัญหาที่แท้จริง …… ?”
“นี่ฝ่าบาทไม่รู้หรือค่ะ?”
คำถามประเภทนี้ชอบทำให้ผมโมโห
คนอื่นมีคำตอบแต่ผมกลับไม่มี ถ้าเป็นเช่นนั้น งั้นอย่างน้อยผมก็ควรจะมีสิทธิที่จะรู้คำถาม แต่ด้วยเหตุผลบางประการคนอื่นกลับรั้งทั้งคำตอบและคำถามเอาไว้ นี่ไม่ใช่เรื่องที่ไม่ยุติธรรมอย่างมากหรอกรึ?
“ลาล่า ข้าไม่ต้องการที่จะโต้เถียงกับเธอนะ ”
“มันไม่ใช่การโต้เถียงค่ะ”
ลาพิส ลาซูรี่โค้งคำนับและกล่าวว่า
“มันคือการทดสอบแบบง่ายๆต่างหากค่ะ”
จากนั้นลาล่าก็เดินออกจากห้องไป
โดยไม่ขออนุญาตจากผมเพื่อออกไป
ทันใดนั้นผมก็พบว่าตนเองอยู่ตามลำพังในห้องเพียงคนเดียวและเหม่อลอยจ้องมองไปยังพื้นที่อันว่างเปล่าซึ่งอยู่ข้างหน้าผม มันเป็นตอนนั้นเองที่หน้าต่างแจ้งเตือนโปร่งแสงได้ปรากฏขึ้น
[ค่าความชอบของลาพิส ลาซูรี่ได้ลดลงไป 1]
เป็นเวลานานทีเดียวที่ผมได้เพ่งมองข้อความแจ้งเตือนอย่างเหม่อลอย ด้วยเหตุที่ว่ามันไม่มีใครอื่นอยู่ในห้องเพื่อฟังคำพูดของผม ผมจึงพึมพำอย่างเบาๆต่ออากาศที่ว่างเปล่าว่า
“…… แล้วอะไรคือปัญหากันแน่ล่ะ?”
เสียงนกร้องได้เล็ดลอดออกมาให้ได้ยินจากหน้าต่าง
จอมปีศาจที่อ่อนแอที่สุด, อันดับที่ 71st, ดันทาเลี่ยน
ปฏิทินจักรวรรดิ: ปี 1505, เดือน 9, วันที่ 20
นิฟเฮม, ณ ลานกว้างเฮอร์เมส
“แล้วอะไรคือปัญหางั้นเหรอ?”
บาร์บาทอสดูราวกับว่าเธอกำลังพูดไม่ถูกอยู่
มันเป็นสีหน้าที่ดูเหมือนกับเธอต้องการให้ผมกัดลิ้นของผมเองและฆ่าตัวตายไปซะ
“นายได้พยายามที่จะฆ่าแม่ของคนรักนายนะ!”
หือ
“…… แล้วไงล่ะ?”
“โอ้ท่านเทพธิดาเพอร์เซโฟนี ท่านเทพผู้แสนดี ทำไมท่านถึงไม่เอาไอ้งั่งที่ย่ำแย่เหนือกว่าข้าไปสักทีนะ ”
บาร์บาทอสได้กุมหน้าผากด้วยมือของเธอ
“ดันทาเลี่ยน นายต้องการให้ข้าบอกนายจริงๆ จริงๆอย่างบริสุทธิ์ใจเลยใช่มะ? ”
“คำตอบที่แท้จริงย่อมดีกว่าคำตอบที่หลอกลวง”
“ก่อนที่จะฟังเรื่องราวของนาย ข้าได้แนะนำอย่างจริงใจว่าให้เลิกกับนังซัสคิวบัสที่หลงรักไปซะ ถูกมะ? แต่ตอนนี้ข้าชักจะไม่แน่แล้วแฮะ นี่ไอ้สมองนิ่ม ถ้านายกำลังจะถูกตบโดยนังจัณฑาลแล้วล่ะก็ งั้นนายก็สมควรที่จะถูกตบหลายร้อยหลายพันครั้งเลยแหละย่ะ ”
“นี่ แล้วถ้าเป็นเธอจะทำยังไงล่ะห๊า? ”
ผมได้ลดถุงน้ำแข็งต่ำลง
แก้มที่ถูกตบโดยลาล่าก็ยังคงปวดแสบปวดร้อนอยู่เช่นเดิม
“มีผู้หญิงคนหนึ่งที่คุณรักจริงๆ แต่ผู้หญิงคนนี้ โดยไม่สนใจความรู้สึกของเธอเลย เธอได้เกิดมาในโลกใบนี้เพียงเพราะความผิดพลาดของพ่อแม่ของเธอ ทันทีที่เธอได้ออกมาจากมดลูกเธอก็ถูกตราหน้าว่าเป็นพวก ‘จัณฑาล’ โดยทันที แม้แต่ในตอนนี้, บาร์บาทอส, เธอก็เมินเธอเช่นเดียวกัน ”
บาร์บาทอสได้ขมวดคิ้วของเธอและกล่าวว่า
“ข้าไม่เมินผู้คนโดยอิงจากสถานะทางสังคมหรอกนะยะ ข้าแตกต่างจากพวกเขา ”
“เธอหมายถึงการเลือกปฏิบัติสินะ ยังไงก็เถอะ, นั่นไม่เป็นไรหรอก สรุปก็คือ ตัวการที่ทำให้ชีวิตของลาพิส ลาซูรี่กลายเป็นเด็กจรจัดก็คือนังแก่คนนั้นนั่นเอง ข้าควรจะทำยังไงดีล่ะ? ถ้าเป็นเธอจะทำยังไงหืม? ”
คนที่ผมรังเกลียดมากที่สุดก็คือกลุ่มบุคคลที่มีลูกโดยไม่รับผิดชอบ พ่อของผมก็เช่นกัน และแม่ของผมก็ด้วย
คนธรรมดาทั่วไปย่อมไม่เข้าใจว่ามันน่าท้อแท้ขนาดไหนกันสำหรับเด็กที่ชีวิตของพวกเขาได้พังทลายลงเมื่อตอนอายุได้ 10 ขวบ อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับลาล่า ชีวิตของผมอาจจะถือได้ว่าฟ้าประทานเลยก็ว่าได้ เพราะชีวิตของเธอยับเยินดั่งเช่นแผ่นฟอยล์อลูมิเนียมนับตั้งแต่อายุแค่ 1 ขวบ
“ข้าไม่สามารถให้อภัยต่อหญิงชราผู้นั้นได้ การให้อภัยเธอเป็นสิ่งที่ผิดอย่างมหันต์ พับผ่าสิ ข้าไม่น่ากังวลเกี่ยวกับสิ่งที่ลาพิสคิดและแค่ฆ่าผู้หญิงคนนั้นซะในตอนนั้นเลยดีกว่า ”
“ดันทาเลี่ยน……”
ด้วยเสียงเอฟเฟ็กต์ โฮโลแกรมบางอย่างก็ได้ปรากฏขึ้นต่อหน้าผม
[อีกฝ่ายได้รู้สึกผิดหวังในตัวคุณ]
[ค่าความชอบของจอมปีศาจบาร์บาทอสได้ลดลงไป 3]
“นายค่อนข้างเป็นคนที่จิตวิปริตบิดเบี้ยวทีเดียวเชียวว่ามะ”
บาร์บาทอสแสดงสีหน้าที่เห็นอกเห็นใจผม
“นายดูปกติดีในภายนอกแต่ภายในกะโหลกศีรษะของนายกลับมีข้อบกพร่องซะงั้น นายคงจะไม่ได้ตระหนักว่านายดูเหมือนผู้ป่วยโรคจิตในตอนนี้เลย ใช่เปล่า? ”
“ข้าปกติดีอย่างไร้ที่ติน้า”
“มีคนสองประเภทที่อ้างว่าพวกเขาเป็นปกติดี หนึ่งคือฆาตกร และอีกหนึ่งก็คือคนที่กำลังจะเป็นฆาตกรในเร็วๆนี้ ”
บาร์บาทอสได้ก้มหลังของเธอเล็กน้อย
เธอได้เขม่นมองที่ผมอย่างซีเรียสและกล่าวว่า
“ทุกคนย่อมมีการทำผิดพลาดเสมอในตลอดระยะเวลาที่พวกเขาได้ดำเนินชีวิตอยู่ และแน่นอนว่า ถ้าพวกเขาทำผิดพลาดพวกเขาก็ควรจะถูกลงโทษ ถึงจุดนี้ก็พอยอมรับได้อยู่หรอกนะ แต่นายกลับดึงดันว่าการลงโทษจะต้องถูกดำเนินการไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม กับแม่บังเกิดเกล้าของคนรักนาย นั่นแหละที่ผิด ”
“ถ้ามีนังแพศยาคนใดที่สมควรตาย งั้นพวกมันก็ควรจะรับโทษทัณฑ์เหล่านั้นสิ”
บาร์บาทอสถอนหายใจออกมาและกล่าวว่า
“…… นายบอกว่าคนรักของนายชื่อลาพิส ลาซูรี่สินะ? เธอช่างน่าเลื่อมใสจริงๆให้ตายเถอะ เธอสามารถรับมือกับนายด้วยวิธีไหนกันวะ? ถ้าเป็นข้า ข้าจะตัดไข่ของนายออกซะและเผ่นหนีไปตั้งนานแล้ว เธอทั้งสองคนควรจะเลิกกันจริงๆนั่นแหละ ”
“นี่เธอกำลังเข้าข้างข้าหรือลาล่ากันแน่หา?”
“ข้าไม่รู้ เจ้างั่งเอ้ย”
บาร์บาทอสได้เกาหัวของเธอ
“ข้าดันหวังว่าน้องใหม่ที่มีความสามารถจริงๆจะได้ปรากฏตัวขึ้นหลังจากผ่านช่วงระยะเวลาอันเนิ่นนานแล้ว แต่ไม่ใช่ว่าเขาเป็นเพียงแค่ผู้ป่วยโรคจิตเองง่ะ? เฮ้อออออ ชะตากรรมของข้าเป็นเช่นนี้เสมอเลย …… ถ้าคุณนำเรื่องราวความรักของเขาออกไปแล้วเขาก็ดูค่อนข้างโอเคอยู่หรอกนะ แต่ข้าจะทำห่ายังไงดีให้ไอ้ปัญญาอ่อนนี้ทำงานเหมือนคนทั่วไปดี …… ”
“ฮัลโหล? นี่ข้าได้ยินทุกอย่างที่เธอพูดน้า ”
“แน่นอนสิในเมื่อข้าต้องการให้นายได้ยินมันเองแหละไอ้หน้าตัวเมีย ข้ากำลังคิดถึงการเปลี่ยนแปลงในอนาคตอันใกล้ในเรื่องที่ว่าข้าควรจะเสนอตัวเองให้เป็นพี่เลี้ยงของนายดีหรือเปล่า แต่นี้มันค่อนข้างฉิบหายสุดๆเลยว่ะ ”
บาร์บาทอสกุมหน้าผากของเธอและร้องครวญครางออกมา
มันเหมือนกับว่าเธอกำลังใคร่ครวญถึงระดับความลึกซึ้งขนาดไหนดีที่ตัวเธอกำลังวางแผนจะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับชีวิตของคนอื่น
หากคุณดันกังวลเกี่ยวกับปัญหาส่วนตัวของคนอื่นแล้ว งั้นคุณก็น่าจะจบลงในปลักน้ำลึกอันไม่มีที่สิ้นสุดแน่นอน บาร์บาทอสน่าจะกำลังคิดถึงเรื่องความรู้สึกน่าเหนียวเหนอะหนะแบบนั้นแหละ
ผมคิดว่าในที่สุดเธอคงได้ข้อสรุปแล้ว
“……โอเค, มาพูดกันต่อเหอะ”
บาร์บาทอสมีสีหน้าที่บ่งบอกราวกับว่าเธอได้ยอมจำนนตัวเธอเองต่อปมปัญหาสักอย่างในใจของเธอ
“พูดต่อ? เกี่ยวกับเรื่องอะไร?”
“เจ้าโง่ ข้ากำลังพูดถึงเรื่องความรักของนายยังไงเล่า จากที่นายเคยบอกมาจนถึงตอนนี้ มันดูเหมือนว่ามีปัญหาใหญ่เกิดขึ้นระหว่างนายกับนังซัสคิวบัสสุดที่รักของนาย นายอาจจะทะเลาะกัน แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาซึ่งใหญ่พอที่จะทำให้เกิดการเลิกลากันหรอกนะ เพียงแต่นายทำห่าอะไรในระหว่างช่วงระยะเวลาของเดือนที่ผ่านมาฮึถึงทำให้เด็กคนนั้นบ้าบิ่นต่อนายขนาดนั้นล่ะ? ”
“ข้าเห็นเธอพูดในทำนองที่ว่าเธอมั่นใจชัวร์ๆว่าข้าเป็นฝ่ายผิดซะงั้น”
“ใช่ ข้าแน่ใจเลย ถ้านายคิดว่ามันไม่ยุติธรรมงั้นก็พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของนายสิ, ชิ…… ”
บาร์บาทอสเหลียวมองออกไปทางนอกหน้าต่าง
มันยังเป็นช่วงเวลากลางวันดังนั้นข้างนอกจึงสว่างอยู่
ราวกับว่าเธอกำลังคาดคะเนความสว่างของแสงแดด บาร์บาทอสจึงได้หรี่ตาของเธอลง แสงแดดได้ส่องอาบไล้เรียวขาของเธอตลอดจนจรดปลายของพวกมัน
พูดจริงๆเลยนะ มันช่างน่าหลงใหลซะเหลือเกินแฮะ
แม้แต่แสงแดดก็คงจะดีใจกับความจริงที่ว่ามันได้จูบขาของบาร์บาทอส ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอย่างน้อยมันน่าจะมีความสุขมากกว่าส่องลงบนหัวของผม ถ้ามันไม่ใช่เพราะเรือนร่างเด็กน้อยแล้วล่ะก็ งั้นผมก็อาจจะถึงกับตกหลุมรักเธอไปแล้วแหละ
“…… เน่ นายกำลังมองตรงไหนอยู่ห๊า? ”
บาร์บาทอสกำลังเขม่นมองมาทางนี้ราวกับเธอกำลังมองบางสิ่งที่โสโครกอยู่
ผมจึงตอบไปตามตรงว่า
“ข้ากำลังชื่นชมขาของเธออยู่”
“มันไม่ฟรีหรอกนะดังนั้นถ้านายต้องการที่จะชื่นชมพวกมันงั้นก็จ่ายเงินมาซะดีๆ”
“เธอมองมาที่ขาของข้าแทนก็แล้วกัน”
“พูดหลังจากที่นายโกนขนหน้าแข้งของนายทั้งหมดแล้วเหอะ”
ผมยักไหล่และกล่าวว่า
“ข้าได้รับข่าวสารบางอย่าง”
บาร์บาทอสได้เอียงศีรษะของเธอ
“ข่าวอะไร?”
“เป็นจดหมายเล็กๆ ไม่มีทั้งชื่อและผู้ส่งเขียนไว้ มีเพียงสองประโยคที่ถูกเขียนด้วยปากกาขนนก ตัวเนื้อหาค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว ”
ผมหยิบกระดาษออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วยื่นส่งให้
ท่านมีศัตรู
10 วันนับจากนี้ กองทัพจำนวน 2,000 นายจะบุกโจมตีปราสาทของท่าน
“หืม”
บาร์บาทอสแค่นเสียงออกมาจากจมูกของเธอ
“การข่มขู่ตรงๆได้เขียนไว้ตรงนี้, สินะ”
“ข้าเห็นมันเป็นคำเตือนมากกว่าการข่มขู่นะ”
“ทำไมอ่ะ? แม้มองผ่านๆมันก็ดูเหมือนเป็นการข่มขวัญนะ ”
“มองไปที่ประโยคให้ดีๆสิบาร์บาทอส มันอาจจะมีเพียงสองประโยคแต่ความนัยหลายอย่างได้ซ่อนอยู่ข้างในพวกมันนะ อันดับแรก ‘ท่านมีศัตรู’ ถูกเขียนไว้ที่นี่ นี่เป็นความนัยบอกใบ้ว่า ‘เราไม่ใช่ศัตรูของท่าน’ ”
นี้นุ่มนวลเกินกว่าที่จะถือว่าเป็นจดหมายขู่
นั่นจึงเป็นเหตุผลครั้นตอนที่ผมได้รับจดหมายนี้เมื่อเดือนที่แล้ว ลาล่าและผมได้วิเคราะห์เกี่ยวกับมัน
ใคร และด้วยเจตนาอะไรกัน ถึงได้ส่งจดหมายแบบนี้มา
“ดูจากรูปแบบการเขียน บุคคลผู้เขียนจดหมายฉบับนี้เป็นพวกชนชั้นสูงและได้รับการศึกษาระดับสูง อีกทั้งข้อความดูเอียงเล็กน้อย เธอสามารถตัดสินได้ว่าเค้าเป็นคนที่ถนัดทั้งมือขวาหรือ ทั้งสองมือ ”
“…… นายสามารถบอกได้จากทั้งหมดในนั้นเลยเหรอ?”
“สิ่งเหล่านี้ไม่เกินไปกว่าสมมติฐานหรอกนะ”
ผมได้เอนหลังพิงเก้าอี้
และพูดต่อในอิริยาบทที่สบายๆว่า
“นอกจากนี้ยังมีโอกาสสูงที่คนๆนั้นจะทำในตำแหน่งงานที่สูง”
บาร์บาทอสได้ขมวดคิ้วของเธอ
“หาา? ทำไมถึงตำแหน่งสูงอ่ะ? ”
“ถ้าเธอมีตาก็ลองมองไปที่ตัวเลขสิ”
“มีเครื่องหมายจุลภาคอยู่ระหว่าง 2 กับ 0 นั่นเป็นเหตุผลซึ่งมีโอกาสสูงที่คนๆนั้นกำลังทำงานในตำแหน่งงานที่สูง”
“……”
บาร์บาทอสยังคงมีสีหน้าที่สับสนอยู่ดี
มันดูเหมือนว่าจอมปีศาจเด็กน้อยป่าเถื่อนผู้นี้ไม่ค่อนสันทัดในเรื่องพวกนี้ ผมถอนหายใจและอธิบายให้เธอฟังอย่างอ่อนโยนว่า
“คนปกติไม่ใส่เครื่องหมายจุลภาคตอนเขียนตัวเลขหลักพันหรอกนะ พวกเขามักจะเขียนมันเป็นแบบ 2000 แทนโดยไม่มีสัญลักษณ์พิเศษใดๆ แต่คนๆนี้ที่เขียนจดหมายฉบับนี้ได้ใส่เครื่องหมายจุลภาคจนติดเป็นนิสัย ”
ซึ่งความหมายว่า เป็นคนที่ปกติทำงานเกี่ยวกับเงินจำนวนมาก
คนที่ชอบใส่เครื่องหมายจุลภาคเสมอเมื่อใดก็ตามที่สามตัวเลข 0 อยู่ข้างๆกัน
คนที่พบเจอกับตัวเลขจำนวนมากเช่น 1,000,000 ในแต่ละวันตลอด
“ไม่ต้องสงสัยเลยว่าบุคคลนี้จัดการเกี่ยวกับพวกเอกสารทางบัญชีหรือบัญชีแยกประเภทอยู่บ่อยครั้ง บุคคลนี้อาจจะเป็นขุนนางระดับสูงในแว่นแคว้น หรือพวกเขาอาจจะเป็นพ่อค้าที่ทำงานในตำแหน่งงานที่สูงก็เป็นได้ ”
“ยังงั้นเหรอ…… ”
บาร์บาทอสทำหน้าเหยเกในขณะที่เธอมองลงไปที่ตัวจดหมาย
“สมองของนายไม่ได้มีไว้ประดับเฉยๆจริงๆด้วย”
“อย่าพึ่งรีบประทับใจสิ มันยังคงมีความจริงที่ซ่อนอยู่ 5 ประการในจดหมายฉบับนี้นะ แต่ถ้าข้าอธิบายโดยละเอียดแล้วล่ะก็ข้าคงจะตายด้วยความเหนื่อยหน่ายเป็นแน่แท้ ดังนั้นข้าจะขอข้ามไปก็แล้วกันนะ ”
ตั้งแต่สมัยโบราณมาแล้ว ที่ความลับคล้ายคลึงกับเพศสัมพันธ์
ตอนถอดเสื้อผ้าคู่นอนของคุณ คุณต้องค่อยๆถอดทีละชิ้นในแต่ละครั้ง ความบันเทิงแบบไหนกันที่คุณจะได้รับจากการฉีกเสื้อผ้าของพวกเขาออกทั้งหมดในครั้งเดียวกันล่ะ?
สรรพสิ่งล้วนอยู่ในจุดอันสูงที่สุดของความงามเมื่อถอดอย่างครึ่งๆกลางๆนะ ดั่งผู้หญิงที่เปลือยเพียงครึ่งเดียวย่อมมีเสน่ห์มากกว่าผู้หญิงที่เปลือยกายล่อนจ้อน ความลับก็มีรสชาติที่ดีที่สุดเมื่อตอนถอดตรงนี้ถอดตรงนั้นและจากนั้นก็นำไปปรุงอาหาร
C’est si bon (เซซิบง แปลว่า อร่อยเหาะฯ)
“ชายผู้นี้เป็นไอ้สารเลวหื่นกามอย่างถ่องแท้เลย, เนอะ?”
หลังจากที่ฟังสุนทรียศาสตร์ของผม สีหน้าของบาร์บาทอสก็ได้เหยเกยิ่งขึ้น
“ยังไงก็เถอะ นายกำลังบอกว่ามันมีความเป็นไปได้สูงที่ตัวการจะเป็นพ่อค้า ใช่มะ?”
“อืม อย่างน้อยเมื่อมองจากภายนอกอ่ะนะ ”
ผมได้เกาหน้าผากของผมและกล่าวว่า
“ยังดี ที่ข้ามีความสนิทสนมใกล้ชิดกับพวกพ่อค้า ถ้าบางที คนที่ได้ส่งจดหมายฉบับนี้เป็นพ่อค้าจริงๆและเป็นเพียงแค่การเล่นตลกแล้ว งั้นมันก็น่าจะง่ายกว่ามากที่จะจับตัวการได้ ”
“หืม? ทำยังไงอ่ะ?”
ผมยิ้มอย่างนุ่มนวลและกล่าวว่า
“ข้าบอกเธอแล้ว ว่าพ่อค้าเป็นเพื่อนของข้า”