Dungeon Defence - ตอนที่ 29
มปีศาจที่อ่อนแอที่สุด , อันดับที่ 71st, ดันทาเลี่ยน
ปฏิทินจักรวรรดิ: ปี 1505, เดือน 9, วันที่ 10
ราชอาณาจักรซาร์ดิเนีย, ณ ตลาดทาสพาเวีย
“ทั้งหมดคือสองท่านสินะครับ?”
“ใช่ ตัวข้ากับภรรยาของข้า ”
“อืม งัั้นพวกเราจะขอ 2 เหรียญทองสำหรับค่าคุ้มกันก็แล้วกันครับ ”
ผมมอบ 5 เหรียญทองแก่ทหารที่ได้รับการว่าจ้างและเขาก็ฉีกยิ้มกว้างออกมา
เสน่ห์อย่างไม่ทันคาดคิดมาก่อนได้เอ่อล้นออกมาจากรอยยิ้มของทหารรับจ้างผู้นี้ที่ขาดฟันหน้าสองซี่ไป
“ขอบพระคุณมากครับท่านผู้ทรงเกียรติ พวกเราเหล่าทหารรับจ้างจะปกป้องท่านด้วยชีวิตของพวกเราในช่วงที่ท่านพักอยู่ที่นี่ ขอให้เป็นวันที่น่ารื่นรมย์เคียงคู่กับคุณผู้หญิงของท่านนะครับ เฮ้ย, คุ้มกันคู่รักท่านนี้ไปยังจุดหมายของพวกท่านด้วยล่ะ! ให้แน่ใจด้วยว่ามันเป็นระดับสูงสุด! ”
“รับทราบครับ”
รอบนอกเมืองพาเวีย
บรรดาพ่อค้าทาสได้ตั้งแผงลอยอยู่ทุกหนทุกแห่งณ บริเวณที่โล่งกว้างแห่งนี้
เพื่อป้องกันเหล่าหัวขโมยจากการชิงทรัพย์ ทหารทั้งหลายจึงได้เฝ้ารักษาการณ์อย่างเข้มงวดไปทั่วทั้งตลาด มันมี 5 ลานกว้างยกสูงขนาดต่างๆ ทหารรักษาการณ์ราวๆ 70 นาย และแผงลอยมากมายซึ่งดูยิ่งใหญ่จนคุณอาจจะเข้าใจผิดว่าสถานที่แห่งนี้คือค่ายทหารถ้าคุณได้มองจากระยะไกล โจรส่วนใหญ่คงไม่กล้าที่จะมารังควานกับตลาดแห่งนี้ชัวร์
“ทางนี้ครับท่านผู้ทรงเกียรติ”
“อืม”
เมื่อเดินตามคำแนะนำของชายผู้นี้ พวกเราก็ได้เดินไปยังศูนย์กลางของตลาด
ลาพิส ลาซูรี่และผมกำลังแกล้งทำเป็นพ่อค้าหนุ่มสาว พวกเราได้บรรจงปลอมแปลงเอกสารแสดงตัวและชื่อของพวกเรา ด้วยเหตุนี้ พวกเราจึงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการที่ตัวตนแท้จริงของพวกเราจะถูกค้นพบภายในเวลาอันใกล้
ตลาดทาสได้เต็มไปด้วยบรรยากาศอันมืดมนและน่าหดหู๋ใจ
“รีบเดินได้แล้ว! ไอ้พวกงี่เง่า ”
“เอลฟ์หิมะคร้าบ! ดักจับส่งตรงจากภูเขาหิมะในอาณาจักรมอสโกเลยคร้าบ เนื่องในโอกาสพิเศษ ผมจะจัดแสดงพวกเธอให้ได้ชมกันฟรีๆในวันนี้เลยคร้าบ เชิญเข้ามาและลองชมดูได้เลยคร้าบ!
“ข้าบอกให้เอ็งเดินเร็วๆไงว่ะ!”
ทางด้านหนึ่ง มีทหารกำลังฟาดแส้และบังคับให้กลุ่มของพวกทาสรีบเดิน ชายหนุ่มจำนวน 6 คนได้ถูกล่ามโซ่เข้าด้วยกันเป็นแถวยาวและได้เดินไปข้างหน้าทีละนิด มันรู้สึกคล้ายกับกำลังดูหนอนเลื้อยกระดึ๊บๆเลยแฮะ
“เชิญดูเท่าที่คุณต้องการเลยคร้าบ ดูฟรีไม่ต้องเสียตังค์คร้าบ! ”
อีกด้านหนึ่ง มีเอลฟ์ซึ่งเปลือยเปล่าถูกขังอยู่ในเบื้องหลังกรงเหล็ก พนักงานขายได้พูดพล่ามถึงความยอดเยี่ยมใน “สินค้า” ของเขาในขณะที่กำลังชี้ไปที่หน้าอกและซี่โครงของเอลฟ์ มันมีผู้คนจำนวนมากมุงดูอยู่รอบๆกรงเหล็ก และมีกระทั่งบรรดาเด็กๆท่ามกลางหมู่พวกเขาอีกด้วย เหล่าเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆได้ลอดหัวของพวกเธอผ่านกรงและจ้องมองที่เอลฟ์ซึ่งเปลือยเปล่า
ผมได้ยินเสียงบทสนทนาของพวกเด็กๆว่า
“เน่พี่สาวค่ะ จริงหรือเปล่าที่พวกเอลฟ์ดำรงชีวิตโดยการกินแค่น้ำค้างง่ะ?”
“……”
“งืม เราไม่คิดว่าเธอเข้าใจในสิ่งที่พวกเรากำลังพูดอยู่หรอกน้า เราไม่รู้วิธีพูดภาษาที่ใช้ในมอสโกซะด้วยจิ…… ”
“เขาบอกกันว่าพวกเอลฟ์ชอบดื่มเลือดเด็กๆเป็นประจำทุกปี นั่นคือเหตุผลที่พวกเขาอยู่ได้เป็นร้อยหรือสองร้อยปีเยยน้า ”
“บ้าน่า! อย่ามาโกหกกันจิ! ”
กลุ่มเด็กน้อยได้หัวเราะคิกคักกัน สาวเอลฟ์ได้ยิ้มอย่างอ่อนโยนในขณะที่เธอเฝ้าดูพวกเด็กๆ เมื่อเด็กๆได้ยื่นมือของพวกเธอออกมา สาวเอลฟ์ดูยินดีเป็นอย่างมากจึงยื่นแขนของเธอออกมาเพื่อให้พวกเด็กสัมผัสผิวของเธอ แม้ว่าแขนของเอลฟ์นั้นจะผอมและมีแต่กระดูกซะเป็นส่วนใหญ่ แต่บรรดาเด็กหญิงตัวน้อยๆก็สร้างความวุ่นวายออกมาราวกับพวกเธอได้สัมผัสกับบางสิ่งดั่งเช่นทองคำยังไงยังงั้นเลย
“ไอ้เด็กซนพวกนี้!”
พนักงานขายได้อุ้มพวกเด็กขึ้นพลางหัวเราะอย่างเบิกบานไปด้วย
“หนูไม่สามารถจับต้องสินค้าอย่างพล่อยๆแบบนั้นได้นะรู้มั้ย!”
ผมเฝ้าดูถึงจุดนั้นและได้หันหน้าไปทางอื่น
—อ้าาาา……
เสียงแส้กำลังหวดฟาดและเสียงทาสกำลังกรีดร้องสามารถได้ยินจากในระยะไกลออกไป และไม่มีใครเลยในบริเวณตลาดให้ความสนใจต่อมัน บรรดาคนพวกเดียวที่ให้ความสนใจต่อเสียงกรีดร้องคือเด็กๆทั้งหลาย ทุกครั้งที่พวกเธอได้ยินเสียงครวญคราง เด็กๆก็จะตื่นเต้นและถามว่า “นี่เธอได้ยินมั้ย? นี่เธอได้ยินหรือเปล่า?” ทุกครั้งที่พวกเด็กได้ยินเสียงกรีดร้อง พวกเด็กก็จะเลียนแบบเสียงด้วยเสียงตะโกนของตัวเองว่า “อ้าา!” “อุกกก!”
มันเป็นเพราะความไร้เดียงสาของพวกเธอ ล่ะมั้ง?
ผมพูดพึมพำออกมาว่า
“นี่ค่อนข้างเป็นสถานที่ซึ่งวิเศษเหลือเกิน ทุกตลาดทาสเป็นแบบนี้เหมือนกันหมดใช่หรือเปล่าล่ะ? ”
“ใช่ค่ะ ไม่ได้แตกต่างกันมากมายนักเลยค่ะ ”
ลาพิส ลาซูรี่ได้ตอบกลับ
“ตลาดทาสซึ่งเราผู้นี้ได้เคยเป็นหนี้บุญคุณในช่วงเวลาสั้นๆ ที่อยู่ในช่วงเวลาวัยเด็กของเราผู้นี้ ก็ให้ความรู้สึกเช่นนี้แหละค่ะ”
“อะไรนะ? นี่เธอเคยทำงานที่ตลาดทาสมาก่อนเหรอ? ”
“ถ้าจะให้ถูกต้องก็คือ เราผู้นี้ไม่ได้ทำงานที่ตลาดทาสหรอกค่ะ แต่ได้ต้องการจะเป็นทาสแทน, ณ ตอนนั้น เราผู้นี้ได้หิวโหยอย่างมาก เราผู้นี้จึงคิดว่าตราบใดที่เราผู้นี้ได้รับอาหาร งั้นมันคงไม่เป็นไรหรอกที่จะได้กลายมาเป็นทาสค่ะ ในเมื่อพวกทาสอย่างน้อยก็มีอาหารให้กินกันน่ะค่ะ ”
ลาพิส ลาซูรี่พูดอย่างใจเย็นออกมา
“อย่างไรก็ตาม เมื่อพ่อค้าทาสพบว่าเราผู้นี้เป็นพวกเลือดผสม เขาก็ได้ขับไล่เราผู้นี้ออกมา เห็นได้ชัดว่า พวกจัณฑาลนั้นไม่มี ‘สิทธิ์’ แม้แต่จะกลายเป็นสินค้าที่ใช้ซื้อขายซะด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างนั้น ก่อนที่สถานะของเราผู้นี้ได้ถูกเปิดเผย เราผู้นี้ก็สามารถกินขนมปังบูดๆไปได้ตั้งครึ่งหนึ่งเลยค่ะ มันช่างเป็นความทรงจำที่ดีจริงๆ ”
“……”
ความหลังของลาพิส ลาซูรี่โครตมืดมนจนมันน่ากลัวสุดๆไปเลย……
ด้วยการทำทุกวิถีทางที่ผมสามารถจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาได้ ผมจึงกระแอมไอออกมาและกล่าวว่า
“ซัสคิวบัสซึ่งเคยระหกระเหินตามตลาดพวกนี้ปัจจุบันได้กลายเป็นภริยาของจอมปีศาจไปแล้ว นั้นมันไม่ยอดเยี่ยมหรอกหรือลาล่า? คุณค่าของคนไม่ได้ถูกกำหนดโดยชาติกำเนิดของพวกเขาหรอกนะ เธอ ผู้ซึ่งสามารถเอาชนะปัจจัยที่ไม่เอื้ออำนวยทุกรูปแบบมา จึงมีคุณค่าอันน่างดงามที่สุดกว่าใครๆทุกคนต่างหากล่ะ ”
ลาพิส ลาซูรี่ได้ชำเลืองมองผม
“……ฝ่าบาทชอบแสดงความเห็นที่น่าประหลาดใจเป็นบางครั้งบางคราวจัง”
“หืม?”
“ไม่มีอะไรค่ะ ฝ่าบาทได้กล่าวชมเชยที่เราผู้นี้ได้ประสบความสำเร็จ แต่นั่นก็ยังไม่ดีพอ จนกว่าฝ่าบาทจะได้เป็นผู้ปกครองอย่างแท้จริงของเหล่าปีศาจค่ะ นั้นแหละคือตอนที่ความสำเร็จของเราผู้นี้สามารถหยิบยกขึ้นมาถกเถียงได้ค่ะ ”
“เธอค่อนข้างเป็นผู้หญิงที่โลภมากจังนะ”
ผมยิ้มและกล่าวว่า
“นั่นคือเหตุผลที่ข้าชอบเธอ”
“ไม่มีความจำเป็นที่ฝ่าบาทต้องมาพูดเอาใจเราผู้นี้หรอกค่ะ”
“ข้าไม่ได้หวังอะไรมากหรอกนะ ข้าเพียงแค่หวังลมๆแล้งๆว่าจะมีความน่ายั่วยวนใจผสมเพิ่มมากขึ้นในกิจค่ำคืนนี้น่ะ แรกเริ่มเดิมที เมื่อตอนที่พวกเราทำ ‘สิ่งนั้นกัน’ ใบหน้าของเธอนิ่งประหนึ่งหินจนมันออกจะน่าสนุกต่อการ…… ”
ลาพิส ลาซูรี่ได้เหยียบลงบนเท้าขวาของผม ส้นรองเท้าของเธอได้แทงเข้าไปที่ง่ามนิ้วของผมดังนั้นมันจึงเจ็บมากเอาการอยู่ แต่ในทางตรงกันข้าม ผมกลับรู้สึกเบิกบานใจซะงั้น
ใช่แล้ว นี่แหละคือลาพิส ลาซูรี่คนเดิมตามปกติ ลาพิส ลาซูรี่คนเดิมที่สุขุม เยือกเย็น และตอบรับอย่างพอหอมปากหอมคอต่อการหยอกล้อของผม เมื่อรู้สึกถึงความโล่งอกอันพบเจอได้ยากจากส้นรองเท้านั่นแล้ว ผมก็ได้นำของใช้ส่วนตัวของผมออกมาในห้องพักที่ซึ่งทหารผู้ถูกจ้างได้นำทางพวกเรามา
ในค่ำคืนนั้น พวกเราได้รับคำเชิญเพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงตอนรับกับพวกพ่อค้าทาสแฮะ
มันคุ้มค่านะที่ให้เงิน 5 เหรียญทองกับทหารนั่น บรรดาคนของตลาดทาสจึงได้แสดงความยอมรับต่อพวกเราดั่งแขกวีไอพีและได้มอบบัตรเชิญแก่พวกเรา
ผมคิดว่ามันอาจจะเป็นงานเลี้ยงสังสรรค์ที่จัดขึ้นสำหรับพ่อค้าทาสเท่านั้น แต่ในงานพบปะนี้ค่อนข้างหรูหราเลยทีเดียว มันมีทหารรักษาการณ์หลายนายยืนทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยและมีพวกทาสที่หน้าตาดูดีได้เสริฟ์อาหารในสภาพเปลือยเปล่า ในไม่ช้าผมก็ปะปนไปกับกลุ่มพ่อค้าและพูดคุยกับพวกเขา
เหล้าไวน์ต่างๆได้เสริฟ์ไปทั่วทั้งงานอย่างเหมาะเจาะ มันแค่เสริฟ์ในปริมาณที่พอจะทำให้ผู้คนได้เมามายกันเล็กน้อย ในช่วงค่ำคืนที่เต็มไปความมักใหญ่ใฝ่สูง นี่คือช่วงเวลาอันเหมาะสมที่สุดในการชักจูงให้ผู้คนเปิดเผยความคิดในใจออกมา เอาล่ะ พวกเราจะเริ่มลงมือกันเลยดีหรือเปล่าน้า…… ?
“นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของผมเลยนะที่ได้เห็นตลาดทาสซึ่งเลิศหรูขนาดนี้ เมื่อก่อนผมได้เคยตระเวนไปตามตลาดทาสหลายแห่งที่มีขนาดกว้างใหญ่ แต่ถ้าคุณเปรียบเทียบคุณภาพของสินค้าระหว่างที่นี่กับที่นั่น พวกเขาไม่อาจเทียบกันได้เลยกับความยอดเยี่ยมของที่นี่ มันวิเศษมากเลย ทุกๆท่าน ผมประทับใจเป็นอย่างมากจริงๆ ”
“ฮ่าๆ คุณคิดประเมินพวกเราอย่างสูงส่งเกินไปแล้ว ”
บรรดาพ่อค้าทาสได้หัวเราะด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ
อารมณ์สนุกสนานคึกคักได้หลั่งไหลไปทั่วทั้งห้อง ทุกคนได้ให้ความรู้สึกที่น่าคบหาออกมา สำหรับคนพวกนี้ที่ทำการค้าขายทาส มันยากที่จะเชื่อว่าคนเหล่านี้ดูไม่มีพิษภัยได้ถึงขนาดนี้ พวกเขาไม่ได้รู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อยต่อการค้าทาสหรือไงกัน?
ก็นะ นั่นอาจจะเป็นสิ่งที่คนยุคปัจจุบันนี้ชอบกันก็เป็นได้ นี่ไม่ใช่ปัญหาที่ผมควรยุ่งเกี่ยวด้วยหรอกนะ การปฏิวัติควรอยู่ในมือของนักปฎิวัติสิ และการเมืองก็ควรจะปล่อยให้อยู่ในมือของนักการเมือง นั่นคือความเชื่อของผม ถึงแม้ว่า จะมีหลายคนที่เอางานทั้งสองอย่างนี้มาผสมปนเปกันก็ตาม
“มีบางอย่างที่ผมสงสัยเกี่ยวกับมันเล็กน้อย อ่ะนะ”
“มันคืออะไรล่ะ? บอกพวกเรามาได้เลย”
“เฉกเช่นเดียวกันกับที่ดอกไม้ดอกเดียวสามารถตราตรึงผู้คนทั้งห้องบอลรูมได้ จะไม่มีทาสซึ่งมีค่ามากที่สุดในตลาดนี้เลยยังงั้นหรือ? ใครคือทาสที่ทุกคนในที่นี้เห็นว่าเป็นดอกไม้ของตลาดแห่งนี้กัน? ”
เหล่าพ่อค้ามองหน้ากันหลังจากฟังคำถามของผม
ไม่นานหลังจากนั้น พวกเขาก็เริ่มสร้างความอลหม่านออกมา
“แน่นอนว่า ไม่ใช่เอลฟ์หิมะหรือไงกันที่ข้าจับได้จากมอสโกน่ะ? ข้าต้องจ้างนักล่าไม่น้อยกว่า 20 คนเลยนะเพียงเพื่อที่จะจับยัยนั่น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสินค้าของข้าเจ๋งที่สุด ”
“เฮอะ ขอบอกตามตรงเลยนะ กระแสนิยมเอลฟ์มันหมดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวนี้ พวกไซเรนและนางเงือกต่างหากที่กำลังมาแรงเว้ย เมื่อคิดถึงตอนนั้น ไซเรนที่ข้าได้ฝ่าฟันอุปสรรคนานับประการเพื่อให้ได้มา…… ”
“ฮะ! เป็นไปได้ไงที่ไอ้พวกสัตว์มีปีกบางตัวจะเรียกเสียงฮือฮาได้? มันคงจะเป็นที่น่าแปลกใจนะถ้านายสามารถถึงกับได้รับเงิน 20 เหรียญทองจากพวกมันน่ะ พวกมันอาจจะเป็นเผ่าพันธุ์ที่หายากและเหมาะสมสำหรับการสร้างบรรยากาศให้มีชีวิตชีวาขึ้น แต่นายไม่สามารถเรียกพวกมันว่าดาวเด่นแห่งตลาดได้หรอกนะ นั่นคือสิ่งที่แน่นอนชัวร์ป๊าบเลย ”
“ไม่เลยว่ะ แน่นอนว่าพวกแกคงจะตีราคาพวกมันสูงขึ้นเมื่ออิงจากความหายากของพวกมัน แต่ข้ากำลังคิดจะนำของดีก้นหีบข้าออกมาและจัดแสดงเซนทอร์ ถ้ามันเป็นม้าแล้วงั้นพวกผู้หญิงชนชั้นสูงคงจะชอบ…… ”
พวกเขาได้ส่งเสียงเอะอะออกมา
การโต้เถียงในเรื่องที่ทาสของใครดีกว่ากันได้ดำเนินต่อไป
หลังจากนั้นสักพัก พ่อค้าทาสคนนึงก็ได้ชี้ไปยังชายหนุ่มผู้หนึ่งและกล่าวว่า
“แล้วทางด้านของเอ็งล่ะ เกียโคโม? ข้าได้ยินว่าเอ็งตกลงปลงใจแล้วที่จะเตรียมสินค้าในครั้งนี้สักทีน่ะ”
“……มันไม่ดีเด่เท่ากับสินค้าต่างๆของพวกนายทุกคนหรอก”
ชายหนุ่มขมวดคิ้วของเขาในขณะที่เขาได้ตอบ
เขาคือชายหนุ่มผู้ซึ่งดื่มไวน์อย่างเงียบๆตั้งแต่ต้นงานเลี้ยง แม้ว่าพ่อค้าคนอื่นๆได้พยายามที่จะให้ความสนใจต่อทาสของเขา เขากลับปฏิเสธ เมื่อเห็นสีหน้าเขาที่ได้มืดมนลง มันดูเหมือนกับว่าเขาไม่พอใจเกี่ยวกับเรื่องบางอย่างอยู่
“มาบอกว่ามันไม่ดีเด่อะไรมากงั้นเหรอ! นั่นค่อนข้างถ่อมตัวเกินไปแล้ว! ”
“ถูกต้องแล้วเกียโคโม พวกข้าไม่ได้หูหนวกนะ พวกข้าได้ยินข่าวลือมา ได้ยินว่าเอ็งประสบความสำเร็จในการเอาลูกนอกคอกจากตระกูลของดยุคมาได้นี่”
เจ้าหนุ่มได้ทำสีหน้าข่มขื่นออกมา
มันดูเหมือนเขาจะรู้สึกอึดอัดที่ความสนใจได้เพ่งเล็งมาที่เขา
“……ผมแค่โชคดีน่ะ ก็เท่านั้นเอง”
จากนั้นชายหนุ่มก็จิบไวน์ของเขาต่อ
ผมลอบโค้งมุมปากของผมอย่างลับๆในระหว่างที่ผมได้จ้องมองชายหนุ่ม
เจอแล้ว
ผมมั่นใจว่าผู้ชายคนนั้นคือพ่อค้าทาสที่กำลังครอบครองลอร่า เดอ ฟาร์เนเซ่อยู่
การอดทนต่อความเกียจคร้านเพื่อเข้าร่วมในงานเลี้ยงครั้งนี้คุ้มค่าจริงๆแฮะ ถึงกับสามารถค้นพบเป้าหมายของผมได้อย่างรวดเร็ว ผมช่างโชคดีจัง
เมื่อแสร้งทำเป็นประหลาดใจ ผมก็เปล่งเสียงของผมออกมาว่า
“ช้าก่อนทุกท่าน ลูกนอกคอกจากตระกูลของดยุคงั้นหรือ? นั่นมันเรื่องอะไรกันเอ่ย? ผมอยากได้ยินรายละเอียดเพิ่มจัง ”
“ข้าไม่แน่ใจหรอกนะ แต่เจ้านั่น ที่ชื่อเกียโคโม ดันได้ลาภลอยเล็กน้อยตั้งแต่ยังหนุ่มอยู่เลย มันยังเป็นครั้งแรกของเจ้านั่นในการเริ่มก้าวเข้าสู่ธุรกิจตลาดทาสอีกด้วย แต่คุณพระช่วย เขากลับได้รับสินค้าที่เลอค่าในหมู่สินค้าเลอค่าเลยก็ว่าได้! ”
“พวกเขาว่ากันว่านี่คือลูกนอกคอกจากบ้านของตระกูลดยุดฟาร์เนเซ่น่ะ”
บรรดาพ่อค้าได้รู้สึกตื่นเต้นและเริ่มที่จะส่งเสียงเอะอะ
“ตระกูลของดยุค และไม่ใช่ตระกูลเล็กๆทั่วไป แต่เป็นถึงตระกูลฟาร์เนเซ่เชียวนะ! แน่นอนว่า จริงอยู่ที่ฐานะของพวกเขาได้ตกต่ำลงจนถึงจุดซึ่งต่ำที่สุดหลังจากที่แพ้สงครามดอกกุหลาบครั้งก่อน แต่ถึงอย่างนั้น …… ”
“ก็นะ มันเป็นความลับที่เปิดเผยกันทั่วไป พวกเขาคงไม่อยากโยนความรับผิดชอบต่อการปราชัยของพวกเขาให้แก่ทายาทแท้จริงของพวกเขาหรอกนะ ดังนั้นพวกเขาจึงขายบุตรสาวนอกคอกของพวกเขาเฉกเช่นยอมชดใช้ออมชอมกัน ถึงแม้ว่า นี่จะเป็นเพียงมูลฐานแห่งการคาดเดาก็เถอะนะ ”
“นั่นไม่ใช่การคาดเดาที่ถูกต้องหรือไง? ความเป็นไปได้อื่นๆอีกนั้นไม่มีทางหรอก …… เด็กสาวผู้นั้นได้ถูกเลือกให้เป็นดั่งแพะรับบาปสำหรับตระกูลเป็นแน่แท้”
ใครคนหนึ่งได้เดาะลิ้นของเขาและกล่าวว่า
“ฝ่ายที่กำชัยชนะเหนือกว่าหลังจากสงครามดอกกุหลาบต่างก็มีความสุขที่พวกเขาได้สร้างความอัปยศให้แก่ตระกูลฟาร์เนเซ่ และตระกูลฟาร์เนเซ่ก็มีความสุขที่พวกเขาสามารถลดความสูญเสียของพวกเขาให้เหลือน้อยที่สุดได้”
“ถ้าแกพิจารณาอย่างรอบคอบดูแล้ว พวกขุนนางเหล่านี้ประกอบการค้าได้ดีกว่าพวกเราเสียอีก คิกคิก ไอ้พวกคนเบื้องสูงนั่นรู้งานดีจริงๆ ”
“นอกจากนี้ พวกเขายังกล่าวว่า ‘เรื่องนั้น’ ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นกันนะ”
พ่อค้ากล่าวเปรยๆออกมาพลางเคี้ยวน่องไก่ไปด้วย
ผมใส่สีหน้าเคลิบเคลิ้มลงบนใบหน้าของผมและกล่าวว่า
“ไอ้ ‘เรื่องนั้น’ คุณหมายถึงอะไรเหรอ?”
“คืองี้ ข้ากำลังพูดถึงเรื่องนั้นน่ะ ที่ใบหน้าและร่างกายของเธอช่าง…… หึหึ! ”
พ่อค้าได้หัวเราะอย่างชั่วร้ายออกมา ซอสเหนียวข้นสีน้ำตาลได้เปรอะเปื้อนไปทั่วนิ้วทั้งหมดของเขา เหล่าพ่อค้าคนอื่นๆต่างก็เห็นด้วยอย่างแรงกล้า
“ข้าก็ได้ยินข่าวลือมาเหมือนกัน ว่าเธอคือเจ้าหญิงผู้ถูกจองจำแห่งฟาร์เนเซ่! ”
“ใช่แล้ว นั่นเป็นเพราะเธอคือหญิงสาวที่สวยไร้ที่ติ พวกเขากลัวว่ามันจะก่อให้เกิดความวุ่นวายในราชอาณาจักร นั่นเป็นเหตุผลที่ดยุคจงใจซ่อนเธอไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดของคฤหาสน์เพื่อไม่ให้ใครสามารถเห็นเธอได้ ”
“แต่ไงก็ตาม, พูดตรงๆเลยนะ, มันน่าจะเป็นเรื่องเหลวไหลทั้งเพ ”
พ่อค้าได้ยักไหล่
“ไม่ว่าแกจะพิจารณามันยังไง พวกเขาน่าจะซ่อนเธอเพราะพวกเขารู้สึกอับอายมากกว่า…… แต่จะทำไมล่ะ? เพียงความจริงที่ว่าข่าวลือพวกนี้ติดมาพร้อมกับตัวเธอก็เยี่ยมพอแล้ว ข่าวลือมีส่วนช่วยเพิ่มมูลค่าของสินค้าอยู่ดีนั่นแหละ ”
“อืม ข้าก็ว่านั่นกล่าวได้ถูกต้องเลย ตั้งแต่ต้นแล้ว ที่เธอมาจากหนึ่งในตระกูลขุนนางอันทรงเกียรติที่สุดแห่งราชอาณาจักร …… ”
“ข่าวลือที่ว่าเธอคือหญิงสาวที่สวยที่สุดในทวีปซึ่งได้เล่าลือไปทั่วก็ด้วยนะ”
“และเธอก็อยู่ในช่วยสุกงอมซึ่งก็คืออายุ 16 ปี!”
พวกพ่อค้าได้ตะเบ็งเสียงหัวเราะออกมากันถ้วนหน้า
คนเดียวที่ไม่สามารถคล้อยตามไปกับเค้าด้วยก็คือชายหนุ่มคนนั้น เขายังคงรักษาสีหน้าที่ไม่ยินดียินร้ายเอาไว้
“……โทษทีผมขอตัวไปก่อนนะ ราตรีสวัสดิ์”
ชายคนนั้นลุกขึ้นยืนออกจากโต๊ะและเดินอย่างเฉื่อยชาจากไป
พ่อค้าคนอื่นๆก็อวยพรให้เขามีค่ำคืนที่ดีด้วยเช่นกัน แต่ชายหนุ่มก็รับมันไว้อย่างเหม่อลอย มันคงจะเป็นการยากที่จะมองว่ามันเป็นมารยาทในเชิงบวกอ่ะนะ เมื่อชายหนุ่มได้จากไปแล้ว เหล่าพ่อค้าก็รีบแสดงความคิดเห็นของพวกตนออกมาทันที
“นี่หมอนั่นไม่เย่อหยิ่งไปหน่อยเหรอ? พวกเราอุตส่าห์เชิญทุกคนที่ทำธุรกิจแบบเดียวกันเพื่อให้พวกเราสามารถรู้จักกับเพื่อนร่วมอาชีพของตนได้ดีขึ้น แต่ถ้าหมอนั่นทำตัวอย่างนั้น…… ”
“เขาช่างไม่มีมารยาทจริงๆ เขาทำตัวกร่างในขณะที่อาศัยชื่อเสียงของพ่อเขาเท่านั้นแหละ พวกคนหนุ่มทุกคนเดี๋ยวนี้ก็เป็นซะอย่างงั้นกันหมดเลย ”
ดูท่าความประพฤติของพวกหนุ่มสาวในโลกนี้และโลกเดิมของผมก็เหมือนกันเดี๊ยเลยแฮะ
ผมติดรอยยิ้มและได้ลุกขึ้นยืนกล่าวว่า
“ผมว่าจะลองเดินดูรอบๆตลาดตั้งแต่ช่วงเช้า ดังนั้นผมก็ขอกลับไปที่ห้องพักของผมเช่นกัน ทุกท่าน ขอให้มีค่ำคืนที่น่ารื่นรมย์ใจกันนะครับ ”
“โอ ขอให้ฝันดีเช่นกันนะ”
หลังจากได้รับการอำลาจากพ่อค้าแล้ว ผมก็เดินของผมออกมาจากห้องจัดงานเลี้ยง หลังจากสั่งให้ลาล่าออกไปนอกตลาดและเตรียมพร้อมรับมือต่อทุกๆสถานการณ์ ผมก็ไล่ตามชายหนุ่มด้วยตัวผมเอง ไม่ไกลจากนั้น ภาพของชายหนุ่มที่กำลังเดินผ่านตลาดเพียงตัวคนเดียวก็ปรากฏเข้ามาสู่สายตา
“คุณเกียโคโม คุณเกียโคโม! ”
“ครับ……?”
ชายหนุ่มได้หันมามองผม
เขามีแววตาที่แสดงออกมาราวกับว่าเขากำลังมองคนที่น่าสงสัยอยู่
ผมประดับรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าของผมและกล่าวว่า
“บางทีคุณ อาจจะ ต้องการร่วมสนทนาปรับทุกข์กับผมสักหน่อยมั้ยครับ?”
มาคลายความระวังของไอ้ไก่อ่อนนี่กันดีกว่า