Dungeon Defence - ตอนที่ 38
มปีศาจที่อ่อนแอที่สุด, อันดับที่ 71st, ดันทาเลี่ยน
ปฏิทินจักรวรรดิ: ปี 1505, เดือน 9, วันที่ 21
นิฟเฮม, ณ พระราชวังเจ้าเมือง
“……”
สีหน้าของบาร์บาทอสได้เปลี่ยนไปอย่างช้าๆ
ในตอนแรก มันดูเหมือนสมองของเธอยังไม่สามารถตีความในสิ่งที่เธอได้ยิน แต่ทว่า หลังจากผ่านไป 3 วินาที เธอก็ค่อยๆเลิกคิ้วของเธอขึ้น
“……หาา?”
“ความรักยังไงเล่า บาร์บาทอส ข้ากำลังพูดถึงความรัก ”
ผมส่งยิ้มให้
แต่บาร์บาทอสก็ยังไม่สามารถเข้าใจคำพูดของผม
ด้วยรอยยิ้มกริ่มที่แผ่ไปทั่วใบหน้า ผมก็พูดเชิงติดตลก
“ลองคิดดูดีๆสิ นี่เป็นเรื่องที่ออกจะชัดเจนมากนะ ทำไมข้าถึงพยายามฆ่าแม่ของลาพิสกันล่ะ? หืม?”
ในเมื่อบาร์บาทอสไม่พูดตอบ ผมก็เลยถามอีกครั้ง
“ทำไมข้าถึงพยายามฆ่าแม่ของลาพิสนั้น ถ้าเธอใช้สมองซึ่งมีอยู่น้อยนิดของเธองั้นเธอก็สามารถคิดออกแน่นอน อันที่จริง มันไม่มีประโยชน์ใดๆที่ข้าจะได้รับจากการฆ่ายัยแก่นั่นหรอกนะ ไม่มีเลย”
ผมหัวเราะเบาๆ
“จอมปีศาจที่ฆ่าแม่ของคนรักอย่างเลือดเย็น หากทำแบบนั้นแล้วงั้นผู้คนจะมองข้าเช่นไรกัน? พวกเขาก็จะมองข้าว่าเป็นฆาตกรวิปลาสอันติ๊งต๊ิองน่ะสิ การทำอะไรแบบนั้นก็เหมือนกับการลากชื่อของข้าเข้าไปในโคลนตมไม่มีผิด ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ข้าไม่ควรฆ่าเธอ ซึ่งเป็นที่ชัดเจนอยู่แล้วแหละ”
ช่วงเวลาที่คนๆนึงได้เปลื้องความโง่เขลาของพวกเขาทิ้งไปนั้นช่างเป็นเรื่องที่น่าเบิกบานใจอะไรเช่นนี้ อา มันรู้สึกดั่งว่าผมอาจจะเริ่มชื่นชอบโลกนี้โดยไม่รู้ตัวซะแล้วสิ
“ยังไงก็เหอะ ข้าได้พยายามฆ่ายัยแก่นั่นเหมือนดั่งว่ามันเป็นสิ่งที่แน่ชัดที่สุดในโลก ถ้าลาพิสไม่หยุดข้าไว้ งั้นเลือดเนื้อภายในของยัยแก่นั่นก็คงจะถูกฉีกกระชากออกเป็นแน่แท้ อะไรคือสาเหตุ ทำไมข้าถึงพยายามดึงดันกระทำทั้งๆที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อข้าทางการเมืองเลยล่ะ? มันมีคำตอบเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น มันเป็นเพราะข้ารักลาพิส ลาซูรี่…… ”
“……เดี๋ยวนะ”
บาร์บาทอสขมวดคิ้ว
“เลิกตื่นเต้นไปเองและหยุดแปปนึงก่อน ว่าอะไรนะ ความรักเหรอ? นายพยายามฆ่าแม่ของนังเด็กนั่นเพราะความรัก? ดันทาเลี่ยน นี่หูข้าฟังถูกรึเปล่าเนี่ย? ”
“เธอได้ยินถูกแล้วแหละ ดูท่าเธอมีประสาทสัมผัสในการได้ยินที่ดีมากๆนะ ”
“เวร นั้นเป็นความรักไปได้ยังไงกันยะ? ”
ผมได้ยิ้มอย่างอ่อนโยน
ในตอนนี้ ผมมีความอดทนต่อการดำรงชีวิตอย่างหาที่สุดมิได้แล้ว
“มันคือหลักการที่ชัดเจนและเรียบง่ายมาก บาร์บาทอส ข้าได้กระทำการสามอย่างที่ปกติแล้วข้าจะไม่มีทางทำถ้าข้าทำตัวตามปกติ ”
ประการแรกเลย ผมได้พยายามฆ่ายัยแก่แม้ว่าจะไม่ได้ประโยชน์อะไรก็ตาม
ประการที่สอง ผมได้พยายามฆ่าสาวใช้ที่พระราชวังเจ้าเมืองแม้ว่ามันจะ แน่นอนว่า ไม่ได้อะไรเลย ถ้าผมฆ่าสาวใช้อย่างไม่แคร์ใคร ชื่อเสียงของจอมปีศาจดันทาเลี่ยนก็จะตกต่ำลงอย่างมาก คุณคงจะไม่อาจเห็นมันได้ว่าเป็นการกระทำที่มีเหตุผลแน่ๆ
ประการที่สาม ผมพยายามไว้ชีวิตเกียโคโม เปตรากและพวกยาม ในขณะเดียวกันก็แบกรับอันตรายที่การสังหารหมู่ของผมจะถูกเปิดโปง นี่มันไร้เหตุผลสิ้นดีเลย นี่ผมบ้าไปแล้วเรอะ? ทำไมผมถึงพยายามไว้ชีวิตคนเหล่านั้นกัน? ก็มันเป็นเพียงเพราะผมอยากจะแสดงให้ลาพิส ลาซูรี่เห็นว่า ‘ผมก็มีเมตตาได้นะ’ ยังไงล่ะ
ครั้งแรกเป็นอารมณ์ชั่ววูบ
ครั้งที่สองเป็นเหตุการณ์สอดคล้องกัน
ครั้งที่สามคือสิ่งจำเป็น
และผมคือไอ้โง่บรมที่ไม่สามารถคิดได้ว่าอะไรคือสิ่งจำเป็นกันแน่ สองครั้งยังพอเข้าใจได้นะ แต่สำหรับผมที่พลาดถึงสามครั้งนะเหรอ? นั่นเป็นไปไม่ได้เลย
จนสมองผมได้ให้คำตอบตามนิสัยอันสุขุมของผม
ลาพิส ลาซูรี่
เธอคือข้อผิดพลาดของตรรกะผม
ไม่ต่างจากไวรัสที่ก่อให้เกิดความบกพร่องเลย
“อันที่จริง มันเห็นได้ชัดมากอยู่แล้ว…… ”
ผมทอดสายตาอย่างไร้จุดหมายและกล่าวว่า
“ครั้นข้าได้พยายามฆ่ายัยแก่นั้น มันไม่รู้สึกสนุกเลยพับผ่าสิ นี่ไม่น่าแปลกใจหรือไงกัน? สำหรับข้า ไม่มีสิ่งใดที่สนุกสนานมากไปกว่าการใช้อำนาจของข้าเพื่อหย่อนคนๆนึงลงสู่นรกอีกแล้ว แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ในตอนที่ข้ากำลังจะฆ่ายัยแก่นั้น อารมณ์ของข้ากลับแย่สุดๆเลยซะงั้น…… ”
มันเหมือนกับตอนสาวใช้ไม่มีผิด
มันไม่สนุกเลยแม้แต่น้อย
มีเพียงความโกรธอันไม่น่ารื่นเริงใจสิ้นดีได้เต็มเปี่ยมอยู่ในหน้าอกของผม
ผมคือคนที่รู้สึกครึกครื้นเมื่อได้เผชิญหน้ากับไพม่อนและอีวาน ล๊อทบรอคในงานวัลเพอร์กิสไนท์ ภายใต้สถานการณ์ซึ่งหากผมได้ดำเนินการผิดไปแม้แต่นิดเดียว ผมก็จะตกอยู่ในอันตรายจากความพินาศล่มจม แต่แล้ว ผมกลับเพลิดเพลินต่อความรู้สึกที่ได้หยอกล้อคนเหล่านั้นทั้งสองคนได้มากเท่าที่ผมต้องการ สรุปแล้วผมคือคนที่บ้าอำนาจก็ว่าได้
แต่สำหรับผมที่รู้สึกไม่พอใจเมื่อยามที่ผมพยายามกำจัดยัยแก่และสาวใช้น่ะเหรอ?
นั่นแปลกมาก
สิ่งที่ทำให้บกพร่องได้เข้ามามีส่วนอย่างเห็นได้ชัด
เงื่อนงำทั้งหมดได้แสดงให้เห็นมาก่อนหน้านานแล้ว
ตอนที่ผมเหยียบหัวอีวาน ล๊อทบรอคผมรู้สึกพึงพอใจ—
ตอนที่ผมข่มขู่ยัยแก่และสาวใช้ผมกลับรู้สึกไม่พอใจ—
สิ่งที่ต่างกันนั้นก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า
เรื่องก่อนหน้าคือการทำลงไปเนื่องจากอำนาจ ในขณะที่เรื่องหลังได้ทำลงไปเนื่องจากความรัก
ถ้าเรื่องนี้ไม่น่าตื่นตะลึง งั้นผมก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรแล้วล่ะนะ
เมื่อย้อนกลับไปคิดดู มันเป็นเรื่องที่ชัดเจนแบบนี้แหละ
“ข้าตกใจจริงๆ เมื่อเห็นว่าวันที่คนอย่างข้ากลับรักใครสักคนขึ้นมาจริงๆได้มาถึง มันคือสิ่งที่ข้าไม่สามารถคาดหมายได้ไม่แม้กระทั่งจะจินตนาการเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถตระหนักได้เร็วกว่านี้น่ะ…… ”
“นาย……นี่นายพูดจริงๆง่ะ?”
“ข้าจริงจังเสมอ บาร์บาทอส”
ใบหน้าของอีกฝ่ายได้เคร่งขรึมขึ้น
“……บ้า”
“ใคร?”
“ก็นายไงยะ นายมันบ้าสิ้นดีเลย”
“นั่นไม่ใช่เรื่องใหม่อะไรเลย”
ผมจิบไวน์ของผม
ความหวานอมขมได้ทำให้ลิ้นของผมชุ่มชื่นขึ้น
จริงๆด้วย ไวน์ขวดนี้สมกับสมญานามที่ว่าดีที่สุดในโลกของปีศาจด้วยการโม้ว่ามันมีรสชาติที่ล้ำลึกสุดๆ
‘ลูกเอ๋ย’
‘ถ้าลูกโชคดีลูกก็อาจจะได้พบผู้หญิงที่ดีนะ’
‘และไม่ว่าลูกจะทำอะไร อย่า อย่าปล่อยผู้หญิงคนนั้นไปเป็นอันขาด’
พ่อ คำพูดของพ่อนั้นถูกต้องจริงๆ
ถ้าคุณได้พบผู้หญิงที่โดดเด่นงั้นความรู้สึกนั้นก็จะเข้ามาหาคุณแน่นอน
แต่ทว่า จำนวนเรื่องที่พ่อของผมกล่าวได้ถูกต้องก็มีถึงเรื่องนั้นเอง
เพราะแน่นอนว่า ผมเก่งกว่าพ่อของผมเยอะ
ผมจะพิสูจน์ให้เห็นในที่นี้เลยก็แล้วกัน
“สิ่งที่ข้าต้องทำนั้นง่ายนิดเดียว ก่อนอื่น ข้าต้องสารภาพรักของข้าต่อลาพิส ซึ่งเรื่องนี้ อย่างที่ข้าบอกเธอไปก่อนหน้า ก็ได้สำเร็จอย่างไร้ที่ติ”
“ไร้ที่ติ…… ?”
สีหน้าของบาร์บาทอสได้เหยเกขึ้น แต่ผมทำทีไม่สนใจมัน
“ต่อมา ข้าต้องรีบเคลียร์กองทหารที่บุกรุกเข้ามา ซึ่งนี่ไม่ใช่งานง่ายเลย ในเมื่อเป้าหมายของข้าไม่ใช่การบดขยี้กองกำลังของศัตรู แต่เป็นเพื่อฟูมฟักแม่ทัพในอนาคตของข้า ก็นะ ตามที่ประเมินดูเธอได้ประสบความสำเร็จในการปลุกความสามารถให้ตื่นขึ้น— ในระดับนึง มันยังมีอีกหลายสิ่งที่เหลือไว้ให้สอนเธออยู่อีก อืม ยังไงก็เหอะ หลังจากกำราบผู้บุกรุก และขยี้ฟาร์เนเซ่ตามที่ข้าพอใจแล้ว…… ”
ผมได้แตะคางของผม
“หลังจากนั้น ข้าก็ต้องเลิกกับลาพิส”
“……”
ความเงียบสงบได้ลอยเคว้งคว้างไปทั่ว
“…………อะไรนะ?”
ผมหัวเราะเบาๆและกล่าวว่า
“ลองจินตนาการดูสิ จินตนาการถึงความผิดหวังของเธอ ว่าลาพิสรู้สึกผิดหวังในตัวข้ามากแค่ไหน ก่อนหน้านั้นไม่นาน ข้าได้ให้คำแนะนำอย่างตั้งใจต่อฟาร์เนเซ่ให้ไม่เป็นอะไรอื่นนอกจากทาสของอำนาจ แต่หลังจากนั้น ในพริบตาเดียว มันดันถูกเผยให้เห็นว่าข้าไม่เป็นอะไรที่มากไปกว่าทาสความรักซะงั้น ไม่ใช่สิ นั่นไม่ใช่อย่างงั้นแฮะ ”
ผมค่อยๆส่ายนิ้วชี้ไปมา
“ลาพิสไม่ได้ร้องขอความรักจากข้าซะหน่อย แน่นอนว่า เราได้กลิ้งไปรอบเตียงด้วยกันนิดหน่อย แต่เอิ่ม…… นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญมากหรอก ข้าก็ยังคงรักลาพิสต่อให้ข้าเป็นขันทีก็ตาม ”
บาร์บาทอสได้จ้องมองผมด้วยความงุนงง
“ก็ได้ ข้าจะพูดตรงๆนะ ข้าอาจจะรักเธอนิดๆล่ะมั้ง เพราะสุดท้ายความต้องการทางเพศก็เป็นสิ่งสำคัญอยู่ดี ยิ่งไปกว่านั้น สมกับชื่อเสียงของเธอในฐานะซัคคิวบัส ฝีไม้ลายมือของลาพิสในเรื่องนั้นค่อนข้าง……อู้ว้าวเลยทีเดียว มันเกินคาดมากน่ะ แม้ว่าความสัมพันธ์ต่อผู้หญิงของข้าจะออกแนวเละเทะ ข้าดันรู้สึกว่าข้าได้กลายเป็นหนุ่มเวอร์จิ้นอย่างปุ๊บปั๊บเลยก็มิปาน ข้าขอยอมรับว่า กิจกรรมยามค่ำคืนได้ปฏิบัติหน้าที่เป็นอย่างดีในการเพิ่มระดับความรักของข้าที่มีต่อเธอ แต่ก็เท่านั้นแหละ มันไม่ใช่สิ่งสำคัญหรอก เพราะถ้อยคำระหว่างพวกเราได้ไปไกลเกินกว่าการเคลื่อนไหวของร่างกายแล้ว ”
“……”
“ลาพิสหวังเพียงเพื่อให้ได้อำนาจอันเบ็ดเสร็จ แต่หากข้าร้องขอความรัก งั้นเธอก็คงยอมให้เป็นครั้งคราวแน่ เหมือนที่ข้าได้ทำให้แก่ลาพิสโดยไม่ได้ตั้งใจ…… ในตอนที่ข้าได้พบกับยัยแก่ สาวใช้ และเกียโคโม เปตราก ”
ผมส่ายหน้าช้าๆ
“แต่นั่นจะเป็นการละเลยความต้องการและเจตจำนงของลาพิส และมันก็จะถูกล้มล้างโดยความต้องการของข้าเอง เพราะว่า……”
ผมยิ้ม
“—ข้ารักในอำนาจมากกว่าที่ข้ามีต่อลาพิสน่ะ”
บาร์บาทอสปิดปากของเธอ
เมื่อจ้องมองที่เธออย่างอ่อนโยน ผมก็ได้กล่าวเพิ่ม
“ถ้าข้าลองกะเอาอย่างคร่าวๆแล้ว งั้นลาพิสก็คงอยู่ที่สามอ่ะนะ ”
“ที่สาม……?”
“ข้ากำลังพูดถึงลำดับความรักน่ะ ลำดับความสำคัญในชีวิตของคนเรา คนเราต้องรู้ว่าสิ่งใดสำคัญและสิ่งใดสำคัญน้อยกว่าสำหรับพวกเขา ถ้าเธอพยายามครอบครองทั้งสิ่งนี้และสิ่งนั้น งั้นเธอจะลงเอยเป็นสิงโตที่สูญเสียทั้งกระต่ายและกวางไป”
ผมขมวดคิ้วเล็กน้อย
“จากนั้นชีวิตคนๆนั้นก็จะย่อยยับลง หรือข้าควรจะเรียกว่าแตกเป็นเสี่ยงๆแทนดี? แต่อย่างน้อย ถ้าเธอต้องเผชิญกับทางเลือกที่สำคัญ เธอก็จำเป็นต้องรู้ก่อนว่าเธออยากจะเลือกอะไร อืม ในกรณีของข้า อันดับแรกเลยในรายการสิ่งที่สำคัญสำหรับข้าคือการใช้ชีวิตที่เธอสามารถขี้เกียจได้หน่อย และสิ่งสำคัญอันดับที่สองคืออำนาจ และตอนนี้ ลาพิส ลาซูรี่ได้กลายเป็นสิ่งมีค่าอันดับที่สามของข้าแล้ว”
“……”
“มันไม่น่าทึ่งหรือไง? ความขี้เกียจได้อยู่เคียงคู่ข้าตั้งแต่อายุ 1 ขวบ และอำนาจได้อยู่เคียงคู่ข้าตั้งแต่อายุ 6 ขวบ ซึ่งความจริง ทั้งสองสิ่งได้เป็นเพื่อนข้ามาตลอดชั่วชีวิตของข้า แม้เป็นเช่นนั้น สิ่งที่ข้าได้อยู่คู่กันมาเพียงครึ่งปีกลับคว้าตำแหน่งสิ่งที่สำคัญที่สุดอันดับสามในชีวิตของข้า ถ้านี่ไม่ใช่เรื่องมหัศจรรย์ งั้นข้าก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรแล้วล่ะ ”
ผมกดมือทั้งสองข้างลงบนหน้าอกของผม
จังหวะการเต้นของหัวใจผมได้ถูกถ่ายทอดสู่ฝ่ามือของผม
ผมจะไม่มีทางลืมความรู้สึกนี้แน่นอน
มันเป็นประสบการณ์ที่มหัศจรรย์และน่าพิศวงอย่างแท้จริง
“นั่น ไม่ใช่ความรักหรอก”
บาร์บาทอสกล่าว
ผมว่ามันอาจเป็นการจินตนาการไปเองของผม แต่เสียงของเธอน่าจะกำลังสั่นอยู่นะ
“มันก็ดีอยู่นะถ้าเธอทั้งสองคนเลิกกัน แต่ความรัก……คืออารมณ์ที่ล้ำค่ามากกว่าสิ่งอื่นใด มันคือบางอย่างที่สิ่งอื่นๆควรยอมจำนนแต่โดยดี เพื่อหลีกทางให้นะ ”
“อา นั่นคือสิ่งที่คนส่วนใหญ่คิดกัน”
ผมพยักหน้า–
“และคนส่วนใหญ่นั้นคิดผิด”
และแสยะยิ้ม
อย่างที่ผมได้ทำจนถึงทุกวันนี้
และตามที่ผมจะทำสืบต่อไป
“ข้ารู้คำตอบดี”
มาโดยตลอดนะ
ผู้พิทักษ์แห่งแดนเหนือ, ขุนนางมาร์เกรฟแห่งโรเซนเบิร์ก, จอร์จ ฟอน โรเซนเบิร์ก
ปฏิทินจักรวรรดิ: ปี 1505, เดือน 9, วันที่ 17
ณ ละแวกปราสาทของจอมปีศาจดันทาเลี่ยน
“นายกอง ไม่มีรายงานเพิ่มเติมจากทีมลาดตระเวนใช่มั้ย? ”
“ไม่มีครับ เส้นทางข้างหน้าของพวกเราปลอดภัยดีครับท่านแม่ทัพ”
นายกองข้าตอบกลับด้วยใบหน้าที่เบิกบานใจ
มันไม่ใช่แค่นายกองข้าเท่านั้น บรรดาทหารรอบตัวข้าทั้งหมดต่างก็เบิกบานใจเช่นกัน ไม่นานหลังจากนั้น กองกำลังของเราก็ได้เดินทางมาถึงปราสาทของจอมปีศาจดันทาเลี่ยนอย่างปลอดภัย
ในตอนแรก เราได้ระแวดระวังรอบข้างของพวกเราอยู่ตลอด
มันเป็นเพราะหลังจากบริเวณแถบเนินเขา ก็มีป่าอันกว้างใหญ่ไพศาลได้แผ่ออกมาให้เห็นตรงหน้าเรา
ผิดกันกับเนินเขา ตรงที่การซุ่มโจมตีนั้นมีความเป็นไปได้มากกว่าภายในป่า คุณไม่สามารถขจัดโอกาสที่ข้าศึกจะซุ่มโจมตีไปซะทั้งหมดได้หรอกนะ ต่อการที่ส่งหน่วยทหารเล็กๆบนจุดมุ่งหมายเพื่อให้พ่ายแพ้ และจากนั้นเล็งซุ่มโจมตีพวกเราในขณะที่เรากำลังประมาท…… พูดง่ายๆก็คือ เป็นกลยุทธ์หลอกลวงทั่วไปก็ว่าได้ แม้ว่านี่เป็นโอกาสที่จะเกิดแค่หนึ่งในพัน ข้าก็จะไม่มองข้ามความเป็นไปได้ที่จะถูกซุ่มโจมตี
“จริงๆด้วยครับ ดูเหมือนว่ากองทหารของดันทาเลี่ยนได้ถูกกวาดล้างจนหมดสิ้นตั้งแต่เมื่อวานนะครับ”
“ใช่แล้ว แม้ข้าจะสงสัยในตอนแรกๆ แต่ดูท่ามันจะเป็นการกังวลที่เปล่าประโยชน์นะ ”
หลังจากผ่านผืนป่ามา ก็มีภูเขาหินสูงใหญ่พอควรได้ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าเรา
จากที่เห็นมันเป็นภูเขาที่แห้งแล้งซึ่งไม่มีอะไรอื่นนอกจากหิน พืชต่างๆไม่สามารถเติบโตได้ใน ในบริเวณปราสาทซึ่งเป็นผลมาจากพลังงานเวทมนตร์อันทรงพลังได้คายออกมาจากมัน เป็นที่แน่นอนว่าภูเขาที่อยู่ตรงหน้าเราคือปราสาทของจอมปีศาจดันทาเลี่ยน
“หน่วยสอดแนมของพวกเราได้พบทางเข้าถ้ำแล้วครับ”
“อืม ดำเนินตามแผนการได้”
ตามที่พวกเราได้กำหนดไว้ก่อนหน้านี้ กองกำลังบางส่วนจะเข้าไปในถ้ำ มันเป็นขั้นตอนเพื่อยืนยันว่ามีสมุนไพรสีดำกองอยู่ภายในปราสาทหรือไม่
มันก็ไม่เป็นไรหรอกถ้าไม่มีสมุนไพรอยู่จริงๆ นี่ไม่มีอะไรมากไปกว่าการกระทำที่แสดงให้คนของเราเห็นว่าเราไม่ได้นิ่งดูดายเฉยๆ ถ้ามันมีสมุนไพรงั้นก็โชคดีไป ถ้าไม่มีงั้นมันก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไร มันอยู่ในระดับความสำคัญแบบนั้นเอง
3 ชั่วโมงต่อมา กองกำลังซึ่งแยกออกมาได้ยุติการค้นหาและย้อนกลับออกมา นายกองข้าได้รายงานด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นว่า
“ท่านแม่ทัพ พวกเขาบอกว่าได้พบรถเกวียน 6 คันซึ่งเต็มไปด้วยสมุนไพรสีดำครับ!”
“ว่าไงนะ!?”
มันเป็นผลลัพธ์ที่น่าตกใจมาก
ด้วยความไม่เชื่ออย่างสิ้นเชิง ข้าก็ได้ลุกขึ้นและเดินไปข้างหน้า และแน่นอนว่า กองกำลังที่แยกออกมาได้กำลังขนสมุนไพรสีดำพลางดีใจไปด้วย เมื่อเห็นกองกำลังที่แยกออกมา ทั้ง 1,500 คนของข้าส่งเสียงยินดี มันรู้สึกดั่งมันได้กลายเป็นงานฉลองไปซะแล้ว
ในตอนนี้ พวกสมุนไพรสีดำกำลังขายได้เป็นจำนวนเงินกว่า 10 เหรียญทองต่อต้นภายในจักรวรรดิ มันอย่างน้อย 10 เหรียญทองเชียวนะ! ขึ้นอยู่กับแว่นแคว้นและราคาตลาด ราคาขายยังอาจจะสูงขึ้นไปอีกถึง 20 เหรียญทองด้วย ก่อนที่ข้าจะทันรู้ตัว ปากของข้าก็เปิดอ้าค้างเติ่ง
“คุณพระช่วย ท่านเทพฮาเดสทรงโปรด…… ”
6 เกวียนที่เต็มไปด้วยสมุนไพรนั้นจะเป็นมูลค่าเท่าไหร่กัน? โดยรวมแล้ว น่าจะมีราวๆ 7,000 ต้น ก็เป็น 70,000 เหรียญทอง…… งบที่ใช้จ่ายโดยพวกเชื้อพระวงศ์ของจักรวรรดิในหนึ่งปีนั้นก็ประมาณ 500,000 เหรียญทอง ซึ่งหมายความว่า ข้าได้รับ 1/7 ของงบประมาณแผ่นดินที่ต้องใช้เพื่อบริหารทั้งอาณาจักรต่อปีเรอะเนี่ย!
“มันคือความสำเร็จอันยิ่งใหญ่สุดๆเลยครับท่าน!”
นายกองข้าได้ตะโกนออกมาอย่างกระตือรือร้น
“ตอนนี้ดินแดนแห่งโรเซ็นเบิร์กก็รอดตายแล้ว ไม่สิ มันไม่ได้อยู่ในระดับของการมีชีวิตรอดต่อไปเท่านั้น! เหล่าประชาชนยังจะเคารพท่านในฐานะนักบุญที่รับพรจากเทพธิดาทั้งปวงด้วย! ”
หน้าอกของข้าได้พองขึ้นด้วยความดีใจ
ประชาชนของข้ากี่คนแล้วที่ต้องทนเจ็บปวด ผู้คนกี่คนแล้วที่ส่งคำอธิษฐานของพวกเขาถึงเหล่าเทพธิดา และเป็นจำนวนกี่ครั้งแล้วที่เหล่าเทพธิดาได้ตอบกลับพวกเขาด้วยการนิ่งเงียบอย่างเลือดเย็น
หลานสองคนของข้าได้ตายไปโดยโรคร้ายนี้ และหนึ่งในนั้นยังเป็นเด็กที่อายุเพียง 6 ขวบเท่านั้นเอง……
หน้าอกข้าได้ปวดตุบๆเมื่อนึกถึงความทรงจำของซากศพอันไหม้ดำเป็นตอตะโกของหลานข้า ในเวลานั้น ลูกสาวข้าได้อุ้มร่างลูกของเธอไว้ขณะร่ำไห้ด้วยความเจ็บปวด อีกนิดเดียวเท่านั้น ถ้าข้าได้บุกสถานที่แห่งนี้เร็วขึ้นอีกหน่อย ลูกสาวข้าก็คงไม่ต้องสูญเสียลูกของเธอไป…….
“ท่านมาร์เกรฟ ท่านหมายความว่าไงที่ว่าจะช่วยประชาชนทั้งหมดน่ะครับ?”
นายกองข้าได้ถามไถ่
“แน่นอนว่าพวกเราควรจะขายมันในราคาที่เหมาะสมครับ แค่ปล่อยสมุนไพรพวกนี้ไปยังตลาดก็เพียงพอที่จะได้รับการยกย่องอย่างมากจากประชาชนทุกคนของท่านเลยนะครับ”
“ไม่ พวกเราจะให้สมุนไพรแก่คนทั้งหมดที่ป่วยแบบฟรีๆแทน ”
ข้าได้แสดงเจตนารมย์นี้หลังจากปล่อยให้อารมณ์ข้าสงบลง
เริ่มจากนายกองข้า ไปจนถึงผู้บังคับการกองทหารทั้งหมดของข้าด้วยเช่นกันซึ่งได้มองข้าด้วยท่าทางตื่นตกใจบนใบหน้าของพวกเขา
“ช่างคาดไม่ถึงเลยครับ!”
“โชคดีได้โปรยลงสู่ข้าถึงสองครั้งในระหว่างการเดินทางครั้งนี้ ครั้งแรกคือเรื่องที่ดินแดนข้าช่างโชคดีที่อยู่ใกล้กับปราสาทของจอมปีศาจดันทาเลี่ยน ครั้งที่สองคือเราสามารถแบ่งแยกและปราบกองกำลังข้าศึกก่อนที่พวกมันจะสามารถสมทบกำลังกันได้ ”
เรื่องที่พวกเราสามารถได้รับสินสงครามในวันนี้เป็นเพียงเพราะท่านเทพธิดาได้ให้อนุญาตต่อพวกเรา คุณไม่ควรลืมในเรื่องนี้นะ
“หากท่านเทพธิดาได้ประทานโชคลาภแก่ข้าจริงๆ งั้นหน้าที่ของข้าก็คือการมอบโชคลาภนั้นสู่ประชาชนของข้า ความรุ่งโรจน์จากพระเจ้าต้องเป็นความรุ่งโรจน์แก่ทุกคน ไม่ถูกหรือไร เหล่าสุภาพบุรุษทั้งหลาย? ”
“……”
นายกองและเหล่าผู้บังคับการได้เหลือบมองกันและกัน
ต่อมาไม่นาน นายกองข้าก็ลดเข่าลงข้างนึงและคุกเข่าลงต่อหน้าข้าอย่างขึงขัง
“กระผมขอให้คำสัตย์ปฏิญาณว่าจะจงรักภักดีต่อท่านมาร์เกรฟครับ”
บรรดาผู้บังคับการกองทหารต่างก็ก้มศีรษะลงให้ทีละคน นี่ไม่ใช่ท่าทางทั่วไปที่ปฏิบัติโดยทหารเพื่อแสดงความเคารพต่อราชันของพวกเขา และไม่เกี่ยวกับความสัมพันธ์แบบที่ผูกพันตามสัญญา นี่คือการแสดงความเคารพระหว่างเหล่าทหาร ข้าได้พยุงให้ทุกคนยืนขึ้นทีละคนด้วยตนเอง
“แจ้งเรื่องนี้แก่ทหารที่เหลือของเรา ว่าทหารทุกคนณ ที่นี้จะได้รับการแบ่งสรรสมุนไพรโดยเท่าเทียมกัน และเมื่อเรากลับไปยังดินแดนของพวกเราแล้ว ข้าขอเลี้ยงทุกคนด้วยหมูและเบียร์อย่างอิ่มหนำสำราญ ”
“รับทราบครับ!”
หากขุนนางอย่างเช่นตัวข้าได้รับความนับถือ งั้นเพื่อเป็นการตอบแทน ข้าก็จะให้ของกำนัลพวกเขาไม่ใช่ด้วยคำพูดเท่านั้น แต่ด้วยของมีค่าต่างๆ เพราะไม่ว่าใครก็สามารถแสดงความขอบคุณด้วยคำพูดกันทั้งนั้น
ถ้อยคำที่ลอยละล่องอยู่ในพื้นที่ว่างเปล่าก็เป็นเหมือนป้อมปราการที่สร้างขึ้นจากอากาศ ลมเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำลายมันลงได้แล้ว ความจงรักภักดีที่มาจากเงิน มันก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องละอายใจเพื่อยอมรับเรื่องนี้หรอกนะ
“ถ้างั้นพวกเราจะเคลื่อนย้ายถังดินปืนแล้วนะครับ ท่านมาร์เกรฟ”
“อืม ลงมือได้”
“ครับ เอ้าเริ่มขนถังได้แล้ว! ”
บรรดาทหารได้แบกถังดินปืนอย่างระมัดระวังจากรถเกวียน
เนื่องจากมีอันตรายที่สิ่งเหล่านี้จะระเบิดหากจัดการไม่ถูกต้อง นักเวท 4 คนจึงอยู่ใกล้พวกเขาและคอยจับตามองอย่างใกล้ชิด มันแน่อยู่แล้วว่า หากมีการระเบิดเกิดขึ้น พวกเราทุกคนจะตายกันหมดแน่ ดังนั้นแม้แต่ความเลินเล่อที่น้อยที่สุดก็จะไม่มีการยอมให้เกิดขึ้น
นักเวททั้งหลายได้ใช้เวลาในการเดินทางทั้งหมดเพื่อดูแลถังดินปืน พวกเขาสามารถใช้เป็นกองกำลังนักเวทกลางเวหาได้ แต่โชคดีที่ไม่มีการต่อสู้ที่ดุเดือดพอที่ต้องการให้พวกเขาออกรบ
นักเวท หรือเรียกอีกอย่างนึงได้ว่า กองกำลังนักเวทกลางเวหา เป็นกองทหารที่ล้ำค่าเป็นอย่างมาก มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่สามารถครองน่านฟ้าได้ มันจึงโชคดีที่พวกเราไม่ได้สูญเสียแม้แต่นักเวทเพียงคนเดียวในการเดินทางครั้งนี้ อันที่จริง ยังมีเรื่องอีกมากที่อาจถือได้ว่าโชคดีนะ……
“ท่านมาร์เกรฟ พวกผมได้วางถังดินปืนทั้งหมดไว้ในถ้ำเรียบร้อยแล้วครับ”
“ดีมาก จุดระเบิดพวกมันอย่างระมัดระวังล่ะ ให้แน่ใจว่าได้เน้นความปลอดภัยของเจ้าเองเป็นลำดับแรก ”
“ครับท่าน! จุดระเบิดได้! ”
เหล่านักเวทได้เล็งไปที่ปากทางเข้าถ้ำและยิงเวทธาตุไฟพร้อมๆกัน โดยยิงจากระยะที่ไกลสุดของเวทย์มนต์คือ 50 เมตร ลูกไฟทั้งมวลได้ยิงออกไปไกลพอสมควรและระเบิดขึ้นภายในตัวถ้ำ
ตูมมมมมมมม—
เสียงดังกึกก้องจากแรงระเบิดได้ดังกระหึมออกมาและสั่นคลอนไปทั้งภูเขาหิน
ดินปืนที่ทำจากถ่านและโพแทสเซียมไนเตรต รวมทั้งถังเหล่านั้น ที่เป็นถังซึ่งบรรจุก้อนโลหะและหินก็รวมอยู่ด้วยเช่นกัน แม้มันจะเป็นปัญหาต่อการใช้ในการสู้รบจริง แต่มันก็มีประโยชน์อย่างยิ่งในการนำมาทำลายฐานที่มั่นของศัตรูแบบนี้
ปราสาทของจอมปีศาจดันทาเลี่ยนได้ถล่มลงมาต่อหน้าต่อตาข้า แม้จะเป็นเช่นนั้น มันก็เป็นไปไม่ได้หรอกที่ถล่มทั้งภูเขาลงไปได้น่ะ ดังนั้นจึงมีแค่ปากทางเข้าถ้ำเท่านั้นที่พังลงมา แต่ข้าก็พอใจแล้วด้วยผลลัพธ์เพียงเท่านั้น
นายกองข้าได้หลุดเสียงทึ่งออกมาระหว่างที่เฝ้าดูปรากฏการณ์ที่เชิงเขากำลังพังทลาย
“น่าทึ่งจังครับ”
มันแน่อยู่แล้วแหละ มันคือการเดินทางที่สมบูรณ์แบบตั้งแต่ต้นจนจบเลย
ตอนนี่มันน่าจะเป็นไปไม่ได้แล้วสำหรับจอมปีศาจดันทาเลี่ยนที่จะพลิกฝืนกลับมาได้ ไม่เพียงแต่เขาสูญเสียกองกำลังทั้งหมดของเขาไป แต่เขายังสูญเสียที่มั่นของเขาอีกด้วย มาตรการความปลอดภัยของมาร์เกรฟแห่งโรเซนเบิร์กก็ได้เสร็จสิ้นแล้ว
มันไม่มีความรู้สึกเห็นใจในตัวข้าหรอกนะ เพราะนี่คือกฎแห่งป่า มันแน่อยู่แล้วว่าพวกมนุษย์ย่อมเป็นศัตรูกับพวกปีศาจ ยอมรับความพ่ายแพ้ของแกแต่โดยดีเถอะ พ่อจอมปีศาจอันอ่อนด๋อยเอ๋ย
“กองกำลังทั้งหมด! มากลับไปยังบ้านของพวกเรากันเถอะ! ”
ปูนนนนนน
ทหารเป่าแตร ที่เต็มไปด้วยความเบิกบานใจเป็นอย่างมาก ก็ได้เป่าแตรอย่างสุดแรงเกิด
เมื่อการรับแสงแดดยามกลางวันอันชวนให้สดชื่น ทหารของข้าเดินทัพด้วยความอิ่มเอมใจ อีกทั้งตัวลมเองยังพัดโชยมาอย่างเย็นชื่นฉ่ำ มันจึงช่างสมบูรณ์แบบแท้
ใช่รึเปล่าน้อ ที่มันเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้วน่ะ……
หมู่มวลใบไม้ต่างเปลี่ยนเป็นสีแดงและเหล่าชาวนาได้เดินออกไปที่ผืนนาอันกว้างใหญ่ มันเป็นฤดูที่สิ่งมีชีวิตทุกหมู่เหล่าต่างหากินตามวิถีชีวิตของตนเอง
จริงสิ ชีวิตของข้าที่ได้ผ่านสนามรบและเวทีประลองมามากมายเป็นเวลากว่า 50 ปีก็เหมือนกันนั่นแหละ
ข้าปรารถนาที่จะตายในสนามรบ
ข้าปรารถนาที่จะหลับใหลร่วมไปกับนักรบคนอื่นๆ
แต่ทว่า……
‘ขอบพระคุณมากครับ ท่านเหล่าเทพผู้ยิ่งใหญ่ ที่ได้ยินยอมให้ผู้ชายอันไร้ค่านี้ได้มีโอกาสทิ้งบางสิ่งไว้แก่คนของเขาในขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่ กระผมได้แต่แสดงความรู้สึกขอบคุณเท่านั้นครับ’
ข้าได้ภาวนาต่อเหล่าเทพในใจข้า
ถ้าบางที หลังจากมอบยารักษาแก่ประชาชนของข้า หลังจากช่วยดินแดนของข้า หากข้าได้รับโอกาสให้ได้หลับตาลงอย่างช้าๆ ถ้านั่นคือชะตาข้า งั้นมันก็ไม่เลวนะ อือจริงๆด้วย มันไม่เลวเท่าไหร่เลย
มันจะเป็นการทิ้งความหวังไว้สำหรับยุคสมัยใหม่และคนรุ่นใหม่ก็ว่าได้
มันไม่ใช่การมอบบทบาทสุดท้ายอันยอดเยี่ยมสำหรับชายชราหรอกหรือ?
“ท่านแม่ทัพ! ทีมลาดตระเวนได้เร่งรีบกลับมาครับ! ”
ในขณะที่ข้ากำลังพิจารณาว่าข้าจะแบ่งมรดกต่อลูกชายและลูกสาวของข้าอย่างไรดี นายกองข้าก็ได้กล่าวรายงานออกมา เสียงของเขาค่อนข้างสูงทีเดียว ด้วยเหตุผลบางอย่าง สีหน้าอันฉงนใจได้ยึดครองใบหน้าของเขา ทีมลาดตระเวนงั้นเหรอ? มันไม่น่าจะมีอะไรที่คู่ควรต่อการรายงานอย่างเร่งด่วนในตอนนี้นะ
“อะไรล่ะ?”
“กองทัพข้าศึกได้ปรากฏตัวครับ! กองทัพข้าศึกได้ถูกตรวจพบข้างหน้าครับ!
ด้วยเสียงร้องของนายกองข้า บรรยากาศโดยรอบพลันกลายเป็นเย็นยะเยือก ข้ารู้สึกได้ว่าพวกทหารที่อยู่รอบๆเราต่างตกตะลึงและมองเขม็งที่ตัวนายกอง
ข้าก็เช่นกันที่รู้สึกตกใจ แต่ข้าได้พยายามรักษาหน้าให้สงบนิ่งเข้าไว้ หากผู้บัญชาการตกตะลึงตามไปด้วย งั้นความวิตกกังวลดังกล่าวก็จะกระจายไปทั่วกองทัพโดยทันที กล่าวได้ว่า มันคือโรคที่น่ากลัวมากกว่าความตายสีดำซะอีก
อืม ดูท่าการเปลี่ยนบรรยากาศจำเป็นต้องใช้ณ ที่นี้ซะแล้ว
“สงบสติลงสิ! เจ้าลืมไปแล้วหรือไง? สงครามของพวกเรายังไม่สิ้นสุดจนกว่าเราจะกลับบ้าน ตราบใดที่การสู้รบยังไม่จบลง ข้าศึกก็สามารถปรากฏได้ทุกที่นะ! นี้เป็นเรื่องอันแน่ชัดอยู่แล้ว เหตุใดจึงเริ่มตื่นตกใจกันเล่า!? ”
“ขะ-ขออภัยครับท่าน”
เมื่อนายกองข้าได้ก้มศีรษะลง กองทหารที่กำลังจะปั่นป่วนนั้นได้กลั้นหายใจไว้อย่างตะลีตะลาน นายกองข้าได้รับการตำหนิแทนทหารคนอื่นๆ นี่ก็เช่นกัน ที่เป็นบทบาทสำคัญของทหารนายกอง
“รายงานมาให้ละเอียดกว่านี้ซิ บอกข้าว่ากองกำลังข้าศึกอยู่ที่ไหนและประมาณการกำลังทหารของพวกเขาด้วย ”
“ครับท่านแม่ทัพ กองกำลังข้าศึกได้ปักหลักอยู่ที่บริเวณเนินเขาครับ ที่ซึ่งกองกำลังของเราได้ผ่านไปเมื่อวานนี้ จำนวนของพวกมันมีมากถึงประมาณ 3,000 คนครับ! ”
“…….!”
ข้าแทบจะไม่สามารถยั้งตัวเองจากการเบิกตาของข้ากว้างได้
ความรู้สึกที่เลือดได้ถูกสูบออกมาจากร่างกายได้เข้ากลืนกินตัวข้า เหตุผลที่ข้าสามารถรักษาสติของข้าได้เป็นเพียงเพราะข้าได้ใช้เวลาทั้งชีวิตในสนามรบและเวทีประลอง ถ้าข้าไม่มีประสบการณ์เหล่านี้ งั้นข้าก็น่าจะร้องลั่นออกมาในกิริยาท่าทางซึ่งไม่น่ามองแน่
“นี่เจ้าบอกว่า 3,000 คนเมื่อกี้นี้ใช่มั้ย?”
แต่ทว่า ข้าไม่สามารถคุมความรีบเร่งในเสียงของข้าได้ บรรยากาศได้กลับกลายเป็นไม่ดีขึ้นมา ข้ารู้สึกได้ถึงความตกใจของทหารรอบๆตัวข้า และข้ายังเห็นถึงใบหน้าที่ซีดเซียวของเหล่าผู้บังคับการกองทหารด้วย……
“ใช่ครับ ทีมลาดตระเวนได้รายงานอย่างชัดเจนว่า 3,000 คนครับ ”
ตั้งสติไว้
ยังมีโอกาสว่าตัวรายงานนั้นผิดพลาดอยู่นะ
ข้าได้ผ่านบางสิ่งเช่นนี้มาแล้วในอดีต หลังจากพบว่ากองกำลังข้าศึก ที่พวกเรากำลังสู้รบกันอย่างดุเดือดตลอดทั้งคืน ดันมีกำลังทหารน้อยกว่าพวกเราถึง 3 เท่า ความตึงเครียดทั้งปวงในหน้าอกข้าได้จางหายไป ประสาทสัมผัสทั้งห้าของมนุษย์ย่อมไม่ถูกต้องเสมอนะ มันยังเร็วเกินไปที่จะตื่นกลัว
“อืม นั่นยากที่จะเชื่อถือได้นะ เอาเป็นว่าตอนนี้ ข้าจะออกคำสั่งต่อกองกำลังทั้งหมดก็แล้วกันนะ ”
ข้าต้องทำให้แน่ใจว่าได้แสร้งทำเป็นสงบเยือกเย็น เพราะทหารเหล่านี้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องใช้ชีวิตของพวกเขาเพื่อพึ่งพาตัวข้า หากปราศจากคำสั่ง พวกเขาก็จะกระวนกระวายใจแน่ ซึ่งหมายความว่า มันเป็นไปได้ที่จะขจัดความวิตกกังวลด้วยคำสั่งน่ะ
“พวกเราจะออกจากป่านี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทหารทุกนาย ให้เดินทัพพร้อมกับจำเอาไว้ว่ามีโอกาสที่จะเกิดการสู้รบเสมอ ”
“ครับท่านแม่ทัพ! ทหารทั้งหมด! เดินทัพด้วยความเร็วสูงสุด! เคลื่อนพลไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงสุดได้—! ”
กองกำลังของเราได้เดินทัพผ่านป่าอย่างรวดเร็ว สองชั่วโมงต่อมา กองกำลังของเราก็ได้มาถึงบริเวณเนินเขาและได้พบเห็นภาพที่ไม่น่าเชื่ออย่างยิ่ง ในอีกด้านหนึ่งของเนินเขา มีขบวนทัพข้าศึกถึงประมาณ 3,000 คนกำลังรอการมาถึงของเราอย่างขึงขัง
“ท่านแม่ทัพ……”
นายกองได้มองมาที่ข้าด้วยใบหน้าที่ซีดจนคล้ายกับหินอ่อน กำลังทหารของพวกเราอยู่ที่ประมาณ 1,400 คน เมื่อเทียบกับอีกฝ่ายตรงข้าม เรามีขนาดน้อยกว่าถึง 2 เท่าทีเดียว ฝ่ายไหนที่จะชนะย่อมเห็นได้ชัดอยูแล้ว มันกระจ่างชัดต่อผู้บังคับการกองทหาร และมันก็กระจ่างชัดต่อทหารทั้งหลายเช่นกัน……
ตั้งสติเข้าไว้สิ จอร์จ ความสามารถในการแสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจแม้จะอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้คือสิ่งที่ผู้บัญชาการต้องมีนะ พวกเขาต้องทำประหนึ่งว่าพวกเขาไม่รู้ความจริงที่ทุกคนรู้แน่ๆอยู่แล้ว แน่นอนว่า มันเป็นบทบาทซึ่งน่าคับแค้นใจ แต่นั่นเป็นวิธีเดียวที่ข้าต้องรับภาระหน้าที่นะ
“นายกอง ทำไมเจ้าถึงคิดว่ากองกำลังข้าศึกถึงปรากฏตัวตรงนั้นล่ะ? ”
“อะไรนะครับ?”
“ถ้าพวกมันมีกำลังทหารถึง 3,000 คน งั้นมันพวกมันก็น่าสมควรที่จะปรากฏตัวให้เร็วกว่านี้ พวกมันมีโอกาสมากมายที่จะกำจัดพวกเราทิ้ง แต่แล้ว กองกำลังข้าศึกกลับมาถึงหลังจากที่เราปล้นและทำลายที่มั่นของพวกมัน ไม่ว่าจะมองมันยังไง นั่นก็เป็นการใช้กองกำลังที่ผิดปกตินะ ”
“นั่น……ก็ถูกครับ ท่านแม่ทัพ”
“กองกำลังทั้งหมดจงฟังคำสั่งข้า!”
ข้าตะโกนพลางเกร็งคอไปด้วย
ทหารทุกคนต่างหันมามองข้าพร้อมๆกัน ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่สำคัญมาก เพราะนี่เป็นโอกาสเดียวที่ข้าจะต้องป้องกันไม่ให้จิตวิญญาณการต่อสู้ของพวกเขาพังทลายลง มาเดิมพันชัยชนะด้วยวิธีนี้ก็แล้วกัน
“ทหารข้าศึกเหล่านั้นตรงหน้าพวกเราพึงมาถึงสนามรบไม่นานนัก! พวกมันต้องการที่จะขัดขวางเรา แต่พวกเรากลับรวดเร็วกว่า พวกเราได้ประสบความสำเร็จในการทำลายฐานที่มั่นของพวกมัน! ”
มันไม่สำคัญหรอกว่านี่เป็นความจริงหรือไม่ เพื่อปลูกฝังกำลังใจให้แก่ทหารของข้า นั่นคือเป้าหมายเดียวของข้า……
“ถ้าจะพูดให้ถูก ควรจะตอบโต้พวกมันด้วยเสียงหัวเราะมากกว่า พวกเราได้ประสบความสำเร็จและพวกมันได้ล้มเหลว และยิ่งไปกว่านั้น พวกเรายังมีเวลาพักผ่อนเพียงพอดังนั้นพละกำลังพวกเราจึงเต็มเปี่ยมอยู่ แต่เนื่องจากพวกมันเพิ่งมาถึงสนามรบ พวกมันต้องยังเหนื่อยอยู่แน่นอน! ถ้าพวกเราโจมตีในตอนนี้ชัยชนะก็จะอยู่ในมือของพวกเรา! ”
บรรดาทหารขยับตัวกันพักหนึ่งก่อนที่สุดท้ายแล้ว ท่าทางของพวกเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นเด็ดเดี่ยวไปทีละคน ดีล่ะ จิตวิญญาณการต่อสู้ของพวกเขาเริ่มกลับมาในแววตาพวกเขาแล้ว มาลุยกันเถอะ เหล่าทหารแห่งแดนเหนือของข้าน ผู้คนกำลังรอคอยการกลับมาของพวกเราอยู่นะ!
“เตะเหล่าคนแคระระยำนั่นตรงตูดของพวกมันซะ! หวดตูดของพวกมันและกระทืบพวกมัน! ตามที่ข่าวลือโจษจัน มันบอกไว้ว่าไอ้พวกคนแคระร้องเสียงแหลมหยั่งกับหมูเมื่อสืบพันธุ์กัน แล้วมนุษย์อย่างเราไม่ควรช่วยสอนปศุสัตว์เหล่านั้นหรือไงว่ายอดชายที่แท้จริงนั้นเป็นยังไง? ”
ทหารทุกคนได้ตอบรับด้วยเสียงกู่ร้อง แทนที่จะพูดเสียงสูงยกอ้างเหตุผลไปเรื่อย มันจะส่งผลดีกว่าในบางครั้งหากด่าทอศัตรูตรงๆออกมา พวกเราจะไม่ยอมท้อถอยในจิตวิญญาณการต่อสู้หรอก
“เป่าแตรแห่งโฟเลสได้!”
ปูนนนนน—
ปูนนนนนนน—
เสียงแตรได้ดังก้องกังวานไปทั่วเนินเขาอันกว้างใหญ่ มันคือเสียงซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการปะทุแห่งสงครามเมื่อ 700 ปีก่อน อีกทั้ง หมู่ชนในดินแดนของเราได้ชนะสงครามมาตลอด 700 ปีแห่งประวัติศาสตร์อันยาวนานและในตอนนี้ เราจะไม่ยอมพ่ายแพ้ลงง่ายๆแน่
“ทหารม้าทุกนาย บุก!”