Dungeon Defence - ตอนที่ 4
Chapter 1 – เมื่อ 2 ปีก่อน(Part 3)
…สองเดือนผ่านไปในพริบตา
ในที่สุดผมก็พิชิตเกมคอมพิวเตอร์ที่ผมไม่มีโอกาสได้สนุกกับมันมาถึง 4 ปี สำเร็จ
“นี่แหละชีวิต…”
รู้สึกซาบซึ้งตรึงใจจนหลั่งน้ำตาออกมาเงียบ ๆ
เนื่องวัน ๆ ผมเอากินแต่กล่องข้าวกลางวันจากร้านสะดวกซื้อ ดังนั้นตอนนี้รูปร่างของผมมันจึงใกล้เคียง โฮโมเซเปี้ยน กอลิล่า เข้าไปทุกที ๆ
รอบตัวผมเองทั้งสี่ทิศก็มีแต่กองขยะวางสุม
โดยเฉพาะบนโต๊ะที่มีจอมอนิเตอร์ผมตั้งอยู่นี่ยิ่งสุดยอดเข้าไปใหญ่
เพราะมันมีฝ่ายจักรวรรดิ์ถ้วยบะหมี่สำเร็จรูปกับสาธารณรัฐกระป๋องเบียร์กำลังทำสงครามชิงดินแดนกันอยู่บนโต๊ะ…หรือทวีปน่ะสิ ต่างฝ่ายต่างก็กำลังทำสงครามโลกยึดครองอาณาเขตบนทวีป(โต๊ะ)ให้เป็นของฝ่ายตัวเองด้วยการยึดครองเขตแดนตามหลักเรขาคณิตตามทรงทั้งหลายอยู่
ซึ่งในโลกที่ผมได้กลายเป็นพระเจ้าหนึ่งเดียวนี้เอง ถ้าฝ่ายจักรวรรดิ์ถ้วยบะหมี่กำลังเพลี่ยงพล้ำผมก็จะเพิ่มถ้วยบะหมี่เข้าไป แต่ถ้าฝ่ายสาธารณรัฐกำลังเสียเปรียบผมก็จะเพิ่มกระป๋องเบียร์เข้าไป จะบอกว่าเป็นเพราะผมแท้ ๆ ที่ช่วยทำให้สมดุลของทวีปนี้ยังไม่พังทลายลงก็พูดไม่ผิดแต่อย่างใด…
ทันใดนั้นเองก็มีจดหมายแจ้งเตือนโผล่ขึ้นมาบนจอมอนิเตอร์ของผม
ตึ้ง~
มีจดหมายใหม่เข้ามา
ผมเลื่อนเมาส์คลิกมันขึ้นมาดู
[ขอขอบคุณที่เล่นเกมของบริษัทเรา เพื่อการพัฒนาที่ดียิ่งขึ้นในภาคเสริมต่อไป ทางเรากำลังทำแบบสำรวจ ผู้ที่เข้าร่วมในการตอบแบบสอบถามจะได้รับโอกาสเข้าร่วมเป็น เบต้า เทสเตอร์ สำหรับการลงทะเบียนรอบหน้า!]
เป็นอีเมล์ธรรมดา ๆ ทั่วๆไป
ผมคงจะกรอกอีเมล์ของผมให้ไปตอนที่กดสั่งซื้อเกมมาสินะ
แต่ในขณะที่กำลังคิดจะกดลบอีเมล์ทิ้งไปนั่นเอง ผมก็รู้สึกลังเลขึ้นมา
“ภาคเสริมต่อไป งั้นเหรอ?”
เป็นเกมแนว RPG บุกตะลุยยึดดันเจี้ยนแนวมาตรฐาน
แล้วก็เป็นหนึ่งในเกมที่ผมสนุกสนานกับมันในช่วงเวลาสองเดือนนี้ด้วย
สวมบทเป็นผู้กล้าแล้วก็ปราบจอมมารทั้งหลาย
มีแต่ความยากของเกมเท่านั้นที่ออกจะแปลกหน่อย คือมันเป็นเกมที่มีความยากระดับท้าทายสุด ๆ ในการเล่นรอบแรกผมแทบจะเอาชนะบอสกลางไม่ได้ด้วยซ้ำ พอเล่นรอบสอง รอบสาม และเล่นไปจนถึงรอบที่สิบหก หลังจากการเก็บเลเวลอันน่าเบื่อ ในที่สุดผมก็สามารถเอาชนะบอสสุดท้ายของเกมได้อย่างเฉียดฉิว
ไอ้การเก็บเลเวลที่ว่านี่ไม่ใช่ว่าผมเดินไล่ตีมอนอะไรหรอกนะ
แต่เป็นตัวละครผู้กล้าของผมมันแข็งแกร่งขึ้นทุกครั้งในการเล่นแต่ละรอบต่างหาก
ถ้ามองจากมุมมองของ NPC แล้วล่ะก็ ตัวผมนี่ก็จะเหมือนกับตัวขี้โกงเป็นแน่ แต่จะทำอะไรได้ล่ะ? ชีวิตคนเรามันก็เป็นอะไรที่ไม่สมเหตุสมผลมาตั้งแต่แรกแล้ว
เพราะบางคนได้เริ่มต้นชีวิตด้วยค่าสเตตัสสูง ๆ ในขณะที่คนอื่นเขาไม่ได้
…คลิก
ผมกดตอบรับแบบสำรวจด้วยเมาส์ มันก็คงจะถามผมประมาณว่า; ความยากสมเหตุสมผลรึเปล่า หน้าอินเตอร์เฟสมีตรงไหนที่ใช้งานยากมั้ย คำถามน่าเบื่ออะไรประมาณนี้แหละ แต่จะอะไรก็ช่างเถอะ เพราะเกม ทำให้ผมสนุกได้นานเอาเรื่องเหมือนกัน เพราะฉะนั้นผมจะเออออตามแบบสอบถามไปก็ได้
แท็ปหน้าต่างใหม่ปรากฎขึ้นมาบนหน้าจอ
[1. สุดท้ายแล้ว ผมก็ชอบเด็กผู้หญิงจริง ๆ นั่นแหละ!]
[2. สุดท้ายแล้ว ผมก็ชอบหญิงสาวที่โตเต็มวัยแล้วจริง ๆ นั่นแหละ!]
“……”
คุณคำถามที่คาดไม่ถึงเลยซักนิดโผล่ออกมาแล้ว
สติของผมมันถึงกับหยุดนิ่งไปชั่วขณะ
นี่มันอะไรเนี่ย เป็นมุกตลกเล็ก ๆ งั้นเหรอ? แล้วจะมีคำถามที่สมกับเป็นคำถามปรากฎขึ้นมาหลังจากนี้ใช่ไหม?
หลังจากหยุดคิดซักครู่ ผมก็เลือกข้อที่สองไป ถ้าเป็นคนที่มีสามัญสำนึกอยู่กับตัวล่ะก็ คำตอบที่ถูกที่ควรก็มีแต่ข้อสองเท่านั้น ไอ้โลลิต้าคอมเพล็กซ์น่ะมันก็เป็นแค่อาการป่วยทางจิตเท่านั้นแหละ
จากนั้น บนหน้าจอขาว ๆ ของผมก็มีคำถามข้อที่สองก็ปรากฎขึ้นมา
[1. สุดท้ายแล้ว ผมก็รู้สึกตื่นเต้นที่ถูกใครซักคนตี……!]
[2. สุดท้ายแล้ว ผมก็รู้สึกตื่นเต้นที่ได้ตีใครซักคน……!]
“นี่มันแบบสอบถามบ้าอะไรวะเนี่ย!?”
ผมตะโกนใส่จอมอนิเตอร์
ไอ้ช่วงที่เว้นว่างกับเครื่องหมายตกใจที่ท้ายประโยคทำให้ประโยคมันดูร่าเริงอย่างไร้ประโยชน์นี่ ทำอย่างกับว่าคนตอบกำลังเปิดเผยความต้องการรสนิยมทางเพศที่ถูกปิดซ่อนไว้อยู่เลยไม่ใช่เหรอ……!
ผมจ้องมองจอมอนิเตอร์ด้วยสีหน้ารังเกียจ
เอาเป็นว่า เลือกข้อสองก็แล้วกัน ให้ต้องให้เลือกระหว่างจะเป็นฝ่ายถูกตีหรือเป็นฝ่ายตีล่ะก็ ผมก็เลือกได้แต่ข้อหลังเท่านั้นแหละ เคยได้ยินว่าในโลกนี้มีคนจำพวกที่มีความสุขกับความเจ็บปวดอยู่เหมือนกัน ต้องขอบคุณสวรรค์จริง ๆ ที่ผมไม่ใช่พวกโรคจิตพรรคนั้น
[1. ผมชอบอะไรง่าย ๆ ]
[2. ผมชอบอะไรยาก ๆ ]
ในที่สุด ผมก็เจอคำถามแบบปกติเสียที
ดูท่าตั้งใจจะวางคำถามแปลก ๆ ไว้ข้อแรก ๆ เพื่อดึงดูดความสนใจคนตอบแบบสอบถามสินะ
ควรจะชมว่าออกแบบสอบถามได้ฉลาดหรือควรจะบ่นว่าตั้งใจทำออกมามากไปดี
[1. ผมแก้ปัญหาด้วยพละกำลัง]
[2. ผมแก้ปัญหาด้วยปัญญา]
แน่นอนว่าต้องเลือกข้อสองอย่างไม่ต้องสงสัย
ผมน่ะ เลิกการใช้กำลังในการแก้ปัญหาตั้งแต่ที่ผมโดนเด็กผู้หญิงที่นั่งข้าง ๆ ผมซ้อมผมซะน่วมตอนสมัยอนุบาลแล้ว คนอย่างผมน่ะเขาเรียกว่า ‘นักสันตินิยมบริสุทธิ์’ ไงล่ะ
[1. ผมได้ประโยชน์จากการเก็บงำความลับของผู้อื่น]
[2. ผมได้ความสุขสันต์จากการใช้ประโยชน์จากความลับของผู้อื่น]
อีกครั้งหนึ่ง ที่ผมเลือกตอบข้อสองโดยที่ไม่มีความลังเลใด ๆ
สมัยที่ผมยังอยู่ในชั้นอนุบาล ทันทีที่ผมได้ข่าวว่าเด็กผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ผมฉี่รดที่นอนของเธอทุก ๆ เช้า ผมก็เริ่มหาประโยชน์จากเรื่องนี้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แล้วตั้งแต่นั้นมาผมก็ได้เรียนรู้ถึงความยิ่งใหญ่ของข้อมูลข่าวสาร อนึ่งไอ้สิ่งที่ผมทำเนี่ย ในหลักสูตรของวิชาการทูตมันมีชื่อว่า ‘คงความเป็นกลางโดยมีกำลังรบ’ แหละ
[1.มิตรภาพหมายถึงการจับมือมุ่งหน้าสู่เป้าหมายด้วยกัน]
[2.มิตรภาพหมายถึงเพื่อนที่ยังไม่ได้หักหลังเรา]
อูววว ไม่รู้หรอกนะว่าใคร แต่พนักงานที่คิดตัวเลือกข้อที่สองนี่ควรได้รับการตบมือให้จริง ๆ
ลองมานึกดู ตั้งแต่เริ่มทำแบบสอบถามนี้มาผมก็เลือกแต่ข้อสองตลอดเลยนี่นะ นี่ต้องแปลว่าคนที่ตอบข้อ 1 มันคือพวกผิดปกติ และคนที่ตอบข้อ 2 คือปกติแน่ ๆ
พอหลังจากทำไปได้ประมาณ 30 ข้อ
ก็มีคำถามที่มีรูปแบบแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้ปรากฎขึ้นมาเป็นครั้งแรก
คุณทราบหรือไม่ว่าโลกนี้สิ้นสุดได้อย่างไร?
[ทราบ]
[ไม่ทราบ]
มือที่ขยับเมาส์ของผมหยุดลง
……เพราะนี่เป็นคำถามที่จงใจเขียนมาให้รวบรัดมากเกินไป
มันเป็นประโยคคำถามที่มีแต่เฉพาะผู้เล่นที่ตั้งใจเล่นเกมนี้มากถึงที่สุดจึงจะเข้าใจได้
เกม Dungeon Attack
คือเกมที่ผู้กล้าไล่ปราบเหล่าจอมมาร
ตัวเกมที่มีโครงเรื่องไม่ซับซ้อน
แต่ทว่า… ในตอนสุดท้ายโลกในเกมก็คงจะล่มสลายไป สาเหตุที่ผมใช้ ‘คงจะ’ ในประโยคด้วยนั้นมันง่ายนิดเดียว เพราะะเกมไม่ได้ใจดีถึงขนาดจะบอกว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับโลกกันแน่หลังจากจบเกม นี่เป็นเพียงแค่ข้อสรุปของตัวผมเองที่ได้มาระหว่างการเล่นผ่านเนื้อเรื่องเท่านั้น
ในเกม จอมมารทั้งหลายคือเจ้าของพลังงานเวทมนตร์ และมีพลังเวทมนตร์จำนวนมหาศาลอัดแน่นอยู่ข้างในตัว แล้วอะไรจะเกิดขึ้นถ้ากลุ่มคนเหล่านี้ถูกฆ่าทิ้งทิ้งหมดล่ะ?
พลังเวทมนตร์ก็จะล้นทะลักออกมาน่ะสิ
เหมือนกันกับในกรณีที่เขื่อนหลายเขื่อนถล่มพร้อมกันก็จะทำให้เกิดน้ำท่วม
ผู้กล้าสังหารจอมมารทั้งหลายเพื่อปกป้องมนุษย์ชาติ แต่การกระทำเช่นนั้นกลับทำให้ความสมดุลของพลังงานเวทมนตร์พังทลาย สุดท้ายผลลัพท์กลับตรงข้ามกับที่ตั้งใจ ส่งให้มนุษย์ชาติและโลกถึงกาลล่มสลายแทน
นี่คือ ‘ฉากจบที่แท้จริง’ ของเกมที่ผมคิดไว้
ขอบคุณมากคุณตัวละครหลักของเกม
ขอบคุณมากคุณผู้เล่น
ทว่าเราต้องขออภัยด้วย เพราะความพยายามของท่านโลกจึงได้ถูกทำลาย
ช่างไร้ซึ่งความฝันและความหวังจริง ๆ
แต่เพราะแบบนั้นแหละผมถึงได้ชอบเกมนี้
เป็นเกมที่มองโลกได้ดำมืด…… เหมาะสมกับรสนิยมของผมเสียจริง
ผมพูดคำว่า ‘ใช่’ ออกมาแล้วก็คลิกเมาส์ลงไป
จากนั้นมันก็นิ่งไปเหมือนว่ากำลังคำนวณอะไรอยู่ กว่าจะมีคำถามต่อไปปรากฎขึ้นมาก็ต้องรออีกซักครู่หนึ่ง
คำถามที่มีใจความรวบรัดเกินไปปรากฎขึ้นมาอีกแล้ว
[ถ้าเป็นคุณล่ะก็ จะสามารถเปลี่ยนจุดจบได้หรือไม่?]
นั่นสินะ
ถ้าจะปกป้องมนุษย์ชาติก็ต้องห้ามฆ่าล้างปีศาจ
พูดอีกอย่างก็คือ ต้องทำให้ทั้งสองเผ่าพันธุ์จับมือสงบสุขให้ได้
ตามพล็อตที่ถูกเช็ตมาของเกม มนุษย์และปีศาจต่างก็ห้ำหั่นกันมาเกือบจะ 3,000 ปี ดูท่าบางทีการทำให้หัวหน้าของกลุ่มอิสลามหัวรุนแรงสุดโต่งมาปรองดองกับประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกายังจะง่ายกว่า
ถ้าเป็นผมล่ะก็จะสามารถทำได้มั้ยนะ……
ผมเริ่มคิด
แล้วก็คิดต่อไปอีก
จากนั้น…
[ใช่]
ทันทีที่เสียงคลิกของเมาส์ดังขึ้น
“……!”
แสงสว่างสีขาวก็ส่องแสงออกมาจากหน้าจอมอนิเตอร์ของผม
นี่เป็นภาพสุดท้ายที่ผมจำได้
ได้ยินเสียงระฆังลอยมาจากที่ไหนซักแห่ง ไม่สิ บางทีนั่นอาจจะเป็นเสียงระเบิดก็ได้ มีความรู้สึกเหมือนกับว่าโลกรอบตัวของผมมันถูกพลิกตลบ – รู้สึกเหมือนว่ากะโหลกของผมมันถูกขยายออกไปทั้งสี่ด้าน
หูมันรู้สึกอื้ออึง รู้สึกเหมือนทุกอย่างมันค่อย ๆ ห่างไกลออกไป
ภาพที่มองเห็นกระพริบไม่หยุด
ไม่สามารถควบคุมเปลือกตาของตัวเองได้
เหมือนกับว่ามีคนกำลังเปิดและปิดตาให้
แล้วสติสัมปชัญญะของผมก็หยุดลง
จากนั้น
จากนั้น………..
[โหมดฝึกสอนกำลังเริ่มต้น]
[ระดับความยากถูกตั้งเป็นระดับ LUNATIC (ยากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้)]
[START]
แล้วผมก็ลืมตาขึ้นมา