Dungeon Defence - ตอนที่ 41
งสนมสายเลือดผสม ลาพิส ลาซูลี
ปฏิทินเอ็มไพร์: ปี 1505 เดือน 12 วันที่ 6
นิฟล์เฮม ทำเนียบรัฐบาล
คนที่พร้อมจะชนะ และคนที่ตื่นตัวจะไม่พ่ายแพ้ ดังนั้นได้โปรดอย่าทำผิดพลาดแบบเดียวกับที่ผมทำ……
คำเรียกร้องของฝ่าบาทได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี
แม้ว่าคำพูดของฝ่าบาทมีหลักของเหตุผล แต่ก็ไม่ได้ใช้สิ่งนั้นเพื่อโจมตีใครๆ เขาพูดถึงประสบการณ์ความล้มเหลวในอดีตของตัวเอง แต่ความเป็นจริงเเล้วการต่อสู้ที่ปราสาทนั้นฝ่าบาทไม่ได้อยู่ที่นั้นด้วย วิวาทะของฝ่าบาทช่างดุร้าย แต่น้ำเสียงกลับอ่อนโยน ช่างเป็นการพูดที่งดงามจริงๆ
จอมมารคนอื่นๆได้พยักหน้า ส่วนจอมมารเเห่งผืนราบ อนุมัติแนวคิดการเตรียมพร้อมสำหรับการทำสงคราม ขณะที่กลุ่ม จอมมารฝ่ายขุนเขา เห็นด้วยกับแนวคิดเรื่องการตื่นตัว
ไพม่อนเริ่มรู้สึกกังวลเมื่อบรรยากาศการสนทนาเป็นไปในทางการทำสงครามมากขึ้นดังนั้นผู้สนับสนุนด้านสันติภาพมากกว่าสงครามอย่างไพม่อนจึงออกมายืนข้างหน้า
“ดันทาเลียน หญิงสาวผู้นี้รู้สึกเสียใจกับการที่ปราสาทจอมมารของท่านถูกโจมตี”
เหล่าจอมมารทั้งหลายต่างรอสนับรับฟังการสนทนาระหว่างทั้งสองคน ฝ่าบาทดันทาเลียนเเละฝ่าบาทไพม่อนได้ปะทะคารมกันมาเเล้วในอดีต เเละตอนนั้นไพม่อนได้เป็นฝ่ายที่เพลี้ยงพล้ำไป เเล้วครั้งนี้เองมันจะจบลงแบบไหนกัน?
นั่นกลายเป็นความอยากรู้ของคนทั้งห้องประชุมนี้
“อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องที่ยากลำบากการตัดสินใจเพื่อทำสงครามครั้งใหญ่โดยคิดว่ามนุษยชาติทั้งหมดเป็นศัตรูของเรา เพียงเพราะท่านเป็นคนเดียวที่ถูกโจมตี หญิงสาวคนนี้สามารถจะช่วยท่านในการสร้างปราสาทจอมมารขึ้นใหม่ได้นะดังนั้นเเล้ว……”
ฝ่าบาทไพม่อนได้ยิ้มขึ้น
“ขอบคุณมาก คุณหญิงไพม่อน แต่ขอปฏิเสธ ผมไม่รู้สึกเสียใจกับการสูญเสียปราสาทจอมมารหรอก ถึงเเม้จะได้รับความกรุณาเล็กๆน้อยๆจากท่าน ผมคงจะรู้สึกสมเพซตัวเองมากกว่าที่ต้องมาหยิบยืมความช่วยเหลือจากไพม่อน ซึ่งมันจะไม่เกิดขึ้นเเน่ๆ”
“นี่หมายความว่ายังไงกัน?”
“เหตุผลที่มาร์เกรฟ โรเซนเบิร์กโจมตีนั้นง่ายมาก เขาได้รับข่าวลือจากที่ไหนสักแห่งว่ามีสมุนไพรสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนกองอยู่ในปราสาทจอมมารของผม ดูเหมือนว่ามาร์เกรฟจะเชื่ออย่างเเน่นอนว่าผมเป็นผู้กระทำผิดที่อยู่เบื้องหลังการแพร่กระจายของโรคภัยสีดำ ……นี่มันเป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อยเลยงั้นเหรอ?”
เหล่าจอมมารต่างตื่นตระหนกขึ้น
ข้ออ้างที่ฝ่าบาทเพิ่งเผยออกมามันเหมือนกับข้อกล่าวหาที่ไพมอนกล่าวหาฝ่าบาท ในคืน วัลเพอร์กิส จอมมารไพม่อน และ มาร์เกรฟ โรเซนเบิร์ก ต่างก็มีข้อมูลเเบบเดียวกัน……เเละนี่จึงเป็นเรื่องน่่าแปลกใจเล็กน้อยที่มันบังเอิญเหมือนกัน
บางที ไพม่อน อาจเผยแพร่ข่าวลือโดยมีเจตนาเเอบเเฝง?
ความสงสัยเริ่มปรากฏเพราะมีเหตุผลมารองรับ
“ผมอยากรู้จริงๆ มาร์เกรฟได้ข้อมูลมาจากไหน? อ่า แน่นอน ผมไม่สงสัยคุณหรอก คุณหญิงไพม่อน เราทุกคนเป็นเหมือนวงศ์ตระกูลเดียวกันนี่ คงจะไม่มีพวกที่เหมือนกับคนทรยศที่จะขายพวกพ้อง ในที่ประชุมเเห่งนี้หรอกเนอะ?”
“……”
“ มาร์เกรฟ น่าจะมีเครือข่ายข้อมูลอิสระกระจายไปทั่วโลกปีศาจ มาร์เกรฟ คงจะได้ข้อมูลกับข่าวลือนี้โดยบังเอิญ นั่นคือข้อสันนิษฐานของผม ไม่ต้องกังวล. คุณไพม่อน ไม่ต้องรับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรงหรอก ใช่เเล้ว ความรับผิดชอบโดยตรง……”
ใบหน้าของ ไพม่อน เริ่มแข็งทื่อ
นี่เป็นการเปลี่ยนเรื่องอย่างมีชั้นเชิง
แม้ว่า ไพม่อน จะไม่ได้เผยแพร่ข่าวลือในโลกมนุษย์ แต่ก็ยังเป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ที่เธอเผยแพร่ข่าวในโลกปีศาจ ถ้า มาร์เกรฟ ได้รับข่าวลือจากปีศาจร้าย ความผิดนี้ก็จะกลับไปหา ไพม่อน ที่สร้างข่าวลือเท็จตั้งแต่แรก จากนั้นจึงถือได้ว่า ไพม่อน มีส่วนในการทำลายปราสาทของฝ่าบาท
การพูดแบบตรงๆ —ทำไมผมคนนี้ควรต้องได้รับความช่วยเหลือจากผู้ร้ายที่ทำลายปราสาทของเราด้วย นี่มันเป็นการดูถูกเหยียดหยามชัดๆ นี่เเหละคือความนัยที่ฝ่าบาทจะสื่ออย่างเเท้จริง ไพม่อนนั้นได้หมดคำจะพูดไปในที่สุด ฝ่าบาทตอนนี้ได้กำลังจ้องมองเธอด้วยดวงตาที่เหมือนงูเเรกเกิด
“ไม่เป็นไรหรอก เหตุการณ์นั้นไม่มีอะไรมากไปกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเเละผ่านไปเเล้ว เพราะความโลภอันชั่วร้ายของมนุษย์…… การมานั่งบอกว่าใตรถูกใครผิดจะเป็นสิ่งที่ไม่สมเหตุสมผลที่จะทำที่นี่ ไม่เเน่นอน อาจจะทำได้ในเวลาปกติ แต่สถานการณ์ปัจจุบันตอนนี้เป็นเรื่องเร่งด่วน เราไม่สามารถเริ่มต้นความขัดแย้งภายในกันเองระหว่างภาวะฉุกเฉินได้ นั่นจะทำให้กองกำลังมนุษย์สามารถบุกรุกเราได้ทันที”
“……”
ช่างเป็นการเล่นคำที่ยอดเยี่ยมอะไรเช่นนี้
หลังจากที่ฝ่าบาทประกาศว่าตอนนี้เป็นสถานการณ์ฉุกเฉิน เเต่ก็ส่งคำเตือนไปเช่นกันว่าหากตอนนี้เป็นสถานการณ์ปกติ เขาคงจะทำการประนามการกระทำของไพม่อนไปเเล้ว ตังนั้นไพม่อนเองเพื่อจะหลีกเลี่ยงการประนามนั้นจึงทำได้เเค่เห็นด้วยกับดันทาเลี่ยนเท่านั้น ตราบใดที่สถานกาณืปัจจุบันยังไม่พ้นวิกฤติ เลยยังไม่ควรถึงเวลาเริ่มสงครามภายใน เธอคงต้องโอนอ่อนไหลไปตามกระเเสสนทนานี้เท่านั้น
รุกฆาตเรียบร้อย
ถ้าเธอต้องการไม่เห็นด้วยกับสงคราม เธอต้องพิสูจน์ว่าสถานการณ์ปัจจุบันของเราเป็นภาวะการปกติ อย่างไรก็ตาม หากเธอต้องการหลีกเลี่ยงโทษ เธอก็ต้องยอมรับว่าตอนนี้เป็นสถานการณ์ฉุกเฉินเเล้ว ไพม่อนในตอนนี้ ตกอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ไพม่อนกัดริมฝีปากของเธอเอง
“……ข้างนอกหิมะกำลังตก”
“ขออนุญาต!?”
“วังแห่งนี้ตั้งอยู่บนที่รกร้าง ไม่รู้สึกหนาวไปถึงกระดูกบ้างเลยหรือ?”
คำถามที่กะทันแบบนี้หมายความว่ายังไงนะ? ไม่เข้าใจถึงความหมายเเละเจตนาของนางเลย ฝ่าบาทเองก็เอียงหัวเหมือนกันก่อนจะถามกลับ
“ผมควรสั่งให้พวกสาวใช้ให้จุดไฟให้ไหม”
“ใกล้จะเที่ยงคืนแล้ว ตอนนี้ยังพวกสาวใช้ทำงานอยู่อีกหรือ?”
“ไม่เห็นจำเป็นต้องกังวลเลย เหล่าข้ารับใช้จะเข้านอนในขณะที่เจ้านายยังตื่นอยู่ได้ยังไง?”
“เข้าใจเเล้ว. เป็นแบบนี้นี่เอง?”
ไพม่อนได้จ้องมองไปที่ฝ่าบาท
“พวกเรานั้นโชคดีที่ได้ก่อกำเนิดเป็นราชา ต่อให้ต้องนอนทั้งคืนก็มีคนใช้คอยจุดไฟให้เรามากมาย ถ้ากองทัพถูกส่งไปในตอนนี้ พวกเขาจะต้องผ่านภูเขาและลำธารในฤดูหนาวด้วยร่างกายที่เปลือยเปล่า แม้ว่าเราจะมีสาวใช้ที่ทุ่มเทดูแลความเป็นอยู่ของเราให้ เเต่ใครกันเล่าที่จะจุดไฟให้พวกทหารเมื่อพวกเขาต้องการ?”
“……”
“หญิงสาวผู้นี้ทำการประเมิณลมบนเส้นทางตอนมายังวังแห่งนี้ ฤดูหนาวตอนนี้นั้นแห้งแล้งเป็นพิเศษ โลกถูกแช่แข็งไปจนถึงชั้นในดินเนื่องจากสภาพอากาศที่เย็นจัดและยากต่อการขุดดินด้วยจอบ เป็นไปได้ว่าจะใช้เวลาครึ่งวันในการตอกลิ้มลงไปในดินและสร้างที่ตั้งแคมป์ ขณะเคลื่อนทัพผ่านทุ่งฤดูหนาว ทหารของเราต้องเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าและพังทลายลงเป็นเเน่ หญิงสาวผู้นี้เป็นกังวลอย่างมากว่าวิสัยทัศน์ของทุกคนถูกกำแพงวังขวางกั้นและไม่สามารถเเลเห็นถึงที่ราบอันหนาวเหน็บในฤดูหนาวได้”
”คุณหญิงไพม่อน”
เป็นเรื่องที่แน่นอน
นั่นเป็นคำโต้แย้งที่ถูกต้อง
เพื่อไม่ให้เป็นการต่อต้านสงคราม แต่เพื่อเยื้อเวลาเริ่มของสงคราม นอกจากนี้ยังแสดงความกังวลสำหรับผู้ใต้บังคับบัญชาในฐานะจอมมาร เพราะแบบนั้นการโต้เเย้งของไพม่อนจึงดูสง่างามเเละเเฝงไปด้วยความเมตตา
“ถ้าต้องเดินทัพ กองกำลังของเราจะข้ามภูเขาและเดินทางผ่านผืนป่า ต้นไม้ที่ใช้ทำเป็นฟืนจะมีมากมายที่นั่น เพราะงั้นกองทหารของเราที่จะพ่ายเเพ้ต่อลมหนาวลงเนื่องจากไม่สามารถจุดไฟได้ จึงไม่ต้องเป็นกังวลไป”
“ดันทาเลียน งานข้ามภูเขาและผ่ากองฟืนเป็นหน้าที่ของทหารเรา กองทหารของเราจะไม่ดูน่าสังเวชไปหน่อยหรือ?”
“ถ้าเช้นนั้นตัวเราเองก็ต้องไปผ่าฟืนเองแล้วส่งให้พวกทหารไปเลยงั้นสิ?”
ฝ่าบาททรงหัวเราะอย่างไม่สะทกสะท้าน
“คุณนี่มีความกังวลมากเลยเสียเหลือเกิน คุณหญิงไพม่อน แม้ว่าผมจะไม่ทราบถึงคุณธรรมอันดีโดยกำเนิดของท่าน แต่เมื่อจัดการกับกิจการในกองทัพทหาร ไม่จำเป็นต้องมีความเมตตาแต่ต้องมีความเข้มงวด ความปวดร้าวของราชาจะถูกส่งไปยังนายพล และความทนทุกข์ของนายพลจะถูกส่งไปยังทหาร เเละทั้งประเทศจะเดินหน้าด้วยความสัมพันเช่นนั้นและถอยกลับด้วยความสัมพันเช่นนั้น ต่อให้คนๆหนึ่งแม้จะเคยได้รับชัยมาแล้วก็ตาม มันจะเป็นความพ่ายเเพ้ และหากจะต้องพ่ายแพ้ พวกเขาก็จะไม่สามารถฟื้นกลับมาได้อีก ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่พวกปิศาจกังวลเรื่องแคมป์ไฟตอนทำสงคราม?”
เสียงตะโกนว่า ‘ใช่เเล้ว!’ ปะทุขึ้นทั้วสารทิศ
แม้ว่าโดยส่วนตัวแล้วเราถือว่าการให้เหตุผลของ ไพม่อน นั้นสมเหตุสมผล……เเต่ว่าโดยรวมแล้ว เหล่าจอมมาร ส่วนใหญ่ไม่ได้คิดอย่างนั้น พวกเขาไม่ใส่ใจในสิ่งเล็กๆน้อยๆ ไม่ใช่แค่จอมมารเท่านั้น แต่ปีศาจส่วนใหญ่ก็เชื่อในอุดมคตินี้เช่นกัน
ฝ่าบาท ดันทาเลียน นั้นแตกต่างออกไป เขาเเค่ใช้งานอุดมคตินี้ เขาใช้ทุกสิ่งทุกอย่าง เขาจัดการกับสิ่งที่คนชอบและใช้ประโยชน์จากสิ่งที่คนดูถูก ฝ่าบาทบอกว่าเจตจำนงของการใช้สิ่งทั้งปวงนี้เรียกว่าเป็นการเอาจริง วันหนึ่งเคยถามฝ่าบาทว่า ‘ถ้าเป็นแบบนั้นพวก ลัทธิปฏิบัตินิยมจะไปมีประโยชน์อะไร’ ฝ่าบาทตอบทันที
เพราะอำนาจ
การมีสิทธิอำนาจนั้นเป็นเรื่องดี และการไม่มีอำนาจก็เป็นเรื่องไม่ดี จึงไม่ต้องสงสัยอีกต่อไป เรามั่นใจกับคำพูดที่ไม่สมเหตุสมผลนั้น จิตใจของเราและความคิดของฝ่าบาทก็เหมือนกัน
“ตลอด 500 ปีที่ผ่านมา เราได้ยกทัพใหญ่มา 7 ครั้ง และถอยทัพออก 8 ครั้ง ทุกครั้งที่กองกำลังของเราถูกยันกลับ เราก็เสียอาณาเขตไปด้วย และตอนนี้ เราถูกไล่ตามมาหลังภูเขา หากเราจะต้องพ่ายแพ้ในครั้งนี้อีก เราก็จะต้องยอมจำนนในส่วนด้านในของเทือกเขาเเล้ว หญิงสาวคนนี้เจ็บปวดกับอนาคตของพวกเราจริงๆ”
“ถูกต้อง. ความกังวลที่คุณหญิงไพม่อนนั้นมี ผมเองก็กังวลเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เราควรมุ่งเป้าไปที่สถานการณ์ปัจจุบันที่กำลังของมนุษย์ลดลง เพราะพวกมันทุกข์ทรมานจากโรคระบาดไม่ดีกว่าหรือ”
“โรคนี้ส่งผลกระทบอย่างไม่เลือกหน้าทั้งมนุษย์และปีศาจ แล้วมันทำไมล่ะ……”
“ผมยังคงครอบครองสมุนไพรจำนวนมากที่สามารถเอาชนะโรคนี้ได้ ผมเเค่ต้องการเสนอขายสมุรไพราคาหนึ่งในสิบของราคาตลาดปัจจุบันเพื่อเป็นเสบียงทางการทหาร”
“……”
“ประกาศกระจายข้อมูลนี้ให้ทั่วถึงในหมู่ประชาชน ว่าสำหรับเจ้าหน้าที่และผู้ชายที่สมัครเข้ารับการเป็นทหารไม่ว่าจะเป็นชนชั้นสูงหรือชั้นรากหญ้าพวกเขาจะได้รับการรักษา ข้าจะให้สมุนไพรดำ 10,000 ต้นในกองทัพ ดังนั้นทุกคนๆจะได้รับสมุนไพรไปฟรีๆ
อันที่จริงการประชุมจบลงด้วยคำกล่าวเดียว
ฝ่าบาท ดันทาเลียน ลำดับที่ 71 ได้ให้เสบียงทางการทหารจำนวนมหาศาล จอมมารที่มีตำแหน่งสูงกว่าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมรับข้อเสนอเพื่อรักษาหน้าเอาไว้
ความสนุกเล็กน้อยแล่นผ่านมุมริมฝีปากของฝ่าบาท
เขาน่าจะมั่นใจในชัยชนะของตัวเองมากที่สุด
……นั่นไม่มีความยุติธรรมเลยสักนิด
ทุกครั้งที่ได้เห็นด้านนั้นของดันทาเลียน ความคิดก็วิ่งเเล่นผ่านเข้ามาในหัว นึกถึงความเชื่อมโยงระหว่างฝ่าบาทที่ได้เเบ่งปันกัน ก่อนการประชุมจะจัดขึ้นในวันนี้