Dungeon Defence - ตอนที่ 42
นการประชุมจะเริ่ม ฝ่าบาทกำลังสูบบุหรี่ คยา อยู่
คยาเป็นของขึ้นชื่อคล้ายกับซิการ์ เนื่องจากทั้งสองชนิดทำให้มึนเมาได้ง่ายเเต่ว่า คยาไม่มีคุณสมบัติเสพติด เมื่อเทียบกับซิการ์ จึงมีราคาแพงอย่างไม่น่าเชื่อ มันมีราคาเเพงมาก เเต่ฝ่าบาททรงโปรดปรานสินค้าหรูหราชิ้นนี้
ฝ่าบาทไม่ได้เพลินเพลินกับคยาด้วยตัวคนเดียว เเต่ยังลาก ลอร่า เดอ ฟาร์เนเซ่ ไปด้วยเเละเริ่มที่จะร่วมกันทำลายชีวิตตัวเองไปพร้อมๆกัน วันนี้ก็เช่นกันเมื่อเข้าไปในห้องนอน ก็ได้เห็นทั้ง2คนทำตัวเหมือนหนอนดิ้นกระดึ๊บไปมาบนพื้นห้อง
ภาพที่เห็นมันช่างดูยิ่งใหญ่เสียจริง
กลุ่มนักเลงติดยา คงจะควบคุมความพอประมาณได้มากกว่า 2 คนนี้เสียอีก
เราได้เข้าไปใกล้ฝ่าบาทเเล้วก็ตบไปที่หน้าของเขา
“ฝ่าบาทดันทาเลียน โปรดได้สติสักที”
ฝ่าบาทมองมาที่เราด้วยสายตาทื่อๆ
“มาดมัวแซล……มาเดม งั้นเหรอ—?” “Mademoiselle……Madem—?”
“การประชุมจะจัดขึ้นใน 2 ชั่วโมง จอมมารสี่สิบคนจะเข้าร่วม มันคือคืนวัลเพอร์กิส ฝ่าบาททรงวางแผนที่จะทำให้ตนเองอับอายในโอกาสเช่นนี้ด้วยงั้นหรือ”
“สวีดัด-?”คร่อก “Bonjour—?”
นี้มันไม่ถูกต้อง
เราจึงเข้าไปหา เดอ ฟาร์เนเซ เมื่อเราเข้าไปใกล้ ฟาร์เนเซ ก็ยืนขึ้นทันที แล้วเธอก็กางแขนทั้งสองออกในแนวนอน? เราหมดคำพูดไปทันทีเพราะพฤติกรรมแปลกประหลาดเช่นนี้
“……ฟานาเซ่. ตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่?”
“หญิงสาวคนนี้เป็นต้นไม้ต้นหนึ่ง”
“เป็นต้นไม้ต้นหนึ่ง?”
“เพราะเราเป็นต้นไม้ เราจึงตอบคำถามของเธอไม่ได้ ต้นไม้ไม่มีเเม้คำจะพูด”
“……”
เธอคงจะเป็นบ้าไปเเล้ว
เราคิดว่าจะต้องรับมือ2คนนี้ยังไงดีด้วยร่างกายจัณฑาลเช่นนี้ คงจะเป็นเกียรติอย่างยิ่งการเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ที่จะพูดคุยกับต้นไม้ เเม้ว่ามันจะดูง่ายกว่าที่จะพูดคุยกับฟานาเซ่มากกว่าฝ่าบาท คงต้องเลือกระหว่างผู้ชายที่ถดถอยกลับไปเป็นเด็กวัยหัดเดินกับเด็กผู้หญิงที่กลายเป็นต้นไม้มนุษย์ไปเเล้ว เป็นที่สุดของทางเลือกไปเลย
“นี่เมาเหล้ากันตั้งเเต่ตอนไหน”
“สาวน้อยคนนี้ไม่ได้เมาเหล้าสักหน่อย?”
โกหกสินะ
“งั้นเปลี่ยนคำถาม เริ่มสูบคยาตั้งเเต่เมื่อไหร่”
“มมมม. นั่นเป็นคำถามทางศาสนาทีเดียว”
ฟานาเซ พยักหน้าด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
“หญิงสาวคนนี้มีคำถามเช่นกัน จะได้ตอบไหม”
“ได้ ตราบใดที่มันไม่ใช่คำถามเกี่ยวกับพืชพันธุ์ของต้นไม้”
“ทำไมจู่ๆ ข้างนอกหน้าต่างถึงสว่างไสวขนาดนี้กัน? มันควรจะมืดสิเมื่อไม่กี่วินาทีที่แล้วมันยังมืดอยู่เลย ที่ค่อนข้างผิดปกติก็คือ ดูเหมือนว่าดวงอาทิตย์จะกลายเป็นบ้าไปแล้ว”
สิ่งที่บ้าไปแล้วไม่ใช่ดวงอาทิตย์ แต่เป็นฟานาเซต่างหาก
……ปวดหัวจริงๆเลย
ดูเหมือนว่าฝ่าบาทและเธอจะสูบตยาตลอดทั้งคืน
เมื่อเป็นฝ่าบาทเพียงคนเดียว เราก็กระชับกฎเกณฑ์ในที่นี่ได้ แต่หลังจากที่ มิส เดอ ฟานาเซ เข้ามา ทุกอย่างก็ยุ่งเหยิงไปหมด . ฝ่าบาททรงสอนนิสัยเสียที่เป็นอันตรายให้นาง และนางก็ยอมรับทุกอย่างด้วยอ้อมแขนที่เปิดกว้าง เหมือนลูกนกเอาจงอยปากไปทางปากแม่นกเพื่อรับอาหาร จากนิสัยการดื่ม นิสัยการนอน ไปจนถึงนิสัยการสูบบุหรี่ เธอกลายเป็นเหมือนสำเนาของฝ่าบาทไปเรียบร้อยเเล้ว
มันน่าสนุกเพราะมันเหมือนกับการเลี้ยงน้องสาวตัวน้อย นั่นคือคำกล่าวของฝ่าบาท เราถือว่าตัวเองโชคดีจริง ๆ ที่ ดันทาเลี่ยนไม่มีญาติ หากบังเอิญฝ่าบาทมีลูกขึ้นมา โลกคงจะแตกสลายในวันนั้นเเน่ๆ นี่มันไม่ตลกเลยนะ
“คุณ เดอ ฟาร์เนเซ ถ้าฝ่าบาททำความประมาทเลินเล่อ ก็ไม่ต้องไปเข้าร่วมการเเสดงตลกกับเขาก็ได้นะ สงครามกำลังจะเกิดในไม่ช้านี้ คุณฟานาเซ่ต้องสั่งสอนทหารเเละเป็นผู้นำทัพให้ฝ่าบาทนะ ทหารคนไหนจะเชื่อถือติดตามนายพลที่ติดยาตั้งเเต่ยังเด็กเล่า
“เธอนี่แปลกคนจริงๆ. หญิงสาวคนนี้เป็นเพียงเเค่ต้นไม้ แล้วต้นไม้จะจัดการกิจทหารได้ไงกัน?”
“……”
“วิ-วิ้ง วิ๊ง— วีวี๊—”
เธอไม่ใช่ต้นไม้ แต่ตอนนี้กลายเป็นจั๊กจั่นไปเเล้ว
“พาเราไปไว้อยู่ด้านข้างฝ่าบาทสิ ฝ่าบาทเเละเราจะได้สนทนากัน”
“อรุณสวัสดิ์—ราตรีสวัสดิ์—” “Bonjour— bonshouuur—.”
“วิงวิ๊งวีง……วิงงงวิง งิ๊งวิง๊งอวิ๊ง”
“เเวิิ๊งงง……เเว๊งงงง—?”
“มินมิน—”
“ยัปปาดับปาดู?”
“วี๊งงงงงงงงวิ๊งงงง……”
ในที่สุด ทั้งสองก็มาถึงขั้นของการสร้างภาษาของตนเอง ภาษาใหม่ที่ถือกำเนิดอยู่ต่อหน้าเรา ช่างวิเศษเหลือเกิน มันวิเศษมากจนไม่มีคำพูดใดออกมาจากปากได้เลยโดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่ฟานาเซเกาะขาเราและน้ำลายไหลยืดออกมา มันก็เลยเป็นภาพอย่างที่เห็น
ใบหน้าของ มิส เดอ ฟานาเซ นั้นงดงาม แต่ระบบภายในหัวของเธอเป็นเรื่องลึกลับเสียจริง
ใบหน้าของเธอไม่มีอารมณ์ใดๆ และไม่มีน้ำเสียงใดๆ อยู่ในเสียงของเธอ เป็นการยากที่จะคาดเดาอารมณ์ของเธอ แม้ว่าเราจะไม่แสดงสีหน้าเหมือนกัน แต่ในกรณีของเราได้โยนจิตใจนั้นทิ้งไปเเล้ว ในขณะที่เธอนั้นไม่มีจิตอยู่เลย เป็นการละความคิดออกไปเป็นการกระทำโดยเจตนาของตนเอง ดังนั้นเธอจึงอาจยังมีหัวใจที่ยังหลงเหลืออยู่ก็ได้อย่างไรก็ตาม การพูดถึงเรื่องจิตใจที่ไม่เคยมีอยู่ตั้งแต่แรกนั้นเป็นไปไม่ได้
.
เราได้จ้องเข้าไปในดวงตาของนางซึ่งเป็นสีเขียวเหมือนพุ่มไม้หนาในต้นฤดูร้อนเป็นเวลานาน
ไม่มีอะไรอยู่ในสายตาของนางเลย เพื่อให้เข้าใจอีกฝ่ายหนึ่ง เราต้องใช้อารมณ์ที่บางเบาเพื่อเป็นสะพานก้าวข้ามทอดส่องประกายเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย การข้ามจากด้านนี้ไปยังที่ของนาง ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของอารมณ์ซึ่งเราสามารถใช้ก้าวต่อไปได้ภายในสายตาของนางเลย มองไม่เห็นอีกด้าน รู้สึกเหมือนอยู่ห่างไกลคล้ายกระดาษเปล่าแผ่นใหญ่ ใกล้ๆนั้นสิ่งที่ ดันทาเลี่ยน สิ่งที่ฝ่าพระบาทค้นพบที่ก้นรกร้างนั้น สิ่งที่เขาวางแผนจะเติมมัน เเผนนการวิธีการที่จะเเต่งเเต้มสีสันลงไป แม้ว่าเราเองในฐานะคนรักของเขาเราก็ไม่สามารถหยั่งรู้ถึงเจตนาของฝ่าบาทได้เลย
“……”
เพียงเล็กน้อย.
ควรทดสอบดูสักหน่อย?
เราตรวจสอบการเคลื่อนไหวของฝ่าบาท การหายใจของเขาช่างเเผ่วเบา เป็นไปได้ว่าเขาจะไม่ยอมตื่นในเร็วๆ นี้ เราได้เบือนหน้าออกจากความยิ่งใหญ่ฝ่าบาท
“หญิงสาว เรามีคำถาม. สนใจจะตอบไหม?”
“จั๊กจั่นตอบไม่ได้ จั๊กจั่นตอบสนองอย่างต่อเนื่องได้เเค่ตอนเป็นฤดูร้อนเท่านั้น จักจั่นตอบคำถามเมื่อแสงแดดแห่งฤดูร้อนตกกระทบเเล้ว แต่หญิงสาวคนนี้ไม่แน่ใจว่าตอนนี้เป็นฤดูร้อนหรือยัง วิ-ง มิง—”
“แม่ของเธอเป็นคนแบบไหน?”
“ท่านเเม่เราเป็นเพียงทาส”
ลอร่า เดอ ฟานาเซ ตอบทันที
“เธออยู่ในสถานะทาสและให้กำเนิดหญิงสาวคนนี้หลังจากถูกข่มขืน ในวันที่หญิงสาวคนนี้เกิด แม่ได้ถูกฆ่าตาย เป็นการฆาตกรรมอำพราง ไม่มีบันทึกหรือหลักฐานใดๆ ดังนั้นหญิงสาวผู้นี้จึงไม่รู้อะไรมากไปกว่านี้”
เธอได้เอียงศีรษะลง
“คำตอบของเรา ตอบคำถามของพี่ลาพิสได้ถูกต้องไหม?”
“ใช่.”
มันเป็นเรื่องโกหก
ปฏิกิริยาที่เราต้องการนั้นรุนแรงกว่านี้เล็กน้อย
เพื่อประโยชน์ในการลากน้ำใต้ดินจำนวนหนึ่งออกมาจากบ่อน้ำที่แห้งแล้งซึ่งเป็นจิตใจของเธอ เราได้ถามต่อไป
“บางทีที่เธอถูกทารุณกรรมเพราะฐานะของเเม่ใช่ไหม?”
“ใช่. เรานั้นถูกทารุณกรรมอย่างหนัก”
“ต้องมีการล่วงละเมิดทางเพศเล็กน้อยหลายๆครั้ง”
“อืม”
“เราอยากรู้ว่าพวกเขารังเเกยังไง ขอถามได้ไหม”
“อา มันเป็นเรื่องเล็กน้อย พวกเขาจะให้อาหารที่เคยถ่มน้ำลายใส่ ให้น้ำที่มีเหาหรือแมลงวัน… แม้จะเป็นแบบนั้น แทบไม่มีวันที่เราได้อดอาหารหรืออดยาก นั้นจึงนับว่าโชคดีมาก”
“จำการกระทำทารุณแบบไหนได้มากที่สุด?”
“……”
หญิงสาวกลั้นหายใจครู่หนึ่ง
ในจุดที่เธอหยุดหายใจ เราได้ค้นพบช่องว่างที่สามารถลอดผ่านไปได้
อย่างไรก็ตามต้องไม่รีบร้อน ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรเราก็ไม่มีนิสัยเร่งรีบ ถ้าใครคิดจะเด็ดดอกไม้จากถนน ก็ต้องเข้าใกล้มันในขณะที่เดินช้าๆ
“หนีไปที่ไหนเมื่อต้องการหลีกเลี่ยงการทารุณ?”
“ห้องสมุดในอาคารเสริมจากคฤหาสน์……”
“ห้องสมุดเหรองั้นเหรอ? ได้ยินมาว่าชอบหนังสือประวัติศาสตร์ กลิ่นหอมจากหนังสือกระดาษน่าชื่นใจจริงๆ เราก็เหมือนกัน เก็บกลิ่นหอมของหนังสือที่มันไม่เปื้อนมือของคนอื่นไว้ เเละไม่เปื้อนมือตัวเองด้วย”
“หญิงสาวคนนี้ก็เช่นกัน ชื่นชมกลิ่นของหนังสือปกแข็งที่เปิดออกด้วยใจจริง”
“เนื่องจากห้องสมุดอยู่ในอาคารที่แยกจากกัน จึงไม่ค่อยมีคนอยู่ที่นั่น การหนีไปยังพื้นที่ที่ไม่ค่อยมีคนเข้าหาเป็นการตัดสินใจที่ดี”
“อืม”
“แต่พวกนั้นก็ยังตามอยู่ใช่ไหม?
“……”
“ต้องมีหลายครั้งที่พวกเขาปล่อยให้ไปถ้าหนีไป แต่ก็มีอีกหลายวันที่พวกเขาไม่ทำ ถ้าพวกเขาปล่อยไป มันก็คงจะดี แต่พวกนั้นก็ไล่ล่าเธอถึงที่สุดทางล่ะ ตอนแรกไปที่โถงทางเดิน แล้วก็ไปที่ห้องนอน……ช้าๆ ทีละก้าว ทีละก้าว พวกนั้นบุกรุกดินแดนของเธอทีละน้อย”
ไหล่ของเธอสั่นเล็กน้อย
ฉันจับเธอได้เเล้ว
“และในที่สุดก็ถึงห้องสมุด พวกเขาได้สัญญาว่าจะไม่รบกวนสถานที่นั้น เเต่แย่มาก ห้องสมุดก็ถูกบุกรุกด้วยเหรอ?”
“……”
เธอพยักหน้า
โดยพื้นฐานแล้ว ความคิดของปัจเจกบุคคลนั้นคล้ายกับป้อมปราการ ผู้คนสร้างบ้านตามแบบของตนเองและยกกำแพงสูงขึ้น
เป็นไปในทางที่สงบและเป็นระเบียบ
เหมือนกับการล้อมป้อมปราการในสนามรบ
ตัดเส้นทางหลบหนี ล้อมป้อมปราการ ล้อมรั้วรอบประตูปราสาทให้แน่น และในที่สุด หลังจากที่ยึดหมู่บ้านชายขอบรอบปราสาทได้ ถึงเวลาเเล้วที่เราจะเคาะตัวปราสาทที่สำคัญที่สุด
“เธออายุเท่าไหร่ตอนที่พวกมันบุกเข้ามาครั้งแรก”
“ตอนอายุ 10 ขวบ……ในฤดูร้อน……”
“เข้าใจเเล้ว. มันเป็นฤดูร้อนสินะ?เเล้วอากาศร้อนมากไหม?”
“จำไม่ได้.” (น้องจะร้องเเล้ว)
“เเล้วได้ยินอะไรอีกไหม”
“เสียงของจั๊กจั่น……”
“เสียงจั๊กจั่นร้องมิ้งวิ้ง สะท้อนผ่านหน้าต่าง เราเข้าใจ”
“นั่นคือ…..ดังนั้น ทางหน้าต่าง……”
“ดังนั้นเธอจึงเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง หากต้องอยู่คนเดียวในห้องสมุดและอ่านหนังสือ สายตาของพวกเขามันเหมือนเงาตะคุ้มๆอยู่ใกล้ๆ เธอต้องเพ่งมองที่หน้าต่างบ่อยๆ เพื่อที่จะปล่อยสายตาให้จิตใจได้ก้องกังวานไปในอากาศ เธอเห็นอะไรนอกหน้าต่างนั้น”
“ต้นไม้”
“ต้นไม้อะไร”
“ไม่รู้.”
“โปรดพยายามจำให้ได้ อาจไม่รู้ว่าเป็นต้นไม้ชนิดใด แต่เธอยังคงจ้องมองไปที่ต้นไม้นั้นต่อไป พยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่ละสายตาไปจากตรงนั้น เพื่อที่จะทนต่อการถูกทารุณกรรม มองไปที่ต้นไม้ เพื่อที่จะลืมมันไป เธอได้ทำให้ตัวเองหลงไหลไปกับเสียงของจักจั่น เจ้าชอบเสียงเพรียกร้องของจั๊กจั่น……”
ทุกปราสาทที่ถูกจัดวางไว้
เเลทั้งมวลก็เกือบจะล้มลง
ในที่สุด ฐานที่มั่นที่สำคัญที่สุด
ดินแดนหวงห้ามที่ห้ามเข้าได้ถูกล่วงล้ำ ถูกพรากไปจากเธอ เเละนั้นเป็นที่ๆเราคิดจะก้าวเข้าไปตั้งเเต่ต้น
จะทำลายมันตอนนี้
“ใครเป็นคนบุกรุกเข้าไปตอนนั้น?”
“…………”
ไหล่ของเธอสั่นสะท้านไปทั่วร่างกาย
นางก้มศีรษะลง เธอส่ายหัวราวกับว่าเธอกำลังพยายามสลัดอาการสั่นของเธอออกไป นั่นคือการต่อต้านครั้งสุดท้ายของเธอ มันเป็นเรื่องน่าหัวเร่อเสียจริง
“ไม่เป็นไรเเล้ว มันเป็นเหตุการณ์ที่เธอทนอยู่มานานและได้ผ่านพ้นไปแล้ว ใครคือคนที่ไล่ตามเธอไปจนถึงด้านในห้องสมุดกัน?”
“พ่อของเราเอง” (ไอ้พ่อ…..)
“……”
“ปิดประตู……เราปิดประตูแน่นแน่ๆ แต่เพราะว่าไม่ได้ล็อคมันด้วยกุญแจ……”
เข้าใจล่ะ
เราคิดถึงความร้อนอบอ้าวของวันในฤดูร้อนนั้น
ภาพความร้อนแผดเผากดลงบนความเงียบ
“ทำไมไม่ล็อคประตู”
“ทุกคนจะคงโกรธถ้าเราล็อคมันไว้ ก็แค่นั้น……”
“เจ็บมากไหม?”
“จั๊กจั่นร้องไห้โฮหนักมาก”
เราได้หยุดทุกคำพูด
“ร้องไห้ออกมามากจริงๆ เนิ่นนาน……ไม่หยุดยั้ง —”
นางสาวฟาร์เนเซพูดคำเดิมซ้ำๆ ไม่มีเสียงในเสียงของเธอดังนั้นเสียงสะท้อนจึงรู้สึกห่างไกล
บางที.
นี่น่าจะเป็นโอกาส
ลอร์ด ดันทาเลียน แสดงความรักต่อผู้หญิงคนนี้ต่อหน้าเรา แม้ว่าความรักของเขาจะไม่มีความต้องการทางกามารมณ์ออกมาอย่างชัดเจน แต่เมื่อนานมาแล้ว เราก็เคยระมัดระวังเรื่องความรักโดยปราศจากความต้องการทางเพศมากที่สุดเช่นกัน
ความต้องการทางเพศมีความชัดเจน มันเป็นเหมือนในหลุมที่ต้องเข้าไป เเละเมื่อมันพบเจอกับสิ่งที่มันต้องการจะต้อนรับมันด้วยถึงจะพอใจ เป็นความปรารถนาที่มีทิศทางที่เเน่นอน . . ความรักแบบต่างๆ รุมเร้าที่นี่และที่นั่นอย่างโกลาหลไร้ทิศทาง และเมื่อมันเบื่อหน่ายกับการกระเเทก เลยกลายเป็นการขืนใจอีกฝ่ายจนสุดท้าย พวกเขาไม่ได้เรียนรู้วิธีดับความปรารถนาของตน แต่เรียนรู้วิธีถอนความอยากและอดทนต่อมัน ส่งผลให้เกิดเป็นความเน่าเปื่อยจากข้างในออกมาภายนอก
แต่ถ้าหากฝ่าบาทได้โอบกอดหญิงสาวผู้นี้ไว้ต่อหน้าเรา
จู่ๆ ความคิดนั้นก็ผุดขึ้นมา
นางสาวมักจะห้อยตัวเองไว้ที่คอด้วยความรักของฝ่าบาท แต่จะเกิดอะไรขึ้นหากไม่มีความปรารถนาทางกามารมณ์ล่ะ? เธอจะไม่มีทางตอบสนองต่อความรักของฝ่าบาทได้ ไม่สามารถขจัดความยิ่งใหญ่ของเขาออกจากจิตใจของเธอได้ มันจะสะสมไปเรื่อยๆ และ— ค่อยๆ ครอบงำจิตใจของเธอต่อไป
เมื่อถึงจุดหนึ่งจิตใจของเธอจะไม่เต็มไปด้วยสิ่งใดสิ่งอื่นนอกจากฝ่าบาท เธอจะไม่สามมารถขัดขืนฝ่าบาทได้ เพราะไม่สามารถตอบเเทนสิ่งใดให้ฝ่าบาทได้ กลายเป็นการอุทิศทุกสิ่งอย่างให้ฝ่าบาท เราเป็นห่วงจริงๆ ถ้าฝ่าบาทเอาใจออกห่างหายจากนางไปเเม้เพียงเล็กน้อย นางจะไม่ลากเขาเข้าไปอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจและพยายามที่จะจมน้ำตายพร้อมกับฝ่าบาทไปเลยอย่างงั้นหรอกหรือ?
นั่นคือเหตุผลที่ตอนนี้เป็นโอกาสอันดีที่จะทำลายเธอ
ก่อนที่ฝ่าบาทจะประทับอยู่ในใจของนางไปมากกว่านี้
ก่อนที่เธอจะหายใจไม่ออกด้วยความรักของฝ่าบาท
เราจะบดขยี้หัวใจของเธอจนเเหลกเหลวเอง