Dungeon Defence - ตอนที่ 44
รประชุมมาถึงช่วงเวลาสุดท้ายแล้ว
แม้ว่า ไพม่อน ยังคงชี้แจงว่าไม่ควรเริ่มทำสงครามต่อไป น้ำเสียงของเธอขาดความเข้มเเข็งอย่างเห็นได้ชัด ไพม่อน เองก็เข้าใจดีว่าตอนจบของการประนุมนี้จะจบลงอย่างไร ฝ่าบาทไม่ได้พยายามขัดขวางเสียงของไพมอนอีกเเล้ว เขาเพียงเเค่สังเกต ไพม่อน ด้วยดวงตาที่ว่างเปล่าซึ่งดูเหมือนเขาจะตื่นตาตื่นใจกับงานศิลปะที่ทำขึ้นชิ้นนี้
จิตใจของคนเราย่อมเปิดเผยออกมาเองโดยธรรมชาติ และสิ่งที่ผู้คนเปิดเผยด้วยตนเองนั้น แท้จริงแล้วคือจิตใจของพวกเขาเอง ยังไงก็เเล้วเเต่ จิตใจของฝ่าบาทที่เราเห็นกับจิตใจที่ฝ่าบาทได้เปิดเผยออกมานั้นค่อนข้างที่จะแปลกประหลาด ในบางครั้งเราก็ยากที่จะเข้าใจความหมายที่เเท้จริงของฝ่าบาททที่กำลังจะสื่อ
ฝ่าบาทที่ชอบนอนอย่างเกียจคร้านเเละเสพยาตลอดทั้งคืน กลับก่อสงครามได้อย่างมีเล่ห์เหลี่ยม ฝ่าบาทใช้ความขี้เกียจของฝ่าบาทปกปิดความขึ้เกียจของฝ่าบาทอีกทีนึงเเละซ่อนมันไว้ เมื่อใดก็ตามที่เรามองดูฝ่าบาทเรานึกถึงเเมงมุมพิษที่นอนห้อยตัวอยู่บนใย โลกทั้งใบก็เหมือนใยเเมงมุม ที่ฝ่าบาทได้นอนอยู่บนนั้นอย่างสงบนั้นหมายความว่าฝ่าบาทกำลังออกล่าอยู่ ออกล่าเพื่อรอเหยื่อเข้ามาติดกับ
“……?”
ทันใดนั้น ฝ่าบาทก็หันมาทางเรา เนื่องจากเราถูกมองว่าเป็นพวกชนชั้นไพร่ จึงไม่สามารถเข้าใกล้ศูนย์กลางของห้องประชุมนี้ได้ ทำได้เพียงดูการประชุมจากระยะไกลเท่านั้น ในตอนนั้นเองฝ่าบาทขยับริมฝีปากของเขาเเต่ว่าไม่มีเสียงออกมา
อาจจะเป็นการละเล่นเเบบใหม่ของฝ่าบาทอีกก็ได้?
นั่นเป็นพฤติกรรมที่ดูถูกต่อคืน วัลเพอร์กิส อันศักดิ์สิทธิ์ จริงๆ มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าให้อภัยหากมีใครรู้ เราเริ่มที่จะปวดหัวเล็กน้อยเเล้วสิ
โดยการอ่านริมฝีปาก เราอ่านแต่ละคำที่มาจากริมฝีปากของลอร์ด ดันทาเลี่ยน ที่ไม่ออกเสียง
รอ เห งั้น รอบ อีก แล้ว ผม รัก หลุม ตก เธอ จน ? ทึ่ง น่า มัน ผม
มันไม่ได้สร้างประโยคเลย
ไม่ใช่ทั้งภาษาฮับส์บูร์กและฟรังโคเนียน มาจากภาษาอะไรก็ไม่รู้……ไม่สิ เดี๊ยวนะ. ฝ่าบาทชอบเป็นประเภทที่ใช้มุขตลกเดิมๆซ้ำๆทุกวัน ถ้าเราลองอ่านย้อนหลังเป็นแบบเมื่อวันก่อน ก็อาจจะเป็นไปได้ ถ้าลองอ่านย้อนกลับก็—–
ผมมันน่าทึ่ง? จนเธอตกหลุมรักผมอีกรอบแล้วงั้นเหรอ?
……
เราหันกลับไปมองฝ่าบาทด้วยเเววตาเหมือนปลาที่กำลังจะตาย พร้อมกับขยับริมฝีปาก
โปรดฆ่าตัวตายไปซะ
เรื่องตลกดำเนินต่อไปจนถึงช่วงพักกลางวัน เวลา 4 โมงเช้าเป็นตอนที่จอมมารโหวตในที่สุดว่าจะทำสงครามหรือไม่ นี่เป็นเรื่องที่เเน่นอนอยู่เเล้ว
ผู้เข้าร่วมประชุมทั้งหมด 63 คน
เห็นด้วยที่จะทำสงคราม 38 โหวต
ไม่เห็นด้วยที่จะทำสงคราม 21 โหวต
งดออกเสียง จำนวน 4 คน
เนื่องจากคะแนนโหวตอนุมัติมีมากกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนผู้เข้าร่วมทั้งหมด สงครามจึงถูกกำหนดขึ้น ทุกอย่างไหลไปสู่ทิศทางที่ลอร์ดดันทาเลียนต้องการ จอมมารอันดับ 1 บาอัล อากาเรสอันดับ 2 และวาสซาโกอันดับ 3 ไม่ได้เข้าร่วมในการชุมนุมครั้งนี้ ดังนั้นการตัดสินใจทำสงครามครั้งนี้ถือว่าได้รับการจัดการอย่างเร่งรีบมากกว่าจะทำอย่างระมัดระวัง แต่—
มีปัญหาบางอย่าง?
มีบางอย่่างที่ไม่เป็นไปตามกฎหมาย
ตอนนี้เราสามารถทำสงครามได้อย่างถูกกฎหมาย หากเราจะคาดเดาว่าหน้าที่ของสงครามคือการฆ่ามนุษย์ ในตอนนี้ การประชุมวาระที่ 2 ได้ผ่านไปเเล้ว ตอนนี้เป็นวาระเราที่เราจะได้เสนอสิทธิในการสังหารมนุษย์อย่างถูกกฎหมาย ขอบเขตของทางกฎหมายและการทำผิดกฎหมายที่ทำขึ้นเกิดจากความตายของผู้คนที่ได้เรียกร้องซึ่งสิทธิการมีชีวิต เพราะเรื่องมันเกิดขึ้นเนื่องจากผู้คนไม่พอใจเเละกังวลเกี่ยวกับกฎหมายในชีวิตและกฎหมายที่ผิดกฎหมายในตัวของมันเองช่างเป็นเรื่องที่น่าหัวเราะเสียจริง มันเป็นเรื่องตลกที่สนุกที่สุดที่เราได้ยินมาตลอดทั้งปีเลย แน่นอนว่า ดันทาเลี่ยน ฝ่าบาทเองก็คงกำลังระเบิดเสียงหัวเราะอยู่ข้างในใจเป็นเเน่
ผู้แปล(งงศัพท์ทางกฏหมายเว้ยย อารมประมาณเราสร้างกฏหมายเพื่อปกป้องชีวิต เเต่ตอนนี้จะเเก้กฏหมายเพื่อจะเอาชีวิตประมาณนั้น)
— เราจะไปสั่งสอนบทเรียนพวกมนุษย์เมื่อไหร่ดี?
— คงจะดีถ้าจะเริ่มเคลื่อนไหวเมื่อความหนาวเย็นลดลงเล็กน้อยประมาณเดือนที่ 3
— เมื่อเรากุดหัวพวกมันได้มากพอ พวกมนุษย์จะหวาดกลัวและก้มหัวพวกมันเอง เราควรจะเรียกประชุมเพื่อจะจัดเป็นการแข่งขันนะเดี๊ยวข้าจะได้บอกให้พวกเจ้าหนูทั้งหลายได้มารู้กัน
— ได้เวลาวอร์มอัพเเล้วสินะหลังจากที่ไม่ได้ทำมานาน
ผิวใบหน้าของจอมมารเเต่ละคนเรื่มจะส่องสว่าง
มันเเน่นอน ไม่มีใครในที่นี้ตีความความรายละเอียดของสงครามอย่างเต็มรูปแบบ พวกเขามองว่ามันเป็นสงครามง่ายๆ ที่จะปล้นจะฆ่ายังไงก็ได้ และนี่หมายถึงแค่ฝ่ายผืนราบอย่างเดียว ฝ่ายขุนเขามองว่านี่เป็นการต่อสู้กันเเค่นิดหน่อยเหมือนกิจการทางการฑูตเท่านั้น พวกเขากำลังพูดคุยกันอย่างจริงจังในหัวข้อการส่งทูตไปยังทั้งจักรวรรดิและอาณาจักรเพื่อตำหนิมนุษย์จากความชั่วร้ายที่พวกเขาทำ เป็นเรื่องน่าขันเสียจริง
ยิ่งพวกเขาถ่มน้ำลายออกมาได้ง่ายเพียงใด
การตัดสินใจเกี่ยวกับสงครามที่ผู้คนฆ่าและถูกฆ่าโดยผู้อื่นนั้นก็เป็นเพียงเเค่ลมปาก
คนเหล่านี้จะต้องแบกรับความรับผิดชอบนั้นด้วยตนเอง
ในบรรดาจอมมาร มีเพียง ไพม่อน เท่านั้นที่มีผิวสีเข้มจนถึงที่สุด หลังเห็นผลโหวต ไพม่อน ได้คร่ำครวญออกมาเป็นเวลานาน เธอล้างคอของเธอ คำเตือนที่เธอทิ้งไว้อยู่เบื้องหลังยังคงติดค้างอยู่บนเพดานและขจรไปทั่วผืนฟ้า
— เมื่อสงครามนี้เริ่มต้นและมาจากไหน เราไม่รู้เรื่องนี้ เนื่องจากเราไม่รู้ว่าสงครามเริ่มต้นเมื่อใด เราจึงไม่รู้ว่าจะยุติเมื่อใด เนื่องจากเราไม่รู้ว่าสงครามมาจากไหน เราจะไม่รู้ว่าจะต้องไปที่ไหนเพื่อยุติมัน ทุกคนไม่เวียนหัวบ้างหรอ? หญิงสาวคนนี้รู้สึกโล่งใจ ไม่ควรที่จะจำกัดน้ำหนักของชีวิตด้วยความเบาของคำพูด แต่หญิงสาวคนนี้ก็กังวลเรื่องนั้นอยู่อย่างหนึ่ง ที่ทหารของเราจะต้องทนกับความหนักอึ้งนั้นเพราะความสูงศักดิ์ของพวกเรา……
หลังจากนั้นเเล้วก็ตัดสินใจไปรวมกันที่ราบ ยอทวิงเจี้ยน ในวันที่ 2 และวันที่ 15 เพื่อก้าวไปด้วยกัน การประชุมทั้งหมดก็ยุติลง
NOTE: เปลี่ยนจากยอทุนไฮม์ เป็น ยอททวิงเจี้ยน
▯จอมมารที่อ่อนแอที่สุด อันดับ 71 ดันทาเหลียน
ปฏิทินเอ็มไพร์: ปี 1505 เดือน 12 วันที่ 7
นิฟล์เฮม ทำเนียบรัฐบาล
การประชุมได้จบลงเเล้วทุกคนกำลังจะเเยกย้ายกันออกไป
ผมรอให้ทุกคนออกไป
ขณะมองขึ้นไปบนเพดานอันมืดมิด ผมก็จมอยู่กับการโต้เเย้งของ ไพม่อน ที่ทิ้งไว้เบื้องหลัง การคร่ำครวญของเธอ ที่ไม่รู้ว่ามันมาจากไหนและไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน ช่างงดงามจริงๆ ในขณะที่จอมมารคนอื่นๆ พยายามจะฝ่าหมู่ควันที่บาร์บาทอสและผมกระจายออกมา ไพม่อน กลับกังวลว่าควันมาจากไหน มีเพียงเธอเท่านั้น คนเดียวที่พยายามมองข้ามควันที่เห็น
ห้องประชุมว่างเปล่า คนใช้ก็เป่าดับเทียน รู้สึกเหมือนอยู่หลังเวทีการแสดงที่นักแสดงออกไปและผู้ชมจากไปแล้ว
— เราขอโทษ…… เราขอโทษ……
ตอนนี้ผมย้อนคิดเกี่ยวเรื่องนั้น
ย้อนกลับไปในช่วงเวลาที่เธอเพลี่ยพล้ำหลังจากพ่ายเเพ้ในห้องนี้ ไพม่อน ได้ขอโทษอย่างจริงใจอย่างยิ่ง ผู้หญิงอันดับที่ 9 ขอโทษด้วยน้ำตาถึงอันดับที่ 71 ทันใดนั้นผมก็กลัวความชัดเจนของเธอที่สามารถขอโทษได้อย่างจริงใจและคร่ำครวญอย่างจริงจัง ไพม่อน จะไม่ทำผิดพลาดซ้ำสองครั้งอีก
ข้ามผ่านห้องประชุมที่ว่างเปล่า ลาพิสมาอยู่ที่ด้านข้างของผม จากนั้นเธอก็เอ่ยคำถาม
“ฝ่าบาทกำลังทำอะไรอยู๋”
“กังวลว่าจะต้องถูกลอบสังหารเเละตายไปคนเดียวหรือเปล่าน่ะ”
“มันจะไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก”
ลาพิสตอบอย่างใจเย็น ไม่มีวี่แววว่าเธอจะแปลกใจกับคำพูดของผม เธอไม่ได้ถามด้วยซ้ำว่าคนที่กำลังวางเเผนจะลอบสังหารคือใคร ผมรู้ว่าลาพิสกำลังคิดสิ่งเดียวกันกับผมในใจของเธอ
“สิตรีอยู่เคียงข้างเธอคนนั้นเสมอ”
“สิตรี?”
“จอมมารลำดับที่ 12 หากใครจัดอันดับพวกเขาด้วยความแข็งแกร่งโดยตัวจอมมาร อากาเรสอันดับ 2 จะอยู่ในอันดับสูงสุด บาร์บาทอสอันดับที่ 8 เป็นอันดับสอง และหลังจากนั้นคือสิตรีจะอยู่ในอันดับสาม เนื่องจากเธอติดตามไพม่อนราวกับว่านางเป็นน้องสาวของเธอไปทุกที่และอยู่กันไม่ห่างแม้แต่ครู่เดียว มันจึงเป็นเรื่องยากสำหรับนักฆ่าที่จะฝ่าเข้าไป”
“อ๊ะ”
ผมนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตตอนที่ ไพม่อน ได้พ่ายเเพ้หลังจากโดนผมโต้กลับ มีจอมมารหญิงคอยสนับสนุนเธอและเดินออกจากห้องไป ผมไม่เห็นหน้าเธอ แต่เธอคงเป็นสิตรี
จากนั้นผมก็จำโทรุเคลได้ พ่อค้าก็อบลินคนนั้น โทรุเคล เมื่อนึกย้อนกลับไป พ่อค้าคนนั้นไม่ได้ฆ่าตัวตายเพื่อปกป้อง ไพ่ม่อน ด้วยหรือ? ผมส่งเสียงครางยาว
“ถ้าเป็นงั้นจริง ไพ่ม่อน คงได้รับพรจากเหล่าผู้คนเเน่ๆ ผมเห็นผู้คนที่จงรักภักดีของเธอปกป้องเหมือนเป็นการสร้างกำแพง จึงเป็นเรื่องยากที่จะเจาะทะลุเข้าไปจากภายนอก เธอเป็นบุคคลที่ขี้กังวลเเม้กระทั่งกองไฟตัวเองเป็นคนจุดก็ยังกังวลว่าจะลามไปทั่วพื้นที่
“เเล้วจะปล่อยให้เป็นแบบนั้นหรือ”
“ผมยังไม่เห็นวิธีการเลย ความภักดีไม่ได้เกิดขึ้นเอง พวกเขาจงรักภักดีต่อ ไพม่อน เพราะเธอสามารถเติมเต็มในสิ่งที่ตัวเองไม่สามารถเติมเต็มได้ ก่อนอื่นผมต้องค้นหาว่า ไพม่อน ได้ให้อะไรพวกเขาก่อน……”
ลาพิสคุกเข่าลงข้างหนึ่ง เธอเอนศีรษะลงกับต้นขาของผมเบาๆ ในใจกลางห้องประชุมที่ว่างเปล่า เรารู้สึกได้ถึงความเงียบของกันและกัน
จู่ๆ ผมก็รู้สึกอยากสัมผัส จึงแตะริมฝีปากลาพิส มองยังไงก็ไม่พอ ผมต้องการเติมเต็มความรู้สึกที่ขาดหายไปก่อนที่การประชุมจะเริ่มขึ้นและอีกครั้งเมื่อการประชุมสิ้นสุดลง ลาพิสได้ถอนหายใจออกมา
“ฝ่าบาท ที่นี่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์……”
“นั่นไม่ได้พูดให้ดีขึ้นเลย”
นี่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่มีเพียงจอมมารเท่านั้นที่เข้าร่วม และลาพิส ลาซูลีเป็นเพียงไพร่เท่านั้นที่เข้ามา นี่คงเป็นเรื่องตลกร้ายน่าดู การหมิ่นประมาทโดยการนำไพร่ เข้ามาในพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ลาพิส ก็ได้ปิดปากของเธอ เราเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด คู่รักที่ได้รับบาดเจ็บจากโลกเเละนำได้นำรอยแผลเป็นที่ได้เหล่านั้นมาแบ่งปันกัน แต่มันก็ไม่จำเป็นสำหรับคู่รักที่พยายามจะทำลายโลกอีกต่อไปเเล้ว ภายในช่องว่างของเนื้อที่พันกันของเรา เสียงหายใจของพวกเราดังก้องอยู่ลึกลงไป
—……
—……
เราถูผิวของเราเข้าด้วยกันให้นานที่สุดและซ้อนเนื้อของกันและกันให้มากที่สุด เรายังกลั้นเสียงไว้มากที่สุด เมื่อเสียงหอบของเธอหรือตัวผมเองรั่วออกมาเป็นบางครั้ง เสียงก็ดังสั่นไหวไปถึงเพดาน ตลอดทั้งคืนมีพายุหิมะโหมกระหน่ำนอกหน้าต่าง รู้สึกเหมือนหิมะปกคลุมทุ่งนาที่แตกร้าวและแห้งแล้ง บาดแผลของโลกจะถูกฝังไว้ตรงนั้นฝังไว้ใต้กองหิมะ
ในยามรุ่งสาง เสียงของหิมะของโลกก็ได้หยุดลงแล้ว