Dungeon Defence - ตอนที่ 51
จอมมารแห่งความเมตตา ลำดับที่ 9 ไพมอน
ปฏิทินเอ็มไพร์: ปี 1506 เดือน 2 วันที่ 12
ที่ราบ กองกำลังพันธมิตรจอมมาร
Ο
“เราควรทำอย่างไรดีคะท่านพี่……?”
สิตรีถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
พวกเราเฝ้าจับตาดู จอมมารดันทาเลี่ยน พร้อมกับกองทหารของเขา อย่างเงียบ ๆ ไม่มีโอกาสที่เราสามารถทำเเผนการยั่วยุดันทาเลี่ยนโดยโจมตีไปที่ผู้หญิงของเขาเพื่อที่จะชะลอการเริ่มสงครามสำเร็จได้เลย เเผนการล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
“ฉันขอโทษ ท่านพี่ไพม่อน ฉันเลือกทหารที่พูดจาหยาบคายที่สุดในกองทหารของฉันเเล้ว แต่ดูเหมือนว่าจะไม่เพียงพอ”
“ไม่. ไม่ใช่ความผิดของเธอเลยสิตรี อีกฝ่ายเพียงจัดการกับสถานการณ์ได้อยู่หมัดเท่านั้นเอง เราพยายามยั่วโมโหเขาตั้งแต่ได้ยินข่าวลือว่าดันทาเลี่ยนเป็นพวกรักลูกน้องเเล้ว แต่ท่าทางของเขาจะไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่นิดเดียว……”
จิตใจของเรารู้สึกหนักขึ้น
นับตั้งแต่ปีที่แล้ว ความรู้สึกที่ผู้หญิงคนนี้ ไม่สิ ไม่เพียงแต่ผู้หญิงคนนี้เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึง เหล่าจอมมารทั้งหมดด้วย ความรู้สึกที่ว่านี้ไม่เคยหายไป ความรู้สึกเหมือนถูกกำหนดให้เต้นไปตามจังหวะของดันทาเลี่ยน หรือเป็นเพียงเราคนนี้ที่เข้าใจผิดไปเองกัน?
คงจะถือเป็นเรื่องที่ดีที่จะถือว่าชื่อเสียงของ ดันทาเลี่ยน ได้ตกต่ำถึงขึดสุดไปเเล้ว เขาได้ประกาศเป็นคู่หมั้นกับหญิงจัณฑาล ทำให้มนุษย์กลายเป็นเเม่ทัพรักษาการแทน และเเย่ยิ่งกว่านั้น ปราสาทจอมมารซึ่งเป็นที่มั่นของเขา ได้พังทหลายลงไปอีก ในสายตาของคนทั่วไป ดันทาเลี่ยน จัดได้ว่าเป็นคนที่ขลาดเขลา เป็นคนโง่งมตาบอดด้วยความรัก เป็นคนทรามต่ำช้า……
อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงคนนี้คิดต่างออกไป
ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องคิดต่าง
ภายในครึ่งปี ดันทาเลี่ยน สามารถขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงที่สุดในฐานะบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกปีศาจก็ว่าได้ ถ้าชายคนนั้นเป็นคนโง่จริงๆ ก็คงเป็นไปไม่ได้หรอก หากลองมองให้ลึกขึ้นไปอีก จุดเริ่มต้นของสงครามที่จะเกิดขึ้นนี้มีต้นกำเนิดมาจาก ปราสาทจอมมารของดันทาเลี่ยนถูกโจมตี นี่เป็นเรื่องบังเอิญหรือยังไงกันเเน่นะ?
ถ้าทุกอย่าง ไม่ควรมองย้อนกลับไปข้างหลัง?
ว่าชายผู้นั้นชักจูงให้ภาพลักษณ์ของตนเองปรากฏออกมาให้ผู้อื่นเห็นว่าเป็นคนโง่เขลาเเล้วล่ะก็..
“……”
ใบหน้าของเราแข็งทื่อ
หากสัญชาตญาณของผู้หญิงคนนี้ถูกต้อง นั่นหมายความว่า ดันทาเลี่ยน กำลังเล่นกับโลกปีศาจตามความต้องการของเขาเอง เพื่อบรรลุในเป้าหมายที่ต้องการในขณะเดียวกันก็ทำให้ความสำเร็จนั้นดูเหมือนเป็นโอกาสที่บังเอิญได้มา เขาเเกล้งทำทุกอย่างให้ดูเหมือนไหลไปเอง เพราะโชคนำพามาให้ มีคนจำนวนนับไม่ถ้วนที่ล้มเหลวแต่แสร้งทำเป็นว่าประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ตาม คนที่ประสบความสำเร็จแต่กลับทำราวกับว่าล้มเหลวนั้นหายาก ยิ่งกว่านั้น โอกาสทำแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆเป็นเรื่องแปลกยิ่งกว่าเสียอีก
ถ้าหากเราไม่รีบจัดการกับเขา แล้วล่ะก็
“ท่านพี่. เป็นอะไรไหมคะ?”
สิตรีมองมาที่เราด้วยสีหน้ากังวลใจ
โอ้ ที่รัก ดูเหมือนว่าใบหน้าของผู้หญิงคนนี้จะดูจริงจังเกินไปหน่อยโดยที่ไม่รู้ตัวเลย หลังจากทำหน้าจริงจังมานาน เราขยับริมฝีปากและยิ้มออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ
“ใช่เราสบายดี. ใส่ใจดีมาก สิตรี”
“เอ๊ะ”
เมื่อเราลูบหัวเธอ สิตรีก็เอามือลูบแก้มตัวเอง อย่างน่ารัก.
คืนนั้นเอง เราไล่ทหารทุกคนที่อยู่บริเวณที่พักให้ออกไปไกลๆและเรียกหาสายลับ สายลับเป็นผู้หญิงตัวเตี้ย ด้วยเสื้อคลุมสีดำสนิทที่คลุมทั้งตัวของเธอ สายลับจึงย่อเข่าข้างหนึ่งลงไป
“ฝ่าบาทเรียกหาเรางั้นหรือ?”
“ใช่. ลำบากที่จะเดินทางมาหาไหม?”
“อ่าฮะ ไม่เป็นไร ค่ายของ เซอร์ดันทาเลี่ยน กำลังจัดงานเลี้ยงสังสรรค์กันอยู่ ดังนั้นการรักษาความปลอดภัยจึงหละหลวมไปมาก ไม่มีการจับตาดูที่ยุ่งยากในขณะที่พลางตัวตลอดทางจนมาที่นี่ ดังนั้น ไม่เป็นอะไรหรอก”
“งานเลี้ยงวงเหล้าใช่ไหม……?”
“เขาจัดงานเลี้ยงโดยบอกว่าทุกคนทำได้ดีมากในการเดินผ่านหิมะและพายุฝนเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์เต็มงานเลี้ยงมีการเสิร์ฟแอลกอฮอล์และเนื้อหมูป่าเรื่อยๆ โดยปกติเเล้วทหารยามกะกลางคืนจะถูกจัดเเจงเวรยามโดยผู้หญิงชื่อ ลาซูลี่ แต่ตอนนี้เธอโดน เซอร์ดันทาเลี่ยน คว้าตัวไว้ และกำลังทำหน้าที่รินเครื่องดื่มให้ดันทาเลี่ยน นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันคนนี้สามารถแอบออกมาได้อย่างง่ายดายน่ะน้าาา—”
“……”
นั่นคงไม่ใช่เหตุผลเดียวที่จะจัดงานเลี้ยง
แม้ว่า ดันทาเลี่ยน อาจผ่านสถานการณ์เดินทัพผ่านไปอย่างชาญฉลาดได้แล้วตั้งแต่บ่ายวันนี้ เเต่ก็ยังมีโอกาสที่ทหารของ ดันทาเลี่ยน ยังคงเก็บสะสมความอัปยศที่กษัตริย์ของพวกเขาได้รับนั้นไว้กับตัวเองมีสูงมาก งานเลี้ยงถูกจัดขึ้นเพื่อคลี่คลายจิตใจที่หงุดหงิดของพวกเขาให้มลายหายไป
จริงๆด้วย
ดันทาเลี่ยน ไม่ใช่คนโง่เขลา สัญชาตญาณของผู้หญิงคนนี้กำลังเตือนเธอเช่นนั้น
ในโลกนี้ บางสิ่งที่มีโอกาสนับล้านมีโอกาส 1 ครั้งอาจเกิดขึ้นได้เสมอ เส้นทางที่ ดันทาเลี่ยน ได้เดินทางมาจนถึงตอนนี้คงเป็นอะไรมากไปกว่าคำว่าเรื่องบังเอิญ วิธีการที่เขาใช้ ผู้หญิงคนนี้ไม่อาจจะรู้ได้เลย เเม้เเต่เรื่องที่ดูเหมือนจะหลีกเลี่ยงโดยเจตนาของเขาเอง เขาก็ทำให้ผ่านไปได้เหมือนเรื่องบังเอิญ หากไม่สามารถแยกแยะได้ว่ามีบางอย่างที่หลีกเลี่ยงโดยเจตนาของเขาเองเอง หรือเป็นเเค่เรื่องบังเอิญจริงๆเเล้ว ผู้หญิงคนนี้ให้น้ำหนักเอนเอียงไปทางที่เขาหลีกเลี่ยงโดยเจตนามากกว่า
นั่นเป็นเหตุผลที่เราติดสินบนสายลับที่อยู่ข้างหน้านี้
“จงแสดงหลักฐานที่อ้างว่าสามารถใส่ร้าย ดันทาเลี่ยน ได้ออกมาหน่อยสิ”
สายลับหยิบนาฬิกาพกออกมาจากในเสื้อคลุมของเธอแล้ววางลงบนพื้น ทันทีที่ผู้หญิงคนนี้สะบัดข้อมือ นาฬิกาพกก็ลอยมาถึงมือเธอ เนื่องจากชนชั้นของสายลับนี้ต่ำมากๆจนสามารถเทียบได้กับชนชั้นจัณฑาล ตามกฎหมายในโลกปีศาจ การติดต่อกับเธอโดยตรงจึงเป็นเรื่องต้องห้าม
“นี่คืออาร์ติเเฟค Memory Play (เครื่องกรอความทรงจำ) ใช่ไหม”
“ช่ายยยย. การตั้งค่านาฬิกาเป็น 12, 7, 5, 4, 2 ,3 และ 11ตามนี้ ”
“ผู้หญิงคนนี้ตั้งตารอเเล้วที่จะได้เห็นเนื้อหาประเภทใดที่อยู่ในนี้”
เราหมุนเข็มชั่วโมงของนาฬิกาพกตามลำดับที่สายลับระบุไว้
ควันสีขาวรั่วออกมาจากนาฬิกาและวิดีโอถูกฉายลงบนควัน ร่างของ ดันทาเลี่ยน ปรากฏขึ้นในทิวทัศน์ที่แสดงบนควัน ดันทาเลี่ยนกำลังอุ้มมนุษย์เด็กผู้หญิงซึ่งในกาลต่อมาเขาจะทำให้เธอกลายเป็นแม่ทัพอยู่ในอ้อมแขนของเขาเเละ สามารถเห็นพวกแม่มดในวิดีโอด้วยเช่นกันได้
– เปลี่ยนที่นี่ให้กลายเป็นนรกซะ
— เอ๋? ‘นรก’ มาสเตอร์หมายความว่าอะไร?
— ได้กลิ่นที่ไหนสักที่ มันคือกลิ่นของไขมันที่เล็ดลอดออกมาจากมวลเนื้อที่น่าขยะแขยง เป็นกลิ่นของความโลภและความเจ้าเล่ห์
ที่นี่มันคือ……ตลาดหรอ?
เมื่อเห็นว่ามีกรงเหล็กอยู่รอบๆพวกเขา ก็ดูเหมือนว่าสถานที่ตรงนี้จะเป็นตลาดทาส สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นศพของทหารรักษาการณ์จมอยู่ที่พื้น ดันทาเลี่ยน ยิ้มไปทางเหล่าแม่มด
— ถ้าพวกมันเป็นหมู มันก็เป็นการเหมาะสมแล้วที่พวกมันจะประพฤติตัวดั่งหมูและส่งเสียงอู้อี้ในเล้า แต่ทำไมพวกมันถึงเดินเตร่ไปตามถนนอย่างกล้าหาญยังงี้ได้ล่ะ? จะทำยังไงดีเมื่อหมูเหล่านี้พยายามเลียนแบบเป็นคนอย่างเย่อหยิ่งและเอาจมูกดมไปซะทุกที่?
— แน่นอน ต้องตราหน้าพวกเเม่งว่าพวกมันเป็นหมู!
– คนเท่านั้นที่สามารถครอบครองทาสได้ ดูเหมือนว่าเดรัจฉานเหล่านี้จะเย่อหยิ่งขัดต่อศีลธรรมของเดรัจฉานและพยายามที่จะจัดเเจงการค้าที่ตลาดค้าทาสเเห่งนี้นะ
– กรุณาให้บัญชากับพวกเราได้เลย เราจะทำที่นี่ให้เป็นโรงฆ่าสัตว์ในคืนราตรีนี้เอง!
– ใช่เล้ว. บัญชาที่ผมจะสั่งคือการเข่นฆ่า สังหารไอ้พวกนี้โดยไม่ให้โอกาสพวกมันแม้แต่จะส่งเสียงกรีดร้อง นี่ไม่ใช่การฆาตกรรม อย่าปล่อยให้ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีมาบั่นทอนจิตใจและความลังเลใจมาครอบงำมือของพวกเธอไม่ให้ลงมือ ในฐานะที่ตอนนี้พวกเธอเป็นผู้ปกครองของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในที่นี้ ด้วยอำนาจที่ผมมอบให้พวกเธอทั้งหมดโดยเทพธิดา จงฆ่าสัตว์เดรัจฉานเหล่านี้ซะ เพื่อผลประโยชน์อันไพศาลของพวกเรา
— ตามพระบัญชาของท่านมาสเตอร์!
และการเข่นฆ่าก็เริ่มขึ้น
ลูกไฟยิงผ่านท้องฟ้ายามค่ำคืน เหล่าแม่มดฆ่ามนุษย์ทุกคน มันไม่ใช่แค่มนุษย์เท่านั้น แม้แต่ปีศาจที่ถูกจับมาเป็นทาสก็ยังถูกประหารชีวิต ตลาดทรุดโทรมลงดั่งนรกที่ลุกไหม้ทันที ผู้คนก็ถูกไฟครอกตายในเปลวเพลิง ผมมองดูร่างของพวกเขาคร่ำครวญในขณะที่มึนงง
“นี่มันอะไรกัน……?”
“ฉากการสังหารหมู่ที่เซอร์ดันทาเลียนสั่ง”
สายลับได้ตอบกลับ
“แม้ว่าข่าวลือจะบอกว่าเซอร์ ดันทาเลี่ยน มารับฟาร์นาเซ่ ที่เถลไถลมาทางนี้โดยบังเอิญก็ตามที อ่าฮะ นั่นน่ะป็นเรื่องโกหก จริงๆเเล้วเซอร์ดันทาเลี่ยน ได้ไปช่วยเหลือ ฟาร์นาเซ่ ซึ่งถูกคุมขังอยู่ในตลาดทาสใน ปาเวีย ด้วยตนเอง”
“แต่ทำไมถึงออกคำสั่งให้สังหารหมู่……?”
“เพราะว่าไม่ต้องการให้หลงเหลือหลักฐานใดๆ”
ผู้หญิงคนนี้ถึงกับพูดไม่ออก
ด้วยเหตุผลนั้นเพียงอย่างข้อเดียว
การสังหารหมู่ยังคงเกิดขึ้นในวิดีโอ ไม่ว่าพวกเขาจะเชื้อชาติหรืออายุใด แม่มดก็กำจัดทุกร่างที่เข้ามาในสายตาของพวกเธอ มีแม้กระทั่งเสียงไซเรนและเด็กที่อ่อนแอร่ำไห้ออกมาท่ามกลางการสังหาร
เสียงกรีดร้องของเด็กและเสียงหัวเราะของแม่มดปะปนกัน เเล้วก็หลอมรวมกันเป็นกองควัน อย่างไม่รู้จุดสิ้นสุด…… เวียนหัวจนเราหลับตาลง กว่าวิดีโอจะจบลง ผู้หญิงคนนี้ไม่สามารถระงับความเศร้าในโศกนาฏกรรมผ่านสายตาของเธอได้
“……นี่ไม่ใช่ของปลอมหรอกเหรอ?”
“ของปลอม? แน่นอนว่าฝ่าบาทกำลังล้อเล่นอยู่เเน่ๆน่ะน้าาาาา— แม้ว่าจะมีคนใช้เวทมนตร์แปลงร่างเพื่อเลียนแบบบุคคลอย่าง เซอร์ดันทาเลี่ยน และ ฟาร์นาเซ่ ได้จริงๆ แล้วคนอื่นๆ ล่ะ? ฝ่าบาทคิดว่าผู้วิเศษหลายร้อยคนจะใช้เวทมนตร์ปลอมตัวเพื่อสร้างภาพนี้ออกมาจริงงั้นหรือ”
สายลับหัวเราะ
“อะฮะฮ่าฮ่าฮ๋าฮ๋า ถ้านั่นเป็นเรื่องจริง ข่าวลือคงแพร่กระจายไปนานแล้วล่ะฝ่าบาทไพม่อนท่านน่าจะรู้ตัวเองดีที่สุดเเล้วเพราะว่าท่านเป็นจอมเวทย์ที่เก่งเอามากๆไงล้าาา การใช้จอมเวทย์หลายร้อยคนอย่างลับๆ มันเป็นไปไม่ได้เลย นอกจากนี้ เสียงกรีดร้องของเด็กๆ ยังสมจริงเอามากๆด้วยเมื่อพิจารณาว่าเป็นการแสดงเเล้วล่ะก็น้าาาาาาาาา—”
เพี๊ยะ
สายลับล้มลงกับพื้น สายลับที่ตบด้วยมือของเรา ร่วงหล่นลงบนพื้น เพราะผู้หญิงคนนี้ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ในขณะที่ลืมทุกอย่างเกี่ยวกับกฎแห่งโลกปีศาจ เราจึงเตะสายลับออกไป
“อ่าฮะ อ่าฮะ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า……ahahahahahah……”
แม้จะถูกเตะ สายลับก็ยังคงหัวเราะ อะไรจะน่าตลกขนาดนั้น การเห็นเด็กไร้เดียงสาถูกฆ่าตายสายลับคนนี้มองเป็นเรื่องตลอกงั้นหรือ? เสียงหัวเราะของสายลับคนนี้น่าชิงชังนัก เสียงหัวเราะคิกคักสั่นสะเทือนผิวหนังของเราอย่างไม่น่าอภิรมณ์ ผู้หญิงคนนี้กระทืบสายลับด้วยกำลังมากขึ้นๆเพื่อปลดเปลื้องความไม่พอใจนั้น เรารู้สึกรังเกียจตัวเองที่จ้างคนแบบนี้มาเป็นสายลับ เรามันเป็นคนโง่ที่เชื่อว่าพวกเธอจะมีจิตใจบริสุทธิ์ไปเอง ณ จุดนั้นเอง
พวกเธอที่เร่ขายวิญญาณของตัวเองออกไปเเล้ว
พวกเธอที่อยู่จุดที่ต่ำที่สุดไร้ค้ามากกว่าสิ่งใดบนโลกนี้
พวกเธอที่กลายเป็นโสเภณีขายได้เเม้ดวงจิตของตัวเอง
ด้วยใบหน้าของเธอที่ติดกับพื้น สายลับยิ้มกว้าง
“ฝ่าบาทน่ะน้าาาาาาาา—? คงเป็นการดีที่จะระบายความโกรธของท่าน แต่ฝ่าบาทไม่ได้จ้างเราเพราะต้องการหลักฐานแบบนี้หรอกเหรอ?”
-พวกแม่มด.
หัวหน้าของพี่น้องตระกูลเบอร์เบเร่ ผู้ครอบครองตราไตรไฟลลัส แม่มดฮัมบาบา
แม้ว่าผมสีบลอนด์แพลตตินั่มของเธอถูกปกคลุมไปด้วยสิ่งสกปรก เธอก็ยังไม่สูญเสียความสนุกสนาน ถึงจะไม่มีความบ้าคลั่งในการหัวเราะของเธอเองก็ตาม ไม่ว่าแม่มดจะหัวเราะตามปกติ หัวเราะเพราะเรื่องตลก หรือหัวเราะเมื่อรู้สึกเจ็บปวด เสียงหัวเราะของพวกเธอก็เหมือนเดิมตลอดเวลา เลยดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่น่าขยะแขยงอยู่ตลอดเวลาที่กระทำ
“……พวกเธอที่ไม่ควรจะเกิดมาในโลกนี้เลย”
“เราได้ยินมาบ่อยมากเเล้วน่ะน้าาาาาา—”
“ไม่มีความรู้สึกเสียใจต่อชีวิตที่เธอพรากออกมาจริงๆหรือ?”
“เราคนนี้ขอโทษ แต่พวกเรานั้นได้ขายวิญญาณไปแล้วน่ะน้าาาาาาา—?
ดูเหมือนว่าคำพูดนี้จะส่งไปไม่ถึงเเม่มด
แม้ว่าผู้คนจะมองว่าเป็นเรื่องน่าเศร้าที่เราไม่สามารถพูดคุยกับสัตว์เดรัจฉานได้ แต่เดรัจฉานก็ไม่ได้สนใจหรอกว่าจะไม่สามารถพูดคุยกับผู้คนได้เช่นกัน ในทำนองเดียวกัน แม่มดไม่ได้คิดที่จะแบ่งปันการพูดคุยนี้กับใครๆก็ตาม
ผู้หญิงคนนี้หยิบถุงใส่เงินออกมาแล้วโยนออกไป ทันทีที่ถุงเงินตกลงกับพื้นส่งเสียงกริ๊งๆของโลหะ ฮัมบาบาก็หันศีรษะไปทางเสียงนั้นทันที เธอกอดถุงเงินราวกับว่าเธอเป็นเด็กที่รักมันที่สุดในโลก
“ความเมตตาของฝ่าบาทนั้นหาที่สิ้นสุดมิได้ ขอขอบคุณมาก. ฮิฮิ.”
“เราใส่เงินที่สัญญาไว้เเค่ครึ่งเดียว”
“……เเค่ครึ่งเดียวน่ะน้าา-?”
ฮัมบาบาถึงกับชะงัก
เราจ้องมองไปที่แม่มดอย่างเย็นชา
“เราจะให้ส่วนที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งเมื่องานเสร็จสิ้นเเล้ว”
“นั่นแตกต่างไปหน่อยนะเมื่อเทียบกับคำสัญญาที่เคยได้ยินมาก่อนหน้านี้น่ะน้าาา–……”
“วันนี้ ดันทาเลี่ยน ได้เช็ดเนื้อตัวสกปรกออกจากพวกเธอด้วยตัวเองไปนี่ แต่พอตอนนี้กลับคิดคดทรยศ ดันทาเลี่ยนซะได้ ตัวเรานั้นมีเหตุผลอยู่ที่ว่าควรจะชั่งใจในตัวพวกเธอมากน้อยเเค่ไหน”
“อืมมมมมมม–, ก็น้าาา–, อืมมมมม–. อ่าฮะ? ถูกตัอง. แน่นอน. ฝ่าบาทท่านพูดถูกต้องเเล้ว”
ฮัมบาบายืดหมวกทรงกรวยให้ตรง มองไม่เห็นใบหน้าของแม่มดอีกต่อไปเพราะหมวกปีกกว้างของเธอ
“แต่อย่างน้อยก็ขอรักษาสัญญาเรื่องนั้นไว้ด้วย……”
“ได้. ในคืน วัลเพอร์กิส เราจะขอแม่มดทุกคนที่เข้าร่วมในสงครามครั้งนี้ได้รับ เหรียญตราดอกไม้(Leaf Medal) จากนั้นพวกเธอก็จะได้เป็นทหารผ่านศึกที่ได้ครอบครอง ตรา ตว็อดไฟลัส (Quadriphyllous) ยินดีด้วย.”
“อ่าฮะ นั่นเป็นการอนุเคราะห์ที่มากล้นเเล้ว”
แม่มดยิ้มอย่างสดใส เหรียญตราที่มีรูปทรงใบไม้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าบุคคลหนึ่งได้อุทิศตนเพื่อเผ่าพันธุ์ของตนเองในสนามรบ ไม่ว่าจะมีส่วนร่วมในสงครามกลางเมืองระหว่างจอมมารกี่ครั้ง ก็ไม่สามารถรับเหรียญตรานั้นได้ ต่อให้สถานการณ์ปัจจุบันของเราจะกลายเป็นสงครามใหญ่กับมนุษย์ มันก็หมายความว่าจะต้องเป็นไปตามเงื่อนไขสำหรับแม่มดก่อนถึงจะได้รับเหรียญใบไม้นั้นได้
เเม้ว่าคนชั้นต่ำแต่เดิมทีจะไม่สามารถรับเหรียญตรานี้ได้ตามที เเต่ก็ยังมีข้อยกเว้นกรณีที่หายากมากๆอยู่ แม้จะเป็นเช่นนั้น เช่นเดียวกับที่ทำอยู่ในตอนนี้ แม่มดเหล่านี้สามารถได้รับเหรียญรางวัลจากการทรยศหักหลังและออกอุบายซ้ำซากได้ เกียรติของคนเราควรสร้างได้ด้วยตัวของตัวเองสิ ไม่ใช่ด้วยการพึ่งพาผู้อื่น แต่ถึงกระนั้นเอง…… ไอ้พวกเเม่มดน่ารังเกียจนี่
ผู้หญิงคนนี้โบกมือของเธอ
“เราไม่ต้องการที่จะพบเจอกันอีก ออกไป.”
“ขอโทษด้วยที่ทำร้ายดวงตาของฝ่าบาท”
ฮัมบาบาห่อตัวเองด้วยเสื้อคลุมและจากไป เช่นเดียวกับที่เธอทำเมื่อมาถึง ฝีเท้าของเธอก็ไม่มีเสียงขณะจากไปเช่นกัน รู้สึกราวกับว่าเธอยังอยู่ที่ไหนสักแห่งในที่พักเพราะเสียงฝีเท้าที่ไร้เสียงของเธอ
“……”
ผู้หญิงคนนี้จ้องไปที่นาฬิกาพกอย่างเงียบๆ ปัญหาตอนนี้คือสถานที่เราจะใช้หลักฐานที่ชัดเจนนี้ น่าเสียดาย ที่ว่าภาพนี้จะไม่มีประโยชน์ใดๆเลย ในการยุติสงครามโดยเฉพาะ ปัจจุบันผู้ดำรงตำแหน่งผู้นำในเเนวคิดการสงครามคือบาร์บาทอส แม้ว่า ดันทาเลี่ยน จะถูกกล่าวหา บาบาร์ทอสก็ไม่หันมาใส่ใจหรอกและยังคงทำสงครามต่อไป อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะหยุดสงครามไม่ได้แล้วก็ตามที……
ความกังวลของเราเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้นในตอนกลางคืน เมื่อนึกถึงชะตากรรมของผู้ที่ถือกำเนิดขึ้นเป็นราชา ศีรษะของสตรีผู้นี้ฉงนสงสัย เราแบ่งปันความรับผิดชอบในการประกาศสงครามนี้มาไว้กับตัวเเล้ว แต่ถึงกระนั้น ชีวิตของทหารเท่านั้นที่จะถูกพรากออกไปก็ไม่สามารถหวนคืนได้ ใจเราเต้นแรงด้วยความคิดที่ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราจะคอยมีชีวิตอยู่ธำรงต่อไป
ณ สงครามครั้งใหญ่นี้
อย่างน้อยที่สุดก็ต้องป้องกันไม่ให้กลายเป็นสงครามทำลายล้าง……
Note:(ผู้แปลENG)วิธีที่ ฮัมบาบา พูดค่อนข้างพิเศษเนื่องจากเธอดึงเสียงสระของคำสุดท้ายที่เธอพูดออกมา นั่นเป็นเหตุผลจะเห็น ‘-‘ ที่ท้ายบทของเธอเป็นครั้งคราว เธอจะใช้ไม่ใช้ตามสถานการณ์บางครั้ง ผู้เเปล eng ลืมใส่ในบทที่เเล้วเเต่ต่อไปน่าจะมีให้เห็นมากขึ้น
Note:(ผู้แปลไทย) เพิ่งอ่านมาจะจบChapter1ก็เพิ่งสังเกตเห็นเหมือนกัน ยังไงก็เเล้วเเต่ถ้าฮัมบาบาพูดลงท้ายแบบ ‘-‘ ผมจะใส่คำว่า น่ะน้าาาา ตามบริบทลงไปถ้ามันจะเข้าไม่เข้ากับเรื่องค่อยมาดูกันอีกที ส่วนใครจะเเนะนำว่าดีไม่ดีหรือมีคำอื่นที่น่าใส่กว่าก็พิมคอมเมนท์กันมาได้
..