Dungeon Defence - ตอนที่ 53
♦
ในวันนี้ กลยุทธ์ของกองกำลังพันธมิตรจอมมารได้ตัดสินออกมาเเล้วในที่สุด
กองทัพแรก. อันดับที่ 8 บาร์บาทอส
เดินทัพไปกับฝ่ายผืนราบ และทหาร 21,000 นายภายใต้การบังคับบัญชาของเธอ
กองทัพที่สอง. อันดับที่ 5 มาร์บาส
เดินทัพไปกับฝ่ายเป็นกลาง เเละทหาร 15,000 นายภายใต้การบังคับบัญชาของเขา
กองทัพที่สาม. อันดับที่ 9 ไพม่อน
เดินทัพไปกับฝ่ายขุนเขา และทหาร 13,000 นายภายใต้การบังคับบัญชาของเธอ
เเม้ว่ากองทัพจริงๆจะมีไปถึง 6 กองทัพ แต่กองทัพที่เขียนบนกระดาษมีเพียงเท่านี้ จอมมารผู้ยิ่งใหญ่ บาอัล อันดับ 1 เป็นผู้นำกองทัพที่หก แต่ บาอัล ไม่ได้นำกองทัพมาพบกับเราที่นี่ เเละยังมีจอมมารอีกประมาณ 30 คนที่เป็นแบบนั้น
กล่าวอีกนัยหนึ่งนี่ก็คือกองทัพทั้งหมดของเรา
ความภาคภูมิของกองกำลังพันธมิตรจอมมาร ซึ่งครั้งหนึ่งเคยนำกองทัพขนาดใหญ่ที่มีทหารกว่า 100,000 นายเดินทัพไปทั่วที่ราบ จำนวนทหารกลับลดต่ำลงมาขนาดนี้ แม้จะไม่มีใครยอมรับ แต่ทุกคนก็รู้ดีอยู่แล้วว่าตอนนี้หมดยุคของจอมมารแล้ว
มนุษย์ค่อยๆ ประสบความสำเร็จอย่างช้าๆ ในการปกครองแบบรวมศูนย์ และในยุคนี้ยุคที่อาณาจักรถูกสร้างขึ้นมาแบบนั้น เเต่เหล่าปีศาจยังคงบริหารจัดการโดยปกครองเป็นแบบหมู่บ้านและแบ่งเป็นชนเผ่าต่างๆอยู่เลย ปีศาจชี้ไปที่มนุษย์อย่างอวดเบ่งและมองลงมาที่พวกเขา เรียกพวกเขาว่าเป็นปศุสัตว์ที่เชื่อง อย่างไรก็ตาม ความจริงกลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ปีศาจต่างหากที่เป็นสัตว์ที่น่าสังเวชที่ไม่สามารถฝึกให้เชื่องได้
ยุคมืดได้เข้ามาเเล้ว ทวีปส่วนใหญ่ถูกครอบครองโดยมนุษย์ ปีศาจเหี่ยวเฉาลงไป ในขณะที่พื้นที่โดยรอบถูกห้อมล้อมไปด้วยมนุษย์ ไม่มีทางเลือกอื่นของปีศาจต้องยอมพลีกายของพวกเขาเข้าร่วมไปในสงครามครั้งสุดท้ายที่สิ้นหวังนี้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด มันก็คือการฆ่าตัวตายเหมือนกัน
ไพม่อน ได้แนะนำว่าเราควรรวมกลุ่มกันเพราะไม่มีความหวังเเล้วที่จะชนะสงครามได้ หรือ บาบาร์ทอสเองก็ประกาศออกมาเช่นกันว่าจะไม่มีโอกาสรอด ถ้าเรายังคงทำตัวอ่อนน้อมอยู่ดังนั้นจึงต้องเริ่มทำสงครามเสียทีพวกเธอไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่านำสงครามที่ได้กลิ่นของการทำลายล้างและกลายเป็นผู้สิ้นหวังรายเเรก
ผู้แปล:(ทั้งไพม่อนเเละบาบาร์ทอสรู้อยู่เเล้วว่ายังไงจอมมารก็เเพ้ถึงจะทำหรือไม่ทำสงครามก็ตาม)
บาร์บาทอสเเหกปากตะโกนลั่นเพื่อจะอ้างว่านี่เป็นโอกาสทองที่สวรรค์มอบให้เราเเล้ว มนุษย์ถูกกำจัดโดยโรคภัยสีดำที่แพร่กระจายไปทั่วทั้งทวีป หรือ ไพม่อน เองก็ที่เตือนทุกคนว่าสงครามที่เริ่มครั้งนี้จะกลายเป็นสงครามที่ไม่มีวันสิ้นสุดในขณะที่เธอเองไม่เชื่อในความแข็งแกร่งของกองทัพของเรา แต่มั่นใจในความอ่อนแอของศัตรูดังนั้นเมื่อสงครามเริ่มต้นขึ้นเเล้วก็ไม่มีทางจะย้อนเส้นทางที่เลือกเดินไปเเล้วกลับมาได้ ดูเหมือนประตูสู่ยุคใหม่จะไม่มีทางเปิดเข้าไปได้เสียเเล้ว
ในยุคที่ไม่มีเเสงสว่างส่องมาถึงนี้ บาบาทอส โต้เถียงถึงหน้าที่ของราชาที่ต้องเป็นผู้นำในการปกครองปวงประชา และ ไพม่อนเองได้กล่าวถึงชะตากรรมของราชาที่ต้องอยู่ต้องอยู่เคียงข้างประชาชน แม้ว่าราชาจะทำตามหน้าที่หรือยอมรับชะตากรรมของตัวเอง เเต่สิ่งหนึ่งที่ต้องสละทิ้งไปก็คือชีวิตของผู้คนอยู่ดี จะยอมสละชีวิตเพื่อทำตามหน้าที่ หรือดีกว่าสละชีวิตเพื่อทำตามลิขิตของตน ทั้ง บาร์บาทอส และ ไพม่อน ไม่สามารถตอบคำถามนั้นได้ มันเป็นคำถามที่ไม่สามารถตอบได้ เพื่อค้นหาเส้นทางของคำตอบ จอมมารได้นำชีวิตไปตามเส้นทางที่ตนเองเชื่อมั่น
บาร์บาทอสไปเส้นทางใต้ ดินแดนทางตอนใต้เป็นที่ราบและกว้างใหญ่ มันง่ายที่จะนำกองทัพผ่านและขนส่งเสบียง มันง่ายสำหรับการต่อสู้ที่จะเกิดขึ้น ดูเหมือนบาร์บาทอสเอง กำลังค้นหาเส้นทางของเธอบนขอบฟ้าที่ทอดยาวไม่มีสิ้นสุด อย่างไรก็ตาม บาร์บาทอสมักไม่รู้ว่ารออะไรเธออยู่เมื่อพ้นขอบฟ้าไปเเล้ว เธอไม่ใช่ราชาที่ตั้งคำถามถึงจุดจบ แต่เป็นเพียงราชาที่เดินไปตามเส้นทางที่เลือกไว้
ไพม่อน ไปเส้นทางทิศตะวันตก ภูมิประเทศที่เป็นภูเขามีอันตรายทางทิศตะวันตก เป็นการยากที่จะนำกองทัพผ่านและเคลื่อนย้ายเสบียง ดูเหมือนว่า ไพม่อน จะหาเส้นทางของเธอหลังจากออกจากเทือกเขาที่ขรุขระได้เเล้ว อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าหลังจากที่ไพม่อน ออกมาจากภูเขา เธอก็ไม่แน่ใจว่าจะไปทางไหนต่อ เธอเป็นราชาที่ค้นหาจุดสิ้นสุดของเส้นทาง แต่หลงทางไปกับทางเลือกเดิน
และผมเองเดินอ้อมไปมาระหว่างทิศใต้และทิศตะวันตก
ทิศตะวันตกเฉียงใต้เป็นเส้นทางที่ง่ายและยากจะผ่านไปได้ในเวลาเดียวกัน มันเป็นเส้นทางสั้นๆ เป็นสถานที่ซึ่งมีทิวเขาลูกเดียวยุบลงและทิวเขาอีกหลายๆลูกกระจายออกไป มีการวางเส้นทางระหว่างจุดที่ภูเขาสิ้นสุดและภูเขาเริ่มต้น เมื่อผ่านทางเดินแคบๆ ไปได้ จะไปโผล่ในใจกลางอาณาจักรมนุษย์ทันที
แม้แต่มนุษย์ก็รู้ดีถึงความสั้นของเส้นทางนี้ดี มนุษย์สร้างป้อมปราการภายในช่องว่างระหว่างภูเขา ป้อมปราการขวางทางขึ้นสองชั้น ถ้าใครวางแผนที่จะข้ามผ่านภูเขาซึ่งไม่ใช่ที่ราบหรือภูเขา เราต้องผ่าน 2 ป้อมปราการที่มั่นนี้ให้ได้ มันเป็นเส้นทางที่สั้นแต่ยากเอาการ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่รออยู่ข้างหน้าทางผ่านภูเขานั้นชัดเจน และจะไปทางไหนหลังจากผ่านไปได้เเล้วก็เเจ่มชัด
การประชุมสิ้นสุดลง พอออกจากเต็นท์เวลาก็เข้าสู่ย่ำรัตติกาลเเล้ว
แสงจันทราส่องกระจ่างเเผ่ซ่านไปทั่วทุ่งหิมะ ท้องฟ้ายามค่ำคืนจนถึงทุ่งหิมะได้โอบกอดอาภาของดวงจันทร์ไว้และส่องสว่างภูเขาที่อยู่ห่างไกลราวกับอยู่ในช่วงสนธยาไปจนถึงสุดหล้าของปลายภูธร
ผมพยายามเข้าใจว่าเหตุใดฮันนิบาลจึงจ้องมองที่เทือกเขาแอลป์และพยายามค้นหาเส้นทางในพื้นที่ที่ไม่มีทางจะไปได้ ทางเดินจะสิ้นสุดที่ปลายภูเขาและอีกทางหนึ่งจะเปิดออกไป หลังจากนั้น ฮันนิบาลจึงเเลเห็นว่ามันเป็นจุดสิ้นสุดของยุคสมัยและเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่
“ฝ่าบาท”
“ท่านลอร์ด”
“มาสเตอร์.”
ลาพิส, ฟาร์นาเซ่ และพวกแม่มดเข้ามาหาผม เมื่อเห็นว่าผมไม่มีทีท่าว่าจะตอบสนองต่อการเรียก พวกเขาจึงมองไปที่ๆผมมองออกไปและจ้องไปที่ท้องนภายามค่ำคืน ดวงตาของเด็กผู้หญิงที่เกิดและเติบโตในที่มืดถูกปรับให้เข้ากับกลางคืนได้ดีและมองเห็นได้ไกล สำหรับพวกเราเเล้ว กลางคืนนั้นอบอุ่นและผ่อนคลายมากกว่าตอนเช้าเสียอีก
ในที่สุด พวกแม่มดก็คุกเข่าลงก่อน ฟาร์นาเซ่ ค่อมคำนับ และ ลาพิส ก้มศีรษะลง
ลาพิสจึงถาม
“ฝ่าบาท พวกเราจะไปเเห่งหนใดกัน”
ขณะมองดูภูเขา ผมก็พูดออกไป
“มุ่งไปสู่ดินเเดนเเห่งจักรวรรดิ”
มุมบ่นผู้แปล:ก็จบไปเเล้วสำหรับ Chapter 2 เป็นบทที่ยาวมากจริงๆอยากอยากจะบอกคนอ่านว่าที่แปลมาทั้งหมดนี้ยังไม่ถึงครึ่งเล่มด้วยซ้ำหนทางยังอีกยาวไกลหรือใกล้หว่าก่อนจะไปปะทะตีกัน เเละเส้นทางที่ดันทาเลี่ยนเลือกเดินไปตอนนี้ชัดเจนเเล้วเเน่ๆว่าไปตีกับ มาร์เกรฟ เเละเจ้าหญิงจักพรรดิ มาร์เกรฟน่ะช่างเถอะเเค่อยากรู้ว่ามันจะไปเหลี่ยมกับเจ้าหญิงยังไงดีเเค่คิดก็ลุ้นเเล้ว
ไหนๆตอนนี้แปลสั้นๆขอบ่นต่ออีกหน่อยละกัน
ผมชอบเอาเรื่องนี้มาลงตอนเที่ยงๆไม่ก็บ่ายๆเพราะย้อนกลับไปเมื่อ 4-5 ปีก่อนผมอ่านเรื่องนี้ในห้องเรียนตอนช่วงมัธยม มันเป็นเวลาที่คนแปลคนก่อนชอบเอามาลงพอดีผมเลยอยากเอามาลงช่วงนั้นบ้าง เพื่อ… ให้ไอ้เด็กมันไม่ต้องมาตั้งใจเรียนเเล้วมาอ่่านนิยายเหมือนผมไง //เด็กดีไม่ควรทำนะเเต่ผมสงเสริม 5555