Dungeon Defence - ตอนที่ 54
ราชาแห่งไพร่ ลำดับที่ 71 ดันทาเหลียน
ปฏิทินเอ็มไพร์: ปี 1506 เดือนที่ 2 วันที่ 25
เทือกเขาเเบล็ค ป้อมปราการทมิฬ
Ο
เป็นเวลาหลายวันเเล้วที่หมอกลงจัดขนาดนี้ ทหารกลัวที่จะบุกเข้าไปในม่านหมอกที่มองไม่เห็น ราวกับว่าพระเจ้าคอยกระซิบที่ข้างหูอย่างเเผ่วเบาว่าห้ามผู้ใดผ่านที่เเห่งนี้ไปได้…… พวกเราถอดอุปกรณ์เครื่องเทียมม้าของเราออกใกล้กับทิวเขาและลาพิสได้พูดขึ้น
“ฝ่าบาท สถานที่นี้เป็นศาลเจ้าศักดิ์สิทธิ์ในภูเขาที่มีชื่อเสียงมากมายในโลกปีศาจ ดังนั้นเเล้วจึงได้ฤกษ์อันมั่นเหมาะทำพิธีบรรพชาเพื่อบูชาเเด่เหล่าทวยเทพ ณ ที่เเห่งนี้”
“มันจะดีจริงๆร้อ ที่จะทำพิธีอาลัยท่ามกลางสงครามเนี่ย?”
“ฝ่าบาท มีทหารมากมายที่ถวายดวงวิญญาณให้กับเหล่าทวยเทพ ดังนั้นเพื่อปลอบโยนร่างกายและจิตใจของทหารเเล้ว”
“จิตใจ เฮอะ……?”
ผมเกาหน้าผากตัวเอง
“มันน่ารำคาญเพราะรู้สึกว่ามันอาจกลายเป็นการเเกล้งทำโดยที่ไม่จำเป็นน่ะสิ ละเว้นส่วนพิธีการและจัดเฉพาะอาหารสำหรับทำพิธีบรรพชาเท่านั้น อย่ารวบรวมกองกำลังไว้ในที่เดียวมันจะทำให้ควบคุมพวกทหารได้ลำบาก เเละอนุญาตยอมให้ทหารสวดภาวนาได้ทุกเมื่อที่ต้องการ แจ้งทหารว่าในขณะที่ผมตั้งใจจะทำการสักการะต่อพระเจ้า ผมจะไม่ยอมเสียศรัทธาที่มีให้เเก่เหล่าทหาร หากพวกเขาเอาเเต่พึ่งพาเเต่พระเจ้าด้วยจิตใจเช่นนี้ ในช่วงเวลาอันจำเป็นจริงๆ ที่พวกทหารไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่เรียกว่าพระเจ้าได้ จิตใจของพวกเขาก็จะพังทลายลงทันที”
“คำพูดนี้จะส่งผ่านคำสั่งของฝ่าบาทไปยังนางสาวฟาร์นาเซ่ทันที และมันจะกระจายไปยังนายทหารนับจากนี้”
ลาพิสจัดการเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่าเธอได้เตรียมการสำหรับพิธีบรรพชาไปแล้วก่อนที่เราจะลงมือเดินทัพเสียอีก
ทหารทำการนึ่งถั่วเหลืองขาว บด และทำเป็นซุป จากนั้นพวกเขาก็ดึงข้าวสาลีออกมาทำเป็นเส้นบะหมี่ พวกเขากำลังทำซุปบะหมี่นมถั่วเหลืองแช่เย็น ปีศาจเชื่อว่าหากพวกเขากินซุปบะหมี่น้ำนมถั่วเหลืองขาวขณะทำพิธีบรรพชา จะเป็นการชำระล้างภายในของพวกเขาให้ใสสะอาดจนถึงไปถึงดวงวิญญาณของพวกเขาด้วย ยิ่งรสเค็มน้อยเท่าไร ก็ยิ่งเหมาะใช้เป็นอาหารในพิธีรำลึกมากเท่านั้น ทหารกินบะหมี่ซุปถั่วและสวดภาวนาต่อเทพธิดา พ่อค้าเร่และโสเภณีที่ติดตามเรามาก็เริ่มประกอบพิธีบรรพชาทำบะหมี่แบบพวกเราด้วย หลังจากได้ชิมชามที่ถูกยื่นมาให้แล้ว รสชาติของน้ำซุปเป็นที่น่าพอใจดีทีเดียว คนใช้มีแตงกวาสับแล้วนำมันมาวางไว้เหนือเส้นบะหมี่ของผมด้วยความนอบน้อม ทำให้ผมนึกสงสัยไปว่าพวกเขาไปได้แตงกวามาจากไหนในฤดูหนาวนี้ คนใช้เชื่อว่าการได้แตงกวามาและนำมันมาให้ผมเป็นเหมือนการเเสดงความซื่อสัตย์เเก่ผม นั่นเลยเป็นเหตุผลที่เขาทำท่าทางภูมิใจในตัวเองสินะ ภูมิใจที่มีเเตงกว่ามาให้ผม……นั่นเป็นสิ่งที่คนใช้พูดกันในขณะที่ยิ้มให้ผมอย่างบริสุทธ์ใจ น้ำซุปบะหมี่นมถั่วเหลืองนั้นเรียบง่ายและดูบริสุทธ์ รู้สึกเหมือนอวัยวะภายในของผมถูกชำระล้างจนสะอาด เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมสัมผัสได้ถึงความจงรักภักดีต่อพิธีบรรพชา ซึ่งผมไม่เคยสัมผัสมาก่อนในโลกนี้
“พิธีกรรม มีเพียงเเค่นี้เเล้วใช่ไหม?”
ลาพิส ได้ตอบกลับ
“คงจะดีกว่าถ้าจับม้าขาวพันธ์ดีมาระบายเลือดของมันแล้วต้มเลือดที่จับตัวเป็นก้อนมารับประทาน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีเซนทอร์เข้าร่วมสงครามในฐานะทหารม้าของเรา เราจึงไม่สามารถสังเวยม้าได้”
“อืม”
เซนทอร์เป็นปีศาจที่มีร่างกายส่วนบนเป็นมนุษย์และส่วนล่างเป็นม้า สำหรับเผ่าปีศาจที่มีใบหน้าหล่อเหลา อุปกรณ์สวมใส่ของพวกมันบนร่างกายส่วนล่าง ก็ใช้อันที่ขนาดใหญ่พอๆกับม้าเช่นกัน พูดตามตรง พวกมันเป็นเผ่าพันธุ์ที่โกงเผ่าพันธุ์หนึ่งเลยล่ะ หากเราต้องจับและระบายเลือดของสัตว์ที่มีไอ้จ้อนพันธ์ุเดียวกัน เซนทอร์คงจะเกลียดความคิดนี้เเน่ๆ
“ผมเข้าใจที่เธอต้องการจะบอกเเล้ว ลาพิส”
“การต้มเลือดสุนัขที่เป็นลิ่มเลือดแทนม้าก็ยังดีกว่า ฝ่าบาท หันมาจับสุนัขจะดีกว่าไหม?”
“นั่นก็ดี แม้ว่าเลือดของมันจะต่างจากเลือดเป็ด แต่เลือดสุนัขที่จับเป็นลิ่มมักจะไม่อร่อยเลย ยิ่งไปกว่านั้น บะหมี่นมถั่วเหลืองแช่เย็นนี้ให้ความสดชื่นดีด้วย เอาไว้ค่อยว่ากันอีกทีทีหลังก็ได้”
“หากเราปล้นสะดมหมู่บ้านมนุษย์ เราจะสามารถได้รับวัตถุดิบอย่างเช่นถั่วเหลืองในปริมาณมากเท่าที่เราต้องการ ได้หากฝ่าบาทปรารถนาเช่นนั้น เราคนนี้จะเตรียมบะหมี่ถั่วเหลืองถวายแด่พระองค์ให้เอง แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในพิธีโอกาสต่างๆ เช่น พิธีบรรพชา ก็ตาม”
“เธอทำอาหารได้แย่มากลาพิส ด้วยริมฝีปากแบบเธอทำไม่ได้หรอก……”
“เราผู้นี้ทำอาหารได้น่าขยะเเขยงพอๆกับฝ่าบาทนั่นเเหละ“
“ว่ายังไงนะ มาว่าอาหารที่ผมทำน่าขยะเเขยงได้ยังไง”
แม้ว่าคำพูดของเธอจะไม่ผิด แต่มันก็ยังไม่ได้เเย่ขนาดนั้น ดูเหมือนว่า ลาพิส จะคิดว่าความคิดเห็นของตัวเองค่อนข้างรุนแรงไปและแก้ไขคำพูดใหม่
“เมื่อกี้เผลอหลุดปากไป เราคนนี้ขอโทษด้วย อาหารทำมือของฝ่าบาทไม่ได้น่าขยะแขยงเลย แต่เเค่มันห่วย”
“ถ้าสิ่งที่เธอจะพูดอยู่เป็นคำชม เธอก็พูดได้ค่อนข้างจะน่าสงสัยไปหน่อยนะ
คนรักของผมเป็นผู้หญิงที่ชวนอัศจรรย์จริงๆ
ความสามารถในการทำอาหารของ ฟาร์นาเซ่เอง ก็ห่วยเเตกไม่เเพ้กัน
พวกเรา 3 คนโตมาด้วยการกินอาหารที่คนอื่นทำให้หรือเราเลือกอาหารที่ปรุงเเล้วอยากจะกินขึ้นมาเอง ซึ่งนั่นไม่สามารถเรียกว่าทำอาหารได้ด้วยซ้ำ ดังนั้นทั้งผมทั้งลาพิสเเละฟาร์นาเซ่จึงเป็นที่น่าสงสาร การที่ผู้ติดตามทั้ง 2 คนไม่เคยทำอาหารให้ตัวเองกินเลยตลอดชีวิตที่ผ่านมาสามารถก้าวข้ามไปข้างหน้าเเละพยายามก่อสงครามขึ้นมาได้นั้นช่างเป็นเรื่องที่น่าฉงนเสียจริง ถ้าเป็นเรื่องตลกก็คงตลกไปเเล้ว กับพวกเราที่น่าสงสารนี้้มารวมตัวกัน เพื่อมาคุยกันเรื่องปฏิบัติการทางทหาร
นายทหารโต้เถียงกันถึงความยากของการปิดล้อมป้อมปราการขึ้น
– ฝ่าบาท. ป้อมปราารทมิฬและป้อมปราการพิสุทธ์เป็นป้อมปราการที่เเข็งเเกร่งมากๆ มีเพียง 6 ครั้งในรอบ 1,000 ปีที่ผ่านมาที่ป้อมปราการนี้ถูกบุกทะลวงจนเเตกพ่าย นอกจากนี้ เเม่ทัพนายพลที่ปกป้องปราการนั้นเป็นมนุษย์ที่มาจากตระกูลโรเซนเบิร์กอีกด้วย ตระกูลนั้นได้สืบสานผู้บังคับบัญชาที่ยอดเยี่ยมเเละส่งต่อหน้าที่มาอีกหลายชั่วอายุคน
— เเละยังเคยมีกรณีที่ป้อมปราการ สามารถเรียกรวมกำลังพลได้มากถึง 40,000 นายอีกด้วย แต่กำลังทหารในปัจจุบันของเรามีเพียงแค่ 4,000 นาย การล้อมป้อมปราการจะเป็นงานยากจนเป็นไปไม่ได้เลย
ผมหยิบกล้องยาสูบออกมาแล้วกัดลงไป
“คิดหรอว่าผมเลือกมาที่นี่โดยไม่รู้ถึงความยากลำบากของเส้นทางนี้งั้นเรอะ? ประตูปราสาทจะเปิดไหมถ้าเราคิดเเค่ว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยเดิมอีกครั้งหลังจากเดินทัพมาไกลถึงขนาดนี้แล้ว? ทิ้งคำพูดที่ไม่จำเป็นเอาไว้ซะ ผมอยากจะฟังเเค่แผนการเท่านั้น แม้ว่าจะเป็นเรื่องเหลวไหลเเค่ไหน ผมจะรับฟังเเละไม่ลงโทษวินัยทหาร ดังนั้นอย่าวิตกกังวลไป อย่างไรก็ตาม พึงระลึกไว้ให้ดีว่าสิ่งที่พวกเเกได้รับไปสูงกว่าที่พวกเเกคิดไว้มาก พวกเเกจะต้องมีกลยุทธ์ที่เฉียบแหลมกว่าคนตัดไม้ที่โง่เขลา ถ้าทำไม่ได้เช่นนั้นเเล้ว……โลหิตจะหลั่งออกมาจากบ่าของพวกเเกทุกคน”
นายทหารกลืนน้ำลายลงคอ
– เอ่อ..อืม..คือว่า แม้ว่ากองกำลังของศัตรูจะอาศัยภูมิประเทศที่เป็นภูเขาขรุขระ จึงเป็นเรื่องยากสำหรับศัตรูที่จะขนส่งเสบียงได้ง่ายเพราะภูมิประเทศเป็นแบบนั้น คงจะดีสำหรับกองทหารของเราที่จะรักษาตำแหน่งบนทุ่งกว้างใหญ่นี้อย่างเบาใจ ทหารของศัตรูยังต้องออกลาดตระเวนบ่อยๆเพื่อระเเวดระวังเราอีกด้วย นอกจากนี้ กำแพงปราการของศัตรูก็ยกสูงบนภูเขาอีก สถานที่มั่นของศัตรูตอนนี้จึงมีอากาศอันหนาวเหน็บ……
ผมถ่มน้ำลายลงพื้น
“อะโห้? เเกกำลังพูดว่าเราควรรออย่างอดทนจนกว่าเสบียงของศัตรูจะหมดใช่ไหม? เป็นกลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมและเป็นชั้นเชิงที่น่าอัศจรรย์เสียจริง ยินดีด้วยเราได้เเม่ทัพมากฝีมือดุจเพชรมาเข้าร่วมกับเราเเล้ว ร่างกายผมกำลังสั่นสะท้านไปถึงทรวงเลย เข้ามาใกล้ๆดิ๊.”
ผมชี้ให้เขาเข้ามาใกล้ๆด้วยนิ้ว ตามคำแนะนำของผม นายทหารก็หมอบคลานลง ผมยกเท้าเปล่าขึ้นบนหลังนายทหารและประกาศอย่างเข้มงวด
“จนกว่าการประชุมนี้จะจบลง เเกจะเป็นได้แค่ที่พักเท้า” ตามคำสั่งของผม นายทหารก้มลงไปหมอบคลานที่พื้น ผมยกเท้าเปล่าขึ้นไปบนหลังเเละประกาศออกมาอย่างเคร่งเครียด
“จนกว่าการประชุมนี้จะจบลง เเกจะเป็นที่พักเท้าอยู่ตรงนี้เเหละ”
นายทหารคนแคระน้ำตาคลอเบ้า
— เป็นพระมหากรุณาธิคุณอันสุดมิได้ยิ่งเเล้วฝ่าบาท–……
เนื่องจากมีคนแคระโตเต็มวัยกำลังทำเสียงอูอี้สูดจมูกอยู่ใต้ฝ่าตีน จึงไม่มีอะไรน่าอับอายมากเท่ากับเสียงคร่ำครวญในตอนนี้อีกเเล้วนายทหารที่เหลือไม่กล้าที่จะหัวเราะ มีเพียงขอบปากของพวกเขาเท่านั้นที่กระตุกขึ้น ผมจ้องมองไปที่นายทหารทั้งหลาย
“ตั้งใจฟัง. แม้ว่าป้อมปราการของศัตรูอาจตั้งอยู่บนภูมิประเทศที่เป็นภูเขาขรุขระ แต่ทางเข้าด้านหลังของพวกมันยังคงเปิดกว้างอยู่ ประตูหลังของพวกมันเชื่อมต่อกับ ป้อมปราการพิสุทธ์ และ ป้อมปราการพิสุทธ์ ก็เชื่อมต่อกับ จักรวรรดิ เพราะแบบนี้จึงไม่มีโอกาสเลยที่สายการส่งเสบียงจะถูกตัดขาดได้ ผมเข้าใจว่าพวกเเกรู้สึกกล้ำกลืนฝืนทนที่จะทำการปิดล้อม แต่ใช้สมองของพวกเอ็งสักหน่อยเถอะ มีมั้ยหะสมองน่ะ”
นายทหารมองหน้ากัน
— แล้วถ้าการเปลี่ยนแม่มดให้กลายเป็นกองกำลังแยกและโจมตีแนวเสบียงของศัตรูล่ะ? น่าจะเป็นการโจมตีที่มีประสิทธิภาพ
— แม้ว่าทหารราบและทหารม้าของเราจะมีไม่เกิน 4,000 คน แต่จำนวนแม่มดที่เรามีคือ 50 คน โดยปกติกองทัพที่มีทหารถึง 30,000 คนจะมีแม่มดประมาณ 50 คน ดังนั้นจำนวนของเราถึงจะน้อย แต่เราก็ยังคงเป็นกองทัพที่มีพลังที่แข็งแกร่ง โปรดใช้แม่มดอย่างเต็มประสิทธิภาพ หากกองกำลังของเราขวางประตูหน้าของป้อมปราการขณะที่แม่มดตัดเส้นทางด้านหลัง กองทหารของศัตรูในฐานที่มั่นจะไม่สามารถเคลื่อนที่ไปไหนและเสียขวัญกำลังใจไปเอง
ผมรู้สึกตกใจ
“มันสวยงามมากที่ได้เห็นไอ้คนที่อ้างว่าเป็นนักรบ ส่งต่อหน้าที่ทั้งหมดให้กับแม่มด ผมน่าจะใช้เงินที่ใช้ไปกับการจ้างพวกแกไปจ้างแม่มดให้มากขึ้นมาแทน แต่ดูเหมือนว่าผมได้กระทำสิ่งที่โง่เง่าลงไปเเล้ว ไอ้พวกนี้เเม่งขาดตรรกะอย่างสมบูรณ์ในการเปล่งวาจา อย่างไรก็ตาม เเกคิดจริงๆน่ะเหรอว่าฐานที่มั่นที่รู้จักกันในนามแนวหน้าซึ่งปกป้องมนุษยชาติจะไม่มีเสบียงสำรองไว้? ไม่ว่าเสบียงของพวกเขาจะเหลือน้อยเพียงใดในป้อมปราการนั้น ก็เพียงพอแล้วที่จะให้กองกำลังของพวกเขาอยู่รอดได้ 2 เดือน แล้วเราจะทำอะไรได้ในช่วงเวลานั้นกัน? ถ้าผ่านไป 2 เดือน ศัตรูก็จัดกองหนุนจากทางด้านหลังได้แบบง่ายๆเเล้ว เเละเราก็ไม่มีกำลังเสริมมาช่วยด้วย ถ้าอย่างนั้นเเล้วเราจะทำอะไรกันต่อได้หา? ดูจากหนังหน้าพวกเเกเเล้ว ดูท่าไม่มีสมองอยู่ในหัวเลยงั้นสิ หืมขอถามหน่อยสิเราจะทำอะไรได้อีกเมื่อถึงจุดนั้นเเล้ว”
ผมกวักมือเรียกพวกเเม่งให้เข้ามา
“เข้ามานี่.”
นายทหารเข้ามาใกล้ นายทหารทั้งสองได้หมอบคลานทับกันเหมือนแฮมเบอร์เกอร์ ผมนั่งทับพวกโง่นี้เเทนเก้าอี้ นายทหารส่งเสียงคร่ำครวญและอดทนต่อความรู้สึกเซ็กซี่ของผมที่เเผ่ออกมาจากด้านหลัง
The captains approached. The two captains laid on top of each other like a hamburger. Using those idiots as a chair, I sat on top of them. The captains groaned and endured the sensation of my sexy derriere. ผู้แปล(บรรทัดสุดท้ายนี่อะไรฟระ)
“ถ้าไม่มีแผนที่ดีกว่านี้ ก็แค่คุกเข่าลง อย่างน้อยก็จะรักษาศักดิ์ศรีของบรรดาผู้คุกเข่าอย่างซื่อสัตย์ไว้ให้”
ฟึ้บ
นายทหารทุกคนที่รวมตัวกันในเต็นท์ได้ลดตัวลงทันที
พวกนี้เเม่งเป็นกลุ่มที่น่าเศร้าชิบหาย?
แต่ยกเว้น ฟาร์นาเซ่ เพียงผู้เดียว นางยืดหลังของตัวเองให้ตรง แม้แต่ในระหว่างการประชุมอยู่ฟาร์นาเซ่ ก็เปิดอ่านหนังสือไว้ นิ้วที่เกาะปกหนังสือถูกลมหนาวพัดมาจนเป็นสีแดง
“……”
ทุกครั้งที่เธอพลิกหน้าหนังสือด้วยมือที่ด้านชา อากาศรอบๆ เต็นท์ก็ส่งเสียงเเกร๊กๆเพราะเสียงกระดาษ ผมกับนายทหารมองดูไปที่ฟาร์เนเซ ขณะที่เธอพลิกหน้ากระดาษทีละหน้า ฟาร์นาเซ่พูดอย่างตรงไปตรงมา
“ก็เเค่รีบบุกทะลวงเข้าไปข้างในไปเลยก็ได้นี่ ในปราการทมิฬตอนนี้ยังไม่มีกองกำลังศัตรูประจำการอยู่เลย”
นายทหารมองหน้ากันด้วยความสงสัย ผมจึงถาม.
“ทำไมถึงไม่มีใครเลยคอยปกป้องฐานที่มั่น?”
“มาร์เกรฟ โรเซ็นบอร์ก เป็นคนขี้ขลาด เพราะมาร์เกรฟรู้ว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่จะปกป้องปราการคู่ อย่างน้อยเขาจะต้องพยายามเลือกปกป้องให้ได้สัก 1 ปราการเป็นอย่างน้อย นั่นเเหละคือชะตากรรมของนายพลเฒ่า มาร์เกรฟ เขาไม่มีกองกำลังส่วนใหญ่พอที่จะปกป้องทั้งป้อมปราการทมิฬและปราการพิสุทธ์พร้อมกัน เขาต้องเลือกตรึงกำลังพลไว้ที่ปราการพิสุทธ์เท่านั้นไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม……”
ฟาร์นาเซ่ หาวออกมาฟอดหนึ่ง คำพูดของเธอช่างดูเฉยเมยคล้ายกับที่เธอพลิกกระดาษในหนังสือของเธอ และมันก็ผ่านไปอย่างแผ่วเบาราวกับพลิกหน้าหนังสือ ที่ผมกล่าวถึงเด็กที่ไม่สามารถเรียนรู้วิธีสื่อสารจากคนอื่นได้และไม่มีทางเลือกอื่นเเล้ว นอกจากต้องเรียนรู้จากหนังสือ ผมพูดขึ้น
“อะไรทำให้เธอคิดว่ากองกำลังทหารที่มาร์เกรฟจะนำมาที่ปราการทมิฬเพียงเเค่หยิบมือ”
“มีเหตุผลมีหลายประการ สาเหตุหลายประการนั้นรวมกันเหลือข้อเดียว คำตอบนั้นก็คือ มาร์เกรฟ เป็นเเค่ไอ้คนโง่ที่ต้องการบรรลุการแก้แค้นต่อฝ่าบาทโดยใช้อำนาจของเขาเองเพียงผู้เดียว”
ฟาร์นาเซ่ ถอนหายใจแห้งๆ ในการต่อสู้ครั้งก่อน กองทหารของ มาร์เกรฟ ทั้งหมดถูกสังหารหลังจากถูกพวกเราหลอก ที่ฟาร์นาเซ่จะบอกคือ เพราะหัวใจเเห่งการล้างแค้นทำให้มาร์เกรฟกลายเป็นคนหูตามืดบอด
“นอกจากนี้ยังมีเหตุผลทางการเมืองอีก มาร์เกรฟ เป็นจุดเริ่มต้นของสงครามในครั้งนี้ โดยการโจมตีฝ่าบาทก่อน เเละเป็นเขานั่นเองที่นำเหตุผลของการเริ่มสงครามใส่พานมาให้ปีศาจ มนุษย์ที่ถูกกลืนกินโดยสงครามกะทันหันนี้ส่วนใหญ่จะเกลียดชัง มาร์เกรฟ มากที่สุด……”
“ดังนั้น เขาก็เเค่อยากจะชำระล้างมลทินให้ตัวเองที่เป็นคนก่อความยุ่งเหยิงขึ้นมา”
“มาร์เกรฟเองก็คิดตามแนวทางเหล่านี้ที่เราพูดให้ฟัง ตอนนี้จึงตกอยู่ในสถานการณืถุกกดดันรอบด้านมากเป็นที่สุด”
ผมพยักหน้า
มาร์เกรฟ โรเซ็นเบิร์ก เป็นผู้บัญชาการสูงสุดของแดนเหนือจักรวรรดิ อย่างไรก็ตาม มาร์เกรฟกำลังทำอะไรอยู่ตอนนี้น่ะเหรอ? เขามาที่ปราการพิสุทธ์เพื่อขวางทางผม ดันทาเลี่ยน ผู้นำกองทัพที่มีทหารถึง 4,000 นาย ในทางตรงกันข้าม เจ้าหญิงจักรพรรดิ์เอลิซาเบธ ไปประจันหน้ากับบาร์บาทอสและมาร์บาส บทบาทตอนนี้ได้ถูกพลิกกลับลงเเล้ว
กล่าวโดยสรุปในตอนนี้ แม้ว่า มาร์เกรฟ โรเซ็นเบิร์ก จะเป็นผู้บัญชาการสูงสุด แต่ตำแหน่งของเขาในฐานะนั้นกำลังอยู่ในอันตราย พวกขุนนางไม่ได้สนับสนุนเขาอีกต่อไป เพราะความเกลียดชังต่อมาร์เกรฟทำให้มีการเรียกร้อง จากผู้คนที่ตั้งคำถามว่าผู้กระทำความผิดริเริ่มสงครามที่ไม่มีใครต้องการครั้งนี้ สามารถทำตัวเป็นเเม่ทัพลอยชายมาสั่งการได้อย่างไร
นั่นคือเหตุผล นั่นเเหละที่ว่าทำไมมาร์เกรฟอยู่ที่นี่ เพื่อล้างแค้นผมและสร้างชื่อเสียงที่แปดเปื้อนของเขาขึ้นมาใหม่ คำว่า ไอ้คนโง่……ที่ ฟาร์นาเซ่ ได้พึมพำออกมานั้นถูกต้องเเล้ว จอร์ส วอน โรเซ็นเบิร์ก เป็นได้เเค่ไอ้คนโง่เท่านั้นเอง
“ฉะนั้นเเล้ว ฝ่าบาท สบายใจได้เเละรีบรุดหน้าเข้าไปเลย มาร์เกรฟตอนนี้ปรารถนาให้พวกเราเข้าไปให้ลึกมากที่สุด มาร์เกรฟ ตั้งเป้าเเผนที่จะใช้ความสิ้นหวังใดยการมอบ ปราการทมิฬ ให้กับเราและล่อเราไปจนสุดทางสู่ ปราการพิสุทธ์”
“และเธอกำลังวางแผนที่จะทำตามแผนของมาร์เกรฟงั้นเรอะ?”
“ปลาตัวที่ปัญญาอ่อนที่สุดกัดเหยื่อแล้วติดเบ็ด ปลาที่มีไหวพริบน้อยกว่าเล็กน้อยจะมองเหยื่อแต่ไม่สนใจและว่ายจากไป ส่วนปลาที่ฉลาดจะกัดแต่เหยื่อล่อโดยหลีกเลี่ยงเบ็ดและหนีออกไปอย่างง่ายๆสบายๆ”
ฟึ้บ
ฟาร์นาเซ่ ปิดหนังสือที่เธอกำลังอ่านอยู่ เธอมองมาที่ผม
“อย่างไรก็ตาม หญิงสาวคนนี้ไม่ใช่ปลา แต่เป็นฉลามเดียวดาย เราจะงับเบ็ดเเล้วลากมาร์เกรฟที่เป็นคนเกี่ยวเบ็ดลงมา และฉีกกระชากเขาออกมาเป็นชิ้นๆ ฝ่าบาท ฝากชีวิตไว้กับหญิงสาวคนนี้ได้เลย หญิงสาวคนนี้จะมอบชีวิตนับพันถวายเเด่ท่านเอง”
ผมพยักหน้า
“ทำตามอย่างที่ต้องการได้เลย”
“หญิงสาวคนนี้จะทำงานเพื่อฝ่าบาทเท่านั้น
หมากหินก้อนแรกถูกวางลงบนกระดานหมากล้อม(โกะ)เเล้ว
รูปเชิงอรรถรส ตอนเเรกว่าจะเรียก ‘คงกุกซู’ ทับศัพท์ไปเลย เเต่คิดไปคิดมาเรียก บะหมี่ถั่วเหลือง ดีกว่าเพราะ ENG ก็ใช้แบบนั้น
มุมบ่นผู้แปล: ตอนนี้แปลออกมาได้เบลอๆหน่อย เเล้วน่าจะเบลอมาขึ้นกว่านี้อีก นิยายเรื่องนี้ยิ่งแปลยิ่งยาก เข้าใจละว่าทำไมคนแปลเก่าถึงดรอป