Dungeon Defence - ตอนที่ 56
ราชาแห่งไพร่ ลำดับที่ 71 ดันทาเลี่ยน
ปฏิทินเอ็มไพร์: ปี 1506 เดือนที่ 2 วันที่ 25
เทือกเขาเเบล็ค ป้อมปราการทมิฬ
กองทัพของเราเข้ายึดครอง ปราการทมิฬ ก่อนจะได้กินข้าวเพิ่มอีกมื้อด้วยซ้ำ ฟาร์นาเซ่ พูดถูกแทบไม่มีทหารอยู่ในปราการที่มั่นนี้เลย
มีทหารเพียงเเค่ 200 นายเท่านั้นและส่วนใหญ่ถูกจับเป็นเชลยศึกหมดเเล้ว ฮัมบาบาถึงกับบ่นออกมาเลยว่าศึกครานี้มันจืดชืดเกินไปเเล้ว
“ชิ-. เราคิดว่าเราจะได้กลิ่นเลือดเสียหน่อยหลังจากที่ไม่ได้กลิ่นมันมานานแล้ว แต่นี่มันกลับกลายเป็นความจืดชืดดดดดเฉยเลย ทำไมพวกมนุษย์ห่วยๆถึงยอมจำนนง่ายจริงจริ๊งทั้งที่แทบไม่ได้สู้เลยเล่าน้าาาาาา—?”
“ความรู้สึกที่น่าผิดหวังเช่นความรู้สึกนี้น่ะน้าาา—?”
ฮัมบาบาเม้มริมฝีปากของเธอ ผมเลยตอบกลับ
“งั้นก็เผาทิ้งไปเลย”
“ค้าาาาา-?”
“เรามีนักโทษมากเกิน 100 คนไม่ใช่หรือ? บอกแม่มดคนอื่นๆ ไปนำและจับนักโทษ 50 คนมาเผาตามที่ต้องการไปเลย ทิวทัศน์ที่สนุกสนานที่สุดในโลกคือการดูไฟลุกโชตินี่เเหละ ความเครียดของพวกเธอน่าจะบรรเทาลงได้บ้างนะ”
ฮัมบาบาเอียงศีรษะของเธอ
“……แต่พวกมันเป็นทหารศัตรูที่ดีที่ยอมจำนนอย่างเชื่อฟังไม่ใช่เหรอน้าาาา–?”
“ในเมื่อพวกมันยอมแพ้อย่างเชื่อฟัง ผมก็เดาว่าพวกมันก็คงจะยอมตายอย่างเชื่อฟังเช่นกัน”
“……เราไม่รู้จริงๆ ว่าจะไม่เป็นไรจริงๆหรือเปล่าน้าาา–?”
“พรุ่งนี้ผมวางเเผนที่จะไปทักทายมาร์เกรฟเสียหน่อย”
ผมหยิบหิมะที่ปนโคลนขึ้นมาเเล้วโยนเข้าปาก ผมกำลังพิจารณารสชาติที่ไม่พึงประสงค์ของสิ่งสกปรกและกลิ่นคาวของหิมะด้วยลิ้นของผม แม้ว่าจะเป็นศาลเจ้าที่มีชื่อเสียงมากมายท่ามกลางเหล่าปีศาจ แต่ดินนี้และหิมะนี้ก็ไม่ได้มีรสชาติที่แตกต่างจากที่อื่นเป็นพิเศษนักเเล้วผมก็ถุยมันออกมา
“เมื่อก่อนมาเกรฟเคยมาเเละจากไปที่ปราสาทหินของผมเเล้ว ตอนนี้เรากลายเป็นคนคุ้นเคยกันดีเเล้วนี่นา เพียงเเต่ว่าตอนนี้ ถึงตาของผมที่จะมาเยี่ยมปราการหินของมาร์เกรฟบ้างแล้ว ก็เป็นเรื่องธรรมดาๆที่ผมจะเข้าไปทักทายเขาสักหน่อย ถึงเเม้จะน่าเสียดายที่ไม่มีของขวัญติดไม้ติดมือให้เขาก็เถอะ”
“……”
“ผมรู้สึกว่าเเค่ 40 หัวเชลยศึกน่าจะเพียงพอแล้วที่จะแสดงความจริงใจของผมนะ เธอคิดว่าไงมั่ง ฮัมบาบา?”
“—อ่าฮะฮ่าฮ่าฮ่า”
ฮัมบาบาเบี้ยวริมฝีปากของเธอ อ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…… ฮัมบาบาสวมหมวกทรงกรวยไว้บนหัวตัวเองอย่างมั่นคงและหัวเราะอย่างราบเรียบ หมวกปีกสีดำสนิทปกปิดใบหน้าของฮัมบาบาเอาไว้
“จริงๆเเล้ว มาสเตอร์ของเรารู้เรื่องของฝั่งนู้นดีอยู่เเล้วสิน้าา”
“เผาพวกมันให้หมด”
“โอ้. พวกเราแม่มดเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการเผาคนจนตาย คนที่กินเนื้อปิ้ง-ย่างมาเยอะจะรู้ดีว่า เสียงของเนื้อดังเปรี๊ยะๆเป็นเสียงของเนื้อคุณภาพดีกำลังสุก หลังจากนี้จะไม่มีใครหยุดพวกเราได้อีกเเล้วน้าา มาสเตอร์ ท่านตั้งหน้าตั้งตารอดูพวกเราไว้ได้เลยน่ะน้าาาา—”
มนุษย์ถูกจุดไฟเผาทั้งๆที่ยังมีชีวิตอยู่
ขณะที่มองลงไปที่ร่างกายของพวกเขาที่กำลังลุกไหม้จากขาขึ้นไปบนหัว มนุษย์ก็กรีดร้อง มันเป็นเสียงกรีดร้องราวกับว่าจะอ๊วกออกมาพร้อมกับลำไส้ที่กำลังบิดเบี้ยว เราแขวนศพที่ถูกเผาจนเป็นสีดำสนิทบนกำเเพงของป้อมปราการ เช่นเดียวกับเสียงร้องบิดเบี้ยวครั้งสุดท้ายที่หลุดออกมา ศพของพวกมันก็บิดเบี้ยวอย่างแปลกประหลาดเฉกเช่นเสียงไม่เเพ้กัน
แม่มดได้คิดค้นเกมออกมา มันเป็นกีฬาที่จะขว้างเเละตีก้อนหินไปทุบที่ศพ 1 คะแนนถ้าโดนร่างกาย 2 คะแนนถ้าเข้าที่หัวและ 3 คะแนนถ้าเข้าไปที่ลูกอัณฑะ ผู้เล่นที่ตีลูกบอลโดนสามครั้งติดต่อกันจะได้รับคะแนนพิเศษ 10 คะแนน แม่มดภายใต้คำสั่งของผมที่คิดการละเล่นนี้ขึ้นมาได้ช่างเป็นอัจฉริยะโดยเเท้
ผมกับฟาร์เนเซดูมนุษย์ถูกไฟไหม้และร่างกายของพวกมันถูกนำมาเล่นต่อ เสียงหัวเราะคิกคักของแม่มดดังก้อง ทั่วบริเวณนั้นถูกปกคลุมไปด้วยควันที่ลอยออกมาทำให้ศพเป็นสีดำคล้ำผสมหมอกขาวที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ อีกด้านนั้นของหมอก ที่ซึ่งควันไม่ได้ถูกจุดให้ลุกไหม้ บริเวณนั้นมันก็เหมือนที่สงบๆโดยไม่มีใครไปรบกวนนั้นเองน่ะนะ เมื่อเสียงหัวเราะของแม่มดหยุดลง ฟาร์นาเซ่ ก็พูดขึ้น
“ฝ่าบาท รู้ไหมว่ากองทัพใดบุกยึด ปราการทมิฬ ได้เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ทั้งหมด?”
“ผมไม่ได้สนใจประวัติศาสตร์ เลยไม่รู้คำตอบหรอกนะ”
“คำตอบคือกองทัพที่น่ารังเกียจของจักรวรรดิฮับส์เบิร์ก หลังจากเริ่มก่อการกบฏในภาคเหนือ พวกเขาโจมตีป้อมปราการทมิฬจากด้านหลัง พวกเขาบอกว่าใช้เวลาเพียงเเค่ 15 วันเท่านั้นในการยึดปราการ และนี่ก็เป็นประวัติศาสตร์ที่ยังไม่มีใครมาทำลายได้ตลอด 313 ปีที่ผ่านมา”
“อืม.”
“เมื่อฝ่าบาทพาหญิงสาวคนนี้กลับออกมาจากตลาดทาส เขาบอกกับเธออย่างนี้ว่าจะทำให้ชื่อของหญิงสาวคนนี้คงอยู่ถูกจารึกในประวัติศาสตร์”
ผมได้พูดคำเหล่านั้นอย่างแน่นอน
ผมได้ยื่นมือยื่นข้อเสนอล่อใจไปหาฟาร์เนเซซึ่งถูกขังอยู่ในห้องขังเหล็กและต้องอาศัยแสงจันทร์ในการอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ของเธอ
— เธอจะเปล่งประกายเมื่อถือกระบองในสนามรบมากกว่าที่นั่งอ่านหนังสือผมจะสร้างประวัติศาสตร์ที่จะจารึกชื่อของเธอเอาไ……
ในขณะนั้น ฟาร์นาเซ่ มองมาที่ผมด้วยสายตาที่สงสัย เธอเป็นเด็กที่ไม่รู้จักวิธียิ้มเลยด้วยซ้ำ เเต่ว่าตอนนี้ ผ่านไปครึ่งปี ผู้หญิงคนนั้นได้กลายเป็นผู้พิชิตสรรพสิ่งไปเเล้ว
“แท้จริงแล้ว การให้ฝ่าบาทมาเป็นเจ้านายนั้นถูกต้องเเล้ว ในวันนี้ เราได้ยึด ปราการทมิฬ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยต่อต้านกองทัพกบฏมาเป็นเวลาครึ่งเดือนได้ เเต่เราใช้เวลาเพียงเเค่ครึ่งวันเท่านั้น”
ฟาร์นาเซ่ ยิ้มอย่างน่ากลัว
“ดูเหมือนว่าหญิงสาวคนนี้ได้ทิ้งชื่อของเธอไว้ในประวัติศาสตร์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว”
รอยยิ้มของเธอช่างเเสนเย็นชากว่าฤดูหนาวที่พัดผ่านเข้ามา
“……”
“ยะฮว๊ากกก—!?”
ผมนวดหัวฟาร์เนเซ่อย่างรุนแรง แม้ว่าฟาร์เนเซจะเป็นเด็กสาวที่ใส่อารมณ์เก็บลงไปไว้ที่ก้นบึ้งของจิตใจของเธอ เเต่มีเพียงหัวของเธอเท่านั้นที่เป็นจุดอ่อน ฟาร์นาเซ่ ดิ้นไปมาขณะสะบัดโบกแขนไปด้วย เพราะมือของผมได้รับพรจากสวรรค์ตอนนี้เลยกำลังนวดหัวฟาร์นาเซ่อย่างเมามัน
“พยายามอวดเบ่งหลังจากยึดได้เพียงปราการเดียวเเล้วเนี่ยนะ”
“ฝะ….ฝ่าบา. เราบอกว่าเราเกลียดท่านี้……อะโฮ่……”
“.ในการจัดอันดับในหมู่บุคคลที่ยิ่งใหญ่ที่ทิ้งชื่อของพวกเขาไว้ในประวัติศาสตร์ โชคชะตาทำให้เธอเกิดมาเป็นวีรสตรี เธอควรตั้งเป้าให้เป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์ซะ แล้วเหตุใดเธอรู้สึกพอใจเพียงเล็กน้อยกับอีเเค่บุกตีปราการเพียงที่เดียวกัน? สำหรับเธอที่เพิ่งจะได้รู้จักกับการเรียนรู้ ศิลปเเห่งวิวาทะจาก ลาพิส อย่างถูกต้องเพียงเเค่ผิวเผิน กลับคิดว่านี่เป็นผลงานที่พอใจ ผมจะจัดตำแหน่งที่เหมาะสมให้เธอรู้เองว่าตัวเธอควรอยู่อันดับที่เท่าไหร่”
“อ่า เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้วฝ่าบา……”
ฟาร์นาเซ่ ได้ห่อตัวลีบน้อยลงไป
ตามธรรมเนียมเเล้ว เธอเป็นคนต้องเรียนรู้วิธีที่จะเจียมเนื้อเจียมตัวก่อนนะ
มุมบ่นผู้แปล: ทำไมกันนะเวลาอ่านถึงตอนฟาร์นาเซ่โดนบีบหัวทีไรจะจินตนาการนึกถึงหน้านางทำ Ahekao ขึ้นมาเเทนทุกทีเลย