Dungeon Defence - ตอนที่ 58
ผู้พิทักษ์เเดนเหนือ มาร์เกรฟแห่งโรเซนเบิร์ก จอร์ส ฟอน โรเซนเบิร์ก
ปฏิทินเอ็มไพร์: ปี 1506 เดือนที่ 2 วันที่ 25
เทือกเขาเเบล็ค ป้อมปราการพิสุทธ์
ข้าขึ้นไปชั้นบนของประตูป้อมปราการแล้วมองลงไปที่ทุ่งราบ
กองกำลังของศัตรูกำลังตั้งค่ายอยู่ในสถานที่ห่างไกลจากประตูป้อมปราการของเรา ธงดำโบกสะบัดไปมาบนทางผ่านภูเขา จอมมาร ดันทาเลี่ยน ใช้ธงดำเพื่อเป็นตัวแทนของกองกำลังของตัวเองเเค่เพราะว่ามันไม่มีสัญลักษณ์ประจำตัวเป็นของตัวเอง จอมมารแห่งธงดำมาถึงเทือกเขาเเบล็คและยึดป้อมปราการทมิฬไว้…… เป็นเรื่องบังเอิญตลกๆที่ทำให้ข้าขำไม่ออก
บรรดานายทหารกำลังวัดกองทัพศัตรูด้วยสายตา
“ดูเหมือนว่าพวกมันมีกำลังทหารน้อยกว่า 3,000 นิดหน่อยนะครับท่าน”
“ดูเหมือนว่าความแตกต่างทางทหารของเราจะมีมากกว่า เมื่อเทียบกับกองทหารของอีกฝ่ายเเล้ว การจะปกป้องปราการพิสุทธ์นี้คงเป็นเรื่องง่ายเเสนง่ายนะครับ”
“อืม”
ข้าพยักหน้า ปัญหาคือจำนวนผู้วิเศษ ในฤดูใบไม้ร่วงที่แล้วข้าได้เห็น ดันทาเลี่ยน มีแม่มดใต้บัญชามากกว่า 11 ตน มันน่าจะนำแม่มดมาเป็นจำนวนมากในสงครามครานี้เช่นกัน เราต้องหาทางกำจัดเจ้าพวกนั้น
ข้าได้ใช้เงิน ซึ่งจริงๆเเล้วต้องไปจ้างทหารราบ ไปจ้างผู้วิเศษมาเพิ่ม กองกำลังของเราตอนนี้จึงมีผู้วิเศษ 25 คน เป็นตัวเลขที่น่าประทับใจจริงๆ มากเกินพอที่จะป้องกัน เเม่มดของดันทาเลี่ยนได้
“ท่านแม่ทัพ ดูนั่นครับ”
ในตำแหน่งที่นายทหารกำลังชี้อยู่ คนแคระของศัตรูกำลังสร้างอะไรบางอย่าง มันเป็นเครื่องยิงหินขนาดยักษ์ที่ประกอบขึ้นมาเอง ช่างอวดดีจริงๆพวกมันกำลังพยายามล้อมเราด้วยขยะแบบนั้นอะนะ นายทหารหัวเราะเยาะเย้ยออกมา
“ฮะฮ่า พวกมันคิดว่าจะสามารถขว้างหินได้ไกลถึงขนาดนี้เลยงั้นเรอะ”
“พวกเเม่งมีหัวคิดเเค่นี้เองอะนะ การลากเครื่องยิงหินขนาดใหญ่เข้าสู่เส้นทางผ่นภูเขามันจะไปทำได้ยังไง คิดตื่นๆ ทำแบบมักง่ายอยากจะประกอบเครื่องยิงหิน…… ถึงพวกมันจะทำไปก็ไร้ประโยชน์ แต่ความพยายามของพวกมันก็น่ายกย่องดีนะ”
ครู่ต่อมา พวกมันเริ่มยิงอะไรบางอย่างด้วยเครื่องยิงหิน บางสิ่งที่ดูเหมือนหินเเต่เบากว่าหิน ชนกับเข้ากับกำแพงหรือบางส่วนก็ตกลงบนกำแพง นายทหารไปหยิบสิ่งของชิ้นหนึ่งที่ตกขึ้นมาแล้วนำกลับมา นายทหารยื่นมันมาให้ข้าอย่างลังเลใจ
“ท่านแม่ทัพ นี่มัน……”
ศีรษะ
ชิ้นส่วนครึ่งหัวของซากศพที่ไหม้เกรียม
“……”
ใบหน้าของศพบิดเบี้ยวอย่างโหดร้าย
มันเป็นใบหน้าของคนที่ได้รับความทุกข์ทรมานจนถึงช่วงนาทีสุดท้ายของชีวิต
ศัตรูได้เผาเชลยศึกทั้งเป็น
มือข้าสั่นไปหมด เมื่อต้องนึกถึงเรื่องที่เชลยศึกต้องพบเจอ
“ไอ้พวกปีศาจหน้าหนังหมาเอ้ยยย……”
ข้ารู้ดี.
ข้ารู้อยู่แล้วว่า ดันทาเลี่ยน เเม่งบัดสบขนาดนี้
ไม่มีความจำเป็นเลยที่จะต้องเผาเชลยศึกทั้งเป็น มันสามารถตัดหัวนักโทษได้ทันทีด้วยซ้ำ เพื่อเมตตาให้นักโทษได้รับความเจ็บปวดน้อยที่สุด เเต่เเม่งกลับ จงใจใช้วิธีประหารชีวิตที่เจ็บปวดทรมานมากที่สุด เพียงเพื่อจะดูหมิ่นข้า
หลังจากเครื่องยิงหินยิงออกไปเเล้วมากกว่า 30 หัว เครื่องยิงหินของศัตรูก็หยุดลง จากนั้น ทหารม้าหกนายวิ่งจากค่ายศัตรูมาและมาหยุดที่ประตูป้อมปราการ พวกเขาชักกธงสีขาวซึ่งแสดงถึง ‘การเจรจา’
“……เปิดประตู ข้าจะออกไปเอง”
“มันจะเป็นอันตรายนะครับท่านแม่ทัพ?”
“ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับข้า ให้ยิงธนูและฆ่าพวกมันทันที สั่งให้พลหน้าไม้เตรียมพร้อมยิงตลอดเวลา”
หัวนายทหารเปิดประตู
เมื่อข้าผ่านประตูเหล็กไป ทหารม้าของศัตรูก็ยืนอยู่ตรงหน้าเเล้ว ในหมู่พวกมัน มีชายสวมเสื้อคลุมสีดำส่ายหัวมาที่ข้า
“ไม่เจอกันนานมากแล้วนะ มาร์เกรฟ ไม่สิ ข้าควรเรียกการพบกันครั้งนี้ว่าเป็นการเจอแรกของเราสินะ ข้าคือจอมมารดันทาเลียน รู้สึกเป็นเกียรติจริงๆที่เจ้าไม่เพิกเฉยต่อการเจรจาและออกมาพบกับข้าด้วยตนเอง”
“ไอ้คนที่ไม่รู้จักธรรมเนียมปฏิบัติ……”
ผู้ชายคนนี้คือดันทาเลียน ข้าไม่สามารถมองไอ้คนที่ไร้กระดูกสันหลังดูบอบบางแบบนี้เป็นราชาได้เลย ถ้า
ข้าจะชักดาบและพุ่งเข้าใส่มัน การฆ่าเเม่งทันทีก็น่าจะเป็นไปได้ หลังจากเตรียมที่จะดึงดาบออกมาทันที ข้าก็พูดขึ้น
“โอ้ ท่านจอมมาร ต้องการมาที่นี่อย่างจริงใจเพื่อหาที่พร้อมตายงั้นสิ อะไรคือแรงจูงใจของเเกที่เเอบเเฝงไว้กันเเน่ถึงมาขอเจรจาทันทีหลังจากโยนศพของเชลยศึกมาที่นี่กัน? บอกเหตุผลที่ข้าไม่ควรตัดคอของเเกในทันทีมาซิ”
“เจ้าค่อนข้างเป็นคนก้าวร้าวนะ นี่เป็นเพียงของขวัญเล็กๆ น้อยๆเท่านั้นเอง เพื่อขยับช่่องว่างกระชับมิตรของพวกเราให้เข้าใกล้กันไงล่ะ……”
ดันทาเลี่ยน หัวเราะ
“เจ้าได้ทำลายปราสาทจอมมารของข้าแล้ว และตอนนี้ข้าก็มาถึงกำแพงของเจ้า ข้าน่ะละอายใจจริงๆนะที่จะมาที่นี่แบบมือไม้เปล่า เลยส่งของขวัญมาให้ไง ชอบของขวัญที่ข้าส่งให้ไหม”
“……”
“อ่าฮะ ดูเหมือนเจ้าจะไม่พอใจนัก”
ดันทาเลี่ยน เหลือบมองไปที่ผนังเล็กน้อย หน้าไม้กำลังเล็งอาวุธไปที่ ดันทาเลี่ยน ถ้าข้าสั่งออกไป พวกเขาจะยิงธนูและเจาะคอของ ดันทาเลี่ยนทันที เขาน่ารู้เรื่องนี้ดี แต่ ดันทาเลี่ยน ยังคงยิ้มออกมาได้อยู่
“นั่นเป็นเรื่องปกติน่ะ ข้าได้เตรียมของขวัญอีกอย่างไว้ด้วยนะไว้เผื่อว่าเจ้าอยากจะมะเทิ้งอยากจะ ดู.”
ดันทาเลี่ยน หันร่างของเขาและชี้ไปที่ค่ายทหารของตัวเอง ในสถานที่นั้นเอง คนแคระกำลังตอกเสาไม้
ไม่นานหลังจากนั้น มีการสร้างเสามากกว่าหนึ่งร้อยเสา ข้าเบิกตากว้างออกมาเมื่อเห็นสิ่งที่ผูกติดอยู่กับเสาไม้นั้นมันเป็นเชลยศึกถูกผูกไว้กับไม้แต่ละต้น คนแคระเข้ามาใกล้เสาพร้อมกับถือคบเพลิงมาด้วย ดูเหมือนว่าพวกเขามีเเผนที่จะจุดไฟเผามนุษย์ทิ้งทันที พวกเชลยศึกตอนนี้ได้เเต่ร้องระงมคร่ำครวญออกมา
– ช่วยเราด้วย! ท่านเเม่ทัพ……
— ได้โปรดอย่าทิ้งพวกเราไป……
มือของข้าสั่นมากขึ้น นั่นไม่ใช่การกระทำของมนุษย์เขาจะทำกันเเน่ๆ? พวกปิศาจไม่ได้เรียกตนเองแยกออกจากพวกอสูรและอ้างว่าตัวเองมีมนุษยธรรมหรือยังไงกัน? เเกกำลังบอกข้าว่าพวกปีศาจสามารถทำการแบบนั้นได้โดยไม่ลังเลเลยใช่มั้ยหาา?
“ไอ้เหี้ยเอ้ยยย……”
“โปรดสั่งให้ปลดหน้าไม้เเละลดอาวุธลงซะ ข้าน่ะเป็นคนขี้ขลาด ขี้ขลาดอย่างมากเลยล่ะ เมื่อใดที่มีใครมาข่มขู่ข้า ข้าจะปวดเมื่อยตามร่างกายและร่างกายของข้าจะสั่นเป็นเจ้าเข้าน่ะสิ มันทำให้ข้าหายใจลำบากนาาา”
“เป็นงั้นหรือวะ? งั้นจงดื่มด่ำกับลมหายใจสุดท้ายในชีวิตนี้ให้มากที่สุดเถอะ หลังจากนี้ข้าจะกรีดหลอดลมของเเกออกมา เเละเเกต้องโหยหาลมหายใจสุดท้ายที่หายไปตอนอยู่ในนรกเเน่”
“โอ้. น่าสะพรึงกลัวจริงเชียว. น่ากลัวม๊ากมากเลย ดูจากหน้าตาของเเกแล้ว ดูเหมือนว่ามาร์เกรฟจะมีพรสวรรค์โดยธรรมชาติในการข่มขู่ผู้อื่นสินะ”
ดันทาเลี่ยน ยกมือขวาขึ้น
“—น่าเสียดาย นั่นเป็นพรสวรรค์ที่ข้าไม่เคยมี”
ในขณะนั้นเอง เสาต้นหนึ่งถูกจุดไฟขึ้น เสาต้นนั้นทาน้ำมันไว้อยู่ก่อนแล้วเปลวไฟจึงเริ่มลุกโชนขึ้นมาทันที ขณะที่มองลงไปที่ไฟที่ดูเหมือนกระเพาะของสัตว์ร้ายที่กำลังเข้ามาใกล้ เชลยศึกก็กรีดร้องออกมา
— อ๊าก! อ๊าก อ๊ากกกกกกกกกกกกกก.กก…
ทันใดนั้น เปลวเพลิงก็กลืนกินร่างกายมนุษย์ลงไป นักโทษดิ้นรนอย่างสิ้นหวังขณะถูกไฟเผา ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย เเละเมื่อเสียงร้องนี้หยุดลง หลงเหลือแต่ควันที่ลอยขึ้นมาจากตรงนั้น ดันทาเลี่ยน ได้พูดออกมาเเทนที่ข้าซึ่งไม่สามารถอ้าปากออกมาได้
“มาร์เกรฟ ให้ข้าพูดตรงๆเถอะ”
“……”
“อย่างที่เจ้าได้เห็น ข้าเป็นเเค่เศษขยะ ถ้าเเกยืนกรานว่านี่เเหละเป็นตัวตนของข้าที่จะปฏิบัติต่อชีวิตมนุษย์ต่ำกว่าแมลงวันนั้นไซร้ แล้วเเกล่ะ มาร์เกรฟ? เเกไม่ใช่ข้าหลวงที่ปฏิบัติตนเพื่อความยุติธรรมงั้นหรือ? เเกไม่หวงแหนชีวิตของลูกน้องของเเกราวกับว่าพวกเขาเป็นลูกตัวเองบ้างหรือไง? ถึงข้าจะเป็นคนแบบนี้ ส่วนมาร์เกรฟเป็นคนแบบนั้น มันค่อนข้างที่จะเเพ้ทางเลยนะที่เเกจะเผชิญหน้ากับขยะเช่นข้าได้น่ะ”
ข้าสัมผัสด้ามดาบด้วยปลายนิ้ว
“……เเกต้องการจะพูดอะไรกันเเน่?”
“ข้าเเค่ต้องการเรียกร้องการขอพักรบ”
พักรบ? มันหน้าด้านมาขอพักรบได้ยังไง? ไม่เข้าใจเจตนาจริงๆของอีกฝ่ายได้เลย ข้าได้เเต่จ้องเขม็งไปที่ ดันทาเลี่ยน เเละดันทาเลี่ยน ก็พูดออกมาขณะเเคะหูตัวเองอยู่.
“ด้วยการต้อนรับด้วยน้ำใจของเจ้าที่ปราสาททมิฬ ทำให้ข้าสามารถได้รับชัยชนะที่ปราศจากการนองเลือดได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อผ่านป้อมปราการทมิฬไป ข้าไม่มีความมั่นใจเลยในการบุกยึดป้อมปราการพิสุทธ์นี้ได้ เหมือนกับว่าข้าน่ะมีกำลังทหารในการบุกตีไม่มากพอ……แม้ว่าข้าจะพยายามฝืนและพยายามปิดล้อมป้อมปราการไป แต่ก็เห็นได้ชัดว่ามีเพียงกองทัพของข้าเท่านั้นที่ต้องทนทุกข์ทรมาน”
“เเกรู้จักที่ของตัวเองดีนี่ ไอ้หน้าใหม่”
“เจ้าก็ควรรู้จักที่ของตัวเองด้วยนะ ไอ้เฒ่า มาร์เกรฟ หลังคอของเจ้าบนกระดูกพรุนๆของเเกไม่รู้สึกเย็นวาบมั่งหรือ? ตอนที่เเกตกอยู่สถานการณ์ที่สาวน้อยกำลังชี้ดาบของนางจ่อมาที่เจ้า”
“……อะไรกัน?”
“เจ้าไม่กลัวเจ้าหญิงจักรพรรดิ มั่งรึไงมาร์เกรฟ?”
ในใจของข้าว่างเปล่าไปชั่วขณะ
มันกำลังพูดถึงเรื่องอะไรกัน? ข้าได้ยินคำพูดอะไรเมื่อกี้ ผู้ชายคนนี้ที่อยู่ข้างหน้าข้าได้ล่วงรู้ถึงอะไรกันแน่ถึงถามคำถามแบบนี้ออกมาได้ ดันทาเลี่ยน ยิ้มเยาะ
“จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิฮับส์บูร์กได้สูญเสียอำนาจของเขาไปแล้ว มกุฎราชกุมารไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่าต้นไม้ที่ยืนต้นตายเช่นกัน เนื่องจากเจ้าเป็นผู้ภักดีคนสุดท้ายของราชาที่เหลืออยู่ นางเลยเป็นคนที่ มาร์เกรฟ เช่นตัวเเกเองเท่านั้นที่สั่นกลัว เจ้าหญิงจักรพรรดิจะไม่กวาดล้างบ้างเจ้าเมื่อมีโอกาสหรือไงกัน?”
“……”
“ข้าไม่สามารถบุกยึดป้อมปราการของเเกได้ก็จริง เเต่ยังไงก็ตาม มาร์เกรฟ มันก็คงเป็นเรื่องโง่สำหรับเเกที่จะออกจากที่มั่นมาและเข้าโจมตีข้า เพราะนั่นจะหมายความว่าเจ้าจะต้องทำการต่อสู้แบบประจัญบานในขณะที่ทิ้งกำแพงที่ปลอดภัยของเจ้าทิ้งไป สรุปเเล้ว ทั้งเจ้าและข้าไม่สามารถทำอะไรได้เลยและที่ทำได้ก็เพียงแค่ยืนเผชิญหน้ากันที่นี่เท่านั้นเอง นี่ค่อนข้างจะเป็นเวรเป็นกรรมของพวกเราเลยเนอะว่ามั้ย เหมือนเป็นชะตาลิขิตของพวกเราเลยละนะ”
เสียงของ ดันทาเลี่ยน รู้สึกเหมือนกำลังกระซิบที่หูของข้าโดยตรง และดึงข้าเข้าไปสู่ห้วงลึก ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้วว่าเสียงที่สามารถดึงดูดผู้คนให้เข้าหามาได้นั้นหมายความว่ายังไง
“ด้วยการยึดปราการทมิฬ ข้าน่ะได้สะสมผลงานมากพอที่จะไม่ต้องละอายใจในสายตาของ พวกจอมมารตนอื่นๆเเล้ว เเกเองก็สามารถป้องกันไม่ให้ ปราการพิสุทธ์ ถูกพรากไปได้เช่นกัน เท่ากับว่าสามารถรักษาหน้าตัวเองไว้ได้ เหมือนกับ มือข้างหนึ่งกำลังล้างมืออีกข้างหนึ่งอยู่ ได้ประโยชน์กับได้ประโยชน์ทั้งคู่ไง ดังนั้นนี่ก็เพียงพอแล้วสำหรับเจ้าและข้าที่จะมาเป็นเพื่อนสนิทกัน”
“……”
“มาร์เกรฟ ข้าน่ะเป็นคนใจกว้างมากๆเลยนะ”
ดันทาเลี่ยน ได้ยิ้มออกมาอย่างนุ่มนวล
ความนุ่มนวลนั้นทำให้เลือดของข้าแข็งตัว ความจริงที่ว่าคนชั่วสามานย์สามารถยิ้มออกมาได้แบบนี้รู้สึกเหมือนเป็นการดูถูกพระเจ้าและเป็นความอับอายขายหน้าของโลกนี้ มันคุยโวราวกับว่าได้ขโมยของไปแล้วเเละบอกว่าจะไม่คืนเเต่ดันมาบอกว่าเเบ่งๆกันเถอะน่า เป็นบ้าอะไรกัน? สิ่งที่เเกจะบอกข้าก็เเค่นี้งั้นเรอะ?
“ถ้าเจ้าตกลงพักรบกัน ผมก็ยินดีจะปล่อยเชลยศึกออกไป ปล่อยทีละคนในทุกๆวัน. ข้าจะเคารพเเละไม่ส่งหัวศพที่ถูกไฟไหม้มาให้แต่เป็นมนุษย์ที่อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์พร้อมตั้งแต่หัวจรดเท้า ข้าจะส่งพวกเขามาที่นี่ดังเช่นที่บอก”
ข้าขบฟันลงไป
ข้าเข้าใจแล้ว. ผู้ชายคนนี้ที่อยู่ข้างหน้าข้ามันเป็นปีศาจ
ในวันนั้น วันที่ลูกน้องของข้าถูกสังหารบนเนินเขา การประจักษ์เห็นที่ข้ามองไม่ใช่ภาพลวงตาธรรมดาๆ ร่างของมารร้ายที่ปรากฎบนเนินเขาเป็นตัวแทนของดันทาเลียนเเน่ๆ ข้าพึมพำ
“……ถ้าเกิดเรื่องบังเอิญ กับไอ้หน้าใหม่”
“หืมม?”
“ถ้าเกิดเรื่องบังเอิญขึ้น ถ้าข้าตัดหัวเเกที่นี่ตอนนี้”
ข้าจับด้ามดาบของตัวเองไว้แน่น
ดันทาเลี่ยน จ้องมองมาที่ข้า
“ในตอนนั้น เเกจะทำสีหน้าแบบไหนกัน?”
“……”
ราวกับว่าประหลาดใจกับคำพูดของข้า ดันทาเลี่ยน ก็ลืมตากว้างออกมา จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นและระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น เสียงหัวเราะของจอมมารสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วท้องฟ้าฤดูเหมันย์ที่แห้งแล้งนี้
“ถูกต้องแล้วมิผิดเลย? อาฮ่าฮ่า. ใช่เเล้ว ข้าไม่ใช่คนที่จะรู้เรื่องทุกอย่างและมีอำนาจเหนือทุกสิ่งหรอกนะ มันก็มีโอกาสบ้างเเหละที่ข้าตัดสินใจผิด โอกาสของเจ้า มาร์เกรฟ จะเพิกเฉยต่อสายตาของลูกน้องทที่ถูกเผาจนตายและบั่นหัวของข้าออกมาได้ นั่นสินะ ……”
ดันทาเลี่ยน ทำท่ายื่นศีรษะออกมาจากคอ เพราะคอของมันยาวราวกับงู มันจึงดันศีรษะมาตรงอยู่หน้าข้า
“งั้นก็ฆ่าข้าซะเลยสิ”
“……”
“มาตกนรกไปด้วยกันเถอะ มาร์เกรฟ”
ดันทาเลี่ยนพูดจริง
ผู้ชายคนนี้พูดอย่างตรงไปตรงมา
“ผู้คนมักพูดว่านรกเป็นสถานที่ที่มีเปลวเพลิงมอดไหม้อยู่เสมอ เเต่นั่นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องหรอก ถ้านรกมีอยู่จริงๆละก็ มันก็ควรเป็นภาพของฤดูหนาวที่ทุกอย่างถูกแช่แข็ง ข้าไม่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับมันเลย ที่ราบฤดูหนาวยังคงดำรงอยู่ต่อไปเรื่อยๆ จนเจ้าลืมไปว่านี่คือฤดูหนาว ลืมไปว่าตัวเเกเองได้ถูกแช่แข็ง และท้ายสุด เเกก็ได้ลืมตัวตนของตนเองไปโดยเสียสิ้น ความไม่มีอะไรแน่นอนจะเข้ากลืนกินเรา มันจะไม่เหงาที่จะตกอยู่ในนรกโดยตัวเองรึไง หืม? ไปด้วยกันเถอะนะ มาร์เกรฟ พวกเราสองจะได้หายตายจากไปชั่วนิรันดร์……”
ข้าไม่อาจหักห้ามใจตัวเองไม่ให้ก้าวถอยหลังไปไม่ได้
ภายในดวงตาของไอ้บ้านี่มันไม่ปกติเเล้ว ข้าคิดมาตลอดว่ามันเป็นเพียงสีดำ แต่ภายในดวงตาสีดำนั้น กลับมีเลือดสีแดงฉานซ่อนอยู่ กลิ่นเลือดที่เล็ดลอดออกมาจากนัยตาคู่นั้น
จอมมาร.
นี่คือสิ่งที่จอมมารเป็น?
ที่ไหนสักแห่ง ที่อื่นที่ไม่ใช่ที่นี่ ข้าเคยเห็นดวงตาแบบนี้มาก่อน ข้าไม่ได้คิดไปเองเเน่ๆ ข้านึกไม่ออกว่าเคยเห็นดวงตาแบบนี้ที่ไหนมาก่อน
“อืม……”
ดันทาเลี่ยน หรี่ตาลง ในชั่วพริบตา เนตรเปื้อนเลือดของเขาก็หายไป สิ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่บนใบหน้าของเขา ที่ซึ่งความบ้าคลั่งได้หายไปเเล้วก็คือรอยยิ้มที่เเฝงความสนุกสนานออกมาเเทน
“เมื่อกี้เป็นแค่มุขตลกน่ะ หัวเราะออกมาเถอะ มาร์เกรฟ”
“……”
“เพื่อเป็นการเคารพเจ้าแบบเป็นการส่วนตัวน่ะนะ ข้าจะปล่อยนักโทษให้ 2 คนในแต่ละวัน ข้ามีเชลยศึกที่อยู่ในปราการของข้าจำนวน 98 คน ข้าเดาว่านั่นหมายความว่าการพักรบจะดำเนินต่อไปเป็นเวลา 46 วัน มีคำกล่าวบอกว่าผู้คนผูกติดกันด้วยการติดกระดุมเสื้อให้อีกฝ่าย แต่เนคไทที่เชื่อมระหว่างเจ้าและตัวข้านั้นน่าทึ่งมากไปกว่ากระดุมเสื้อนั้นมากนัก”
หลังจากพูดว่า ‘ไฮย่า’แล้ว ดันทาเลี่ยน ก็หันหัวม้าของตัวเองก่อนจะจากไป ดันทาเลี่ยน ได้หันมามองข้าและพูดขึ้น
“โอ้ใช่.เพราะเมื่อกี้เพิ่งตายไปเเล้ว 1 คน จึงไม่ใช่เชลยศึกทั้ง 98 คน แต่ตอนนี้เหลือ 97 คนเเล้วสินะ ข้าขอโทษ. ข้าอ่อนแอกับเลขคณิตน่ะ มันเป็นจุดอ่อนของข้า อันที่เเล้วจริงมันเป็นจุดอ่อนเพียงอย่างเดียวของข้าเลยน่ะ”
ขณะที่หัวเราะดันทาเลี่ยน กับกลุ่มทหารของเขาได้จากไป ทหารม้าเซ็นทอร์เดินตามหลังจอมมาร ในบรรดาทหารม้า มีปีศาจที่มีผมสีชมพูเป็นระยิบระยับอยู่ท่ามกลางพวกมัน ผู้หญิงคนนั้นน่าจะเป็นซัคคิวบัสลูกผสมที่ผู้คนเรียกกันว่า ‘นางสนมของกษัตริย์’
……ยิงพวกมัน ยิงพวกมันให้ตายไปเดี๊ยวนี้
ข้าไม่สามารถสั่งให้หน้าไม้ยิงออกไปได้ แม้ว่าปากของข้าจะอ้าขึ้นเเล้ว แต่คำพูดไม่ยอมออกมา ลูกน้องของข้าซึ่งถูกมัดไว้กับเสาไม้ มันยังคงติดตรึงตราอยู่ในดวงตาของข้า มันทำให้ข้าไม่กล้าออกคำสั่งเพราะเสียงคร่ำครวญของพวกเขายังดังก้องอยู่ในหู
แล้วข้าก็นึกขึ้นมาได้
ว่าใครกันที่มีดวงตาเหมือนกับจอมมารคนนั้น
– เเต่นายไม่สามารถซื้อความเคารพจากเราด้วยความจริงใจนั้นได้ หากนายต้องการให้เราเคารพล่ะก็ เหนือสิ่งอื่นใด ก็ต้องได้รับชัยชนะเสียก่อน
—แต่ถ้ามีโอกาสเล็กน้อยที่นายทำผิดพลาดล่ะก็…… เอาละเราคงจะผิดหวังกับมันมากเนาะใช่ไหม”
อา.
เจ้าหญิงจักรพร รดิ. มันคือเจ้าหญิงเอลิซาเบธแห่งจักรวรรดิ
คนที่มีนัยน์ตาเดียวกับเธออยู่ในกองทัพจอมมาร
คนที่มีจิตวิญญาณดั่งจอมมารทำไมถึงมาอยู่รายล้อมข้ากัน? เหล่าทวยเทพกำลังพยายามทดสอบข้าอยู่ใช่ไหม? จอมมารผลักดันข้าจากด้านหน้า และเจ้าหญิงจักรพรรดิก็ผลักข้าจากด้านหลังอีก ข้าที่อยู่ตรงกลางนั้น ไม่สามารถเลือกชีวิตหรือความภักดีได้อีกเเล้วในตอนนี้
หากข้าต้องยกทัพไปทำลายกองกำลังของจอมมารและข้ามภูเขาเเบล็คเพื่อรุกรานดินแดนปีศาจ นั่นย่อมเป็นหนทา งแห่งความจงรักภักดีที่แสดงถึงศักดิ์ศรีขององค์หญิงจักรพรรดินีได้ แต่ข้ากลับไม่แน่ใจว่าจะทำให้มันเป็นไปได้ได้ไหม
มันเป็นเรื่องยาก เพราะการที่จะละทิ้งชีวิตของตนเพื่อความจงรักภักดีเป็นเรื่องง่าย เพราะมันง่ายนี่เเหละการละทิ้งความจงรักภักดีเพื่อต่อชีวิตของพวกเชลย แต่เหตุใดจึงเป็นเรื่องยากที่จะเดินไปตามทางขณะที่ยึดมั่นทั้งชีวิตและความจงรักภักดีของตัวเองได้กัน……
(ผู้แปล: มาร์เกรฟบ่นว่า มันง่ายที่จะภักดี เเละยากที่จะทิ้งเชลย เป็นเรื่องยากที่มาร์เกรฟจะเลือกเส้นทางไหนดี)
มุมบ่นคนแปล: ผมไม่ค่อยเเน่ใจว่าที่มาร์เกรฟคุยกับดันทาเลี่ยนเขาใช้ระดับภาษาตัวเองเป็นอะไรตอนคุยกับดันทาเลี่ยน เพราะตอนคุยกับเอลิซาเเบท ผมใช้คำสุภาพกับเชื้อพระวงศ์ทั้งที่เป็นศัตรูกัน เเต่ดันทาเลี่ยนก็เป็นเชื้อพระวงศ์เเล้วก็เป็นศัตรูกันด้วย เเต่ผมกลับไม้ใช้คำสุภาพเเทน เหมือนตอนเอลิซาเบท คิดว่าเเบบไหนดีกว่ากันบอกกันมาได้ เพราะตอนต่อไปผมขอเเง้มไว้ว่า เจ้าดันทาเลี่ยนมันเหลี่ยมจริงๆเเล้วมันคุยเเผนกันเยอะด้วย