Dungeon Defence - ตอนที่ 59
ราชาแห่งไwร่ ลำดับที่ 71 ดันทาเลียน
ปฏิทินเอ็มไพร์: ปี 1506 เดือนที่ 2 วันที่ 25
เทือกเขาเเบล็ค ป้อมปราการพิสุทธ์
“ฝ่าบาท วางแผนจะพักรบจริงๆหรือ?”
โดยที่หัวม้าที่กำลังวิ่งของผมกับหัวม้าของลาพิสเข้ามาใกล้ชิดกัน ผมกับลาพิสจึงก้าวไปข้างหน้าพร้อมๆกัน เมื่อพวกทหารเห็นการกลับมาของเรา ทหารในค่ายของเราก็เริ่มเอาเชลยศึกลงมาจากเสา ผมพูดขึ้น
“ไม่เเน่นอนลาพิส ถึงแม้จะเป็นมาร์เกรฟก็ไม่สามารถทนได้นานเกินกว่าสองสามวันและจะกระโจนออกจากปราการพิสุทธ์ไปในไม่ช้านี้เเน่ๆ เพราะความยุติธรรมของชายผู้นั้นแข็งแกร่ง มันจึงไม่สามารถอดทนต่อพวกอันธพาลอย่างผมได้หรอก”
“แต่ว่าทำไมกันล่ะ……”
“ผมรับรองได้เลยว่ามาร์เกรฟจะเข้ามาโจมตีป้อมปราการของเราภายใน 10 วันเเน่ๆ ฟาร์นาเซ่ ได้ไปรอซุ่มซ่อนอยู่ในป่าเเล้ว? ทั้งหมดที่เราต้องทำคือแสร้งทำเป็นล่าถอย จากนั้นค่อยทำการตีกระหนาบมาร์เกรฟ”
“เราคนนี้เข้าใจแผนของฝ่าบาทเเล้ว”
เราเพิ่มความเร็วของม้าให้มากขึ้น ฝุ่นหิมะตลบลอยขึ้นมาจากกีบม้าที่กระทบพื้นลงไป ลมหนาวที่หนาวเหน็บกลืนกินผมเข้าไปทั้งตัว รู้สนุกดีเเฮะกับความรู้สึกที่ราวกับว่าร่างกายของตัวเองถูกแช่แข็งไปบางส่วน จากนั้นผมก็ระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นออกมา เป็นเพราะลมหนาวนั้นได้บอกว่าร่างกายของผมตอนนี้ยังมีชีวิตอยู่
“ลาพิส มาร์เกรฟน่ะ เป็นคนที่มีความยุติธรรมสูง ความยุติธรรมทำให้เขากลายเป็นตัวละครที่น่าหลงไหล อย่างไรก็ตาม ความน่าหลงไหลของเขากลายป็นข้อจำกัดของตัวเขาเอง ในทางกลับกัน คนที่ไร้ศึลธรรมนั้นน่ะมันเป็นหลุมลึกไม่มีสิ้นสุด และจากความว่างเปล่าที่ไร้ขอบเขตนั้น จึงไม่มีกรอบอะไรมาจำกัดได้ ค่อนข้างน่ายินดีนะที่ผมเป็นพวกหลุมลึกน่ะ! ไหนมมาดูกันซิว่ามาร์เกรฟสามารถจัดการกับความหฤหรรย์ที่ผมสร้างได้ยังไง? ต้องเป็นคนที่มีความยุติธรรมมากที่สุดในโลกมั้งถึงจะจัดการกับผมได้ คงจะน่าเสียดายสำหรับคนที่ไม่สามารถรับมือกับหฤหรรย์ของผมได้น่ะ”
“ก็ดีที่ฝ่าบาทยังคงร่าเริงได้อยู่”
ลาพิสเก็บม้าไว้ในคอกใกล้ ๆ กับผม จากนั้นเธอก็พูด
“ฝ่าบาทแน่ใจเเน่นะ ว่ามาร์เกรฟจะออกมาภายใน 10 วันจริง”
“แน่นอน. ผมเชื่อในความชอบธรรมของเขา”
“ถ้าเป็นเช่นนั้นเหลือ นักโทษไว้ 20 คนก็เพียงพอ”
“……”
“เราไม่มีเหตุผลที่จะต้องเลี้ยงนักโทษและสูญเสียเสบียงอาหารเพิ่ม”
ด้วยบังเหียนในมือของผม ผมได้จ้องตรงไปที่ลาพิส ลาพิสไม่กะพริบตาแม้ลมหนาวพัดมาปะทะใบหน้าของเธอ
“ลาพิส”
“คะ ฝ่าบาท?”
“ถ้าเธอตายเธอต้องตกนรกแน่ๆ”
“เข้าใจแล้ว. นั่นคือเหตุผลที่เราคนนี้จะไม่ตาย”
ลาพิสสบตาผม
“มีใครบางคนเขาบอกว่า ชีวิตของเราคนนี้มีค่ามากกว่าฝ่าบาทเสียอีก’ เเละเพราะเป็นชีวิตที่มีคุณค่า เราคนนี้จะต้องดูแลมันให้ดีได้เเน่นอน”
ผมไม่อยากจะเชื่อเลย
ผมเลยถามออกไป.
“เธอไม่สงสารพวกเชลยชั้นต่ำบ้างเลยรึไง”
“เราคนนี้จะไม่ทำผิดพลาดในการเอาชีวิตเพราะสงสารในตัวเชลยศึกหรอกนะ พวกมันเป็นกลุ่มคนที่สามารถโจมตีเราคนนี้หรือฝ่าบาทได้ตลอดเวลา เราผู้นี้จะคนฆ่าพวกมันเอง เพราะว่าเราผู้นี้ได้เข้าใจและยอมรับกำลังของตนเองเเล้ว”
ลาพิสพูดเรียบๆ
“อันที่จริง เราคนนี้ต่างหากที่เคารพพวกเชลยศึกด้วยความจริงใจไม่ใช่หรือ
อ่า. มีวิธีใหนบ้างที่ผมจะไม่หัวเราะออกมาในตอนนี้บ้างเนี่ย?
ขณะเกิดพายุหิมะขึ้นข้างหลัง เรากลับไปที่ค่ายของเรา
ทันทีที่เรากลับมา เราก็ได้ตัดหัวพวกเชลยศึกออกไป 77 คน
▯ฆาตกรล้างสายเลือด เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิ อลิซาเบธ ฟอน ฮับส์บวร์ก
ปฏิทินเอ็มไพร์: ปี 1506 เดือน 2 วันที่ 29
ภาคเหนือของจักรวรรดิฮับส์บูร์ก
-เดือนที่ 2 วันที่ 25 กองกำลังของศัตรูได้เข้ายึด ปราการทมิฬไปแล้ว กำลังทหารศัตรูประมาณ 3,000. นาย ผู้บัญชาการคือ จอมมารดันทาเลี่ยน กองกำลังหลักส่วนใหญ่ของเราประจำการอยู่ใน ปราการพิสุทธ์ มันเป็นปราการที่ได้รับการป้องกันความปลอดภัยอย่างสมบูรณ์แบบ เรามีเสบียงเพียงพอและมีอาวุธเพรียบพร้อม อีกทั้ง ม่านหมอกจะลงมารุนแรงยิ่งกว่าเดิม ภูเขานั้นปลอดภัยดี
เป็นเวลาเนิ่นนาน ที่เราเพ่งดูรายงานที่มาร์เกรฟส่งมา เพราะเราได้ตรวจสอบมันนานมากๆ จึงเข้าใจเนื้อหาภายในของมันดี
……เป็นเพราะ มาร์เกรฟ กลัวเรา เพราะเขาเกรงกลัวเราเเเน่ๆ เขาพยายามไม่บอกข้อมูลใดๆเเก่เราเเละพยายามที่ จะซ่อนมันไว้ เขาเขียนข้อมูลที่ไม่สำคัญอะไรลงไป มาร์เกรฟไม่รู้รึไงว่าการพยายามไม่บอกอะไรเราเลย จริงๆแล้วจะเป็นการบอกทุกๆอย่างออกมาแบบละเอียด? พยายามหลบเลี่ยงเราโดยแสร้งทำเป็นไม่รู้งั้นเหรอ? ความตั้งใจที่แท้จริงที่ทำลงไปคืออะไรกันเเน่ ทั้งที่ส่งรายงานนี้มาให้โดยผู้ส่งสารเเต่คนส่งกลับไม่ใช่ผู้วิเศษ ข้อความเลยเพิ่งมาถึงวันนี้ทั้งที่วันส่งมันคือวันที่ 25……?
เราฉีกรายงานออกจากกัน
สิ่งนี่ไม่ใช่รายงาน เเต่เป็นเสียงบ่นจากชายชรา ที่เขียนลงบนกระดาษแผ่นนี้ เนื้อหาไม่มีสาระอะไรเลยมีเเต่การใช้คำซ้ำซาก เราจึงทำให้เศษกระดาษเเผ่นนี้กลายเป็นขยะ เราชินเเล้วล่ะกับการเปลี่ยนขยะให้เป็นเศษขยะอีกรอบ
เหงื่อเย็นไหลอาบคอของพวกขุนนางขณะที่ดูเราฉีกรายงานของมาร์เกรฟ เราก็พูดขึ้น
“ฟังให้ดี. มาร์เกรฟ บอกว่าภูเขานั้นปลอดภัย เราได้มอบศรัทธาแก่มาเกรฟไปเเล้ว เเล้วพวกเจ้าว่าคิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้?”
พวกขุนนางพูดพร้อมกัน
– ทำตามที่ท่านประสงค์
เป็นคำที่มีความหมายพอๆ เหมือนไม่ได้พูดอะไรเลยจริงๆ
เสียงหัวเราะไหลออกมาจากริมฝีปากของเรา พวกขุนนางสะดุ้งทันทีที่ได้ยินเสียงหัวเราะ เราไม่ค่อยแน่ใจในเหตุผล แต่คนรอบข้างจะหวาดกลัวทุกครั้งที่เราหัวเราะ เป็นเหตุการณ์ที่แปลกประหลาดเสียจริง
“เราเห็นว่าพวกเจ้าทุกคนคงทำตัวไม่ถูก พวกเจ้าแต่ละคนมีหัวและปากเป็นของตัวเอง แต่ทำไมคำพูดของพวกเจ้าถึงออกมาเป็นเสียงเดียวกันได้ยังไง? สมควรเเล้วหรือที่เรียกการกระทำแบบนี้ว่าเป็นการสร้างความสุขอันยิ่งใหญ่ให้จักรวรรดิเพราะเหล่าขุนนางสามัคคีเป็นเสียงเดียวกัน? เป็นการสมควรเเล้วใช่ไหมที่เราจะไว้ชีวิตขุนนางเพียงคนเดียวในขณะเราปลิดชีวิตคนที่เหลือทิ้งไป เพราะพวกเจ้าเอาเเต่พูดคำเหมือนๆกันซ้ำๆกันไปหมด? นี่คงเป็นความคิดที่ดีทีเดียวเพราะเราจะสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายพระคลังได้ด้วยอีกเเรง”
พวกขุนนางต่างก้มกราบลงกับพื้น
– ได้โปรดไตร่ตรองใหม่ด้วย!
คนพวกนี้เเม้กระทั่งสติก็ไม่มี ปัญญาก็อ่อนอีก
สามวลีที่เราดูถูกที่สุดในโลกคือ ‘คำพูดของท่านช่างล้ำลึกยิ่งนัก’, ‘เราเป็นคนสำคัญอย่าตัดขาดเรา’ และ ‘ได้โปรดไตร่ตรองใหม่ด้วย’ มันไม่ใช่ทั้งคำพูด แต่เป็นภาพหลอน ไม่ว่าเราจะพูดอะไรออกมา พวกมันก็จะแปลเป็น’คำพูดของท่านช่างล้ำลึกยิ่งนัก มันเป็นเหมือนคำพูดที่จะคอยอุดปากเราไว้ ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่เราได้ยินสามวลีนี้ เราจึงได้สรุปตีความมันเป็นบรรทัดเดียว
‘ท่านช่วยกรุณาอยู่เงียบๆด้วย.’
ถ้าพวกเขาบอกให้หุบปากก็จะทำ เราจะทำอะไรได้อีกล่ะ
เราหุบปากแล้วเดินออกจากเต็นท์ไปทันที พวกขุนนางลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและเดินไล่ตามมา การที่ขุนนางตามมาบริวารของพวกขุนนางก็ต้องตามมาด้วย ทั้งบริวาร ทั้งอัศวิน และลูกน้องของอัศวินต่างก็รีบตามมาเช่นกัน จนกระทั่งในที่สุด มีคน 200 คนกำลังเดินติดตามคนเพียงคนเดียว แม้จะไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรออกมาสักคำ
มันเป็นภาพที่ตลกดีเเท้ แม้ว่าจะเป็นภาพที่น่าขบขันเพียงไหน แต่ก็ไม่มีใครหัวเราะไปกับมัน เพราะทุกคนจะกลัวถ้าเราหัวเราะ เราจึงละเว้นจากการทำเช่นนั้น เราหันไปตะโกนบอกคน 200 คนที่อยู่ข้างหลังเรา ……เอ้า…จงหัวเราะออกมาซะหัวเราะออกมาให้กับชีวิตน้อยๆของพวกเจ้า หัวเราะออกมาสิ. เราบอกให้พวกเจ้าหัวเราะ
ในขณะนั้น ข้าราชการชั้นต่ำหลายร้อยคนขยับกล้ามเนื้อบนใบหน้าอย่างแรงและเริ่มหัวเราะ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าพวกมันหัวเราะออกมาพร้อมกัน
นี่มันน่ากลัวจริงๆ
เหมือนกับฝันร้ายที่ปรากฏในความฝันเลย
หลังจากวันนั้นเราก็ไม่เคยสั่งให้หัวเราะอีกเลย มันกลายเป็นความเสียใจ เราเคยหวังไปได้ยังไงกันนะที่ว่าคนที่พูดไม่เก่งสามารถหัวเราะได้อย่างเหมาะสม?
พวกเขาไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นวิญญาณร้าย พวกเขาพยายามทำตัวแบบวิญญาณร้ายและก็กำลังจะพบกับจุดจบแบบที่วิญญาณร้ายควรจะเป็น มันเป็นวิถีทางของโลกสำหรับพวกเขาที่เลือกใช้ชีวิตเเบบนี้เอง เพราะเราเชื่ออย่างนั้นไปเเล้ว จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องปล่อยให้พวกเขาหลงอยู่ในคารมณ์ของตนเอง สำหรับมนุษย์แล้ว คำพูดควรมีไว้เป็นวิธีการสื่อสารของจิตใจภายใน แต่มนุษย์กลับใช้คำพูดเหล่านั้นเพื่อปิดบังจิตใจและบิดเบือนมันไป ทำให้คำพูดไม่อาจสื่อความหมายที่แท้จริงไว้ได้สักเพียงส่วนเดียวหรือไม่อาจจะบอกความรู้สึกเพียงเล็กน้อยได้เลย .
มีที่ราบทอดยาวต่อหน้ากลุ่มคน 200 คน มีเสาไม้ปักไว้บนดินที่นี่เต็มไปหมด ออร์ค ก๊อบลิน มิโนทอร์ และปีศาจที่คล้ายกันอื่นๆ ถูกมัดไว้ที่เสา ปีศาจหนึ่งตัวเรียงเเถวกัน มันเป็นนักโทษที่กองกำลังของเราจับได้
อันดับ 68 จอมมารบีเลียล
หน่วยที่แยกออกมา ขณะทำการลาดตระเวน ได้พบกับจอมมารโดยบังเอิญและจับตัวแบบเป็นๆมาได้ เเละนำมาติดกับเสาไม้ บีเลียลจ้องมาที่เรา เราไม่ได้ใช้เชือกมัดจอมมารติดกับเสา แต่เป็นการตอกเขาไปที่เสาแทน ปักฝ่ามือ ข้อมือ และข้อเท้าติดกับไม้โดยละม่อม บีเลียลคร่ำครวญเป็นภาษาปีศาจขณะเลือดออก
“……ข้าขอสาปแช่งพวกเเก สาปแช่งพวกเเกทั้งหมด พวกเเกที่เป็นดั่งโรคระบาดของทวีปนี้ เทพธิดาจะไม่มีวันให้อภัยพวกเเกทุกคนเเน่ๆ คำพิพากษาจะตกอยู่ที่เผ่าพันธุ์ของเจ้าซึ่งเหยียบย่ำและเผาบ้านของพวกข้า……”
พวกขุนนางก็พูดพึมพำกันข้างหลังเรา พวกเขาไม่เข้าใจภาษาปีศาจ พวกเขายังไม่รู้จักวิธีใช้ภาษาของจักรวรรดิได้อย่างถูกต้องเลย นับประสาอะไรจะไปรู้ภาษาของเผ่าพันธุ์อื่นได้
เราหยิบมีดออกมา เป็นใบมีดชนิดหนึ่งที่ใช้ในการฆ่าสัตว์ หลังจากเห็นใบมีด บีเลียลก็ลืมตากว้าง จอมมารพึมพำอย่างสิ้นหวังมากขึ้น
“โอ้ พระเจ้า โอ้ เทพธิดา ได้โปรด โปรดลงโทษผู้ที่อยู่เบื้องหน้าข้าด้วย ลงโทษความอยุติธรรมด้วยความชอบธรรม และล้างคืนเลือดด้วยเลือด ในฐานะผู้รับใช้ที่เเสนอ่อนแอของท่าน ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนอย่างนอบน้อม โอ้เทพธิดาทรงโปรด……”
“สวดไปก็เปล่าประโยชน์”
จอมมารหันมามองเรา
“อะไรนะ?”
“โอ้เจ้าจอมมารผู้อ่อนแอเอ๋ย เราเเค่บอกว่ามันไร้สาระ”
“ก…เเก เเกเป็นใคร…… รู้ภาษาของพวกเราได้ยังไงกัน……”
“ไม่มีใครเป็นเจ้าของภาษาทั้งนั้นทั้งเจ้าหรือว่าเรา ดอกไม้ก็ยังคงเป็นดอกไม้ ถ้ามันจะบานในสวนของเรา แม้ว่าดอกไม้จะเบ่งบานบนตัวของเจ้า มันก็ยังคงเป็นดอกไม้ธรรมดาๆ ปกติเรามักความสุขเมื่อได้ชมดอกไม้ที่เราเป็นเจ้าของ เราจึงไม่ได้รังเกียจอะไรที่จะเรียนรู้ภาษาใหม่ๆ”
บีเลียลจ้องมาที่เรา
“เจ้าคิดจะทำอะไรกับข้า เจ้ามนุษย์?
“ปลิดชีวิต”
เราหยิบหินลับมีดและลับมีดลงไป แรงสั่นสะเทือนที่หลุดออกจากเหล็กในขณะที่ถูกหินลับให้แหลมนั้น ถูกส่งมายังฝ่ามือ บีเลียลมองดูเราลับใบมีดด้วยความงุนงงพูดไม่ออก
“เจ้าเห็นธงที่โบกสะบัดอยู่อีกฟากหนึ่งของที่ราบไหม? นั่นคือกองทัพที่นำโดยจอมมารมาร์บาส สนามเพลาะถูกขุดลึกเข้าไปในแนวหน้าและมีรั้วไม้ตั้งขึ้นมา มันเป็นเเนวการป้องกันที่ไม่ธรรมดาจริงๆ การรีบเข้าไปทำลายมันอาจไม่ใช่กลยุทธ์ที่ได้ผลประโยชน์มากที่สุดสำหรับเรา นั่นคือเหตุผลที่เราวางแผนจะล่อศัตรูมาที่นี่ด้วยตัวเอง”
“ฮะ เซอร์มาร์บาสเป็นผู้นำกองทหารม้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกปีศาจ เขาไม่ใช่คนที่จะแพ้คนอย่างเเก”
“ขอโทษนะเจ้า จอมมาร รู้ไหมว่าเราคนนี้เป็นใคร”
“อะไร?”
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่รู้จักเรานะ ฟังจากจากที่เพิ่งพูดเมื่อกี้นี้เเล้ว
“……และเเกเป็นใครกันแน่ถึงพูดแบบนี้ออกมา”
ดี.
ใบมีดถูกลับจนคมดีเเล้ว
เราใส่เหล็กของใบมีดลงไปในกองไฟเพื่อทำให้ร้อน
“เราชื่อเอลิซาเบธ ฟอน ฮับส์บวร์ก เเละยังมีอีกสองสามชื่อที่ไม่ได้บอก แต่เราจะละเว้นชื่อพวกนั้นให้เเล้วกัน จอมมารบีเลียล แม้จะเป็นเวลาสั้นๆ ที่เจ้ามาอยู่ในความดูเเลของเราเเละ เราจะเป็นคนสุดท้ายที่เจ้าจะเห็นในวินาทีสิ้นสุดของชีวิต”
“……!”
มาร์บาสจะไม่อยู่เฉยแน่นอน หากทหารของเขาได้เห็นว่าจอมมารถูกเชือดเนื้อเถือหนังทั้งเป็นต่อหน้าต่อตาพวกทหาร ปีศาจจะโกรธเเค้นเเละไม่ยอมสงบสยบโทสะความโกรธนั้นได้ พวกมันต้องจะทะลวงกำแพงเเละออกมาจากสนามเพลาะที่ปลอดภัยของพวกมันเพื่อโจมตีเรา
ดูเหมือนว่าบีเลียลจะเข้าใจเจตนาของเราเเล้ว เขาเริ่มดิ้นรนอย่างสิ้นหวัง แน่นอนว่าบีเลียลซึ่งร่างกายของเขาถูกตอกตะปูก็ไม่สามารถที่จะหนีไม่พ้นไปได้
“ไม่นะ! ท่านมาร์บาส อย่าได้มา! ได้โปรดปล่อยข้าให้ได้ตายดีเถอะ!”
“ยอมแพ้ซะ. ต่อให้ร้องไห้มากแค่ไหน พวกมันก็ไม่ได้ยินเจ้าหรอก”
“ไม่! อัก….อ๊ากกกกกกกก! ยะอย่า ไอ้สารเลวเอ้ยยยยย!
“ช่างน่ารำคาญอะไรแบบนี้นะ”
เป็นคนประเภทที่ชอบหวังอะไรลมๆเเล้งๆเสียจริง
เรากดมีดลงกับผิวหนังของอีกฝ่าย ใบมีดเฉือนเนื้อของจอมมารอย่างราบรื่นราวกับเป็นเนย เสียงร้องไห้ดังขึ้นออกมา เราเล็งจังหวะที่ลิ้นถูกยื่นออกมาจากปากของเขา เเล้วจึงตวัดมีดตัดปลายลิ้นออกมา เสียงกรี๊ดดังขึ้นอีก เสียงร้องของบีเลียลที่ได้สูญเสียร่างกายไปและทำให้กลายเป็นเพียงเสียงคร่ำครวญแห่งความเจ็บปวด
เราเหลือบไปมองผู้วิเศษ นักเวทย์ผงกศีรษะของเขาและเปิดใช้งานคาถาเพิ่มความดังของเสียงอย่างลับๆ นับจากนั้นต่อมา เสียงกรีดร้องของบีเลียลก็ดังขึ้นมากๆและดังก้องไปทั่วที่ราบทั้งหมด ทุกครั้งที่นิ้วหรือนิ้วเท้าของบีเลียลถูกตัด ทหารของพวกเราก็ส่งเสียงเชียร์มากขึ้นๆ
ตอนที่เราเริ่มลอกแก้มบีเลียล พวกขุนนางก็กู่ร้องตะโกน
— ฝ่าบาท กองกำลังศัตรูกำลังเคลื่อนตัว มันคือธงของมาร์บาส!
— กองทหารของศัตรูกำลังจู่โจมจนเต็มกำลัง!
พวกขุนนางชี้ไปทางด้านหน้า
พวกเขาพูดถูก ธงปีศาจโบกสะบัดอย่างรุนแรง เสียงแตรดังสนั่นไปทั่วทุ่งราบด้านที่ชี้ไป พวกเขากำลังเตรียมที่จะเอาคืนในไม่ช้า เราทำความสะอาดมีดด้วยผ้าขนหนู
“ตั้งใจฟังให้ดี. กองกำลังของศัตรูกำลังตื่นตระหนก พวกเขาจะโจมตีเราด้วยการละทิ้งเเนวป้องกันโดยประมาท อย่าทำตัวเป็นศัตรูกับพวกมันในเเนวป้องกันของพวกมันที่นั่น เเต่ลากพวกมันเข้ามาในอาณาเขตของเราและล้อมตีกรอบพวกมันไว้ จงตีกลองและเป่าแตรอย่างทรงพลัง เคลื่อนทัพอย่างสงบในขณะที่กองทหารของศัตรูไม่สามารถฟื้นคืนสติ จากเสียงของบีเลียลที่ทำให้เกิดความโกลาหล พวกเจ้าเข้าใจเเล้วใช่ไหม?”
พวกขุนนางทุบหน้าอกด้วยแขนขวา
– ทราบพะยะค่ะฝ่าบาท!
การต่อสู้ดำเนินต่อไปจนถึงเย็น
กองกำลังของศัตรูปะทะกับแนวป้องกันของเราด้วยร่างกายที่เปลือยเปล่า กองทหารม้าที่นำโดย มาร์บาส นั้นทรงพลัง อย่างไรก็ตาม ทหารม้าของพวกเขาเหน็ดเหนื่อยจากการขึ้นไปบนเนินเขา ฝีเท้าที่ช้าลงโดยติดอยู่กับรั้วไม้ เเละถูกทหารหอกเข้าขัดขวาง และคนข้างหน้าก็ถูกหน้าพลหน้าไม้ยิงจนตาย ปีศาจพยายามโจมตี 4, 5 และ 6 ครั้งและล้มตายลงซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ในที่สุด กองทหารของศัตรูก็ถอยกลับ หลังจากที่พวกเขาล้มเหลวในการบุกทะลวงแนวรับของเราเป็นครั้งที่ 7 การุถอยหนีของพวกมันก็ไม่รวดเร็วเท่ากับตอนที่เข้าโจมตีเรารอบแรกเเล้ว เเละเราเองก็ไม่พลาดโอกาสนั้นเเน่ๆ
“ไล่ตามพวกมันไปและฉีกกระชากพวกมันเป็นชิ้นๆ”
กองอัศวินของเราพุ่งไปข้างหน้า เพราะได้มีช่วงเวลาพักตอนที่ถูกโจมตี อัศวินตอนนี้จึงเต็มไปด้วยพละกำลัง
ที่ด้านหลังของศัตรูถูกฟันด้วยใบดาบที่เหวี่ยงโดยอัศวินของเรา ทหารของศัตรูก้มหน้าลงที่ส่วนทางลงของเนินเขา ศพครึ่งหนึ่งล้มลงและร่วงลงมาจากเนิน และเมื่อร่วงลงไปถึงเชิงเขา พวกมันก็กลายเป็นซากศพที่ตายไปเรียบร้อยเเล้ว ทีละคนๆ ศพกึ่งตายกลิ้งลงมาตามเนินเขาทีละคน การล่าถอยของศัตรูได้เปลี่ยนเป็นความพ่ายแพ้ เบเลียลที่ถูกตอกจากเสาไม้ ยังไม่ตาย เขากำลังเฝ้าดูการต่อสู้ที่กลายเป็นการสังหารหมู่ด้วยดวงตาที่ตื่นตัว เขาร่ำไห้ด้วยเลือดที่อุดตันในลำคอ
— อ……อุว๊ากกกกกก ฮว๊ากกกกกกก……อ๊ากกกกกกกกก! อกอกอดกอกอดกกออดเิกิ!
ต่อมาในตอนเย็น หิมะเริ่มโปรยปรายจากฟากฟ้า มีทหารศัตรูจำนวนมากที่เสียชีวิตบนเนินเขาขณะแหงนมองท้องฟ้า พวกมันตายด้วยตาและปากที่ยังไม่ปิดสนิท หิมะและลมได้พัดเข้าไปช่องว่างที่เปิดอยู่ เเละเพราะศพเริ่มที่จะเย็นลง หิมะจึงไม่ละลายและเกาะอยู่บนร่างกายอย่างแน่นหนา หิมะค่อยๆตกลงมาๆสะสมอยู่ในปากศพไป้เรื่อยๆ
เราฟันคอของบีเลียลแล้วโยนหัวทิ้งลงไปในหิมะ มีหัวจำนวนมากถูกฝังอยู่ใต้กองหิมะจนยากที่จะแยกหัวอื่นๆ ออกจากหัวของบีเลียล แม้ว่าก็อบลิน เซนทอร์ และมนุษย์ล้วนมีรูปลักษณ์ที่แตกต่างกัน แต่รูปร่างที่พวกมันหลังความตายก็เกือบจะเหมือนกัน นั่นเเหละคือชีวิต ชีวิตที่ไม่เหมือนกันเพราะพวกมันมีชีวิตอยู่ กับพวกที่ตายไปเเล้ว เเต่ตอนที่พวกมันตายก็เป็นเหมือนๆกันหมด……แม้นว่าชีวิตควรจะสามารถเข้าใจซึ่งกันและกันได้ เเต่เพราะความกลัวและความไม่รู้ต่อความตาย พวกเขาที่ไม่อยากสัมผัสกับความตาย ในช่วงชีวิตของพวกเขา ที่เเท้จริงแล้ว ปีศาจและมนุษย์ถูกแยกจากกันพวกเขานั้นล้วนไม่เหมือนกัน และมีแนวโน้มว่าจะต่อสู้กันต่อไปชั่วนิรันดร์…… หลังจากมองดูหัวที่ถูกตัดหัวซึ่งถูกฝังอยู่ในกองหิมะชั่วระยะเวลาหนึ่ง เราก็หันออกไป
ระหว่างทางกลับเต็นท์ ขุนนางและทหารยืนเรียงแถวกันกระหนาบทั้งสองข้าง พวกเขาทั้งหมดถูกเปื้อนสีเเดงไปด้วยเลือด ขณะที่เราเดินไปตามทาง พวกเขาก็คุกเข่าลงทีละคน
– ฝ่าบาท.
– ท่านคือผู้ชนะ
ที่ปลายทางเดิน พี่ชายของเรายืนอยู่ที่ทางเข้าเต็นท์ ไม่มีเลือดเปรอะเปื้อนบนชุดเกราะของเขา
เมื่อเราเข้าไปใกล้ อัศวินของพี่ชายถอยออกหนึ่งก้าว เราปัดฝุ่นบนไหล่ของพี่
“โล่งใจจริงๆที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ ท่านพี่”
พี่ชายของเราตัวสั่น
“เธอ…… เธอมันปีศาจ”
“เรารู้. เเล้วมีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”
“……”
“เราถามว่ามีปัญหาอะไรไหม”
พี่ชายของก้มหัวลง เขาพึมพำบางอย่างด้วยเสียงต่ำ แต่เราก็ไม่ได้ยินเสียงของเขา
น่าสงสารจัง
เราสัมผัสได้ถึงความรู้สึกสงสารความจองหองเล็กๆ น้อยๆ และจิตใจที่ดื้อรั้นของเขา เราจึงเมินพี่ชายออกไปและเข้าไปในเต็นท์ของตัวเอง เขาเป็นผู้ชายที่ไม่สามารถจ้องมองคนได้นานๆนักหรอกเว้นแต่จะไปนอนกับเขาล่ะนะ
พวกสาวใช้เริ่มเข้ามาเพื่อถอดเสื้อผ้าและทำความสะอาดร่างกายของเรา
ขณะเช็ดหน้าท้องส่วนล่างของเรา หัวหน้าสาวใช้ก็กระซิบออกมา
“ฝ่าบาท มีข้อความจากจอมมาร ไพม่อน มาถึงแล้ว”
“เอาไว้ก่อน เดี๊ยวเราจะรับฟังมันทีหลัง”
หัวหน้าสาวใช้ก้มศีรษะของนาง
ด้วยร่างกายที่บริสุทธิ์เเล้วตอนนี้ เรานั่งลงบนแผงหนังสือ
ลมหนาวพัดเข้าสู่ร่างกายของเราที่เย็นยะเยือก เนื่องจากเต็นท์ไม่สามารถกันลมได้ ฤดูหนาวจึงสามารถเข้ามาข้างในได้ทั้งหมด ความคิดในหัวเราเริ่มที่จะกระจ่างชัด หวนนึกถึงรายงานที่มาร์เกรฟส่งมาและเพิ่งมาถึงตอนรุ่งสาง
เราหยิบปากกาขนนกและเริ่มขยับมือเขียน มันออกมาเป็นคำเดียว
— Victory(勝). ชัยชนะ