Dungeon Defence - ตอนที่ 69
ผู้พิทักษ์แดนเหนือ มาร์เกรฟแห่งโรเซนเบิร์ก จอร์จ ฟอน โรเซนเบิร์ก
ปฏิทินเอ็มไพร์: ปี 1506 เดือนที่ 3 วันที่ 12
ที่ราบเนริส ค่ายพักแรมของกองทัพจักรวรรดิ
ศัตรูมาถึงปลายพื้นที่ที่ปกคลุมไปด้วยหมอกหิมะ
ในตอนนี้เป็นตอนกลางคืนเเล้ว หน่วยสอดเเนมได้มารายงานข้าถึงการมาถึงของศัตรู ข้าจึงเดินออกไป พายุหิมะและหมอกปะปนกันทำให้ยากต่อการแยกแยะว่าสิ่งใดที่อยู่ตรงหน้าข้าได้ หน่วยสอดแนมกำลังหายใจหอบอย่างหนัก
“กระผมได้เห็นมันมาเเล้วครับ. ท่านแม่ทัพ กระผมได้เห็นมากับตาเลย แน่ใจเเล้วเเน่ๆ. ซากศพ ซากศพเยือกแข็งกำลังเข้ามากันเป็นฝูงเลยครับท่านน อ่าาาาา ผมเห็นมาจริงๆ……”
ข้าปัดหิมะออกจากไหล่ของพลสอดเเนม ภายในตระกูลโรเซนเบิร์ก บันทึกสงครามที่เขียนโดยบรรพบุรุษของเราที่ได้สืบทอดมาหลายชั่วอายุคน รายงานที่หน่วยสอดแนมได้บรรยายสรุปนั้นถูกต้องตรงตามลักษณะที่อธิบายไว้เกี่ยวกับ จอมมาร บาบาร์ทอส ไม่มีอะไรต้องแปลกใจไปเกี่ยวกับข้อมูลเรื่องนี้
“อย่ากังวลไป ข้าเชื่อคำพูดของเจ้า.”
“ท่านเชื่อคำพูดของกระผมจริงๆอย่างนั้นเหรอท่านเซอร์โรเซนเบิร์ก? ท่านเชื่อคำโง่ ๆ พวกนั้นจริงๆใช่ไหมครับ”
องค์ชายมาหาข้าอย่างรวดเร็วหลังจากได้ยินเกี่ยวกับรายงานเร่งด่วน ข้าขบขันในใจเพราะ องค์ชายอยู่ในชุดนอนและมีเสื้อคลุมขนสัตว์พาดไปที่บ่าอยู่ ข้าสงสัยว่าเขาดื่มเหล้าตลอดทั้งคืนหรือเปล่าเพราะแก้มกลายเป็นสีแดง
“เพราะข้าเห็นว่าอายุของเจ้ามากกว่าข้าหรอกนะ ข้าเลยยกตำเเหน่งผู้บัญชาการที่ยิ่งใหญ่ตอนนี้ให้ เเล้วก็เรื่องงโบร่ำโบราณที่ตระกูลเจ้าโรเซ็นเบิร์ก บันทึกไว้ว่าศพจะเคลื่อนไหวมันจะเป็นไปได้ยังไงกัน”
“หัวหน้าศัตรูคือจอมมารบาร์บาทอส ในบันทึกของสงครามศักดิ์สิทธิ์ครั้งก่อน มีข้อความมากมายที่เกี่ยวกับของบาร์บาทอสที่ใช้ศาสตร์มืดเพื่อควบคุมคนตายไว้ด้วย”
“หึ บันทึกพวกนั้นน่าจะผิดเเล้วล่ะ เจ้าควรคิดโดยใช้สามัญสำนึกให้ดี ถึงเเม้ข้าผู้ยิ่งใหญ่คนนี้จะเมาร่ำสุรา แต่ข้าก็มองโลกได้ถูกต้องที่ควรเป็น ในขณะที่เจ้าดูเหมือนว่ามีสติสตางค์ครบถ้วน เเต่กลับมองโลกราวกับว่ามันกลับหัว เพราะว่าเจ้าไม่ยอมร่ำสุราไงล่ะ ทีนี้มาลองแอลกอฮอล์บ้างสิ มาดื่มไปด้วยกัน”
”ฝ่าบาท ท่านองค์ชาย”
“โอ้? เจ้ากำลังพูดว่าจะไม่รับแก้วจากข้างั้นเหรอ?”
“ท่านเป็นบ้าอะไรไป……? ข้าเพียงต้องการปกป้ององค์รัชทายาทจากปีศาจศัตรูเท่านั้น”
“คนที่เเม้เเต่กำแพงเดียวยังไม่สามารถปกป้องได้เเล้วเจ้าจะมามีปัญญาคุ้มครองข้าได้ไงกัน”
มกุฎราชกุมาร พูดกับข้าอย่างเย้ยหยัน ข้าปิดปากของตัวเองลง
“ข้าล้อเล่นน่า. อย่าอารมณ์เสียไปเลยสิ”
“ท่านที่เคารพ คำพูดของท่านมันเหลือคณาจริงๆ ”
“ตายจริง เจ้าตั้งใจที่จะไม่ดื่มกับข้าจริงๆงั้นเหรอ แม้ว่าเจ้าในตอนนี้ เซอร์ โรเซนเบิร์ก เป็นเจ้านี่เเหละที่ต้องการสุรามากที่สุดเเล้ว เจ้านี่ทำข้าเป็นห่วงจริง ข้าน่ะกังวลอย่างจริงใจเลยนะ เซอร์โรเซนเบิร์ก เจ้าจะอดทนกับโลกใบนี้ได้ยังไงอีกถ้าขาดแอลกอฮอล์ไป”
องค์ชายนำขวดแอลกอฮอล์ออกจากเสื้อคลุมขนสัตว์ของเขา เเต่เพราะองค์ชายตอนนี้กำลังมึนเมา ขวดจึงหลุดออกจากมือ ขวดตกลงไปในหิมะเลยไม่แตก โอ้อนิจจา เจ้าขวดสินล้ำค่า…… องค์ชายทรงเปล่งเสียงเอะอะโวยวายออกมา เขาเป่าหิมะที่ติดอยู่บนขวดออกไป เจ้าสิ่งล้ำค่าเจ้าขวดอันเเสนล้ำค่านี้…
ข้าพยายามจ้องมองผ่านพายุหิมะออกไป แต่ข้าไม่เห็นอะไรเลย ถึงแม้ว่าข้าจะมองไม่เห็นอะไรเลย แต่ข้าก็สั่งให้แม่ทัพจัดเเถวกองทหาร ทหารที่เจ้าหญิงจักรพรรดิทิ้งไว้เบื้องหลังล้วนเเล้วมีแต่พวกผู้สูงอายุทั้งเเก่และอ่อนแอ หรือไม่ก็เป็นคนที่เหนื่อยล้าและป่วยหนักจนไม่สามารถเอาชนะคืนอันหนาวเหน็บได้ ทหารและพลหน้าไม้วางอาวุธลงบนพื้นและเอาฝ่ามือถูกับขาตัวเองเเล้วพูดออกมา อาาาา มันหนาวเหน็บมากจนข้าเจียนตายได้เลย……ทหารแก่โอดครวญ เสียง อ่า…… อ่า…… ปะปนไปกับเสียงลมที่เกิดจากลมหิมะ
องค์ชาย พูดถามมาที่ข้า
“เอลิซาเบธบอกให้เจ้าไปตายด้วยอีกคนงั้นเหรอ”
“ฝ่าบาท เจ้าหญิงจักรพรรดิบอกกับข้าคนนี้ว่าเธอจะจัดหาสถานทั่ที่เหมาะสมให้ข้าในสถานที่แห่งนี้”
“โอ้? สถานที่ไหนใช่ในราชวงศ์หรือเปล่า”
“อันนี้ไม่รู้”
“แล้วเจ้าจะได้ตายโดยไม่รู้ตัว”
องค์ชายพูดออกมาแบบเรียบๆ
“เอลิซาเบธมันเป็นปีศาจ ข้ารู้ว่าเธอเป็นปีศาจดี เจ้าเคยจ้องมองดวงตาสีแดงอันบริสุทธิ์ของนางเป็นเวลานานๆไหม? ข้าเคยนะ. ข้าได้กลิ่นเลือดออกมาจากเนตรคู่นั้น เธอเป็นผู้หญิงที่ทำให้กลิ่นเลือดไหลออกมาได้ทุกที่ที่เธอจ้องมองไป……”
ข้าชักเริ่มสงสัยขึ้นมาทันที วัยเด็กของเจ้าหญิงจักรพรรดิเป็นแบบไหนกันเเน่? เจ้าหญิงยังคงทำตัวสมเป็นเจ้าหญิงเมื่อตอนที่เธอยังเด็กหรือเปล่า? หรือเธอเป็นแบบนี้มาตั้งเเต่แรกเกิดเลยเหรอ? ข้าไอเปียกออกมา จากประสบการณ์ของข้า ข้ารับรู้ได้ว่ามันเป็นลางไม่ดีเมื่อไอแห้งๆอยู่ดีๆ จู่ๆก็กลายเป็นไอเปียก
“ฝ่าบาท เกิดอะไรขึ้นในวังสมัยนั้นกัน”
“……”
มกุฎราชกุมารดื่มสุราโดยไม่พูดอะไร แม้ว่าองค์ชาย จะมองไปในทิศทางเดียวกับที่ข้าดูอยู่ แต่กลับรู้สึกได้ราวกับว่าไม่ได้กำลังมองไปสถานที่เดียวกัน ดูเหมือนว่าสำหรับองค์ชายเเล้ว พายุหิมะที่โหมกระหน่ำต่อหน้าพวกเรานั้นดูเหมือนเป็นภาพลวงตา องค์ชายตอบข้า
“มันเป็นบาปของข้าเอง”
องค์ชายไม่ได้พูดอะไรอีกหลังจากนั้น
องค์ชายลำดับที่หนึ่งรูดอล์ฟ ฟอน ฮับส์บวร์ก ด้อยกว่าน้องสาวคนเล็กของเขาทุกด้าน การจลาจลที่องค์ชายไม่สามารถปราบปรามได้เป็นเวลา 7 เดือนด้วยกองทัพ 5,000 คนถูกกวาดล้างภายใน 15 วันโดยกองทัพ 1,000 คนของเจ้าหญิงจักรพรรดิ ภาษาโบราณที่ต้องเรียน เมื่ออายุได้ 14 ปี กลับถูกเเซงหน้าโดยเจ้าหญิงจักรพรรดิเมื่ออายุได้ 5 ขวบ ขณะที่การปกครองที่ผิดพลาดขององค์จักรพรรดิยังคงดำเนินต่อไป เหล่าขุนนางก็เริ่มปรารถนาให้มีพระมหากษัตริย์ที่มีความสามารถองค์ใหม่มาเเทนที่ คนในอุดมคติที่จะมาเเทนบัลลังนั้น
”เห็นนั่นไหมล่ะ”
องค์ชายพึมพำ
ไม่แน่ใจข้าเห็นอะไรอยู่ ข้ามองไปที่ที่องชค์ชายบอก เขาเหลือบมองลงมาที่พายุหิมะซึ่งโหมกระหน่ำที่ด้านล่างของเนินเขา
“อะไรบางอย่างกำลังมา”
หมอกยามเช้าแทบไม่สัมผัสบริเวณด้านล่างของเนินเขา ขาโครงกระดูกออกมาจากภายในพายุหิมะ เท้าของโครงกระดูกเหยียบย่างเบาๆลงไป บนทางลาดที่ปกคลุมไปด้วยหมอกควัน เมื่อมันก้าวไปข้างหน้าอีกก้าว รูปร่างของตีนกระดูก ก็ถูกประทับไว้บนหิมะ ณ จุดที่เท้าเคยอยู่
—……
ที่ด้านล่างของเชิงเขา โครงกระดูกมองมาที่เรา ดูเหมือนราวกับสายตาของคนเร่ร่อนกำลังส่องสำรวจเทือกเขาซึ่งตอนนี้พวกมันต้องปีนภูเขาขึ้นมาอย่างระมัดระวัง แม้ว่าโครงกระดูกจะไม่มีตา แต่ข้าก็สัมผัสได้ถึงการจ้องมองจากพวกมัน มันเป็นการจ้องมองเย็นยะเยือกเเละทะลุทะลวงมาที่ข้า องค์ชายปล่อยให้เสียงหัวเราะไหลไปตามลมหิมะพัดจางหายไป
“ฮะฮะฮะ มาเยอะจังเลยนะ”
จากหมอกที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ ศพนับพันเริ่มหลั่งไหลออกมา มันเล็งโจมตีไปที่ค่ายของกองกำลังของเรา ศพค่อยๆไต่ขึ้นไปบนเนินเขา เสียงแตรดังก้องจากค่ายของเรา ไก่ตัวผู้ตกใจและเริ่มออกเสียงขัน เมื่อเสียงร้องของนกซึ่งดูราวกับว่ามันจะไม่หยุด ได้หยุดลง พายุหิมะก็โหมกระหน่ำอีกครั้งและปิดบังซ่อนโครงกระดูกไว้ ไม่เห็นสิ่งใดท่ามกลางหิมะที่โหมกระหน่ำ มองไม่เห็นอะไรเลย ทว่ากองทหารของเรายกหอกและหน้าไม้ขึ้นมา
“พายุหิมะสินะ เข้าใจล่ะ!”
องค์ชายตะโกนเสียงดัง เขาเอามือป้องปากเพื่อขยายเสียงและตะโกนเสียงดัง
“พายุหิมะมาแล้ว! ฤดูหนาวกำลังเข้ามา!”
ทหารของเรากลัวความบ้าคลั่งขององค์ชาย รู้สึกเหมือนกับว่า องค์ชายไม่ได้บอกพวกทหารว่ากองทัพศพได้มาถึงแล้ว แต่เขากลับเรียกร้องให้ศพเหล่านั้นเข้ามาหาเราด้วยความเร็วสูงสุดเเทน องค์ชายได้ดึงดาบยาวออกมาอย่างเฉียบคมแล้วยกขึ้นสู่อากาศ
“กองกำลังทั้งหมด จู่โจม! เข้าจู่โจมตามข้ามาเลย!”
องค์ชายกระโดดข้ามรั้วไม้และเริ่มออกวิ่งไป กองกำลังทั้งหมดตามข้ามาเลยยยยย… เสียงขององค์ชายดังก้องกังวานไปทั่ว จงอย่ากลัวความตาย เหล่าทหารชาติชาย–… ทหารอยู่ในที่นี่ตอนนี้ ไม่รู้ว่าพวกตัวเองควรจะทำอะไรต่อดี พวกเขาเหลือบมองกันและกันแล้วหันหน้ามามองที่ข้า เเละเเล้วร่างขององค์ชายก็หายไปในหมอกที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ
ไม่นานหลังจากนั้น.
องค์ชายก็กลับออกมาจากหมอก เขาหายใจแรง หลังจากต้องเดินกลับผ่านรอยแยกในรั้วไม้อย่างยากลำบาก เขาก็เดินไปยังที่ที่ข้าอยู่ เมื่อลดดาบลง องค์ชายก็ยกไหล่ขึ้นอย่างอวดดี
“ว้าววว ไม่มีใครตามข้ามาเลย ดูเหมือนว่าพวกทหารจะไม่มีจิตใจใฝ่ต่อสู้เลยนะ”
“……”
“ให้พวกเราถออนกำลังออกไปเถอะนะ ท่านเเม่ทัพพ”
ข้าหันกลับไปสั่งนายทหาร
“ปล่อยก้อนหินได้!”
นายทหารทวนคำสั่งข้าซ้ำ ก้อนหินที่เราเตรียมไว้ล่วงหน้าเริ่มกลิ้งลงมา เเต่ว่าก้อนหินที่เตรียมมาไม่สามารถหมุนได้อย่างที่ใจต้อง พวกมันตกลงไปในทิศทางสุ่มอย่างช่วยไม่ได้นัก อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีซากศพจำนวนมากในพื้นที่ๆหินตกลงไป ทิศทางที่พวกมันกลิ้งไปจึงไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นการสุ่มทั้งหมด ก้อนหินชนเข้ากับโครงกระดูกและทำให้กระดูกของพวกมันแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
“อะไรกัน. ทำไมพวกทหารถึงฟังคำพูดของเเม่ทัพเเล้วกลับหมางเมินไม่สนใจคำสั่งของข้ากันล่ะ? ไอ้พวกนี้มันเหยียดคนจริงๆเลย ถ้าข้ากลับไปที่เมืองหลวงได้นะ ข้าจะลงโทษพวกมันในฐานะกบฏเเม่งซะเลย”
การต่อสู้ดุเดือดตั้งแต่เช้าตรู่
แม้ว่าทหารของเราจะแก่ แต่พวกเขาก็มีประสบการณ์มากมายเช่นกัน เพราะพวกเขาได้เห็นสิ่งต่างๆมากมายเกิดขึ้นในช่วงชีวิตของพวกเขา ทหารผ่านศึกจึงไม่ตื่นตระหนกกับการเดินขบวนของโครงกระดูก แม้ว่าจะมีทหารคนหนึ่งที่วิ่งหนีทัพไป แต่ก็ไม่มีใครพยายามจะหยุดคนๆนั้นที่วิ่งหนีไว้ ดูเหมือนว่าทหารผ่านศึกทั้งหลายจะเข้าใจดีว่าต่อให้ต้องหนีไปยังที่ราบหิมะด้วยตัวคนเดียว พวกเขาก็มิอาจรอดได้เเละตายลงเพราะความหิวโหย ถูกแช่แข็งเพราะความหนาวจนตาย หรือไม่ก็ถูกสัตว์ร้ายกัดกิน ทหารเฒ่าเคี้ยวขนมปังเก่าซึ่งแจกจ่ายเป็นอาหารเช้าเป็นเวลานานแล้วกลืนลงไปด้วยกันกับน้ำ
เมื่อก้อนหินทั้งหมดตกลงมา ทหารแก่ก็ดึงหน้าไม้ของพวกเขาออกมา หน้าไม้เป็นอาวุธระยะไกลที่ดูดซับพลังงานเวทย์มนตร์จากสภาพแวดล้อมและยิงลูกศรออกมาโดยใช้พลังงานนั้น วิถีจะบินอย่างผิดปกติหากลูกศรถูกยิงเร็วเกินไป และจะหดตัวอย่างหนักและทำให้ลูกศรหลงทิศทางหากยิงช้าเกินไป นายทหารไม่ต้องสั่งยิงแยกกันเพราะทหารผ่านศึกสามารถยิงหน้าไม้ได้ในขณะที่คาดเดาเวลาคร่าวๆได้ การสลักเกลียวที่ยิงโดยทหารแก่ถูกยิงออกไปอย่างรวดเร็วและเจาะทะลุเป้าหมายไปได้
ขณะที่พวกเขาใช้ชีวิตตามวิถีของตนเอง พวกเขาก็ต่อสู้ตามวิถีของตนเองเช่นกัน วิธีการต่อสู้ของพวกเขาคล้ายกับสิ่งที่ธรรมชาติได้ประทานมาให้เเด่มนุษย์ ……ดังนั้นผู้คนจึงได้เริ่มต่อสู้ คนที่ต่อสู้คือประชาชนของข้าเอง ข้าสูดอากาศหนาวหายใจเข้าลึกๆ
“ฟังคำพูดของข้า นายทหารทั้งหลาย!”
เหล่านายทหารยืนเรียงแถวชิดกันทันที พวกเขาเป็นนายทหารที่มีอายุมากเเล้ว พวกเขาเป็นทหารที่แก่เฒ่าเเละมียศฐานันดรที่ต่ำต้อย มีความสามารถเล็กน้อย เเต้ก็ไม่สามารถยืนเป็นแถวได้อย่างถูกต้องด้วยซ้ำ เนื่องจากทหารส่วนใหญ่ตรงนี้เกิดในแดนเหนือ พวกเขาจึงถูกทิ้งที่นี่เพราะเหตุผลที่พวกเขาเกิดในภาคเหนือ เช่นฃกัน จากกระดูกสันหลังที่ยังไม่ขึ้นสนิม พวกเขาจึงสามารถตั้งหลักยืนหลังให้ตรงได้
“ชไลเออร์มาเคอร์”
“ครับ ท่านผู้ทรงเกียรติ”
ข้าขานชื่อนายทหารแต่ละคน นายทหารที่เคราเป็นสีน้ำตาลยืนขึ้นเพื่อประกอบพิธีทางทหาร เขาเป็นน้องชายคนที่สองของเจ้าหน้าที่รองที่ดูแลโรงสีที่อยู่ในอาณาเขตของข้า เมื่อครั้งในวัยเยาว์ ย้อนไปตอนที่ข้ากำลังแอบชอบเด็กสาวคนหนึ่งในหมู่บ้าน ข้าได้ยืนเฝ้าอยู่ที่หน้าโรงสีเพื่อเฝ้ารอเด็กคนนั้นเป็นประจำ
“ปัจจุบันกำลังทหารของกองกำลังกลางของเรามีไม่เกิน 2,000 คน ไม่ว่าต้องจ่ายเเลกด้วยราคาจะเท่าไหร่ เจ้าต้องไม่ปล่อยให้ซากศพเหล่านั้นโจมตีเข้ามาเเนวหน้าให้ได้ เข้าใจใช่ไหม? ปกป้องตำแหน่งของเจ้าจนลมหายใจสุดท้ายของเจ้าต้องดับสูญไป”
“ตามที่ท่านสั่ง ท่านมาร์เกรฟ”
“อดทนไว้ให้นานที่สุด โอกาสที่สหายที่ล่าถอยกลับไปของเราจะรอดได้เพิ่มขึ้นตามระยะเวลาที่เราต้านทานไว้ได้ เเดนเหนือจะไม่ส่งความตายของพวกเจ้าด้วยการลืมเลือนเเน่”
“เข้าใจแล้ว”
นายทหารเดินออกไปพร้อมกับคนใช้ของพวกเขา ในระยะไกล ข้าได้ยินเสียงเบา ๆ ของนายทหารตะโกนใส่ทหารของเขาผ่านหิมะ นายทหารที่เหลือคนอื่นๆ ต่างก็เงี่ยหูฟังเสียงนั้น
“เซอร์ โรเอนบัค”
“ครับท่านแม่ทัพ”
ชายวัยกลางคนสวมชุดเกราะสีเงินเดินไปข้างหน้า ในสถานที่นี้ ชายผู้นี้เป็นคนเดียวที่ไม่ได้เกิดในเเดนเหนือ แม้ว่าชื่อของเขาจะเหลือเพียงนามเดียว แต่ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นผู้นำของ อัศวินองครักษ์พิทักษ์องราชา(Royal Knight Guards for the Emperor) มีอัศวิน 6 คนในกองกำลังปัจจุบันของเรา และพวกเขามี 20 คนรับใช้ติดตามพวกเขา พวกเขาเป็นอัศวินกลุ่มสุดท้ายที่เหลืออยู่ที่นี่
“ในขณะที่เจ้าเป็นผู้นำของเหล่าอัศวิน ข้าขอสั่งให้กวาดล้างเหล่าซากศพที่ผ่านเข้ามาทางเนินเขาเข้ามา หน้าที่ของพวเจ้าคือป้องกันไม่ให้ซากศพเข้าไปถึงบริเวณ 50 เมตรจากรั้วไม้ของเรา ปกป้องแนวหน้าด้วยชีวิตของเจ้าและล้มลงที่แนวหน้าซะ”
“ข้าจะทำตามคำสั่งท่านนายพล”
“แดนเหนือจะไม่ลืมความตายของเจ้า”
“ข้า โรเอนบัค จะบรรลุมุ่งสู่ความรุ่งโรจน์”
หัวหน้าอัศวินปรับหมวกเหล็กบนศีรษะและขึ้นขี่ม้า อัศวินคนอื่นๆ รวมตัวกันรอบๆ หัวหน้าของพวกเขา พวกม้าศึกซึ่งมีเชื้อสายที่ดี ปล่อยลมหายใจอันร้อนแรงออกมาแม้ในสายลมหนาวนี้ อัศวินก้มศีรษะมาทางข้าหนึ่งครั้ง แล้วพวกเขาก็ทำอีกครั้งต่อองค์ชาย องค์ชายก็ได้ผงกหัวตอบรับไป เขาไม่ได้ปริปากบ่นข้าเลยสักคำเดียวเกี่ยวกับที่ข้า ที่ใช้พวกอัศวินตามที่ตัวเองต้องการ องค์ชายทำเเค่เพียงจ้องมองไปที่พายุหิมะด้วยดวงตามึนเมา ข้าออกนามเรียกนายทหารแต่ละคนทีละคนออกมา
“เบิร์กมันน์ ข้าจะให้ทหารราบพลเดินเท้า 20 นายอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของเจ้า หากมีส่วนหนึ่งของการป้องกันของเราที่ดูเหมือนจะตกอยู่ในอันตราย จงนำกองกำลังเข้าไปที่นั่นและช่วยต่อสู้ซะ”
“ตามบัญชา ท่านผู้ทรงเกียรติ!”
ทศวรรษที่แล้ว ในช่วงปีแห่งความกันดารอดอยากอาหาร เด็กหนุ่มที่เคยแสดงความไร้เดียงสาโดยเขาได้เล่าว่าต้องออกไล่ล่าไก่ฟ้าด้วยตัวเองเพื่อมาคลายความหิวโหยให้นายน้อยที่ต้องคอยรับใช้ ตอนนี้ได้กลายเป็นนายทหารแก่และกำลังทำตามคำสั่งของข้าเสียเเล้ว
“เกบาวเออร์ รวบรวมคนใช้และแจกจ่ายยุทโธปกรณ์ให้กับทหารของเราทุกคน นอกจากนี้ มอบเสบียงที่เหลือของเราให้กับเจ้าหน้าที่และคนของเรา ผู้คนจะมีกำลังก็ต่อเมื่อได้รับพลังงานจากอาหารมาเเล้วเท่านั้น”
“เราจะทำหน้าที่ตามตำเเหน่งของตัวเองให้ดีที่สุดค่ะ ท่านผู้ทรงเกียรติ”
เด็กสาวที่เกณฑ์ทหารเข้ามาในกองทัพ ทั้งๆที่เป็นเธอเป็นเพศหญิง เเม้หญิงสาวมักถูกผู้ชายล้อเลียน อยู่บ่อยครั้ง เเต่ครั้งนี้ เธอได้โต้กลับเสียงดังถามว่าชาย-หญิงของเเดนเหนือไปอยู่ที่ไหนกันเเล้วล่ะตอนนี้ บัดนี้ได้ตอบรับคำสั่งของข้าแล้ว ที่นี่ในตำแหน่งนี้หลังจากเวลาผ่านไปหลายสิบปี
“ทหารผู้ยิ่งใหญ่แห่งฮับส์บวร์ก ฟังคำพูดของข้าให้ดี”
ข้าหันไปทางกองทหาร
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเจ้าสาบานว่าจะจงรักภักดีกับใคร และข้าไม่เชื่อว่าจำเป็นต้องมีความภักดีใดๆอีกในเมื่ออาหารอยู่ในมือของพวกเจ้าเเล้ว เเต่อย่างไรก็ตาม พวกเจ้าควรรู้เอาไว้ หน้าที่ของบุคคลและหน้าที่ของทหาร สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทุกท่านควรรู้เป็นอย่างดีเเล้ว หากพวกเราหนี ปวงประชาในประเทศของเราก็จะตาย หากเรายอมจำนน แผ่นดินของประเทศของเราจะลุกโชติด้วยเปลวไฟ โอ้ ทหารผู้ยิ่งใหญ่แห่งฮับส์บวร์กเอ๋ย ซึ่งครั้งหนึ่งยังเคยเป็นเด็กและเคยอาศัยอยู่ในดินแดนเหล่านี้มาโดยตลอด ถึงเวลาแล้วที่เราต้องส่งต่อสิ่งที่เรามีนี้ให้ลูกหลานของเรา”
ข้าชักดาบออกแล้วยกขึ้นสู่ท้องฟ้า ดาบชุดทางการซึ่งสืบทอดมาหลายชั่วอายุคนในครอบครัวของข้าได้สูญหายไปในการต่อสู้ครั้งก่อน แต่เรื่องนั้นมันสำคัญที่ไหนกัน? เพราะว่าข้าตอนนี้ได้มาอยู่ในสนามรบนี้เเล้ว ที่นี่คือบ้านของข้า ที่นี่คือที่ที่ตระกูลโรเซนเบิร์กเกิดเเละเติบโตมาอยู่
ข้าร้องไห้ออกมา ความร้อนจากลำไส้ของข้าพุ่งสูงขึ้นสุด แผดเผาและทะลุผ่านไอเปียกๆ ของข้าออกมา และระเบิดขึ้นในบรรยากาศฤดูหนาว
“เพื่อจักรวรรดิ!”
ทหารยกหน้าไม้และหอกและตะโกนกลับอย่างเร่าร้อน
– เพื่อจักรวรรดิ!
หวังว่าเพื่อให้เสียงของข้าจะไปถึงอีกฟากหนึ่งของแถว ที่มองไม่เพราะหมอกและหิมะ ข้าก็ได้คำรามออกมาดังลั่น
– เพื่อจักรวรรดิ!
พวกทหาร ได้ตอบกลับ
– เพื่อจักรวรรดิ!
เสียงจากอีกฟากหนึ่งของฐานทัพซึ่งถูกปกคลุมไปโดยความโกลาหล มาถึงที่ที่ข้ายืนอยู่เช่นกัน ทหารสูงอายุที่เกิดมาจากสถานที่ต่างกันและใช้ชีวิตต่างกันไป จะต้องตายด้วยกันในบั้นปลายชีวิตในที่เดียวกัน เกล็ดหิมะซึ่งก่อตัวขึ้นตามลำดับภายในอุณหภูมิที่ต่างกันและถูกลมพัดพัดพาไป ต้องร่วงตกลงไปที่เดียวกันและหลอมรวม กลายเป็นอย่างเกล็ดหิมะ และสุดท้ายก็ตายเหมือนเกล็ดหิมะ หิมะที่ละลายก่อนเพื่อป้องกันไม่ให้หิมะที่กำลังจะทับถมกันมาละลายตามไป ข้ายินดีรับหิมะทั้งหมดนั่นที่ราวกับชีวิตคล้ายกันกับหิมะทั้งหมดที่มีความตายรออยู่เหมือนกัน เเดนเหนือเป็นดินแดนแห่งหิมะ เป็นเเดนที่ถูกสถาปนาไว้เพื่อพวกคนทางใต้จะได้ไม่โดนทับถมจนละลายไป ข้าหันหน้าไปทางท้องฟ้า ข้าถอนหายใจ เป็นวันที่เหมาะสำหรับการร่ำไห้ เป็นวันที่ดีที่จะร่ำไห้ออกมาจริงๆ……
ในตอนบ่าย นายทหารวิ่งมาหาข้า
“ท่านผู้ทรงเกียรติ เเนวกั้นที่เเรกได้ถูกตีฝ่าเข้ามาเเล้วครับ ทหารที่เหลืออยู่ของแนวกั้นแรกได้เข้าร่วมทัพในแนวกั้นที่สองแล้ว โชคดีที่มีเเค่ความสับสนเล็กน้อยระหว่างการล่าถอยชั่วขณะ แม้ว่าหลายคนได้รับบาดเจ็บ แต่มีเพียงไม่กี่คนที่ถูกสังหารครับ”
“ดี. ตรีงกำลังต่อไปตามนั้น”
ขณะที่เหลือบมองแผนที่ ข้าก็ออกคำสั่ง พายุหิมะนั้นรุนแรงมากดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมองเห็นค่ายทหารด้วยตา ขณะวาดสิ่งต่างๆ ที่มองเห็นและมองไม่เห็นลงบนแผนที่ ข้าได้รู้สึกถึงเส้นทางไปยังทิศทางหนึ่งและตั้งสมมติฐานว่าทหารของเราต้องไปที่ใดต่อไป
“เราชนะได้เเน่เพียงแค่สามารถยืนหยัดสู้แบบนี้ต่อไปได้ อย่าต่อสู้อย่างร้อนร้อนและอย่ารีบไปตายให้เร็วมากนักจงอดทนให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ แจ้งเรื่องนี้แก่ทหารกองทัพอีกครั้งหนึ่งซะ”
“รับทราบครับ!”
ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็มีชายคนหนึ่งวิ่งเข้ามา ผู้ที่มาหาข้าคือผู้ช่วยนายทหาร เพราะเนื่องจากนายทหารได้พ่ายแพ้ในการรบไปเเล้ว ผู้ช่วยนายทหารจึงทำหน้าที่แทน ข้าไม่ได้ถามว่านายทหารได้หายไปไหนเเล้ว และผู้ช่วยก็ไม่บอกข้าด้วยเช่่นกัน
“ท่านแม่ทัพ เเนวกั้นที่สองตีถูกฝ่ามาเเล้วครับ แนวที่สองและสามมารวมตัวกันและยันศัตรูอยู่ ขวัญกำลังใจของเรายังไม่ลดลง เเต่หัวหน้ากลุ่มอัศวินได้สิ้นลงแล้ว”
“ดีมาก. ระหว่างทางกลับ แจ้งผู้บัญชาการกองร้อย เกบาวเออร์ ให้ละทิ้งงานที่ได้รับมอบหมายและเข้าร่วมในแนวหน้าซะ ต่อสู้โดยคิดว่านี่เป็นช่วงสุดท้ายของเวลา จงก้าวไปข้างหน้าเเม้เวลาจะไม่เพียงพอ จงไปด้วยการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว การต่อสู้ของพวกเจ้าจะต้องไม่สูญเปล่า”
“รับทราบ ท่านแม่ทัพ!”
เมื่อเป็นเวลาเที่ยงวันมาเยือน ในช่วงเวลาที่พายุหิมะได้หยุดลง ก็มีกลุ่มคนที่วิ่งเข้ามา เป็นอีกครั้งที่คนที่มารายงานข้าไม่ใช้คนเดิม เเละในครั้งต่อไป ผู้ตายไดล้มตายลงเรื่อยๆนายทหารคนอื่นๆ เกือบทั้งหมดได้พ่ายลงไปเเล้ว ดังนั้น คนเดียวที่สามารถวิ่งเข้ามารายงานข้าตอนนี้ได้ก็คือคนรับใช้ของผู้ช่วยนายทหาร ผู้ส่งสารให้คารวะอย่างตรงเวลาและรายงานสถานการณ์
“เเนวกั้นที่สามถูกตีฝ่าเข้ามาได้เเล้วครับ กองทัพทั้งหมดของเรากำลังยืนหยัดต่อสู้ที่เเนวกั้นสุดท้าย แม้ว่าอันดับของหน่วยจะไม่เป็นระเบียบและหลอมรวมเข้าด้วยกันไปเเล้ว แต่ก็ไม่มีปัญหาในการต่อสู้ร่วมกันเป็นกลุ่มครับ”
“ดี. ข้าขอสั่งให้อัศวินที่เหลือเข้าจู่โจมไปด้วย หากเจ้าใช้ทางเดินแคบๆ ระหว่างรั้วไม้ การเข้าตีจะทำได้ง่าย โจมตีเข้าที่ปีกข้างของศัตรูที่โอบโจมตีด้านข้างเราซะ”
“เข้าใจแล้ว ท่านผู้ทรงเกียรติ ขอให้เราประสบความสำเร็จในสงคราม”
ทหารไม่ซ้ำหน้าเดินเข้ามาหาข้าคนเเล้วคนเล่า เเล้วก็จากไป……
จนสุดท้ายในที่สุด.
ทุกอย่างถูกหยุดนิ่งไปเพราะไม่มีใครอยู่รอบๆ ตัวข้าอีก
เช่นเดียวกับคนในดินเเดนเหนือ นายทหารต้องดิ้นรนจนถึงวาระสุดท้าย เราไม่ได้ออกไปไล่จับทหารที่หนีไป และเนื่องจากเราจับพวกเขาไม่ได้สักคน ข้าจึงเชื่อว่าไม่มีทหารคนไหนที่หนีทัพเเละยังมีอีกหลายชีวิตอยู่ ใน Royal Knight Guard ตั้งแต่อัศวินไปจนถึงคนรับใช้ของอัศวิน พวกเขาทั้งหมดเสียชีวิตลงในการต่อสู้อย่างกล้าหาญ เเละระหว่างการโจมตีครั้งสุดท้ายจะมาถึง องค์ชายก็เสด็จออกไปเเนวหน้าพร้อมกับกองทัพโดยไม่พูดอะไรสักคำ ข้าไม่ได้ถามใครเลยว่าองค์ชายได้สิ้นพระชนม์ไปเเล้วหรือยังและไม่มีใครบอกข้าด้วยว่าเขาตายยังไง ผู้ส่งสารคนสุดท้ายที่ส่งรายงานการรบให้ข้าไม่ใช่ทั้งนายทหาร ไม่ใช่ทั้งผู้ช่วย และไม่ใช่แม้แต่คนรับใช้ของผู้ช่วย รายงานล่าสุดได้รับมาจากทหารที่ไม่มีเเม้เเต่ยศประดับ ทหารแจ้งมาว่าเเนวกั้นสุดท้ายได้ถูกทะลวงมาเเล้วและรีบกลับออกไปที่แนวหน้าอีกครั้งทันที
“……”
ขณะได้รับแสงแดดยามเที่ยงวันอันเงียบสงบเเผ่ลงบนหลังของข้า ข้าก็มองลงไปที่แผนที่
แสงแดดละลายของเสียที่แช่แข็งออกไป ทำให้เกิดกลิ่นอับชื้นทั่วทั้งค่าย มันเป็นลมหายใจที่ไหลมาจากสวรรค์ เนื่องจากหิมะตกลงมาจากฟากฟ้า และนี่คือกลิ่นที่ปล่อยออกมาเมื่อหิมะละลาย รู้สึกเหมือนกับว่านี่คือกลิ่นของท้องนภา ……ดินแดนแห่งหิมะเป็นดินแดนแห่งท้องฟ้าด้วยงั้นสินะ? คนของเเดนหิมะก็เป็นคนของท้องฟ้าด้วยใช่มั้ย? นั่นคือเหตุผลที่ผู้คนในเเดนหิมะต้องหวนกลับคืนสู่ท้องฟ้าด้วยอย่างงั้นหรือ?
หลังของข้าร้อนขึ้นเพราะแสงแดด ขณะรับกลิ่นอับชื้น ข้าหวนนึกถึงช่วงเวลาที่เจ้าหญิงจักรพรรดิล้างร่างกายให้ข้า ข้าไม่ได้เพิกเฉยต่อเหตุผลที่เจ้าหญิงจักรพรรดิได้ละทิ้งทั้งองค์ชายและตัวข้าไว้ที่นี้
“ข้าคนนี้ควรทำยังไง”
“เราต้องการผู้นำอัศวินในการถอนทัพ
“ฝ่าบาทกำลังบอกให้ข้าคนนี้ตายขณะปกป้องเเนวหลังใช่ไหม”
“เราจะไม่ห้ามนายหรอกนะ” “อย่างไรก็ตาม มันจะไม่ใช่แค่นายเท่านั้น พี่ชายของเราก็จะอยู่ช่วยที่นั่นด้วย หากนายปล่อยให้มกุฎราชกุมารแห่งจักรวรรดิต้องตาย นายก็จะกลายเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ทรยศจักรวรรดิไปชั่วนิรันดร์
กลายเป็นคนทรยศไปชั่วนิรันดร์
เจ้าหญิงจักพรรดิได้กล่าวคำนั้นออกมา
ผู้คนต่างกระซิบกันว่า มาร์เกรฟ จอร์จ วอน โรเซ็นเบิร์ก เป็นต้นเหตุของสงครามในครั้งนี้ มาร์เกรฟ โรเซ็นเบิร์ก ได้สูญเสีย ภูเขาเเบล็คไป และทำลายแผนการบุกตีเเดนปีศาจของ จักรวรรดิ เพียงเพื่ออยากจะรีบจบสงครามในครั้งนี้ นอกจากนี้ โรเซนเบิร์กยังไม่สามารถปกป้องมกุฎราชกุมารองค์ชายลำดับที่หนึ่งจากความตายได้อีก เเละ ณ ห้องพิจารณาคดีของจักรวรรดิ โรเซ็นเบิร์กต้องแบกหน้ารับฐานันดรของอาชญากรรมทางสงครามและต้องรับภาระที่ตัวเองเป็นคนก่อด้วยตัวเองทั้งหมด จอร์จ ได้พังทลายลงและจมอยู่ในขยะที่ถูกแช่แข็ง นั่นคือที่ที่นายควรจะอยู่ นี่คือคำพูดที่แท้จริงของเจ้าหญิงจักรพรรดิ ข้ารู้สึกตาบอดเพราะพระคุณอันยิ่งใหญ่นั้น ข้าถามเจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิ
“……ฝ่าบาทให้โอกาสข้าคนนี้ทำไม”
“เราก็แค่อยากมอบสถานที่ที่เหมาะสมแก่นายก็เท่านั้นเอง ดังนั้นเเล้วจงออกสู้ขณะที่แบกรับความอัปยศอดสูทั้งหมดของนายไว้ภายในตัวเองซะ”
แม้ว่ามันจะเป็นข้อเสนอของปีศาจ แต่ในขณะเดียวกัน มันก็เป็นหนทางเดียวที่จะช่วยจักรวรรดิได้ ดังนั้นมันจึงเป็นข้อเสนอที่ข้าไม่อาจปฏิเสธไปได้
……เจ้าหญิงจักรพรรดิได้มอบสถานที่ที่เหมาะสมให้กับกระดูกเฒ่าคนนี้แล้ว เนื่องจากภูมิภาคนี้เป็นบ้านและเป็นพื้นที่ของข้าและเป็นที่ที่ผู้คนของข้าอาศัยอยู่และจะกลับมาอาศัยอยู่อีกครั้ง ฝ่าบาทคงกำลังจะบอกถึงสิ่งนี้ตอนกำลังล้างตัวข้าอยู่
ได้มีเงาเข้ามาจากด้านหลังของข้า เงานั้นได้เหยียบลงบนหิมะ ในขณะที่ทำเสียงที่ข้าไม่อาจรู้ได้ว่าเป็นอะไร หิมะก็รับน้ำหนักของชีวิตที่เหยียบลงบนพื้น
“หืม. เเกคือจอร์จ ฟอน โรเซนเบิร์กสินะ”
“เป็นเช่นนั้น”
ข้ายังคงจ้องมองไปที่แผนที่ แต่ละแผนที่เป็นสถานที่ที่ผู้คนเสียชีวิต ข้านึกถึงผู้คนที่เคยต่อสู้มามันคล้ายกับวิถีชีวิตของพวกเขา ข้านึกถึงมือที่หยาบกระด้างซึ่งเป็นดั่งไกบนหน้าไม้ แม้ว่าพวกเขาจะยิงลูกศรออกแล้ว พวกเขาก็ดึงลวดเพื่อยิงลูกต่อไป ยิงแล้วดึงอีก พวกเขายังคงดึงต่อไป การต่อสู้ดำเนินต่อไปตราบที่ชีวิตยังคงมีอยู่ ข้านั้นรู้สึกราวกับว่าข้าเห็นภาพชั่วพริบตาเดียวก็สั้นราวกับนิรันดร์นั้น
“การต่อสู้จบลงแล้ว เจ้าเด็กน้อย เเกกำลังมองหาอะไรอยู่บนเเผนที่กัน?”
“การต่อสู้.”
“แล้วถ้าการต่อสู้นั้นจบลงไปเเล้ว เเกจะมองหาอะไรอีก”
“การต่อสู้.”
เสียงของโลหะดังเข้ามาในโสตและได้ตัดขาดอากาศฤดูหนาว
……ดังนั้นนี่คือเสียงที่ของชีวิตข้าที่ถูกตัดขาด
ข้าก็คิดอย่างนั้น ข้าสงสัยว่าคอของข้าได้ถูกแยกออกจากบ่าอย่างปราณีตเหมือนกับอากาศหรือไม่เพราะข้าไม่ได้ยินเสียงอากาศที่ถูกตัดเลย วิสัยทัศน์ของข้าพลิกกลับเเล้วและพลิกอีกหลายครั้งจนกระทั่งในที่สุดข้าก็แหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้า นั่นคือที่ที่ข้าหันไป เเละข้าก็ได้หรี่ตาลง
— เนื่องจากเราไม่สามารถชำระจิตใจของนายให้บริสุทธิ์ได้ เราก็เเค่ปลอบโยนไปที่ร่ายกายของนายชะล้างร่างกายให้บริสุทธิ์ อย่างน้อยเส้นทางที่ยาวนานของนายก็จะไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป”
ข้าจะพิจารณาความหมายและพิจารณามันอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม เนื่องจากดินแดนแห่งหิมะนี้เป็นดินแดนแห่งท้องฟ้า วันหนึ่งพวกเขาจะกลับคืนสู่ธุลีดินและทับถมเศษซากจนกลายเป็นกองพะเนิน ชีวิตที่น่าสมเพชของข้าดำเนินต่อไป สิ่งที่ปลอบโยนข้าในตอนนั้นก็คือชีวิตที่น่าสงสารของเหล่าทหารเเละคำพูดของฝ่าบาทที่พูดออกมา
พระหรรษทานของพระองค์มีมากมายเหลือคณา ฝ่าพระบาท
โปรดปฏิบัติต่อพวกเราด้วยความปราณี
▯ราชาแห่งไพร่ ลำดับที่ 71 ดันทาเลี่ยน
ปฏิทินเอ็มไพร์: ปี 1506 เดือนที่ 3 วันที่ 12
ที่ราบเนริส ค่ายทหารจักรวรรดิ
“……”
ผมจ้องมองไปที่หัวของโรเซนเบิร์กซึ่งตกลงสู่พื้นหิมะ
โรเซนเบิร์กยังคงมองไปข้างหน้าด้วยดวงตาที่หรี่ลง สิ่งต่างๆ จะมองไม่เห็นด้วยดวงตาที่หรี่ลงได้เลยเเละไม่สามารถชื่นชมหรือมองไปที่สิ่งใดๆได้อีก โดยราวกับว่าโรเซนเบิร์กได้ชี้ทางไปที่ทิศทางที่มองด้วยสายตาที่เย็นเยือกนั้น หลังจากที่ผมหันไปตามดวงตาของเขา ผมก็มองเห็นท้องนภา ผมก็ได้กล่าวอำลา
“สู่ภพภูมิที่ดีเถอะ มาร์เกรฟ”
บาร์บาทอสได้ตัดศีรษะโรเซนเบิร์กออกมา ผมยกหัวของโรเซนเบิร์กขึ้นจากกองหิมะ ปัดหิมะที่ติดอยู่ในผมของเขาออก และเช็ดของเหลวที่ไหลออกจากคอของเขาด้วยผ้าขนหนู
ดังนั้นแผนของเราจึงประสบความสำเร็จ แม้ว่าจะมีตัวแปรที่กองทัพที่สองของ มาร์บาส พ่ายแพ้โดย เจ้าหญิงจักรพรรดิ เมื่อพิจารณาถึงความสามารถของ เจ้าหญิงจักรพรรดิ หากมีสิ่งใดที่เป็นผลลัพธ์ที่ยอมรับได้ คงจะเป็นการโล่งใจมากกว่าที่ บาบาร์ทอส ไม่ได้ให้แพ้ให้กับเจ้าหญิงไปด้วยอีกคน นอกจากนี้ ต้องขอบคุณ เจ้าหญิงจักรพรรดินะที่ยังส่งต่อชัยชนะมาให้อีกทีนึงด้วย ผมเองก็ได้รับชัยชนะได้เช่นกัน ดั่งเน็คไท. มันยังคงเป็นเน็คไทวันยังค่ำล่ะนะ……
ชั่วขณะหนึ่ง สงครามได้เข้าสู่สภาวะสงบ
มาร์บาสต้องเกณฑ์ทหารเข้ามาใหม่อีกครั้งหนึ่ง และบาร์บาทอสเองก็ต้องจัดระเบียบกองทัพใหม่ด้วย กองกำลังที่ต้องการเวลาไม่เพียงแต่กองกำลังพันธมิตรจอมมารเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงพันธมิตรของพวกมนุษย์ซึ่งต้องใช้เวลาในการคิดหาเเผนการกลยุทธ์ใหม่ด้วยเช่นกัน
แม้ว่ามนุษย์จะหวังให้สงครามจบลงด้วยการสู้รบแบบสั้นๆ เเต่ผมขอโทษด้วยนะ นี่น่ะมันยังเร็วเกินไป ช่วยกรุณามีส่วนร่วมในเพลงวอลทซ์ของผมต่อไปหน่อยเถอะ ขณะที่มองดูใบหน้าของโรเซนเบิร์ก ผมก็ยิ้มออกมา
“เเกพยายามจะมองดูอะไรหลังจากที่ตายไปเเล้วกันนะโรเซ็นเบิร์ก? เเต่ก็หลับตาและพักผ่อนให้สบายเถิดหนา มาร์เกรฟ”
ผมนลดเปลือกตาของโรเซนเบิร์กด้วยฝ่ามือ ในที่สุดโรเซนเบิร์กก็หลับตาลง ผมไม่รู้ว่าสาเหตุใหญ่อะไรและความยุติธรรมอะไรที่ชายชราคนนี้พยายามจะมองเห็นในช่วงเวลาสุดท้ายชีวิต มันคงเป็นอะไรที่น่าเบื่อหน่ายมากกว่าที่ผมจะอยากรู้
นายทหารคนหนึ่งวิ่งเข้ามาใกล้และบอกผมว่าบาร์บาทอสกำลังเรียกหาผมอยู่ ผมพูดจงใจข่มขู่ออกมา ผมสั่งให้นายทหารถือหัวของโรเซนเบิร์กไว้
“ข้าตั้งใจที่จะมอบหัวนี้ให้เเม่ทัพ ฟาร์นาเซ่ ถือไว้ให้ดีล่ะเธอน่าจะชอบมันมากๆเลยล่ะ หากเจ้าทำมันหาย เเม่ทัพจะพิโหโกรธาเจ้าเป็นเเน่ เเละเป็นแบบเเล้ว แม้แต่ข้าก็ช่วยเจ้าหยุดเเม่ทัพไว้ไม่ได้หรอกนาาา”
ใบหน้าของนายทหารซีดเผือด เขาจับเเละมัดศีรษะของโรเซนเบิร์กอย่างระมัดระวัง นิ้วของเขาสั่นทำให้ดูเหมือนว่าเขากำลังจับหัวของตัวเองอยู่ ผมหัวเราะแล้วเดินไปหาบาร์บาทอส ภายในพื้นที่ของศัตรูที่ว่างเปล่า บาบาร์ทอส กำลังตัดเล็บของเธออยู่
“โอ้ เเกอยู่มาที่นี่สักที”
“ผมมาที่นี่เพื่อแสดงความยินดีกับชัยชนะอันยิ่งใหญ่ ฝ่าบาท–”
ผมพูดในขณะที่คุกเข่าลง ผมเป็นคนประเภทที่จะคุกเข่าถ้ามันเป็นเรื่องตลก บาร์บาทอสพ่นลมหายใจออกมา
“ไม่เป็นไร. เเกนี่ชอบทำเรื่องไร้สาระเพิ่มขึ้นอีกเเล้วนะ ช่างเถอะตามข้ามา.”
“จะให้ผมดูอะไรดีๆ อีกไหมอะ? สิ่งดีๆ ของเธอมีให้ผมดูได้ในทุกๆวันเลย ผมเลยไม่แน่ใจว่าผมจะได้นอนหลับอย่างเพียงพอได้อีกทีเมื่อไหร่”
บาร์บาทอสยิ้มกว้าง
“เเกตามข้ามาโดยไม่ต้องพูดห่าอะไรเลยได้ไหมวะ”
ถ้าหากจุกจิกับเธอมากไป เธอก็จะพ่นคำหยาบคายออกมา
เเละตรงนั้นตรงรอยยิ้มอันอ่อนโยนของบาร์บาทอสกำลังบอกอะไรผมอยู่
ในฐานะที่ผมเป็นพวกที่เชื่อในสามัญสำนึกและความปกติ ผมเดินตามบาร์บาทอสไป เเละเจอนักโทษคนหนึ่งถูกมัดไว้ที่มุมหนึ่งของค่ายทหาร เกราะของเขาค่อนข้างหนา ฐานะทางสังคมของเขาน่าจะเป็นขุนนางชั้นสูง บาบาร์ทอส กระซิบข้างหูผม
“นั่นคือมกุฎราชกุมารแห่งจักรวรรดิฮับส์บูร์ก”
“……”
แน่นอนที่สุด
นี่เป็นสิ่งที่ดีที่บาร์บาทอสให้ผมดูอย่างเเท้จริง
บาบาร์ทอส กัดติ่งหูของผมเล็กน้อยด้วยฟันหน้าของเธอ
“ ดันทาเลี่ยน การที่เเกไม่สาบานว่าจะจงรักภักดีต่อข้า นั่นเป็นโศกนาฏกรรมที่ข้าคิดว่าน่าเสียใจทีเดียว เเต่ยังไงก็ตาม แม้ว่าเเกจะไม่ได้สาบานว่าจะภักดีต่อข้า แต่เเกก็ยังซื่อสัตย์ดีกับข้า ข้าจะไม่ปฏิเสธสิ่งที่เเกทำมันอย่างไร้ราคาหรอกนะ”
“โอ้? และเธอหมายความว่ายังไงที่เธอพูดออกมากัน?
“ข้าจะให้มันกับเเก”
บาร์บาทอสเอามือลูบที่หน้าอกผม รู้สึกราวกับว่านิ้วแต่ละนิ้วของเธอมีสัมผัสเเห่งชีวิต นี่คือสัมผัสของมือที่สามารถชุบชีวิตคนตายได้ นั่นเเหละที่ผมคิด เเละถ้าเธอยังลูบมันมากไปมากกว่านี้อีก ผมก็ยินดีที่จะยืนขึ้นทันทีถ้าผมเป็นโครงกระดูกล่ะนะ
“เเกใช้นักโทษคนนั้นได้ตามต้องการเลย”
“บาร์บาทอส……”
ผมค่อยๆ ยกคางของบาร์บาทอสขึ้นมา บาบาร์ทอส ไม่ได้ปฏิเสธการสัมผัสที่หยาบกระด้างของผม ริมฝีปากของเราเริ่มเข้ามาใกล้กัน
“เธอคงรู้อยู่แล้ว แต่ผมเกลียดผู้หญิงรูปร่างเล็ก”
“หืม งั้นเหรอ”
“แต่มีเเค่เธอคนเดียว ที่ผมไม่อาจปฏิเสธได้”
“ข้ารู้ ข้ารู้อยู่แล้ว ไอ้เจ้าโง่”
เราจูบกันเป็นเวลานาน มันเป็นจูบที่แสดงความขอบคุณแทนที่จะเป็นตัณหา บาร์บาทอสเพราะเหตุที่ผมฝืนบังคับกองทัพไปทางเหนือเพื่อช่วยเหลือเธอ เเละเธอก็ไม่เพิกเฉยต่อจุดยืนของผมที่ได้ช่วยเธอไว้และได้มอบรางวัลที่เหมาะสมแก่ผมมา พวกเราเป็นคู่รักที่รู้วิธีเเสดงความขอบคุณอย่างจริงใจต่อวิธีตอบเเทนต่อสิ่งที่พวกเราได้รับมานั้นช่างสวยงามมากกว่าสิ่งใดและให้รางวัลอีกฝ่ายต่อกันเเละกัน เราเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่เลอค่า ผมถอนริมฝีปากออกและกระซิบไปที่เธอ
“—ผมรู้สึกเหมือนมีความปรารถนาที่จะจบเรื่องบางอย่าง ณ ที่นี่ตอนนี้ คงเป็นเพราะว่าอะไรบางของผมได้ตั้งขึ้นมาเเล้ว”
“ไม่เป็นไรน่า. พวกเราสนุกกันมามากพอแล้วเมื่อวานนี้ ไปจัดการธุระของเเกให้เสร็จเถอะ”
บาร์บาทอสชี้ไปที่มกุฎราชกุมารด้วยคางของเธอ ผมพยักหน้าและเข้าหาองค์ชายแห่งจักรวรรดิ
ผมสงสัยว่ามองค์ชายได้ลงกลิ้งคลุกฝุ่นรอบๆสนามรบมาหรือเปล่า เพราะเศษดินสิ่งสกปรกได้ติดไปที่เนื้อตัวของเขาจนเป็นเนื้อเดียวกัน ผมของเขาเป็นสีเงิน แต่เเพราะโคลน มันถูกผสมเข้ากับหัวอย่างหยาบๆ จนกลายเป็นสีน้ำตาล องค์ชายมองมาที่ผมด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยสิ่งสกปรก ดวงตาของเขาหม่นหมองเหมือนคนเมาที่เพิ่งตื่นจากอ่ากางเเฮงค์
“เเกเป็นใคร……?”
“ศัตรูของเอลิซาเบธ”
“เจ้าไม่อยากฟังข้อเสนอของข้าหน่อยหรือ องค์ชาย?”
ผมยิ้มอย่างราบเรียบ
ว่าไงเจ้าพี่ชายคนโต.
ผมมาที่นี่เพื่ออยากจะบอกต่อสิ่งดี ๆ ให้เจ้าได้ทราบ
…………………………………………………………………………………………………………..
ดีจ้า ผู้แปลเองนะ ตอนนี้อาการโควิดก็ขึ้นมาละ เเต่ยังมีอาการเจ็บคอกับไอเเห้งอยู่ หวังงว่าอาการไอจะไม่ใช่ลางร้ายเหมือนที่มาร์เกรฟเป็นหรอกนะ 55555 ยังไงก็เเล้วเเต่ขอให้สนุกกับ Cheapter นี้นะครับ เพราะตอนหน้าขึ้น Chapter 5 คำพูดไร้เสียง