Dungeon Defence - ตอนที่ 73
ราชาแห่งไพร่ ลำดับที่ 71 ดันทาเลี่ยน
ปฏิทินเอ็มไพร์: ปี 1506 เดือน 4 วันที่ 3
โพลส์, ที่ราบ บรูโน
ผมงีบได้หลับไป 3 ชั่วโมง
เนื่องจากผมไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องทำระหว่างรออีก 1 ชั่วโมง ผมจึงออกไปที่ราบ เเละในวันนี้ก็เป็นวันครบรอบ 1 ปีแล้วที่ผมได้ตกลงมาสู่โลกนี้
ที่ราบเปียกโชกไปด้วยกลิ่นเหม็นของน้ำ ไม่ว่าน้ำค้างยามเช้าจะพยายามเตรียมการก่อนจะก่อกบฏ หรือเป็นน้ำฝนที่ตกลงมากะทันหันเป็นการประกาศสงคราม ความง่วงนอนของเปลือกตาของผมก็ค่อย ๆ ปลิวกระจายไปในอากาศที่เปียกโชกไปด้วยความชื้น การนัดเเนะเวลาเมื่อวานนั้นเป็นที่มั่นเหมาะเพราะ 10 นาทีหลังจากที่ผมเข้าไปในเต็นท์ เจ้าหญิงจักรพรรดิก็มาถึง
“……”
“……”
พวกเราเราสองต่างก้มหน้าทักทายกันลงมากกว่าเมื่อวานก่อน
นัดสุดท้ายได้เริ่มต้นขึ้น ผมใช้ความคิดเริ่มตาเดินเเรกไปกับหมากหินสีดำในขณะที่เจ้าหญิงจักรพรรดิเล่นตาเดินที่สองด้วยหมากหินสีขาว ต่อจากเมื่อวานและวันก่อนหน้านั้น แมตช์สุดอลังการได้เปิดฉากขึ้นเเล้วในวันนี้
เหมือนนัดแรกที่เจอกันเรายั่วใส่กันโดยไม่ลังเล อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้ล้อเลียนใส่กัน แม้ว่าเธอจะรีบบุกเข้ามาทันที เเต่การจัดการหมากของผมก็ไม่ได้มีโอกาสเสี่ยงอะไรเพราะฐานที่มั่นของผมบนกระดาน เเต่ในจุดที่อันตราย หมากหินขาวดำถูกผสมเข้าด้วยกันเพราะมีโอกาสเสี่ยงต่อผมได้ แม้ว่าการต่อสู้จะสลับกันรุนแรงมากจนทำให้ผมรู้สึกทื่อ แต่เพราะจากไม่มีการนับถอยหลังเวลา ผมจึงสามารถสงบสติอารมณ์ได้อีกครั้ง ……อ่ะฮะฮะ การต่อสู้โดยปราศจากการจำกัดเวลามันช่างยอดเยี่ยมเหลือเกิน ว่าไหม? ผมเห็นความงามปรากฏออกมาเเละสามารถถูกมองว่าเป็นเพียงความงามได้เป็นหลักสำคัญ
ฝนตกปรอยๆในยามรุ่งสาง
ฝนตกลงมาที่พื้นพร้อมกับกลิ่นของเมฆ มีคนบอกว่าถ้าใครอยากเนื้อหอมต้องลองโดนหักอกหลายครั้งก่อน ดั่งหยาดฝนที่แตกสลายลงมาและส่งกลิ่นออกไป ในขณะที่เปียกโชกไปด้วยเสียงของฝนที่แตกออกจากกันและกลิ่นเหม็นที่เล็ดลอดออกมาจากน้ำฝน เราก็ยังคงเล่นเกมหมากล้อมของเราต่อไป เนื่องจากเสื้อผ้าของเรารับหยาดฝนเข้าไปจนกลายเป็นภาระ เราสองคนจึงถอดเสื้อออกไป 2 ชิ้น เช่นเดียวกับร่างกายของผมที่เปียกโชกไปด้วยน้ำ ตอนนี้ผมเองก็เปียกโชกมากขึ้นไปอีก
เม็ดฝนจำนวนมากตกลงบนกระดาน หมากล้อม เช่นเดียวกับฝนที่ตกลงมาบนหมากหินสีดำหยาดน้ำที่คั่งค้างอยู่ได้กระเซ็นออกไป ในขณะที่ฝนตกลงมาบนหมากหินสีขาวน้ำกลับไหลลงมาตามแนวหินอย่างราบรื่น มีน้ำขังอยู่ด้านบนของกระดาน ไม่ว่าจะเป็นหมากหินสีดำหรือหมากหินสีขาว ร่างกายของพวกมันก็จมอยู่ในน้ำอย่างน้อยครึ่งหนึ่งไปเเล้ว รู้สึกเหมือนกับเราจะวางมันไว้ที่นั่นด้วยความตั้งใจของเราเอง เเต่กลับมองได้ว่าพวกมันเลือกที่จะอยู่ที่ตรงนั้นโดยบังเอิญ ทำให้ตำแหน่งของพวกมันใกล้เคียงกับความบังเอิญมากกว่าความตั้งใจของผู้วางหมาก ในบางครั้ง ผมวางหมากหินลงโดยไม่ได้คิดอะไร ทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าหยาดฝนได้กำลังคิดแทนผมไปเเล้ว และหมากหินเองก็เข้าใจในทุกอย่างในตาเดินของผม หากเอาคนอื่นมามอง คงจะตัดสินไปเเล้วว่านั่นเป็นการเคลื่อนไหวที่ยอดเยี่ยมที่ประกอบด้วยความคิดรอบคอบ อย่างไรก็ตาม หากมีคนถามว่าผมได้วางหมากตาเดินที่ยอดเยี่ยมนี้ได้ยังไงกัน ผมเองก็ทำได้เพียงเอียงศีรษะเท่านั้น สำหรับผมเเล้ว รู้สึกว่ามันเป็นตาเดินน่าที่พิศมัยมากกว่า
หยาดฝนตกลงมาสู่ที่ราบเช่นกัน ฝนที่ตกลงมากระทบพื้นรอบตัวเราประปราย เราสองคนต่างทำจิตใจให้สงบลงไป เพื่อป้องกันไม่ให้สิ่งต่างๆเข้ามารบกวนเราได้ เพื่อระงับเสียงของฝนกระทบเสียงต่างๆเหล่านั้นเอง แม้ว่าผมจะเปียกโชก แต่ผมก็เชื่อว่าฝนที่ตกลงมาได้พยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้ตกลงบนตัวเราสองเเละไหลไปตกที่ที่ราบเเทน ผมไม่รู้สึกว่ากองทัพปีศาจและกองทัพมนุษย์ซึ่งอาศัยอยู่บนที่ราบด้านนี้นั้นนั้นเป็นเกาะอีกต่อไป แต่กลับคิดว่าจุดนี้ที่เราอยู่ในตรงนี้ที่นี่นั้นเองคือเกาะใหญ่ กระดานเกมก็เป็นดั่งหมู่เกาะภายในเกาะใหญ่นั้นด้วย ดังนั้น เราสองคนที่อยู่รอบเกาะจึงทำจิตใจให้สงบลงเหมือนดุจดั่งมหาสมุทร
ก่อนที่ผมจะรู้ตัว ผมก็ลืมว่าได้ต่อสู้เพื่อชัยชนะไปเเล้ว แต่ผมต่อสู้เพื่อไม่ให้เล่นพลาดขึ้นมาเเทน
วันนี้ตัวผมต้องไม่ถูกย้อมด้วยการเล่นที่ผิดพลาด ถึงแม้ว่ามันจะมีกรณีที่แตกต่างออกไปถ้าผมเล่นพลาดไปโดยที่ผมไม่รู้ว่าคู่ต่อสู้ได้เอาจริงเเล้วเเละเล่นแบบรอบคอบมาตลอด ผมเองก็ไม่สามารถให้อภัยความผิดพลาดที่เกิดขึ้นได้เนื่องจากความเกียจคร้านและไม่จริงใจของตัวเอง นั่นจะเป็นสิ่งที่น่าละอายและเสียใจกว่าอีก
เนื่องจากผมมีเวลาคิดเเละตัดสินใจ ความเร็วในการวางหมากหินของผมจึงเชื่องช้า เจ้าหญิงจักรพรรดิเองก็เป็นเช่นนั้นเหมืือนกัน เราเฉื่อยชา ร่างกายที่เชื่องช้าได้เปียกฝนดังนั้นพวกเราจึงได้เข้าใจกันเเละกันมากขึ้น ทันทีที่ฝนหยุดตกจากฟ้า เราก็กลั้นหายใจครู่หนึ่ง น้ำได้ล้างออกจากกระดาน การแข่งขันได้รับการตัดสิน
“……”
“……”
ตาเดินรอบที่ 313
บุลเกีย.
ด้วยความต่างเพียง 1 เเต้ม
ชัยชนะเป็นของหมากหินสีดำ
เจ้าหญิงเอลิซาเบธแห่งจักรวรรดิพึมพำ
“……ดูเหมือนว่าเราเพิ่งได้ดื่มด่ำกับความสวยงาม ที่จะมีได้ตลอดชั่วชีวิตนี้ไปเเล้ว”
“เห็นด้วย.”
“จอมมาร นายมาตายที่นี่พร้อมกับเราได้หรือไม่”
ผมพยักหน้าอย่างช้าๆ
“ก็ได้นะ แต่จำเป็นต้องตายทันทีตอนนี้เลยไหม?”
“จะมีชีวิตอยู่ต่อไปทำไม ในเมื่อแสงแห่งชีวิตได้จางหายไปหลังจากวันนี้เเล้ว? ถ้าเป็นตอนนี้ล่ะก็ เราพร้อมจะจากโลกนี้ไปได้เลย”
“ผมขอสัญญากับเธอเลยว่าจำนวนครั้งที่ทำให้เธอปรีดาจะมียิ่งมากขึ้นกว่านี้อีกเเละจะมากขึ้นไปเรื่อยๆด้วย”
“……”
เอลิซาเบธวางมือบนคางและครุ่นคิดอย่างหนัก
“เราเข้าใจเเล้ว. เราจะเชื่อในคำพูดของนาย จอมมาร ด้วยสังขารอันยืนยาวการที่นายให้ความหวังกับเราและทรยศความหวังนั้นไปมันเป็นสิทธ์ของสิ่งที่เรียกว่าชีวิต เราเองก็หวังว่าอย่างน้อยนายจะไม่ทรยศต่อความคาดหวังของเรานะ จอมมาร”
“ผมจะทำให้ดีที่สุด. ……อา พวกเราไม่ต้องทบทวนการแข่งขัน หมากล้อม ของวันนี้เเล้วกัน”
“อืมม.เราก็อยากจะปล่อยให้มันเป็นแบบนี้เหมือนกัน”
ผมก้มหัวต่ำลงไป
“ผมคือดันทาเลียน ผมจะอยู่ในอาวรณ์ของเธอ”
“เราคือเอลิซาเบธ เราเองก็จะอยู่ในอาวรณ์ของนายเช่นกัน”
เราเพิ่งมาแนะนำตัวกันในวันที่สามหลังจากที่เจอกันครั้งแรก
ผมพูดขึ้น
“เจ้าหญิง ในบ้านเกิดที่ผมเคยอาศัยอยู่ มันจะถูกหักคะเเนนไป 6 ถึง 7เเต้มหากหมากหินสีดำเป็นฝ่ายที่เริ่มไปก่อน ถ้าที่นี่คือบ้านเกิดของผม มันจะเป็นชัยชนะของเธอ”
“ใครจะมาตัดสินการแข่งขันด้วยกฎของประเทศอื่นกัน? กรุณาถอนคำพูดออกมาเลย เราอยากจะยอมรับความสูญเสียในฐานะผู้เเพ้
“ผมจะละทิ้งมาตุภูมิและหลอกตัวเองได้อย่างไรในเมื่อหัวใจของผมยังคงอยู่ที่บ้านตลอดเวลาทั้งที่ร่างกายของผมอยู่ที่นี่กัน? สำหรับผมเเล้ว นี่ก็เหมือนกับการพ่ายเเพ้ต่อเธอ เจ้าหญิงจักรพรรดิ นี่ไม่ใช่การโน้มน้าวใจให้เป็นผลอย่างอื่นหรอกนะ”
“งั้นเราก็แพ้ทั้งคู่”
“เราชนะทั้งคู่”
พวกเราพยักหน้า เป็นเวลาเนิ่นนานเราจ้องไปที่กระดานที่มีน้ำฝนค้างอยู่ด้านบน แม้ว่าฝนที่ตกลงมาจะหยุดไปหมดแล้ว แต่ก็ยังมีบ้างที่เศษน้ำค้างยังคงเหลือเเละไหลลงมา เม็ดฝนหลายเม็ดก่อตัวเป็นสายธารและไหลออกไปเบาๆ ผมพูดขึ้น
“เป็นการดีถ้าเราจะสนทนากันในตอนนี้ ให้คิดว่าตอนนี้นั้นเป็นการประชุมลับที่จัดขึ้นระหว่างเราสองคน เจ้าหญิงจักรพรรดิ ถ้ามีโอกาสนะ จะเป็นไปได้ไหมถ้าผมอยากจะขอยืนยันว่าเธอได้พกเครื่องมือที่คล้ายกับ อาร์ติเเฟค (เครื่องกรอความทรงจำ)Memory Play ไหม? ถ้าไม่รังเกียจต่อความหยาบคายของผมเเล้วล่ะก็……”
“อ่า ได้แน่นอน”
เจ้าหญิงแห่งจักรพรรดิยืนขึ้นและถอดเสื้อผ้าออกทีละชิ้นออกไปทีละชิ้น ผมรับเสื้อผ้าของเธอและสัมผัสกระเป๋าด้านในและด้านนอกของเธอ มันไม่มีอะไรในนั้น. หยาดน่ำฝนก่อตัวขึ้นบนร่างเปลือยเปล่าสีขาวบริสุทธิ์ขององค์หญิงจักรพรรดิ ผมคืนเสื้อผ้าของเธอทั้งหมด
“ขอบคุณ.”
“จะได้ไหมถ้าเราขอตรวจสอบด้วยเช่นกัน……?”
“เเน่นอน”
ผมถอดเสื้อผ้าทั้งหมดออกแล้วยื่นไปทางเจ้าหญิงจักรพรรดิ เมื่อผมถอดหมดเเล้ว เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิก็ค้นดูแม้กระทั่งมุมของเสื้อผ้าด้วย เธอพยักหน้าและคืนเสื้อผ้า
“ขออภัยในความไม่สะดวก”
“เหลวไหลน่า.”
เราใส่เสื้อผ้าที่เปียกน้ำกลับคืนมา ระหว่างนั่งหันหน้าเข้าหากันบนเก้าอี้ ในที่สุดเราก็มาถึงประเด็นหลักได้สักที คนแรกที่เปิดปากก่อนคือเจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิ
“มันเป็นความผิดพลาดของนายเลยที่ไว้ชีวิต มาร์เกรฟเเห่งโรเซ็นเบิร์ก และยังส่งเขามาหาเราอีก จอมมาร แม้จะดูเหมือนว่านายกำลังหวังว่าโรเซนเบิร์กและตัวเราเองจะมีความขัดแย้งภายในเรื่องอำนาจทางการทหารกันอยู่ แต่เเท้จริงเเล้ว มาร์เกรฟ นั้นแก่เกินไปที่จะก่อการกบฏได้เเล้ว”
“เป็นเรื่องน่าเศร้าเนาะะ”
มันเป็นความจริง ผมคิดว่ามาร์เกรฟแห่งโรเซนเบิร์กจะต่อต้านเจ้าหญิงจักรพรรดิมากกว่านี้อีกสักหน่อย ผมไม่ได้คิดเลยว่าเขาจะเชื่อฟังเธอเเละจะกลายเป็นเกราะเนื้อมีชีวิตเเล้วมาตายลงในสนามรบ ในไทม์ไลน์เดิมของเกม เขาเป็นบุคคลที่ทำให้จักรวรรดิตกอยู่ในความโกลาหลเพราะเขาเกือบจะเริ่มก่อการจลาจลต่อเจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิได้สำเร็จ
“เธอชักชวนให้มาร์เกรฟฟังคำสั่งได้ยังไง”
“เขาเชื่อฟังอย่างว่าง่ายหลังจากที่เราพลีกายให้เขาไป 1 ครั้ง ช่างเป็นคนแก่ที่โง่เขลาจริงๆ”
ผมหัวเราะออกมา เธอเป็นผู้หญิงที่รู้วิธีสนุกกับมุกตลกตัวเอง
“เจ้าหญิง เล่นมุกได้สวย”
“อย่างนั้นเหรอ? ……นั่นเป็นคำชมแรกที่เราเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรกในชีวิตเลยตั้งแต่เกิดมา”
“เธอติเตียนผมว่าได้ทำผิดพลาด แต่เจ้าหญิงเองก็ทำเหมือนกันนะ ดูเหมือนว่าเธอได้ส่งมกุฎราชกุมารพร้อมกับมาร์เกรฟ ให้ผม ถึงจะโชคร้าย ถ้าเขาได้เสียชีวิตลงระหว่างการสู้รบอันดุเดือด เธอจะกลายเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์เพียงหนึ่งเดียว ถึงแม้ว่าเธอจะผลักไสความต้องรับผิดชอบการตายขององค์ชายไปให้ มาร์เกรฟเเล้วก็ตาม……”
องค์หญิงถอนหายใจ
“พี่ชายของเราถูกจับใช่ไหม?”
“เราจับเขาได้แบบเป็นๆ ปัจจุบันมกุฎราชกุมารเป็นนักโทษของผมอยู่”
“……ไม่เคยมีญาติคนไหนของเราช่วยเหลือเราเลยในชีวิตนี้ เราเคยพยายามที่จะวางยาพิษและลอบสังหารเขามาก่อน แต่เขากลับมีไหวพริบดีอย่างน่าประหลาด เขาเอาชีวิตรอดมาได้จนถึงทุกวันนี้ อย่างน้อยที่สุด เราก็ได้ให้โอกาสเขาตายอย่างมีเกียรติ แต่ก็ยังถูกจับเป็นนักโทษอีก……”
“ผมพูดคุยสนทนาส่วนตัวกับองค์ชายมาบ้างเเล้ว เพราะแบบนี้ผมจึงได้รู้เกี่ยวกับอดีตส่วนใหญ่ของเจ้าหญิง มันค่อนข้างจะเร้าใจไปเลยทีเดียว”
ผมยกมุมปากของตัวเอง
“เห็นได้ชัดว่าเธอได้ฆ่าพี่สาวสองคนและน้องชายของตัวเองไปอีกสองคน”
“……”
การถอนหายใจของเจ้าหญิงจักรพรรดิเริ่มยาวขึ้น
“……เราเข้าใจเเล้วว่าพี่ชายเราได้บอกทุกๆอย่างจริงๆ โอ้จอมมาร พี่ชายของเราได้บอกความจริงทั้งหมดแก่นายแล้วหรือยัง ว่าเหตุใดเราจึงฆ่าพี่น้องร่วมสายเลือดของตัวเอง?”
“บอกเเล้ว.”
ผมเกลี้ยกล่อมองค์ชายให้พูดถึงอดีต เพื่อขุดตุ้ยทุกอย่างที่อาจจะใช้เป็นจุดอ่อนของอลิซาเบธได้ ประวัติเเผนผังราชวงศ์ครอบครัวขององค์ชายและเจ้าหญิงจักรพรรดินั้นเป็นข้อมูลที่ค่อนข้างไร้สาระ ในบรรดาข้อมูลที่ผมได้รวบรวมมา แม้ว่าจะมีข้อเท็จจริงหลายอย่างที่ผมได้รู้มาจากเกมแล้ว แต่ข้อมูลที่ไม่เคยเปิดเผยหรือไม่เคยอ้างอิงในเกม ที่เป็นข้อมูลที่ผมไม่เคยรุ้มาก่อน ก็ถือว่าพิเศษมากสำหรับผม ผมกลับไปคุยต่อ
“แต่เดิมเเล้ว ครอบครัวของเธอมีพี่น้องสายเลือดเดียวกันประกอบด้วยพี่สาวสองคนและพี่ชายน้องชายอีกสามคน…… ถึงแม้ว่าตัวเลขจะน้อยไปหน่อยในฐานะผู้สืบทอดสายเลือดราชวงศ์ก็ตาม เพราะหลังจากที่ต้องเผชิญกับการตายอย่างลึกลับของเหล่าพี่น้อง มีเพียงเจ้าหญิงจักรพรรดิและองค์ชายมกุฎราชกุมารเท่านั้น ที่เหลืออยู่”
“……”
“ข่าวลือเกี่ยวกับการตายที่น่าเศร้านั้นมีอยู่มากมาย ทั้งข่าวลือว่ามกุฎราชกุมารได้สังหารพี่น้องทิ้งไป ไม่ก็ พวกเขามีเรื่องบาดหมางกันอย่างลับๆ ที่ทำให้เกิดการห้ำหั่นทำลายล้างซึ่งกันและกัน พวกราชวงศ์ถูกสังเวยชีพเพราะแผนการของพวกขุนนางหลายคน……”
แต่พวกเขาทั้งหมดล้วนคิดผิด
ผิดทั้งหมดเลย.
ผมจ้องตรงไปที่เจ้าหญิงจักรพรรดิ
“ตามที่องค์ชาย บอกมา เขาบอกว่าความจริงแล้ว เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิ ได้สังหารพี่น้องของตัวเองทั้งหมดน่ะ นั่นเป็นความจริงใช่ไหมล่ะ?”
เจ้าหญิงพยักหน้า
“นั่นเป็นความจริง. เราฆ่าเองทั้งหมด”
“แม้ว่าจะมีน้องชายอายุ 6 ขวบอยู่ในนั้นด้วย……”
“เช่นนั้นเเหละ มีปัญหาอะไรไหม?”
“……”
ผมหัวเราะออกมาอย่างรุนเเรง
“งั้นเหรอ เธอไม่รู้สึกเศร้าบ้างหรือไง เจ้าหญิงจักรพรรดิ?”
“แน่นอนว่าเรารู้สึกเศร้า เเต่อย่างไรก็ตาม ปัญหาของความทุกข์คืออะไรกันล่ะ? เมื่อเรารู้สึกเศร้ากับสิ่งที่น่าเศร้า เเต่เราก็ต้องทำสิ่งที่ต้องทำอยู่ดี นั่นคือวิถีที่ทำให้เรามีชีวิตอยู่ นายมีชีวิตที่ต่างจากนี้งั้นเหรอ จอมมาร?”
ใบหน้าของเจ้าหญิงจักรพรรดิยังคงเย็นชาโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ใบหน้าของเธอยังคงเหมือนเดิมตั้งแต่เธอเข้ามาในเต็นท์ครั้งแรกและแม้ในขณะที่เธอกำลังเล่นหมากล้อม ไม่รู้สึกว่าเธอตั้งใจปั้นหน้ากับการแสดงออกทางสีหน้าของตัวเองเป็นพิเศษ เจ้าหญิงจักรพรรดิถามผมด้วยความจริงใจที่สุดว่า ‘ถ้ามีปัญหากับมันเเล้วทำไมล่ะ’ ผมเกาหัวแล้วตอบกลับ
“ไม่ล่ะ. ผมเองก็ใช้ชีวิตแบบนั้นเหมือนกัน”
“เราก็รู้ว่านายเองก็เป็นแบบนั้น นายเองก็ใช้ชีวิตได้ค่อนข้างน่าสมเพชเช่นเดียวกับเรา……”
“นั่นคือสิ่งที่เธอ ควรจะพูดกับผมไหมเนี่ย……?”
ในตอนนั้นเองลมก็ได้พัดเข้ามาหลังจากนั้นไม่นาน มันเป็นลมชื้นๆ เต็นท์ผ้าสีขาวพลิ้วไสวราวกับผ้าม่านและบดบังการมองเห็นของกันและกันในชั่วขณะหนึ่ง เมื่อสายลมสงบลง เราก็จะได้เห็นหน้าของอีกฝ่ายอีกครั้ง องค์หญิงจักรพรรดิกล่าว
“เราไม่รู้ว่าพี่ชายของเราบอกนายหรือเปล่า แต่พี่ชายของเราทำให้พี่สาวคนแรกและคนที่สองกลายเป็นคนรักอย่างลับๆ พวกเขากำลังร่วมประเวณีกันระหว่างพี่น้อง”
“ผมเคยได้ยินมาเเล้ว.”
“ไม่ว่าพวกนั้นจะมีความสัมพันธ์ร่วมประเวณีระหว่างพี่น้องหรือไม่เราเองก็ไม่สนใจหรอก เเต่อย่างไรก็ตาม เพราะจากที่เราต้องแข่งขันกับพี่ชายเพื่อชิงบัลลังก์ในภายหลัง เมื่อการร่วมรักพี่น้องได้เกิดขึ้นเเล้ว เราก็คิดว่ามันคงจะเป็นเรื่องยุ่งยาก หากพี่สาวของเราหันไปสนับสนุนเขา ด้วยเหตุนั้นเอง เมื่อพี่น้องของเราหมดแรงหลังจากร่วมหลับนอนด้วยกัน เราก็ใช้โอกาสนั้นฆ่าซะ”
“……”
“พี่ชายของเราไม่สามารถแสดงการต่อต้านได้ พี่สาวของเราถูกฆ่าตายบนเตียงของเขาขณะที่นอนเปลือยกายกันอยู่ หากคนอื่นรู้ถึงเหตุการณ์นี้ พี่ชายจะตกเป็นผู้ต้องสงสัยทันที ผู้คนจะสงสัยว่าองค์ชายได้ร่วมสมสู่กันระหว่างพี่น้องร่วมสายเลือดเดียวกันใช่ไหม? เเละเป็นเขาเองที่ฆ่าพี่สาวหลังจากเสร็จสมอารมณ์หมายเเล้วใช่หรือเปล่า……? นั้นเเหละถึงเป็นผลให้พี่ชายของเราเข้าตาจน จนต้องซ่อนศพของพี่สาวน้องสาวของเรา ช่างเป็นพี่ชายที่น่าสมเพซเสียจริง
“อืมม.ช่างเป็นแนวทางที่ใสสะอาดดีนะ”
“นั่นก็เป็นสิ่งที่เราคิดเช่นกัน”
องค์หญิงจักรพรรดิถอนหายใจอีกครั้ง
“เราจัดการกับพี่น้องคนอื่นๆ ทุกๆครั้งที่มีโอกาส อย่างไรก็ตาม เราแน่ใจว่าไม่ได้ทิ้งหลักฐานใดๆไว้ในที่เกิดเหตุ มีเพียงพี่ชายของเราที่เชื่อว่าเราเป็นคนกระทำ แม้ว่าเขาจะเป็นผู้ชายที่ไม่มีความมั่นใจแม้แต่จะเปิดเผยความเชื่อนั้นให้คนอื่นรู้ก็ตาม……จอมมาร นายสามารถเกลี้ยกล่อมพี่ชายของเราได้ยังไง”
“ผมไม่แน่ใจว่าการพูดของผมมันถูกต้องจนชักชวนให้ไหลตามได้ทั้งหมดหรอก แต่ความเกลียดชังของเขาที่มีต่อเธอนั้นค่อนข้างน่าประทับใจเลยทีเดียว เมื่อผมสาบานว่าต้องกลายเป็นศัตรูกับเจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิ ปากขององค์ชายก็เปิดออกด้วยตัวของมันเอง ต้องขอบคุณความเกลียดชังนั้นที่ทำให้ผมได้รับข้อมูลมามากมายโดยไม่มีปัญหาอันใดเลย”
“เเล้วนายได้หลักฐานมาพิสูจน์หรือเปล่า”
ผมยักไหล่
ไม่มีเลย
ผมมีเพียงเเค่คำให้การของมกุฎราชกุมารที่มีนเมาฤทธ์เเอลกอฮอลล์อยู่เเค่นั้น
หลังจากตรวจดูใบหน้าของผมแล้ว เจ้าหญิงจักรพรรดิก็หลับตาลง
“เรารู้สึกโล่งใจ การพูดคุยกันแบบถึงเนื้อถึงตัวทำให้เรารู้ได้ ถ้านายทำได้จริง ถ้าหากนายมีหลักฐานด้วยล่ะก็ เราคงถูกนายจัดการไปโดยที่เราไม่สามารถกระดิกได้แม้แต่นิ้วเดียวเเล้ว จอมมาร การรวมทวีปช่างเป็นหนทางที่ยาวไกล จนเราคิดไปว่าตัวเองอาจถูกจัดการก่อนจะได้ขึ้นเป็นจักรพรรดินี เเต่……”
“แต่เเค่เพียงคำให้การขององค์ชาย เเค่เพียงเขาพูดถึงอาชญากรรมที่เธอทำต่อหน้าสาธารณะ เกียรติยศและชื่อเสียงของเธอจะเเตกสลายเป็นผุยผง……”
“เเล้วใครจะเชื่อคำให้การขององค์ชายที่ถูกจับโดยกองทัพของจอมมารกัน? อย่างน้อย ผู้คนคงจะเห็นเป็นแบบนั้นเพราะคิดว่าองค์ชายถูกข่มขู่หรือถูกล้างสมองโดยจอมมาร ยิ่งไปกว่านั้น ชายคนนั้นอาจเป็นพี่ชายของเราจริง แต่เขาไม่มีใครในหมู่ขุนนางไว้วางใจเลยแม้แต่น้อย นั่นจึงจะเป็นความพยายามที่เปล่าประโยชน์ ดันทาเลี่ยน”
“จะเปล่าประโยชน์จริงหรือไม่นั้น”
“……”
“มาลองทดสอบดูไหมล่ะ อลิซาเบธ?”
เจ้าหญิงใช้นิ้วเคาะหน้าผากของเธอเอง ไม่ว่ามกุฎราชกุมารจะไร้ความสามารถสักเพียงใด องค์ชายก็ยังคงเป็นองค์ชายอยู่ดี แม้จะไม่มีหลักฐาน เเต่ฐานะของเขายังคงมีความสามารถมากพอทำให้เกิดความระส่ำระสายในจักรวรรดิได้ด้วยความเชื่อที่แน่วแน่ของเขาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ดังที่เจ้าหญิงจักรพรรดิได้คาดไว้ ความปั่นป่วนอาจจะจบลงอย่างรวดเร็ว
หรือบางทีความไม่สงบนั้นอาจลุกลามกลายเป็นเรื่องใหญ่อย่างน่าใจหาย
ไม่มีอะไรแน่นอน 100% หรอก
องค์หญิงค่อย ๆ ขยับริมฝีปากของเธอ
“เงื่อนไขของนายคืออะไร”
“ปราสาทของผมถูกทำลายเพราะมาร์เกรฟแห่งโรเซนเบิร์ก แม้ว่าผมอาจจะอยู่ได้แบบไม่ต้องมีบ้าน โดยการเดินทางไปหลายๆที่ เเต่ตอนนี้ผมค่อนข้างเบื่อสภาพเเบบนั้นแล้ว เพราะงั้นช่วยหาบ้านใหม่ให้หน่อยสิ ”
“……นายกำลังพูดเหมือนว่านายต้องการให้เรายกดินแดนของมาร์เกรฟให้นายเลยใช่ไหม”
“อืมม. ในเมื่อคนที่เอาบ้านของผมไปก่อนคือมาร์เกรฟ ถ้าอย่างนั้นเเล้วการที่ผมจะเอาบ้านของมาร์เกรฟไปคิดว่ามันสมควรหรือไม่ล่ะ?”
“……”
แท็ก แท็ก แท็ก
การเคาะนิ้วของเจ้าหญิงจักรพรรดิเริ่มรุนเเรงขึ้น
ได้ยินเสียงม้าร้องที่ทุ่งราบ เมื่อม้าที่อยู่ด้านหนึ่งของที่ราบใกล้เข้ามา ม้าในค่ายที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของทุ่งก็ส่งเสียงร้องต่ำเช่นกัน เสียงร้องโหยหวนเบา ๆ ข้ามเต็นท์และเงียบลงระหว่างเราสองคน จนกระทั่งเสียงของม้าเงียบลง ผมกับเจ้าหญิงก็ได้จ้องมองกันและกัน
“ก็ได้. เรายอมรับเงื่อนไข.”
“แล้วผมจะกลับมาที่เต็นท์หลังจากไปที่ค่ายของผมในไม่ช้า”
“เราก็ด้วย”
พวกเราสองกลับไปที่เต็นท์หลังจากนั้น 30 นาที ผมได้นำมกุฎราชกุมารมาด้วยในขณะที่เจ้าหญิงจักรพรรดิได้พาชายคนหนึ่งซึ่งอยู่ในวัยหนุ่มและเด็กชายตัวเล็กๆอีกคนมา ทั้งคู่ถูกมัดด้วยเชือกไว้เเละมีผ้าพันรอบใบหน้า เธอจัดการพันหน้าพวกเขาเพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นรู้ว่าพวกเขาเป็นใคร ผมยอมมอบมกุฎราชกุมารแก่เจ้าหญิงจักรพรรดิก่อน
“เอ้านี่. พี่ชายของเธอ
“น่าประทับใจทีเดียวที่ได้กลับมารวมตัวกับครอบครัวตัวเองอีกครั้ง”
เจ้าหญิงจักรพรรดิได้พูดถึงอารมณ์ของเธออย่างราบเรียบ เธอถอดผ้าขี้ริ้วออกจากใบหน้าขององค์ชาย ขณะที่หายใจหอบ องค์ชายมองไปรอบ ๆ บริเวณโดยรอบอย่างรวดเร็ว
“ทะ-ที่นี่ที่ไหน? ……เอลิซาเบธ? มาได้ยังไง?”
“เราส่งเจ้าให้ไปตาย แต่ดูเหมือนว่าเจ้าจะฟื้นคืนชีพมาแล้ว พี่ชาย”
องค์หญิงจักรพรรดิถอนหายใจเบาๆ
“เจ้าทำให้เรื่องมันยุ่งยากสำหรับเรามากเลยนะ นี่น่าจะเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เจ้าเคยทำมาตลอดชีวิตเลยพี่ชาย”
“อะไรกัน……? เเกอีนังตัวเมีย ปีศาจอย่างเเกมา ……”
องค์ชายไม่สามารถพูดได้จนจบ องค์หญิงจักรพรรดิได้เหวี่ยงดาบของเธอและฟันไปที่คอของมกุฎราชกุมารเป็นเส้นตรง ขณะที่เลือดได้หลั่งไหลออกมา องค์ชายได้ล้มลงไปกับพื้น
เจ้าหญิงจักรพรรดิคุกเข่าลงและถลกหนังใบหน้าพี่ชายของเธอ ก่อนที่องค์ชายจะได้พบกับจุดจบของตัวเองและในขณะยังคงหายใจอยู่ ขณะที่ใบหน้าของเขากำลังถูกตัดออกมา เขาก็ตายลงอย่างช้าๆ เจ้าหญิงจักรพรรดิลอกผิวหน้าของพี่ชายของเธอเเล้วเก็บเข้าไปในกระเป๋าตัวเอง
“ขอบคุณมาก จอมมาร เราพินิจลักษณะของเขาเเม้จะตายไปแล้ว เขายังคงเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนเเปลง เขาเป็นพี่ชายของเราจริงๆและไม่ใช่ตัวปลอม”
“เพราะคำสัญญานั้นเป็นสิ่งที่มีค่าใช่มั้ยล่ะ”
“อืมม. สัญญานั้นเป็นสิ่งสำคัญ”
เจ้าหญิงชี้ไปที่นักโทษสองคนที่เธอพามา
“ชายผู้นี้ซึ่งอยู่ในช่วงวัยหนุ่มเป็นลูกชายคนเดียวของ มาร์เกรฟเเห่งโรเซ็นเบิร์ก หลังจากที่เราสงสัยว่ามาร์เกรฟอาจกำลังพยายามก่อการกบฏ เราก็ได้จับชายผู้นี้ไว้เป็นตัวประกัน”
“แล้วเด็กอีกคนเป็นใคร”
“หลานชายของมาร์เกรฟ ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นลูกนอกสมรสของชายคนนี้ เขาจึงไม่ใช่เชื้อสายมาร์เกรฟแบบทางการ เราเจอปัญหาบางอย่างตอนที่กำลังจับเขาไว้ นี่คือเชื้อสายที่เหลือของมาร์เกรฟทิ้งไว้ในโลกนี้”
ผมฉีกผ้าที่พันรอบใบหน้าของเชลยทั้งสองออก ทั้งคู่อ้าปากค้างเพราะมีผ้าอุดปากไว้ อุอุอุอุอุ…! ตัวประกันทั้งสองเบิกตากว้างและมองไปรอบๆ ผมตรวจสอบรายงานที่ ลาพิส ค้นหาไว้มันตรงตามคำอธิบายลักษณะของทั้งลูกชายและหลานชายของ มาร์เกรฟ ได้พอดี เชลยต่อหน้าผมนั้นเป็นตัวจริง
“พวกเขาเป็นตัวจริง”
“นายต้องการให้เราถลกหนังใบหน้าของพวกมันแทนไหม จอมมาร?”
“ก็ได้อยู่หรอก แม้ว่านี่อาจเป็นครั้งแรกที่ผมฉีกใบหน้าของมนุษย์ แต่ทุกอย่างก็ย่อมมีครั้งเเรกเสมอเเหละเพราะมันดูท่าจะ……”
“ท่าจะวิเศษน่าดู”
“งั้นแล้ว……”
ผมจัดการกับลูกชายของมาร์เกรฟ และหลานชายของมาร์เกรฟก็ให้องค์หญิงเป็นคนจัดการ ในขณะที่ผมทำตามการเคลื่อนไหวของมีดที่เจ้าหญิงใช้ให้ดูเมื่อวินาทีที่แล้ว เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิได้เอนหลังเธอลงมาข้างผมและชี้ให้เห็นข้อผิดพลาดที่ผมไว้ขณะถลกใบหน้านั้นออก
“รอประเดี๊ยว จอมมาร นายไม่ควรทิ้งรอยใบมีดไว้อย่างนั้นนะ”
“แต่นี่ไม่ได้ทำให้มันดูเรียบร้อยขึ้นเหรอ?”
“ตอนนี้อาจดูเหมือนเป็นอย่างนั้น แต่เมื่อนายดูใบหน้าตอนเสร็จแล้วมันก็จะ…… ช่วยไม่ได้นะ เราไม่สามารถดูอยู่เฉยๆได้เเล้ว ส่งมีดมา”
“เเคว๊ก เเคว๊ก. เธอจับตรึงไปอีกเเบบที่ผมทำ……”
“มันน่ารำคาญก็จริง เเต่หากเราจัดการตรงนี้ การจับแบบนี้มันจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำอย่างมีประสิทธิภาพ”
“เเต่ถึงยังไงเราก็จะเผาทุกอย่างอยู่ดีนิ……”
เราโต้เถียงกันในขณะที่พูดคุยกัน เราได้ทำลายซากศพจนถึงจุดที่ไม่มีใครรู้จักตัวตนของพวกเขาอีกต่อไป
ขณะยกถังน้ำมันที่เราทั้งสองนำติดตัวมา เราก็เทไปทั่วทั้งศพและเต็นท์ จากนั้นเราก็ออกจากเต็นท์และจุดไฟเผา เป็นธรรมเนียมเก่าแก่ที่จะเผาเต็นท์ในโอกาสที่การเจรจาได้พังทลายลง เมื่อควันดำลอยขึ้น มันก็แจ้งกองทัพทั้งสองว่าสงครามกำลังจะเริ่มต้นจากนี้ไป เต็นท์สีขาวถูกไฟลุกโชนในทันที ขณะดูเปลวเพลิง ผมก็พูดออกมา
“น่าเสียดายที่กระดาน หมากล้อม ต้องถูกเผา……”
“มันยังคงดงามถึงเเม้จะถูกเผาไปเเล้วว่างั้นไหม? บันทึกการแข่งขันมันอยู่ในหัวของพวกเราอยู่แล้ว ดังนั้นเราสามารถมองย้อนกลับไปได้ทุกเมื่อที่เราต้องการ”
“อืม”
พวกเราสองคนได้จับมือกัน
“ไม่ว่าเธอจะพอใจไหม เเต่ว่ามันก็เป็นการเจรจาที่ดี เจ้าหญิงจักรพรรดิ”
“เราพอใจเเล้ว เเต่ว่านะจอมมาร เราขอเสนอให้ครึ่งหนึ่งของโลกแก่นาย ดังนั้นเเล้วนายจะไม่คิดมาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเราหน่อยหรือ? หากเราสองคนรวมจุดแข็งของเราเข้าด้วยกัน เราสามารถเร่งเวลาการรวมกันของทวีปนี้ได้ภายในทศวรรษเดียว”
“ผมก็เห็นด้วยนะ.”
ผมกุมมืออันหยาบกร้านของเจ้าหญิงจักรพรรดิไว้แน่น
“อย่างไรก็ตาม เจ้าหญิง เธอเคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องราวนี้มาก่อนไหม? มันเป็นเรื่องราวในอดีตมีผู้พิชิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของโลก ผู้พิชิตมีทุกสิ่งในโลกไว้กับตัว เเต่เเล้ววันหนึ่ง ผู้พิชิตไปเยี่ยมนักปราชญ์ ปราชญ์ผู้นี้ในฐานะผู้อาวุโสที่ห่างไกลจากความต้องการทางด้านวัตถุ ไม่มีอะไรเลยที่ถือได้ว่าเป็นทรัพย์สินของเขา ผู้พิชิตถาม ‘บอกข้ามาเถิดว่าท่านปราถนาการสิ่งใด ข้าจะให้สิ่งที่ท่านอยากได้ทุกอย่างเอง’ ในขณะนั้นนักปราชญ์ชี้ไปที่ไหล่ของผู้พิชิตแล้วตอบ ‘ออกไปจากทางของเเสงซะ เจ้ากำลังบดบังแสงแดดที่พุ่งเข้ามาหาข้าอยู่’ ผู้พิชิตคร่ำครวญเป็นเวลานานและออกไปจากจุดนั้น ตามตำนานผู้พิชิตเล่าว่าไว้นั้น ถ้าผมไม่ได้เกิดมาเป็นผู้พิชิต ผมเองก็คงอยากจะเกิดมาเป็นปราชญ์……”
เจ้าหญิงจักรพรรดิเลิกคิ้วขึ้นราวกับว่าเธอตกตะลึง
“นั่นเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจนะ ……ไม่สิ นั่นเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจจริงๆเชียว เป็นเรื่องราวที่ให้กลิ่นหอมออกมายิ่งนายเป็นคนสาธยายให้เราฟังด้วยเเล้ว”
“ผมดีใจที่มันเป็นที่พอใจสำหรับหูของเธอ เจ้าหญิง เธอรู้หรือไม่ว่าข้อคิดของเรื่องนี้คืออะไร?”
“มันคืออะไร?”
ผมยิ้ม
“มันง่ายมาก ไม่ว่าจะได้ทุกอย่างหรือไม่ได้อะไรเลย เอลิซาเบธ การที่เธอขอให้ผมไปอยู่ภายใต้ปีกของใครบางคน นั่นเป็นเรื่องตลกมากเกินไป เธอต่างหากที่ควรเป็นคนที่จะมาเป็นข้าราชบริพารของผมแทน ผมน่ะขอเสนอโลกครึ่งหนึ่งให้กับเธอ”
“……”
เจ้าหญิงจักรพรรดิจ้องมองมาที่ใบหน้าของผมอย่างว่างเปล่า
“……เราเห็นว่านายกับเรานั้นมันไม่มีจุดร่วมระหว่างเราสองเข้าด้วยกันเลย
“ผมเสียใจจริงๆ เเต่ผมเองก็เชื่อเช่นนั้นเหมือนกัน เเต่อย่างไรก็ตาม มันเป็นวิธีการของพวกเราเองไม่ใช่รึไง ที่จะรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ต้องเสียใจและทำในสิ่งที่ต้องทำให้สำเร็จ”
“นั่นเป็นคำพูดที่ถูกต้องจริงๆ ดันทาเลียน เราอยากให้นายยอมมาจำนนต่อเราเร็วกว่านี้อีกสักวันจริงๆ เราจะคอยเฝ้าภาวนาให้วันที่นายมาเลียฝ่าเท้าของเราจะมาถึงในเร็ววัน”
“โอ้ ที่รัก เอลิซาเบธ เธอมั่นใจได้เลยว่าเธอต้องเป็นฝ่ายที่พ่ายเเพ้เเน่นอน ผมคือดันทาเลียน เเละดันทาเลี่ยน พูดว่าถ้าเธอเป็นเหมือนเเสงส่องของดวงอาทิตย์ ผมจะคอยซ่อนตัวอยู่หลังดวงจันทร์ที่มืดมิดเสมอ ในวันหนึ่งเธอจะหมดแรงและล้มลง อย่างไรก็ตาม ผมจะไม่เป็นแบบเธอ ผมจะคอยซุ้มซ่อนไม่เปิดเผยตัวเองจากเรื่องราวทั้งหมด”
“เรายินดีที่จะยอมให้กับความเย่อหยิ่งของนาย นายมีอิสระที่จะหยิ่งผยองได้ แต่นั่นคือก่อนที่จะโดนปล้นเสรีภาพนั้นไป จงสนุกสนานกับเสรีภาพนั้นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เถอะ”
เราปล่อยมือออกจากกัน
ทิ้งเต็นท์ที่ลุกเป็นไฟไว้ข้างหลัง เรามุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่เราทั้งสองต้องกลับไป เกาะสีขาวนั้นลอยอยู่บนมหาสมุทรเป็นเวลา 3 วัน เเละมันจะไม่มีวันกลับมาอีกเมื่อจมลงไป
“อ่าใช่ ดันทาเลียน”
เสียงมาจากด้านหลัง ทันทีที่ผมหันหลังกลับไป มีบางอย่างพุ่งเข้ามาหาผม ผมรับสิ่งของที่ถูกโยนมาหาด้วยมือทั้งสองข้างโดยอัตโนมัติ มันเป็นนาฬิกาพกเก่าๆ ด้วยความสับสน ผมมองออกไป และเจ้าหญิงจักรพรรดิก็ยักไหล่
“เราคิดเกี่ยวกับมันอย่าถี่ถ้วนเเล้ว ไม่ว่าพี่ชายของเราจะเป็นเศษขยะที่ไร้ความสามารถสักเพียงใด องค์รัชทายาทก็ยังเป็นมกุฎราชกุมารแห่งจักรวรรดิอยู่ดี คงไม่สง่างามสักเท่าใดหากเราเเค่แลกเปลี่ยนองค์ชายกับลูกชายและหลานชายของมาร์เกรฟ คิดว่าเป็นความปราถนาดีเล็กๆจากเราก็ได้ นอกจากนี้ยังเป็นการดีที่เราจะเดิมพันในการแข่งขันของพวกเรา”
“เธอกำลังพูดเรื่องอะไร”
“ฮับส์บวร์กมอบศรัทธาเพียงครั้งเดียว”
เจ้าหญิงจักรพรรดิยิ้ม
“—และฮับส์บวร์กเพิ่งมอบศรัทธาครั้งเดียวนั้นให้กับนาย”
เจ้าหญิงจักรพรรดิหันกลับไปและเดินออกอีกด้านหนึ่งของที่ราบ เป็นเวลานานที่ผมเฝ้าดูเธอจากไป ผมใส่นาฬิกาพกในเสื้อโค้ทและกลับไปที่แคมป์ของ กองกำลังพันธมิตรจอมมาร
เหล่าจอมมารเข้ามายืนรอที่ประตูค่ายทหารและกำลังรอการมาถึงของผม พวกเขาได้เห็นควันที่ลอยขึ้นมาจากเต็นท์ที่ลุกโชนแล้ว ตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วงและต่อเนื่องไปจนถึงฤดูหนาว ควันเหล่านั้นในที่สุดก็ได้ลอยมาถึงสถานที่เเห่งนี้ กล่าวอีกนัยหนึ่ง นั่นเป็นสัญญาณของไฟครั้งสุดท้าย จุดเริ่มต้นของควันเริ่มมาจากที่ทิวเขา ไหลเข้าไปยังวังของผู้ว่าการนิฟล์เฮม ข้ามอาณาเขตของปีศาจ พัดผ่านประตูของป้อมปราการทมิฬและพิสุทธ์ และที่สุดท้ายมันก็ได้ลุกโชติที่ราบบรูโนแห่งนี้ เป็นเช่นนั้น มันคือสงคราม ใครๆก็รู้การประกาศสงครามได้เริ่มขึ้นเเล้ว ขณะที่ผมมองไปรอบๆ เหล่าจอมมาร ต่างกู่ร้องเหมือนเสียงฟ้าที่ผ่าลงมาตามเเสงฟ้าเเลบ
“สงคราม!”
จอมมารต่างยกหมัดขึ้นฟ้า ทุกคนร้องตะโกนเป็นเสียงเดียวกัน
– เเตกหัก!
ในช่วงเวลานี้ ไม่มีทั้งผู้สนับสนุนเเนวคิดการทำสงครามหรือผู้สนับสนุนเเนวคิดสร้างสันติภาพอีกต่อไป มีเพียงสัตว์ที่กระโดดย่างเข้าสู่สนามรบเท่านั้นที่อยู่ตรงนี้ สงคราม! สงคราม! สงคราม……! จากจอมมารถึงแม่ทัพ จากนายทหารถึงทหาร เสียงร้องของสัตว์ร้ายส่งเสียงถึงทุกคน เสียงคำรามของกองทัพมหึมา เสียงคำรามของกองพลเรือนแสนพุ่งทะยานเข้าใส่ท้องฟ้า เเละท้องฟ้าก็ปล่อยรั่วน้ำฝนโปรยปรายลงมา ครานี้เป็นตาของผืนพิภพต้องหลั่งโหหิต
มาเถอะ สงครามที่แสนหวานเอ๋ย
สงครามที่ไม่มีวันหวนกลับ
…………………………………………………………………………………………
ดีจ้าคนแปลเองนะ จริงๆยังไม่จบตอนนี้หรอกยังเหลืออีกนิดหน่อยก่อนจบตอนนี้ เเต่ว่าผมกลัวเสียมูดตอนนี้ไปเลยตัดให้แบบนี้ก่อน
พิศมัย=ชื่นชม
ปรีดา=ยืนดี,อื่มเอบใจ
อาวรณ์= ดูเเล,ห่วงใย, คิดกังวลถึง,
ประเวณี=การร่วมรัก,ประพฤผิดในกาม,