Dungeon Defence - ตอนที่ 81
Dungeon Defense: Volume 4 – Chapter 1
ตอนที่ 1.1 ฤดูกาลที่ไม่ใช่ของเรา
[canvas]Dungeon Defense: เล่มที่ 4 – บทที่ 1
ตอนที่ 1 – เทศกาลที่ไม่ใช่ของเรา
▯ราชาแห่งไพร่ ลำดับที่ 71 ดันทาเลี่ยน
ปฏิทินเอ็มไพร์: ปี 1506 เดือน 4 วันที่ 3
ที่ราบ บรูโน กองทัพพันธมิตรพระจันทร์เสี้ยว
เจ้าสุนัขตัวเมียและสุนัขตัวผู้ที่ผมเห็นเมื่อวานนั้นก็กำลังผสมพันธุ์ในวันนี้เช่นกัน
อยู่ตรงในใจกลางที่ราบ ขณะพวกมันกำลังกันอย่างขยันขันเเข็งในขณะมีมนุษย์เเละปีศาจเป็นผู้ชม พวกมันกำลังทำกิจกามอยู่หน้ากองทัพขนาดใหญ่ที่มีจำนวนไม่ต่ำกว่าสองแสนคน พวกทหารขว้างก้อนหินใส่พวกมันและหัวเราะออกมา แม้ว่าทั้งมนุษย์และปีศาจจะหัวเราะเยาะ แต่ทั้งสองฝั่งนั้นอยู่ไกลเกินกว่าจะโยนหินไปโดนสุนัขจริงๆ ดังนั้นในทุ่งที่แตะต้องไม่ได้นี้ พวกมันจึงสามารถผสมพันธุ์กันได้อย่างอิสระ
⎯⎯ อย่าไปขว้างก้อนหิน!
⎯⎯ ทำตัวเป็นคนเลวไปได้ เหล่าทวยเทพกำลังเฝ้ามองดูอยู่นะเว้ย
นายทหารชั้นประทวนได้ซัดทหารลงกับพื้น เขาเตือนพวกทหารว่าอย่าไปรบกวนสุนัข มันเป็นการกระทำที่ไม่ฉลาดเอาเสียเลย เเต่สำหรับผมที่ไม่แน่ใจชัดว่าทหารที่ขว้างก้อนหินใส่พวกสัตว์เมื่อสงครามใกล้กำลังจะเริ่มมัน จะเป็นพวกที่ฉลาดตรงไหน หรือว่ามันเป็นระเบียบวินัยทหารที่ต้องสั่งสอนพวกออกนอกลู่นอกทาง ที่ไม่รอบคอบจริงๆ เลยห้ามขว้าง ก้อนหิน·······หยุดขว้าง······· เสียงก้อนหินถูกขว้างและเสียงกระตุ้นดังก้องไปทั่วทุ่งกว้าง และเมื่อมันดังออกไปไกล เวลาบนท้องที่ราบเเห่งนี้ก็ค่อยเคลื่อนๆผ่านไปอย่างช้าๆ
ฟาร์นาเซ่ พึมพำอย่างราบเรียบ
“พวกนั้นมาสาย ท่านบอกว่าเป็นเจ้าหญิงเอลิซาเบธแห่งจักรวรรดิจริงหรือ?”
“ถูกต้องแล้ว. แม้ว่าผมคาดว่าเธอน่าจะออกมาทันทีก็ตาม”
เราสองคน เจ้านายและคนใช้ ยืนเคียงข้างกันและจ้องมองกองทัพมนุษย์ที่ตั้งค่ายอยู่อีกด้านหนึ่งของที่ราบ
พื้นที่การเจรจาต่อรองที่เจ้าหญิงจักรพรรดิและผมใช้เล่นหมากล้อมกันในเช้าวันนี้ถูกไฟไหม้จนหมด เต็นท์กลายเป็นซากปรักหักพังและย่อยสลายหายไปกลางทุ่งราบ มกุฎราชกุมารแห่งจักรวรรดิและทายาทของมาร์เกรฟตายอยู่ใต้ซากเหล่านั้น แม้ว่าเราจะมองไม่เห็นซากศพจากที่นี่ แต่กาก็ร่อนลงมาเป็นบางครั้งและหายไประหว่างซากปรักหักพัง ผมจินตนาการนึกภาพว่าอีกากัดกินบริเวณใบหน้าที่เปลือยเปล่าของมกุฎราชกุมารที่หน้าซีดเผือก เนื้อที่ถูกถลกออกมาแบบพิถีพิถันและปรุงให้กรอบนั้นน่าจะเหมาะกับรสชาติของอีกามากที่สุด
วจนะของเราได้จบลงไป บัดนี้ถึงเวลาที่เจ้าหญิงเอลิซาเบธแห่งจักรวรรดิจะต้องออกมาเเถลงวจนะของเธอ เนื่องจากเจ้าหญิงจักรพรรดิยังไม่แสดงตัว พวกทหารจึงฆ่าเวลาเล่นกับสุนัขที่กำลังผสมพันธุ์อยู่
ตอนนี้เเละต่อเเต่นี้ไป ทหารของกองทัพปีศาจจะเย้ยหยันตัวแทนกองทัพมนุษย์โดยการตะโกนร้องออกไปว่า ‘บูววว·······’ ออกมาแล้ว ทำบ้าไรกันอยู่ คิดจะหนีเพราะกลัวหรืองายยย······? อย่างไรก็ตาม เจ้าหญิงก็ยังไม่เปิดเผยตัวออกมาสักที เลยเป็นช่วงเวลาที่ทั้ง ฝูงสัตว์ผสมพันธ์กัน อีการ่อนมากินซากศพ และทหารที่มาที่นี่เพื่อไปทำสงคราม ทั้งหมดดูเหมือนจะชิลๆกับช่วงเวลานี้กันอยู่
“ฟาร์นาเซ่ เธอเชื่อในพระเจ้าไหม”
“เหล่าทวยเทพไม่ได้ช่วยหญิงสาวคนนี้แม้ชีวิตของเธอจะย่ำแย่ ไม่ว่าจะเป็นพระเจ้าหรือปีศาจ ถ้าพวกเขาไม่ช่วยหญิงสาวคนนี้ แล้วมันจะไปมีอะไรให้น่าสนใจล่ะ? หญิงสาวคนนี้ไม่เครียดกับสิ่งที่ไม่จำเป็นหรอก”
ฟาร์นาเซ่มองมาทางนี้
“แล้วฝ่ายบาทล่ะ? เชื่อในพระเจ้าไหม?”
“แน่นอน. จะไปหาใครที่เคร่งศาสนาเท่าผมได้จากที่ไหนอีกเเล้วล่ะ”
“เรายังคงเห็นถึงความตลกขบขันอันน่าข่มขื่นของฝ่าบาทในวันนี้เช่นกัน”
“ไว้ค่อยคุยกันต่อภายหลังจากจบวจนะนะ”
“ทำไมท่านจอมมารต้องไว้ค่อยคุยกันต่อภายหลังล่ะ? หญิงสาวคนนี้อยู่ต่อหน้าต่อตาท่านในตอนนี้เเล้ว ดูใบหน้าที่สวยงามของหญิงสาวคนนี้ให้มากที่สุดเท่าที่ท่านต้องการเลย จนกว่าท่านจะเบื่อหน่ายกับมันไปเลย โอ้ เมื่อหญิงสาวผู้นี้คิดดูแล้ว ฝ่าบาทเป็นขันทีที่ไม่สามารถถูกปลุกเร้าอารมณ์ให้ขึ้นมาไม่ได้เมื่อมองดูผู้หญิงอื่นนอกจากนางลาพิสได้นี่นา? ฝ่าบาท ผู้หญิงคนนี้ขอโทษ หญิงสาวคนนี้ไม่ได้พิจารณาถึงความอ่อนแอของท่านเลย เนื่องจากหญิงสาวคนนี้ได้เพิกเฉยต่อสถานการณ์ของครึ่งล่างของท่านจอมมารอันป้อเเป้ จึงไม่อาจเรียกได้ว่าเธอเป็นคนที่เลื่อมใสต่อท่านอย่างแท้จริงได้นัก”
“นังคนนี้·······”
เธอมีความสุขเพียงเพราะเธอกล่าวสุนทรพจน์เสร็จไปเเล้ว
แน่นอน ในตำแหน่งสถานะนี้เธอเป็นหุ่นเชิดของผมฟาร์เนเซ่ เธอต้องดีใจแน่ๆ เพราะในที่สุดเธอก็สามารถทิ้งชื่อของเธอไว้ในโลกนี้ได้ ชื่อของเธอจะถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ในฐานะนักปฏิวัติแห่งศตวรรษ ฟาร์นาเซ่ ต่างจาก ลาพิส และตัวผม ผู้ไล่ตามอำนาจเด็ดขาด ฟาร์นาเซ่น่ะ ไล่ตามชื่อเสียงและวันนี้เองก็เป็นวันครบรอบวันเกิดที่ยอดเยี่ยมของเธอ
ราวกับเด็กเล็กๆ ที่ดีใจเมื่อได้รับของขวัญ
ผู้หญิงคนนี้ที่รู้จักในชื่อลอร่า เดอ ฟาร์เนเซรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง
แม้ว่าเธอได้ผลักดันมนุษยชาติให้เข้าสู่การเข่นฆ่าอย่างไม่รู้จบ
“คำพูดของหญิงสาวคนนี้สมบูรณ์แบบ”
ฟาร์นาเซ่พูดขึ้น
“ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ เป็นการถูกต้องเเล้วที่จะบอกว่าเป็นสุนทรพจน์ที่ประสบความสำเร็จโดยความร่วมมือของท่านจอมมารและหญิงสาวคนนี้ ต่อจากนี้ไป ทวีปจะถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่ง และตามชนบทจะเต็มไปด้วยซากศพและเปียกโชกไปด้วยเลือด ท่านยังคงกลัวเกี่ยวกับผู้หญิงที่รู้จักกันในชื่อเอลิซาเบธอยู่อีกหรือ? พูดตามตรงเลยว่า หญิงสาวคนนี้ไม่กลัว”
“······.”
ผมเหลือบมองที่ผืนราบที่แผ่ออกไปตรงหน้าเรา ไม่จำเป็นต้องให้คำตอบกลับไป แม้ว่าตอนนี้เธอจะไม่รู้ตัว เธอก็จะได้เห็นมันด้วยตัวเองในไม่ช้าและจะเข้าใจเมื่อได้เห็นมันเอง แม้ว่าจะมีคนมากมายในโลกที่ไม่สามารถเข้าใจบางสิ่งบางอย่างได้แม้จะได้เห็นมันด้วยตัวเองเเล้วก็ตาม เเต่ ฟาร์นาเซ่ เป็นลูกศิษย์ที่ดีที่สุดของผม เธอจะสามารถรับรู้มันได้ดีด้วยตัวเธอเอง
ฟู่วว เสียงลมได้พัดผ่านทุ่งราบ ······. เนื่องจากฝนที่ตกลงมาอย่างกะทันหันเมื่อเช้านี้ การมองเห็นของเราเลยไม่สามารถมองออกไปได้ไกลนักและถูกบังคับให้มองได้เเค่ทัศนวิสัยใกล้ๆเเทน ทุกอย่างมองดูเหมือนอยู่ใกล้ไปหมด ฝ่ามือหยาบกรานของนายทหารชั้นประทวนที่ทุบตีทหารที่อยู่ใกล้กัน อาการหอบของสุนัขตัวเมียและตัวผู้ที่กำลังผสมพันธุ์อยู่ใกล้ๆกัน และธงศัตรูที่กระพืออย่างรุนแรงจากอีกฟากหนึ่งของทุ่งก็ใกล้เข้ามา ฟู้วววว······. ลมพัดมาครู่หนึ่ง และทุ่งก็สงบนิ่งหลังจากลมพาดผ่านออกไป ผมรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างกำลังใกล้เข้ามา
“เธออยู่ที่นี่”
“ท่านหมายถึงอะไร ฝ่าบาท”
“ดูให้ดีๆ. นั่นคือศัตรูคู่สาบานของเธอ”
ฟาร์นาเซ่ เอียงศีรษะของเธอและหันไปทางที่ผมจ้องมองอยู่ ในทันทีที่เธอหันไปมองอย่างเต็มตา คำพูดของเอลิซาเบธเริ่มพูดออกมาราวกับเป็นลมกระโชกแรงที่พัดจากทุ่งราบตรงนั้นมาสู่ด้านนี้
⎯⎯ เหล่าทหารหาญทุกชนชาติจงอย่าหลงระงมไปกับเสียงกระซิบหวานของหมู่มาร
ราวกับว่าทหารหลายแสนคนกำลังถูกลมชี้นำพา พวกเขาจ้องมองไปที่หญิงสาว ผมไม่สามารถมองเห็นเจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิได้เพราะเธออยู่ไกลเกินไป อย่างไรก็ตาม มีเพียงเสียงของเธอเท่านั้นที่รู้สึกใกล้ชิดอย่างกับไม่มีระยะเเบ่งไว้
⎯⎯ พวกมันทั้งหมดเป็นทั้งปีศาจและสัตว์ประหลาด พวกท่านไม่ได้สูญเสียพ่อแม่ เพื่อนฝูง และสหายไปกับคมเขี้ยวที่ชั่วร้ายของสัตว์ประหลาดเหล่านั้นหรือ? จงดูเถิด. สำหรับผู้ที่สวมผิวหนังของมนุษย์ หญิงสาวคนนั้นที่ยืนอยู่ระหว่างสัตว์ประหลาดเหล่านั้น เราหมายถึงคนที่อยู่ข้างปีศาจ ดังนั้นเด็กคนนั้นจึงเป็นหนึ่งในพวกมันชนชาติปีศาจนั้นอย่างแน่นอน
ผมดึงกล้องส่องทางไกลแบบพกพาออกจากเสื้อคลุมและมองออกไปในระยะไกล วิสัยทัศน์ของผมเคลื่อนไปมาระหว่างธงที่โบกสะบัด เนื่องจากผมยังไม่สามารถเห็นเจ้าหญิงเอลิซาเบธแห่งจักรวรรดิอยู่ที่ไหนเลย ผมจึงประเมินตำแหน่งของเธออย่างระมัดระวังโดยอาศัยเสียงของเธอซึ่งรู้สึกราวกับว่ามันกระซิบที่หูของผมโดยตรง
⎯⎯ พวกปีศาจพูด พวกเขาอ้างว่าเราได้ฆ่าคนของเราเอง จะหาคำโกหกที่ใหญ่โตขนาดนี้ได้จากที่ไหนกัน? ปีศาจกล่าวว่าพวกท่านทั้งหมดอยู่ฝั่งเคียงข้างพวกมันและเป็นพันธมิตรของพวกมันเสียด้วย ท่านสามารถหาเรื่องโกหกคำโตเช่นนี้ได้จากที่ไหนอีกบ้าง?
⎯⎯ นี่คือสิ่งที่ทุกท่านควรถามตัวเองเมื่อ 400 ปีที่แล้ว ใครกันที่ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อปกป้องทวีปนี้? 300 ปีที่แล้ว ใครกันที่ละทิ้งชีวิตเพื่อปกป้องมนุษยชาติไว้?
⎯⎯ เมื่อ 250 ปีที่แล้ว ใครกันที่เหวี่ยงดาบยืนหยัดเป็นคนสุดท้ายที่ปราการพิสุทธ์? 200 ปีที่แล้ว ใครคือคนที่จะพุ่งเข้าหาสัตว์ประหลาดบนที่ราบเเห่งอัลลัม?
⎯⎯ และในวันนี้ เพื่อต่อสู้กับสัตว์ประหลาดนับแสนอีกครา มีคนที่นี่ที่ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อครอบครัวของพวกเขา เพื่อลูกชายและลูกสาวของพวกเขา และเพื่อพระเจ้า นี่คือสิ่งที่ท่านต้องถามตัวเอง! คนพวกนี้นั้นเป็นใครกัน!?
⎯⎯ ใช่เเล้วเป็นเช่นนั้น คนเหล่านั้นก็คือท่านเอง
⎯⎯ 400 ปีที่แล้ว 300 ปีที่แล้ว 200 ปีที่แล้ว และในวันนี้ คนที่อุทิศชีวิตเพื่อปกป้องทวีปคือท่าน และเป็นท่านเพียงผู้เดียว!
การพูดของเอลิซาเบธไม่มีส่วนไหนในการพูดการหายใจที่เสียเปล่า เนื่องจากไม่มีเสียงที่ไม่จำเป็นออกมา มันจึงรู้สึกราวกับว่าเสียงของเธอเป็นท่วงทำนองที่ค่อยๆ เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เหล่าทหารมนุษย์ต่างตกตะลึงกับบทเพลงและหันหน้าไปหาที่แห่งเดียวกัน ด้วยกล้องส่องทางไกลของผม ผมมองตามสายตาของพวกทหารนั้นไป ดุจเธอกำลังเพรียกหาผม
⎯⎯ โอ้ พวกท่านทั้งหลายที่น่าภาคภูมิใจและคนจากอารยะประเทศ คนที่ถูกสัตว์เหล่านั้นสังหารอยู่ร่ำไปคือท่าน คือประชาชน สถานที่ที่สัตว์ประหลาดเหล่านั้นมักจะไปปล้นสะดมอยู่เสมอคือทุ่งนาที่เพาะปลูกโดยท่าน ผู้คนของท่านเอง ทุกครั้งที่เราพยายามใช้ชีวิตอย่างสงบสุข สัตว์ประหลาดเหล่านั้นก็มาเหยียบย่ำชีวิตเราอย่างโหดร้าย
⎯⎯ ตอนที่ปีศาจพูดกับท่าน พวกเขาอ้างว่าตนเองนั้นไม่เคยข่มเหงมนุษย์เลย เราขอให้ท่านนั้นคิดให้ดีว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือ?
บริเวณโดยรอบยังคงนิ่ง
บรรยากาศที่เร่าร้อนขึ้นจากคำพูดของ ฟาร์นาเซ่ ก่อนหน้านี้ได้สงบลง กองกำลังของศัตรูที่ ฟาร์นาเซ่ ได้แยกออกมาเป็นชาวไพร่และขุนนางกำลังถูกเอลิซาเบธสวมกอดอีกครั้ง และเจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิก็เริ่มเรียกกองทัพแต่ละกองให้เป็นปึกเเผ่นเดียวกัน
⎯⎯ ชาวบูโอเทียน เราจำได้เมื่อ. 400 ปีที่แล้ว บนที่ราบหินเเห่งอัลลิส พวกท่านได้ปกป้องแนวป้องกันของมนุษยชาติด้วยชีวิตไว้ ท่านต่อสู้กับสัตว์ประหลาดสามหมื่นตัวเป็นเวลานานกว่าสามวัน เพเนลีโอส เจ้าชายผู้ยิ่งใหญ่ที่นำทัพ ใต้เนินเขานั้นอยู่ข้างพี่น้องของท่าน
⎯⎯เผ่า มินยานส์ เราจำได้เมื่อ. 300 ปีที่แล้ว ที่ดินแดนแห่งยอดเขา ทิสวี่ แม้ว่าสัตว์ประหลาดจากโลกใต้พิภพกำลังใกล้เข้ามา แต่ท่านก็สามารถปกป้องเมืองของท่านได้ด้วยทหารเพียง 400 คน โดยไม่คำนึงถึงสถานะทาง อำนาจ ขุนนาง พลเมือง และทาส พวกท่านทั้งหมดกลายเป็นหนึ่งเดียวและตอบโต้พวกมันกลับไปด้วยกัน มนุษยชาติจะไม่มีวันลืมการต่อสู้ของพวกท่านเลย
⎯⎯ ชาวแอสเพิลดอน ใครเล่าจะลืมการต่อสู้ในตำนานที่พวกท่านแสดงเป็นที่ประจักษ์ 150 ปีก่อนได้!?
ขณะที่เธอพูดประโยคนั้นออกมา ก็มีกลุ่มทหารกลุ่มหนึ่งส่งเสียงเชียร์ออกมา เป็นเผ่าที่รู้จักกันในชื่อ แอสเพิลดอน ได้ตอบรับการกล่าวขวัญกันอย่างกระตือรือร้น
⎯⎯ ฮูเร่ให้กับ แอสเพิลดอน! ฮูเร่ให้กับ แอสเพิลดอน!
ตั้งแต่วินาทีนั้นเป็นต้นไป การเรียกขานของเอลิซาเบธไม่ใช่การเรียกชื่อตามบทบาทธรรมดาๆอีกต่อไป แต่เเต่ละชื่อที่ถูกเรียกขานจะกลายเป็นเสียงก้องกังวานที่สั่นสะท้านกองทัพมนุษย์ ทุกครั้งที่เจ้าหญิงจักรพรรดิเรียกชนเผ่าหรือเมือง ทหารที่ถูกส่งมาจากสถานที่เหล่านั้นจะโบกธงอย่างดุเดือดและส่งเสียงเชียร์เลื่อนลั่น
⎯⎯ ชาว โลเครียนส์ ผู้คนที่อาศัยอยู่ใกล้เเม่น้ำ เซฟิซัส เพื่อเพาะปลูกพืช อันทรงเกียรติ! เราจำได้เมื่อ. 200 ปีที่แล้ว พวกท่านทั้งหมดตัดหัวมังกรไปไม่น้อยกว่า 2 ตัวในยูบีอา แม้แต่เทพธิดาแห่งสวรรค์ก็ต้องประทับใจกับความสำเร็จของพวกท่าน!
⎯⎯ ลอคริส! โลคริส! โลคริส!
ตึ้ง···ตึ้ง ··ตึ้ง· ทหารจากกองทัพเริ่มกระแทกก้นหอกลงกับพื้น พวกเขากำลังตะโกนในขณะที่ยึดมั่นความภาคภูมิใจต่อบ้านเกิดของพวกเขาไปด้วย ไม่มีใครมาสั่งให้ทำเช่นนั้น แต่มือกลองยกไม้ตีกลองขึ้นและเริ่มทุบตีกลองอย่างแรง ซึ่งมีกลองที่ทำมาจากหนังวัวเป็นตัวชูโรง ปังปัง······. ขณะที่โลกสั่นสะเทือนเพราะเสียงคำราม อากาศสั่นสะเทือนเพราะกลอง เสียงของเอลิซาเบธสั่นสะท้านและก้องกังวาลก็สุดเเล้วที่จะห้ามได้
⎯⎯ ชาวอาบันเตส! ชาวอัลฟัส! การต่อสู้อันรุ่งโรจน์ของท่านยังคงจารึกไว้บนกำแพงหินทุกแห่งในฐานที่มั่นของท่าน เมื่อเราอายุได้หกขวบ ขณะใช้มือที่ยังวัยเยาว์ลูบไปยังชื่อที่สลักไว้บนผนังเหล่านั้น เราก็ตั้งปณิธาน ไว้ว่าเราจะจำชื่อผู้กล้าที่เขียนไว้บนกำแพงนี้ตลอดไป ดังนั้นเราจะร้องเรียกขานนามเเห่งบรรพบุรุษของท่าน อดราสทัส, เมดเนสธิอุส,เอลเลเฟนอร์, สไตย์ร่า, โอเพียอุส, สการ์เพ,อาร์ครี, ทาร์ฟีส⎯⎯⎯⎯
เธอจำชื่อพวกนั้นได้อย่างหมดจดและเรียกมันออกมาทีละชื่อ เสียงของเธอค่อยๆดังขึ้นเรื่อยๆ เหล่าทหารสั่นสะท้านตามเสียงของเธอ
เมื่อจำนวนชื่อที่เธอเรียกขานออกมาเกิน 20 ชื่อแล้ว ทหารก็ส่งเสียงเชียร์ เมื่อจำนวนชื่อที่เธอร้องออกมาเกิน 30 ชื่อ ทหารก็โยนหมวกของพวกเขาขึ้นฟ้า และเมื่อจำนวนชื่อที่เธอขานออกมาก็หมดลงใน 50 ชื่อกองทัพมนุษย์ทั้งหมดกลายเป็นหนึ่งเดียวและโห่ร้องพร้อมกัน
อา.
⎯⎯ โอ้มนุษย์!
ช่างสวยงามจริงๆ เอลิซาเบธ
ทีละส่วนๆ เธอเย็บปักมนุษย์ที่ผมได้ทำให้มันแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเย็บเข้าด้วยกัน ถ้าคำพูดของผมคมดั่งใบดาบและผ่าเเยกมันออกจากกันได้ แสดงว่าเธอใช้กาวทาด้านที่ถูกตัดออกแต่ละด้านแล้วค่อยๆ ดึงมันเข้าหากัน แม้ว่าผมจะปลุกปั่นความโกรธและความเกลียดชังของพวกเขาได้ แต่เอลิซาเบธนำพาพวกเขาให้เป็นปึกเเผ่นโดยใช้ความภาคภูมิใจของพวกเขาที่มีต่อบ้านเกิดของพวกเขาและด้วยภาพลวงตาที่มนุษยชาติเคยเป็นหนึ่งเดียวกัน
ไม่มีใครอยากเรียกตัวเองว่าเป็นไพร่ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ผู้คนต่างก็อยากจะเชื่อว่าพวกตนเองนั้นเป็นคนๆหนึ่งเท่านั้น ก่อนจะถูกเรียกว่าไพร่ พวกเขาต้องการถูกเรียกว่าเป็นคนเสียก่อน ก่อนกาลจะมีลำดับชั้น พวกเขาก็มีเเผ่นดินเกิดที่ตนรักให้อาศัย และก่อนที่จะมีการเเบ่งเเยกชนชั้น พวกเขาก็เคยรักกันปรองดองกันในความสามัคคี
เอลิซาเบธรู้ดีว่า
เธอรู้ดีว่าความรักก็สามารถถูกปลุกปั่นได้ง่ายดายเหมือนกับความเกลียดชัง
⎯⎯ พวกท่านที่ซึ่งถูกเรียกโดยชื่อนับพันของวันวาน มาถึงทุกวันนี้ในฮับส์บูร์ก, ฟรังเซีย, บริตตานี, บาตาเวีย, ทูตอน, คาสตีล, ซาร์ดิเนีย, อนาโตเลีย, มอสโก, คาลมาร์และเบอร์นิเซีย อย่างไรก็ตามเรารู้ เรารู้ว่าเราเคยเป็นหนึ่งเดียวกันมาก่อน!
⎯⎯ บางครั้ง มนุษยชาติก็แตกแยกไปบ้าง เป็นบางครั้ง มนุษยชาติก็ขุ่นเคืองใจซึ่งกันและกันได้ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราก็ยังเป็นหนึ่งเดียวกัน เมื่อไหร่ก็ตามที่สัตว์ประหลาดเหล่านั้นปล้นดินแดนอันเป็นที่รักของเราและสังหารครอบครัวและสหายของเรา พวกเราก็กลายเป็นหนึ่งเดียวกันและต่อสู้ดิ้นรนไปด้วยกัน!
⎯⎯ การดูหมิ่นและความเกลียดชังไม่สามารถหยุดเราได้ แม้แต่เขี้ยวที่แข็งแกร่งของสัตว์ประหลาดก็ไม่สามารถแยกพวกเราออกจากกันได้ นั่นก็เพราะว่าเราเป็นมนุษย์ เป็นเพราะเราเกิดมาเป็นมนุษย์ และจนกว่าจะถึงวาระสุดท้าย เรายินดีที่จะตายอย่างมนุษย์มากกว่าด้วยความยินดี!
⎯⎯ การต่อสู้ของเราไม่ได้มุ่งเป้าไปเพื่อทำลายมนุษยชาติ
⎯⎯ การต่อสู้ของเรามีขึ้นเพื่อมนุษยชาติเท่านั้น!
ในที่สุด กล้องส่องทางไกลของผมก็เจอเอลิซาเบธ ราวกับว่าจักรพรรดินีผู้มีผมสีเงินกำลังมองมาทางนี้ตั้งแต่แรก เพราะมันรู้สึกราวกับว่าดวงตาของเราสบกันในระยะทางอันกว้างใหญ่นี้
เอลิซาเบธชักดาบออกมาแล้วยกขึ้น มันคือดาบสีเงิน มีลำแสงเดียวส่องผ่านช่องว่างระหว่างหมู่เมฆที่มืดครึ้มและทำให้ดาบของเจ้าหญิงจักรพรรดิส่องแสงสีเงินสดใส ทุกครั้งที่เอลิซาเบธตะโกน ทหารจะตอบโต้ด้วยการพูดว่า “ถูกต้องเเล้ว”
⎯⎯ วันนี้ มนุษยชาติได้มาถึงช่วงเวลาที่ทุกคนกลายเป็นทองเนื้อเดียวกันอีกครั้ง สัตว์ประหลาดเหล่านั้นแข็งแกร่งและร้ายกาจมากกว่าเดิม พวกมันรู้ว่าพวกมันสามารถชนะได้ก็ต่อเมื่อพวกเราถูกแบ่งแยกออกจากกัน พวกท่านทุกคนคงได้ยินเสียงกระซิบอันโป้ปดของพวกมันมาเเล้ว แต่พวกมันคงจะหลงลืมไป หลงลืมความจริงที่ว่ามนุษยนั้นชาติเป็นหนึ่งเดียวกันเสมอ!
⎯⎯ ถูกแล้ว! ถูกตัอง!
⎯⎯ เป็นเวลาหลายร้อยปีที่สัตว์ประหลาดเหล่านั้นพยายามอย่างมากในการแยกเราออกจากกัน แต่เราจำได้ ความจริงที่ว่ามนุษยชาติเป็นหนึ่งเดียวกันเสมอ!
⎯⎯ ถูกแล้ว! ถูกตัอง!
⎯⎯ วันนี้พวกมันพยายามทำให้เราเเตกแยกจากกันอีกครั้ง อย่างไรก็ตามพวกเรารู้ดี ความจริงที่ว่าในวันนี้มนุษยชาติเป็นหนึ่งเดียวอย่างแน่นอน! อย่างที่บรรพบุรุษของเราเคยทำมาก่อน อย่างที่เราทำกันในวันนี้ และในฐานะที่ลูกหลานของเราจะทำเช่นกันในวันพรุ่งนี้ด้วย มีเพียงเผ่าพันธ์มนุษย์เท่านั้นที่จะยังคงธำรงสืบสานอยู่ตลอดไป
⎯⎯ ถูกแล้ว! ถูกตัอง!
เอลิซาเบธวางดาบไว้บนมือและกรีดฝ่ามือลงไป ผ้าพันแผลขาดและเลือดสีแดงเริ่มไหลออกมา เธอกำเลือดและกู่ร้อง
⎯⎯ ข้า เอลิซาเบธแห่งฮับส์บวร์ก ขอสาบาน ข้าจะยืนหยัดในแนวหน้าเพื่อปกป้องภัยสงคราม ซึ่งจะเปิดเผยตัวตนเบิ้องหน้าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เมื่อใดก็ตามที่ท่านล้มคุกเข่าต่อหน้าความโหดเหี้ยมของสัตว์ประหลาดเหล่านั้น ข้าจะอยู่ข้างหลังท่านและพยุงหลังของท่านขึ้นมา เมื่อใดก็ตามที่ท่านมองไปข้างหน้าด้วยความสิ้นหวัง เพราะความโหดร้ายของสัตว์ประหลาดเหล่านั้น ข้าจะยืนอยู่ที่นั่นด้วย!
เอลิซาเบธเปิดกำปั้นของเธอ เลือดที่สะสมอยู่บนฝ่ามือของเธอกระจัดกระจายออกไปในทันทีและขจายไปในอากาศ ราวกับพยายามจะติดปีกบินไปทุกหยดเลือด เหล่าทหารตะโกน ในที่สุด พวกทหารก็ไม่สนใจถิ่นที่อยู่หรือชาติกำเนิด เสียงคำรามของพวกเขาปะปนกันอย่างวุ่นวายและไม่สามารถเข้าใจได้อีกต่อไป
⎯⎯ ในวันนี้บางคนจะต้องตายและบางคนจะรอด ที่นี่ ในสถานที่นี้ เลือดของมนุษยชาติจะถูกละเลงอย่างตะกละตะกลามทั่วที่ราบบรูโน ปล่อยให้มันเป็นไป ให้ที่ราบดื่มเลือดมากเท่าที่ต้องการ! จนกว่าความกระหายของเราดับลงด้วยการทำเช่นนั้น วันนี้จะเป็นงานรื่นเริงที่โหดร้ายที่สุดของมนุษยชาติ!
⎯⎯ เหล่านายทหารและคนจากหลายประเทศ! ทั้งผู้คน ลูกหลานของบรรพบุรุษที่น่าภาคภูมิใจของท่าน! จงเคียงข้างเรา ท่านจะพิสูจน์ให้พวกสัตว์ประหลาดที่เป็นอันตรายเหล่านั้นได้เห็นกันอีกครั้งว่าเรายังคงเป็นมนุษย์ผืนเดียวกันอยู่!?
⎯⎯ ถูกแล้ว! ถูกตัอง!
ขอบฟ้าสั่นไหวเพราะเสียงคำราม ธงโบกสะบัดไปมา มือกลองยังคงทุบหนังวัวอย่างอึกทึก เฉกเช่นฟ้าร้องที่ไม่มีจังหวะหรือมีจังหวะ เสียงที่เปล่งออกมาโดยกองทัพมนุษย์ของทหารหลายแสนนายทำให้แผ่นดินและท้องฟ้าสั่นสะเทือน
⎯⎯ เพื่อสงคราม!
⎯⎯ เพื่อสงคราม!
หลังจากนั้น ทหารก็สวดมนต์บริกรรมสงครามอีกสามหรือสี่ครั้ง เอลิซาเบธสามารถล้างพิษที่เรียกว่าการทะเลาะวิวาททางชนชั้น ซึ่งผมได้กระจายมันไปทั่วกองทัพได้อย่างสะอาดเอี่ยม อย่างน้อยที่สุดล่ะนะ ดูเหมือนว่าจิตวิญญาณการต่อสู้ของพวกเขาที่แตกสลายจะไม่เกิดขึ้นในวันนี้ ยอดเยี่ยมแค่ไหนกัน แน่นอน มันคู่ควรกับผู้หญิงที่ผมยอมรับว่าเป็นศัตรูที่น่ากลัวที่สุดตลอดชีวิตของผมเเล้ว
“·······”
ฟาร์นาเซ่ เงียบลงข้างผม บรรยากาศที่น่ายินดีที่เธอได้รับหลังจากพูดวจนะของตัวเองจบ ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย เธอเพียงแค่จ้องมองออกไปอย่างหนักเมื่อเห็นกองทัพมนุษย์ส่งเสียงร้องเชียร์ ผมได้ยินมาจากที่ไหนสักแห่งว่าอุณหภูมิของการจ้องมองนั้นเท่ากับหัวใจของพวกเขา หากเป็นกรณีนี้ ในที่สุด หัวใจของฟาร์เนเซก็แทบจะกลายเป็นน้ำแข็งเหมือนฤดูหนาวไปเเล้ว ผมลูบไปที่หัวฟาร์เนเซ่
“เป็นไงบ้าง? เริ่มจะกังวลใจเสียเเล้วสิ?”
“······เป็นเวลา 2 เดือนที่หญิงสาวคนนี้ได้เตรียมการสำหรับคำพูดของวันนี้ หากรวมเวลาที่ใช้เรียนรู้จาก พี่ลาพิส ก็ไม่น้อยกว่าครึ่งปี ทั้งคำพูดนั้น ทั้งหญิงสาวคนนี้ และทั้งจากท่านจอมมารได้มลายสิ้นไปหมด”
“นั่นสินะ”
ผมพยักหน้า
“เจ้าหญิงจักรพรรดิ นั้นโค่นล้มการโจมตีของเราได้ในเวลาเพียง 10 นาที เธอคงคิดหาวิธีรับมือทันทีหลังจากที่ได้ยินวจนะของเรา เธอคิดสุนทรพจน์ในหัวได้ทันทีโดยไม่ต้องเตรียมการใดๆ มาก่อน”
ฟาร์นาเซ ผู้หญิงที่เธอและผมจะต้องเผชิญหน้าต่อจากนี้ไป เป็นสัตว์ประหลาดแบบนั้น หากเราไม่สามารถพรากชีวิตของเจ้าหญิงจักรพรรดิได้ ในทางกลับกัน เจ้าหญิงเเห่งจักรวรรดิก็จะพรากชีวิตของเราไปเเทน เป็นผลให้ฮีโร่ที่มีชื่ออยู่ในประวัติศาสตร์ที่ถูกจารึกจะเป็นของเอลิซาเบธ เเละเธอฟาร์นาเซ่อย่างมากที่สุดชื่อของเธอจะเป็นที่รู้จักกันในนาม ฟาร์นาเซ่ เเม่ทัพผู้ล้มเหลวในการปฏิวัติและพ่ายแพ้
ฟาร์นาเซ่ กัดริมฝีปากล่างของเธอโดยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ
“······เอลิซาเบธ เอลิซาเบธ อทานาเซีย, เอวาเทรีย, ฟอน ฮับส์บวร์ก”
ฟาร์นาเซ่ ออกเสียงชื่อผู้หญิงคนนั้นซึ่งกำลังจะกลายเป็นศัตรูตัวฉกาจของเธออย่างละเอียด น้ำเสียงของฟาร์เนเซดูเบิกบาน คล้ายกับวิธีที่เธอออกเสียง มันเหมือนกับว่าเธอตั้งใจจะผ่าร่างของเจ้าหญิงจักรพรรดิอย่างละเอียดออกมาตามชื่อที่เรียกขาน
“หญิงสาวคนนี้ไม่สามารถให้อภัยเธอได้ ผู้ที่จะได้เป็นเจ้าของยุคสมัยนี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหญิงสาวคนนี้เท่านั้น นั่นก็เพื่อจุดประสงค์เพียงอย่างเดียว หญิงสาวคนนี้จะกลายเป็นข้าราชบริพารของฝ่าบาท หญิงสาวคนนี้ไม่ปล่อยเอลิซาเบธไว้แบบนั้นนานเเน่ๆเมื่อเธอตั้งใจจะขัดขวางความทะเยอทะยานของหญิงสาวคนนี้
“อืม”
ผมพอใจกับเจตนาฆ่าของหญิงสาวคนนี้เเล้ว ถูกตัองเลย. ผมต้องการปฏิกิริยาแบบนี้ เพราะผมต้องการการตอบสนองแบบนี้ ผมจึงทิ้งผู้กล้าคนอื่นๆแห่งอนาคตไปและเลือกลอร่า เดอ ฟาร์เนเซมา
ไม่ว่าฝั่งศัตรูจะรุ่งโรจน์เพียงใด ผมก็เเค่ต้องการความเย่อหยิ่งที่สามารถพิจารณาถึงอุปสรรคเเละฟันฝ่าเส้นทางที่ถูกปิดกั้นนั้นออกไปได้
ความโหดร้ายที่ไม่สั่นคลอนแม้แต่น้อยถึงเเม้จะได้ยินคำว่าเพื่อปกป้องมนุษย์ชาติ เธอที่สามารถฆ่าสิ่งที่ต้องฆ่าได้อย่างเงียบๆ และหากฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถฆ่าได้ก็เป็นเธอนี่เเหละที่จะเป็นคนลงมือ
ในขณะที่ ฟาร์นาเซ่ เป็นเด็กสาวที่โหดเหี้ยมเลือดเย็น เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิเอลิซาเบธ ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าอาคันตุกะที่มารบกวนเวลาอันแสนสุขและสงบสุขของเธอเอง ฟาร์นาเซ่เธอนั้นเป็นไอ้โรคจิต นั่นเเหละคือเหตุผลที่ผมได้เลือกเด็กคนนี้มากกว่าจะมีตัวเลือกอื่น······
“ท่านจอมมาร”
ฟาร์นาเซ่ มองมาที่ผม สัมผัสได้ถึงความเกลียดชังจาง ๆ สามารถเห็นได้ผ่านในรูม่านตาของเด็กคนนี้ซึ่งไม่ค่อยแสดงอารมณ์ใด ๆ เกือบจะรู้สึกราวกับว่าเธอเป็นเด็กที่เพิ่งถูกบุกรุกในสนามเด็กเล่นและกำลังรบกวนพ่อของเธอเกี่ยวกับเรื่องนี้
“หญิงสาวคนนี้จะฆ่าผู้หญิงคนนั้น ได้โปรดอนุญาตให้หญิงสาวคนนี้ทำเช่นนั้นด้วย”
“ยังก่อน.”
ผมส่ายหัว ส่วนฟาร์นาเซ่ก็ขมวดคิ้ว
“ทำไมจะไม่ล่ะ? ไม่ใช่ว่าท่านนำหญิงสาวคนนี้จากตลาดทาสมาเพื่อฆ่าผู้หญิงคนนั้นหรอกหรือ? ฝ่าบาทคิดได้ถูกต้องเเล้ว หญิงสาวคนนี้เข้าใจแล้วเช่นกัน ความจริงที่ว่าผู้หญิงแบบนั้นมันจะไปมีปัญญาฆ่าใครที่ไหนได้กันล่ะ อย่างไรก็ตาม หากเป็นหญิงสาวคนนี้ เราคนนี้จะสามารถปลิดชีพคนคนนั้นได้อย่างแน่นอน”
“อดทนไว้ เวลานั้นมันยังมาไม่ถึง”
ผมค่อยๆเกลี้ยกล่อมลูกศิษย์ที่ดีที่สุดของผมไว้ แม้ว่าม่านของละครได้เปิดขึ้นและการแสดงละครได้เริ่มขึ้นไปแล้ว แต่ก็ยังมีวิกฤตมากมายรอเราต้องไปพิชิตอยู่ เพื่อที่จะฆ่า เเมคเบธ ได้(Macbeth) เราต้องไปถึงฉากที่สี่เสียก่อน
“ถึงแม้ว่าการพรากชีวิตคนๆเดียวจะเป็นงานเล็กๆ แต่ก็เป็นสิ่งที่ต้องลงงมือทำ มีมนุษย์หลายพันคนที่เราต้องฆ่า นับหมื่นคนที่ต้องปลิดชีพ เธอคาดหวังที่จะปราบเอลิซาเบธได้อย่างไรในเมื่อเราถูกรายล้อมไปด้วยคนที่เราต้องฆ่า”
“คำพูดของท่านทำเอาเรางงไปหมด นายท่าน ได้โปรดขยายความบอกความหมายที่แท้จริงแก่หญิงสาวคนนี้ด้วย”
“ผมกำลังบอกว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะจัดการกับศัตรูที่อยู่ด้านหน้าในขณะที่ยังมีศัตรูอยู่ข้างหลังเราอยู่”
ผมยิ้ม
“เราเป็นพันธมิตรของฝ่าย ผืนราบ ของบาร์บาทอส แต่ความสัมพันธ์นั้นจำกัดอยู่ที่ความสัมพันธ์ที่เราให้ซึ่งกันและกันเท่านั้น เพียงเพราะพวกเรานั้นได้ผลประโยชน์ร่วมกัน ไม่ได้หมายความว่าพวกเราจะไว้ใจซึ้งกันเเละกันได้ ยิ่งไปกว่านั้น หัวหน้าที่เป็นผู้นำกลุ่มที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในทวีปปีศาจ คือ ฝ่ายขุนเขา ไพม่อน เเละเธอคนนั้นก็เป็นศัตรูกับเราอีก”
ฟาร์นาเซ๋ หรี่ตาลง
“หญิงสาวคนนี้เข้าใจเเล้ว ดูเหมือนว่าเราต้องกำจัดสิ่งที่น่ารำคาญใจในด้านหลังเสียก่อน คนเรามักจะปวดท้องถ้าเราโลภกลืนคำใหญ่มากเกินไป จะเป็นการดีที่สุดเราจะต้องฉีกพวกมันออกเเละกินทีละคำ”
“บิงโก นั่นเเหละคือวิธีที่สิงโตล่ากวาง”
ผมดึงแก้มของฟาร์นาเซ่เบา ๆ นี่คือการสัมผัสทางกายภาพที่มีความหมายว่าผมกำลังชื่นชมเธออยู่ แม้ว่า ฟาร์นาเซ่ จะไม่ชอบมันและส่งเสียงร้อง ‘อูววววว’ ก็ตามที
“แล้วฝ่าบาทตั้งใจจะจัดการใครก่อน”
“ไพม่อนเป็นคนแรก”
ผมตอบทันที
ผมมีความสัมพันธ์ที่โชคร้ายกับ ไพม่อน ตั้งแต่แรกเริ่ม ในตอนที่ผมมุ่งเป้าไปที่การหาสมุนไพรมาและรวบรวมทรัพย์สมบัติมหาศาลจากการค้าขายนั้นได้ ไพม่อน ก็ระมัดระวังตัวผมขึ้น บางทีผมควรบอกว่าเธอระมัดระวังตัวผมมากเกินไปอยู่เเล้ว เธอมีความเกลียดชังมากมายต่อลูกหมาตัวร้ายอย่างผม จนถึงทุกวันนี้ ผมนึกออกเเค่คนเดียวที่มันกล้ามาขวางเส้นทางของผม
โชคดีที่ของขวัญที่เจ้าหญิงเอลิซาเบธ มอบให้ผมอยู่ในกระเป๋าเสื้อโค้ต นาฬิกาพก สิ่งประดิษฐ์เครื่องกรอความทรงจำ เป็นสิ่งของที่มีฉากที่ผมเผาตลาดค้าทาสเพื่อเอาตัวฟาร์นาเซ่มา
เดิมที ฮัมบาบา เป็นคนบันทึกด้วยวัตถุนี้เอง และเธอได้ขายมันให้กับ ไพม่อนไปเเล้ว เเละนาฬิกาพกนั้นก็ไปอยู่ในมือของเจ้าหญิงเอลิซาเบธ มันหมายความว่ามันเปลี่ยนมือจาก ฮัมบาบา ไปยัง ไพม่อน และจาก ไพม่อน ไปยัง เอลิซาเบธ นั่นก็หมายความว่า······?
คำตอบนั้นมันก็ง่ายมากจริงๆ
“ไพม่อน ขายข้อมูลเกี่ยวกับตัวผมให้กับทางจักรวรรดิ”
“·······”
“เธอกลายเป็นคนทรยศหักหลัง เธอน่าจะแจ้งจักรวรรดิว่าผมเป็นผู้กระทำผิดที่แท้จริงที่อยู่เบื้องหลังการเริ่มต้นของสงครามครั้งนี้ เธอส่งต่อข้อมูลส่วนตัวของผมในตอนที่ผมไม่รู้ตัว นอกจากนี้ ในบรรดาผู้คนที่รู้เรื่องของผม ก็ยังเป็นเป็นเจ้าหญิงเอลิซาเบธแห่งจักรวรรดิอีก·······”
ผมหัวเราะเล็กน้อย
“สมเเล้วที่เธอถูกเรียกว่าโสเภณีที่ขายร่างของตัวเองให้กับพ่อค้าเร่ใช่มั้ยล่ะ? คำพูดของบาร์บาทอสนั้นถูกต้องจริงๆด้วย เพื่อจะหยุดผม ไพม่อน ผู้หญิงคนนั้น ไม่เพียงแต่ขายร่างกายของเธอเองเท่านั้น แต่ยังขายวิญญาณของเธออีกด้วย เเละตอนนี้ก็ถึงคราวที่เธอจะต้องชดใช้ราคาอย่างสาสมเเล้ว
ไม่ต้องสงสัยเลย ผมทำเต็มที่แล้ว ไพม่อน ต่อให้ฝ่ายเธอเป็นคนโจมตีก่อน ผมก็ปฏิบัติต่อเธอด้วยความสุภาพ อย่างไรก็ตาม เธอไม่เพียงแต่เข้าไปยุ่งกับทุกสิ่งที่ผมทำ แต่การทรยศของเธอก็ยังถูกเปิดเผยไปด้วยเช่นกัน เธอได้ก้าวล้ำเส้นเข้ามามากเกินไปเเล้ว
เเต่ก่อนอื่น ผมได้ยินเสียงเอะอะเสียงดังมาจากข้างหลัง ผมจึงลงมาจากก้อนหิน ผมพบว่าบาร์บาทอสกับไพม่อนกำลังทะเลาะกันอยู่ ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ ไพม่อน ชี้มาที่ผมและประกาศว่า ‘ตอนนี้เขาเป็นผู้ชายของเราเเล้ว’ เเละด้วยเหุการณ์นี้เองความยุ่งยากก็ได้เกิดขึ้น······
ไพม่อน คงจะตระหนักรู้ด้วยตัวเองเเล้วว่าการทรยศของเธอจะโดนเปิดโปง ผมไม่แน่ใจว่าเธอคิดออกได้ยังไง แต่เธอมีเครือข่ายข้อมูลที่กว้างขวาง เธอรู้ว่าเธอจะตกอยู่ในอันตรายถ้าความจริงที่เธอทำถูกเปิดเผย และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเธอจึงพยายามจะเอาชนะผมโดยด่วนด้วยการพูดว่า “จงมาเข้าร่วมกับฝ่ายของเราซะ”
น่าหัวร่อเสียจริง
มันสายเกินไปแล้ว ไพม่อน
ถ้าเธอกลัวว่าจะถูกเปิดโปง เธอก็ไม่ควรทำตั้งแต่แรกสิฟะ ถ้าเธอทรยศหักหลังไปแล้ว เธอก็ควรจะทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อไม่ให้ผมตามล่าหามันจนพบสิ เมื่อก่อนเธอเป็นคนจิตใจดีมากกว่านี้ เเต่พอมาตอนนี้เธอก็ควรจะเป็นคนมีเหตุผล อย่างไรก็ตามเธอไม่ได้เป็นทั้งสองอย่าง เธอทั้งโหดร้ายและโง่เง่า ผมไม่โง่พอที่จะปล่อยเหยื่ออันโอชะแบบนี้ไปหรอก·······
ฟาร์นาเซ่พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“นายท่าน หญิงสาวคนนี้คือดาบของท่าน ใบดาบนี้จะถูกเหวี่ยงไปในสถานที่ที่ท่านบัญชาต้องการให้ไปเท่านั้น อย่างไรก็ตาม มันโอเคไหม? มีศัตรูอยู่ทั้งข้างหน้าและมีคนพร้อมจะแทงข้างหลังอยู่ข้างหลังเรา
แม้ว่าผู้คนจะบอกว่าต้องลงโทษผู้ทรยศก่อนที่จะเผชิญหน้ากับศัตรูได้ เเต่กับการให้เหตุผลนั้น ตรรกะที่เราต้องเผชิญหน้ากับกองกำลังของศัตรูก่อนที่จะจัดการผู้ทรยศนั้นมันก็มีมาอยู่เเล้วเช่นกัน นี่เป็นสถานการณ์ที่น่าสั่นกลัวอยู่นะ”
“Lord, this young lady is your sword. This blade will only be swung in the places that Your Lordship commands for it to be swung. However, is that fine? There are enemies in our front and a backstabber in our rear. Although people say that one must punish the betrayer before facing the enemy, similar to that reasoning, a logic where one must face the enemy forces before punishing the traitor, is also established. This is a formidable situation.”
ผมพยักหน้า ตรงประเด็นดี อันที่จริง มันคุ้มค่าสำหรับลาพิสและตัวผมเองที่จะทุ่มเทเวลาของเราในการสอนเด็กผู้หญิงคนนี้เป็นการส่วนตัว มีคนกล่าวไว้ว่านกกระจอกใกล้โรงเรียนสามารถร้องเพลงไพรเมอร์ได้ และดูเหมือนว่าจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ
(หมายเหตุ TL: คำพูดในเกาหลีที่แปลว่า “บุคคลสามารถได้รับอิทธิพลจากสภาพแวดล้อมรอบตัวได้”)
“มันเป็นเรื่องปกติ ผมมีบางอย่างคิดในใจเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ เราไม่ได้ถือตัวเองเอาว่าเป็นพันธมิตรของ บาบาร์ทอสงั้นเหรอ? แม้แต่กับบาร์บาทอสเอง ไพม่อน ก็ยังเป็นคู่แข่งทางการเมืองที่น่ารำคาญ หากเรากำจัด ไพม่อนทิ้งไปกองกับพื้นแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าบาบาร์ทอส จะพุ่งเข้าไปกระทืบซ้ำอย่างไม่ลังเลเลย”
“It is fine. I have something in mind in regards to that. Are we not holding out as Barbatos’ allies? Even to Barbatos, Paimon is an annoying political rival. If we throw out grounds to purge Paimon, then Barbatos will obviously dash in with no reluctance whatsoever.”
“อืมม. อย่างแน่นอน”
“ตอนนี้ลาพิสน่าจะเริ่มดึงตัวหมากที่ต้องการใช้มาได้ส่วนหนึ่งแล้ว······ ไม่ว่าในกรณีใด ฟาร์นาเซ่ จนกว่าเราจะจัดการกับผู้ทรยศได้จงปอย่าเผชิญหน้ากับเอลิซาเบธ อย่างไร้เหตุผล แม้ว่าเอลิซาเบธจะพบเธอโดยบังเอิญในแนวหน้า ก็ให้หลีกเลี่ยงซะ เข้าใจใช่ไหม? ห้ามสู้กับเธอเด็ดขาด นี่เป็นคำสั่งที่จะหามสู้กับเธอเด็ดขาด”
“·······”
“โอ้โห? ดูสิ. ผมไม่ได้ยินเสียงขานรับเลย เธอกำลังขัดคำสั่งผมเพราะมั่นใจเพียงเเค่กล่าววจนะได้ครั้งเดียวเเค่นั้นเหรอ? หากเธอได้รับคำสั่งเธอควรรับทราบขานรับ รู้ไหมว่าแสดงออกนั้นมีไว้เพื่ออะไร?”
“······เราเข้าใจเเล้ว ฝ่าบาท เราได้ยินเเล้ว”
ฟาร์นาเซ่ทำหน้าบึ้ง ดูเหมือนว่าเธอต้องการจะฆ่าเจ้าหญิงเอลิซาเบธแห่งจักรวรรดิจริงๆ ผมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เด็กอะไรไม่รู้น่ารักซะจริง.
แน่นอนว่านี่มันเป็นสิ่งที่ผมก็พอจะเข้าใจได้ ก่อนที่ผมจะตกลงมาสู่โลกนี้ เมื่อก่อนผมก็เคยคิดว่าพ่อของผมคือศัตรูตัวฉกาจของผมเอง และอยากจะฆ่าเขาให้เร็วขึ้นอีกสักวัน
ด้วยนิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือ ผมจับแก้มของฟาร์เนเซแล้วดึงขึ้น
“เชสส ไอ้เจ้าเเก้มนิ่มนี่น้า ผมอยู่ได้เพราะเธอ เพราะเธอเลยน้าาา”
“Sheesh, this repulsive thing. I live because of you, because of you.”
“······อูวววว, คย๊า.”
ฟาร์นาเซ่ ดิ้นไปมา
“ปล่อยเราด้วย ฝ่าบาท โดยทั่วไปแล้ว ด้วยสถานะของเจ้านายของฝ่าบาทจะมาสัมผัสร่างกายของหญิงสาวคนนี้โดยไม่ได้คิดอะไรก็ได้ เเต่กรุณาแสดงมารยาทเมื่อจะต้องตัวกับผู้หญิงด้วย”
“เธออาจจะพูดเกี่ยวกับการเป็นผู้หญิงเมื่อเธอต้องการเป็นผู้หญิงจริงๆ เเต่อย่างน้อยที่สุด ผมจะพิจารณาเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อเธอให้ก็ได้ เเต่เมื่อหน้าอกของเธอใหญ่ขึ้นกว่านี้นะ”
“หากสถานะความเป็นเจ้านายของฝ่าบาทกำลังจะเล่นลิ้นเรื่องหน้าอกเล็กๆแล้ว มันก็ไม่มีความแตกต่างของหน้าอกของระหว่าง ลาพิส กับหญิงสาวคนนี้มากนักหรอกนะ?”
“ลาพิสเป็นข้อยกเว้น”
ผมละทิ้งคำโต้แย้งของเธออย่างเย็นชาไป
“โดยไม่คำนึงถึงสภาวะอะไรต่างๆ ลาพิส มีอำนาจที่จะได้รับข้อยกเว้นพิเศษดังกล่าว หากเธอมีข้อร้องเรียนใดๆ ก็จงกลายเป็นคนฉลาดและสวยราวกับลาพิสซะก่อนนะ ยัยเบ๊อะ แน่นอน แม้ว่าเวลาจะผ่านไปร้อยปี มันก็เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะทำสำเร็จได้หรอก”
“ฝ่าบาทดูท่าจะเป็นที่รักยิ่งของนางลาพิสเหลือเกินนะ···················)”
“มันยังไม่ชัดเจนหรือว่าเธอเป็นคนเดียวที่มีหัวใจดวงเดียวเหมือนกับผม”
ลาพิสคือความรักของผม
ลาพิสคือดวงอาทิตย์ของผม
ไม่ว่าใครจะพูดอะไรก็ตาม นี่เป็นความจริงที่ชัดเจนพอๆ กับกฎฟิสิกส์
เช่นนั้น พวกเรา ทั้งจอมมารและข้าราชบริพาร ต่างลงมาจากก้อนหินในขณะที่เยาะเย้ยกันและกันไป ที่ด้านล่างของก้อนหิน รวมทั้งบาร์บาทอส ไพมอน และจอมมารคนอื่นๆ ที่เป็นผู้บัญชาการกองพลทหาร มีจอมมารประมาณ 30 คนรอเราอยู่ เนื่องจากวจนะจากฝ่ายเราและฝ่ายศัตรูจบลงแล้ว สิ่งเดียวที่ยังคงอยู่ในตอนนี้ก็คือสงคราม
ในหมู่จอมมาร บาร์บาทอสเอนหลังพิงเก้าอี้แล้วโบกมือ
“เฮ้ นายอัจฉริยะ ทำได้ดีมาก”
“ทั้งหมดที่ผมทำคือทำภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์ให้เสร็จครับ”
ผมโค้งคำนับ แม้ว่าในพื้นที่ส่วนตัว ผมกับบาร์บาทอสจะเป็นเซ็กเฟรนที่คุยกันอย่างไม่เป็นทางการ แต่ในตอนนี้เราอยู่ต่อหน้าคนอื่น ยิ่งไปกว่านั้น เราอยู่ในกองทัพที่ระเบียบการบังคับบัญชาและระเบียบวินัยเข้มงวด เห็นได้ชัดว่าผมซึ่งอยู่ในอันดับที่ 71 จะต้องพูดอย่างเป็นทางการกับ บาบาร์ทอส ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 8
นั่นเป็นเรื่องปกติ ไอ้ของอย่างเช่นความสัมพันธ์ของเราจะมาพังทลายลงเพราะผมพูดอย่างเป็นทางการจะไม่เกิดขึ้นได้ ไม่ใช่เพียงเพราะเรามีความสัมพันธ์ฉันมิตรเมื่ออยู่ในพื้นที่ส่วนตัว แต่เพราะบาร์บาทอสกับผมยังเป็นพันธมิตรทางการเมืองอีกด้วย เราเป็นพันธมิตรกันมาจนถึงตอนนี้ และเราจะเป็นเช่นนี้ต่อไปอีกสักระยะหนึ่ง จนกว่าเราจะเอาชนะศัตรูร่วมกันของเรา จอมมารไพม่อนได้ ความไว้วางใจของเราก็มั่นคง ผมมั่นใจในเรื่องนี้ดี
“ภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์ ภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์ งั้นเรอะ······?
บาบาร์ทอส ยิ้มเยาะและไขว้ขาสีขาวของเธอ
“ถูกต้อง. พวกข้าได้มอบภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์ให้กับเเกแล้วใช่ไหม? ดันทาเลี่ยน เราส่งต่อไปยังเเก เเต่มีไอ้เด็กที่มีศักดิ์ต่ำกว่า จอมมาร มามีสิทธิในการกล่าวเปิดงานของ พันธมิตรจันเสี้ยว ที่จอมมารรวมทัพด้วยกันในรอบไม่น้อยกว่า 200 ปี ไม่ใช่สำหรับใครอื่นนะเว้ย เรามอบมันให้กับเเกในขณะที่พิจารณาจากการที่เเกมีส่วนร่วมในสงครามครั้งนี้”
“·······”
ผมหยุดเดิน
บาร์บาทอสยิ้มแย้มเหมือนเคย อย่างไรก็ตาม บรรยากาศที่เล็ดลอดออกมาจาก เหล่าจอมมารของฝ่ายผืนราบ ซึ่งยืนอยู่รอบตัวเธอกำลังเเผ่จิตคุกคามออกมา ผมเอาตัวบังฟาร์เซ่ให้ไปยืนด้านหลังตามสัญชาตญาณ
บรรยากาศเริ่มดูอันตรายลงทุกที
ดวงตาของบาร์บาทอสก็เป็นเช่นนั้นด้วย
ความโกรธที่แม้แต่เสียงหัวเราะก็ไม่สามารถซ่อนเร้นได้อยู่ในดวงตาของเธอ
“ว่าไงฮะ? ทำไมเเกถึงพยายามจะซ่อนนังนั่นกัน ขอดูหน้าเธอหน่อยสิ เเกให้สิทธิ์ในการพูดกับเธอซึ่งเรามอบมันให้เเกโดยเฉพาะใช่ไหม เเกทำไปโดยใช้ดุลยพินิจของเเกเองเเละไม่ปรึกษาพวกเรา ข้าเเค่ต้องการความเห็นว่านังเด็กนี่เเม่งยอดเยี่ยมเพียงใดเพราะเธอสามารถทำให้ไอ้คุณดันทาเลี่ยน ของเรามอบทั้งความกล้าและอวัยวะทั้งหมดให้กับเธอได้”
“······ท่านบาร์บาทอส”
“ท่านเจ้าคุณ บาร์บาทอส”
เธอพูดอย่างเย็นชา
“เติมท่านเจ้าคุณไปด้วยไอ้โง่”
รูม่านตาของบาร์บาทอสฉายแววเย็นชา ผมไม่พบความรักที่มีต่อผมแม้แต่นิดเดียวในสายตาของเธอ มีคำกล่าวว่าอุณหภูมิของดวงตามีค่าเท่ากับหัวใจใช่ไหมนะ? หากคำพูดเหล่านั้นเป็นความจริง แสดงว่านี่คืออารมณ์ที่แท้จริงของบาร์บาโตส
“ข้าเป็นหนึ่งในผู้บัญชาการกองพลที่เป็นผู้นำกลุ่ม พันธมิตรจันทร์เสี้ยว ของทหารหลายแสนนาย อะไรกันวะ นี่เเกดูถูกข้าตั้งแต่ข้านอนกับเเกตลอดเวลาเหรอ?”
“·······”
“เเกคิดว่าเเกสามารถทำทุกอย่างที่ต้องการได้จากนี้ไปเพียงเพราะเเกช่วยกองทหารของข้าตอนตกอยู่ในอันตรายครั้งเดียวเรอะไง? โอ้ที่รัก ดันทาเลี่ยน เเกทำได้ดีมากในการส่งเด็กที่เป็นมนุษย์มาเป็นตัวแทนของพวกเราชาวปีศาจ คิดว่าข้าจะสรรเสริญเเกแบบนี้เหรอ?”
รอยยิ้มของบาร์บาทอสฉีกกว้างขึ้น
“ขุดรูหูของตัวเองแล้วฟังให้ดี ดันทาเลี่ยน ข้าจะบอกข้อหาอาชญากรรมที่เเกก่อขึ้นด้วยคำพูดของเเกเพียงครั้งเดียว อย่างแรกเลย เเกส่งไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมไปแทนที่พวกเราจอมปีศาจผู้ยิ่งใหญ่ นั่นคือการทรยศต่อเชื้อชาติ ข้อเเรก”
บาบาร์ทอส ยกนิ้วกลางขึ้นที่มือซ้าย
“ในเมื่อเจ้ารังเกียจและทำลายวินัยทหารของเรา ในช่วงเวลาที่สงครามกำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้ นั่นถือเป็นการไม่เชื่อฟังเเละเเกยังทำมันต่อหน้าศัตรูด้วย เเละไม่ใช่เเค่เเกคนเดียวที่จัดการเรื่องนี้ แต่เเกยังใช้พวกเเม่มดที่เเกแต่งตั้งให้เป็นราชองครักษ์มามีส่วนร่วมก่อขบฐกันอีก”
เหมือนที่นิ้วนางที่มือซ้ายของเธอ บาร์บาทอสก็ยกนิ้วกลางขึ้นที่มือขวาเช่นกัน
“เนื่องจากจอมมารซึ่งอยู่บนที่นั่งต่ำสุดของกองทัพ กล้าที่จะหมิ่นเบื่องสูงอย่างไม่เป็นทางการในสนามรบที่มีเทพศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 12 องค์คอยเฝ้าดูเราอยู่ เเกถึงกับดูหมิ่นเหยียดหยามทวยเทพต่อพระพักค์ที่มองดู ว้าว ดันทาเลียน ดูนี่สิ. โทษทัณมีกี่อันเเล้วเนี่ย? แม้จะนับแต่จำนวนการหมิ่นเบื้องสูงก็มีสี่ข้อหาไปเเล้ว ถึงเราจะตัดคอนังนั่น เราก็ต้องทำตั้ง 4 ครั้งเลยนะ นั่นเป็นความรู้สึกที่ค่อนข้างเส็งเคร็งเลยใช่มั้ยล่ะ”
“ท่านเจ้าคุณ บาร์บาทอส…”
“ใช่ข้ารู้. ความจริงที่ว่าเเกมองว่ากองทัพเป็นเเค่สนามเด็กเล่นที่เเกสามารถไปไหนมาไหนได้ตามใจที่เเกต้องการ เนื่องจากข้าล่วงเกินเเกมาตลอดเวลา จึงไม่มีอะไรกระเเทกในเบ้าตาของข้าในตอนนี้ ยังไงก็ตาม ไอ้เด็กเวร ชีวิตมันไม่ง่ายขนาดนั้นว่ะ”
ผมไม่ได้รับโอกาสแม้แต่ครั้งเดียวที่จะแก้ตัว
บาร์บาทอสดีดนิ้วของเธอ
“จับไอ้เวรนั่นไว้”
และที่พื้นเงาก็เริ่มเคลื่อนไหว
…………………………………………………………………………………………..
เอ้าเเตกเองเฉย