Dungeon Defense - ตอนที่ 11 ปูทาง 10 สายเพื่อรับเงินมากมาย(1)
เคร้ง!
อีเต้อพุ่งเข้าใส่ผนังหินจนเป็นรู ที่ผมทำแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ?
ชีวิตนั้นไม่เที่ยง สรรพสิ่งนั้นอนิจจัง อนิจจังคือสรรพสิ่ง ……ผมเหวี่ยงอีเต้อนับครั้งไม่ถ้วนด้วยความตั้งใจที่จะฝึกฝนตนเองทั้งในด้านศีลธรรมและศาสนา
พวกเขาเล่ากันว่า ท่านโพธิธรรม(ปรมาจารย์ตั๊กม้อ)นั้น ฝึกตนด้วยการนั่งในถ้ำแล้วจ้องกำแพงอย่างนั้นอยู่เป็นเวลานานอย่างไม่น่าเชื่อ จึงไม่มีเหตุผลใดเลยที่คนอื่นจะไม่เรียกว่าผมเป็นนักพรตผู้ฝึกตนด้วยการขุดเหมืองอย่างไม่มีที่สิ้นสุดแบบนี้
หลังจากกระแทกกำแพง40ถึง50ครั้ง ภาพโฮโลแกรมก็ปรากฏขึ้นและส่งเสียง ‘ติ้ง!’ ’― ผมค่อนข้างเชื่อสนิทใจแล้วว่า เจ้าเอ็ฟเฟคเสียงนี้แหละที่ทำผมประสาทกิน―เสียงเอฟเฟ็คบ้านี่
「คุณสกัดได้แร่เหล็ก 2 อัน」
โว้วว
การฝึกฝนตนของผมนั้นกลายเป็นสิ่งที่มีค่าพอจะให้ทำ แร่สองก้อนออกมาพร้อมกัน มันเกิดขึ้นได้ยากมากเลยนะ
ผมวางก้อนเหล็กที่ได้มากองอยู่ที่เท้า แล้วก็เริ่มเหวี่ยงอีเต้ออย่างกระฉับกระเฉง
“แม่จ๋า~ ทำไมหนา~ ข้าอยากพบ~ ท่านจังเลย~.”
ทำไมจอมมารอย่างผมถึงต้องมาขุดเหมือนสกัดหาเหล็กอย่างนั้นเหรอ?
ไม่ใช่เหตุผลอื่นใดเลยนอกจาก เพื่อเงินยังไงล่ะ
จากเงินเริ่มต้น 1,000 โกลด์ โดนเอาไปแล้ว 200โกลด์ ผมสั่งซื้อโกเลมไปอีก 400โกลด์ เงินทั้งหมดที่เหลือก็คือ 400โกลด์
ถ้าผมเป็นคนธรรมดา ผมคงใช้ชีวิตขี้เกียจได้ไปตลอดชีวิต อย่างไรก็ดีผมเป็นจอมมาร
นี่เป็นเงินจำนวนที่น่าอายไม่สามารถอวดให้ใครเห็นได้
หรือผมควรจะหอบหิ้วเงินหนีไปที่ไหนสักแห่งดีไหมนะ?
ผมเพิ่งนึกได้ถึงไอเดียนี้ นี่มันต้องเป็นเพราะผมเป็นจอมมารแน่ๆเลย ผมจึงได้มีเขาเล็กๆอยู่ตรงท้ายทอยด้วย(มันเล็กมากซะจนผมเพิ่งเจอมันเมื่อเร็วๆนี้เอง) ถึงอย่างไรก็ดี ถ้าไม่นับเรื่องเขา จากภาพนอกผมแทบไม่ต่างจากมนุษย์เลย
ผมได้กลายเป็นจอมมารที่มีรูปลักษณ์ภายนอกและทางกายภาพหมือนที่มีในโลกเดิม นี่ถ้าผมสวมหมวกเท่ๆออกไปเดินเล่นผมอาจใช้ชีวิตแบบหรูหราอู่ฟู่ได้เลยนะ
แม้จะเป็นอย่างนั้นผมยังจำได้ดี เจ้าผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมดนี่ เจ้า VenusPanties
─ VenusPanties: ไม่ว่ายังไง ถ้าเป้าหมายของ Dungeon Attack คือการหยุดจอมมารและปกป้องโลก ดังนั้นเป้าหมายสูงสุดของภาคต่อคือ การพิชิตโลก นี่คือสิ่งสำคัญ อย่าลืมซะล่ะ
ณ เวลานั้นผมไม่ได้คิดอะไรเลย คิดง่ายๆแค่ว่า พวกเขาคงแค่อยากให้ข้อมูลผมเกี่ยวกับเกมใหม่ที่กำลังจะออกล่ะมั้ง แต่ตอนนี้พอมาคิดๆดูแล้ว มันคือ การพูดถึงตรงๆเลยนี่แหละ ว่าสิ่งที่ผมต้องทำในการจบโลกบ้าๆนี่….
‘ยึดครองโลก งั้นเหรอ’
ถ้านี่เป็นเกมจริง ผมไม่คิดว่าเป้าหมายมันจะน่าประทับใจ ออกจะจืดชืดเกินไปด้วยซ้ำ
แต่การที่จะให้พิชิตโลกทั้งใบด้วยตัวละครที่กากอย่างกับขยะนี่ มันน่าสิ้นหวังมาก ผมคือ ดันทาเลี่ยน จอมมารที่อ่อนที่สุด
ถ้าเจ้าหมอนี่ไปประกาศว่า ตนจะเป็นผู้พิชิตโลกใบนี้ มีหวังสไลม์ที่เดินผ่านมาได้หัวเราะเยาะใส่แน่ๆ
ใช่แล้วดังนั้นผมไม่ควรรีบร้อน
ผมได้รับบทเรียนจากไม่กี่วันที่ผ่านมา ไม่ว่าสถานการณ์ตรงหน้าจะดูสิ้นหวังขนาดไหน ขอให้มีมุมหนึ่งในใจที่สงบไว้ก่อนเป็นดี
มันมีโอกาสเหมือนกันที่ถ้าหากพอผมจะวิ่งหนี อาจมีระบบกีดกันไม่ให้ผมทำอย่างนั้นก็ได้
─ เครุรุ เครุ
เจ้าก็อบลินเข้ามาใกล้ผม มันเป็นมอนสเตอร์ที่ผมต้องเจียดตังที่เหลือน้อยซื้อมันมา
เหตุผลที่ผมเลือกจะอัญเชิญก็อบลินออกมานั้นเรียบง่ายมาก
มันเขียนไว้บนแถบมอนสเตอร์แล้วว่า ก็อบลินมีความชำนาญในการขุดถ้ำ โกเลมอาจจะทรงพลังน่ะใช่ แต่มันไม่มีทักษะการขุดเหมืองเลย หรือพูดอีกอย่างก็คือ มันเป็นนักรบแท้ๆเลยล่ะ แต่ผมต้องการคนงาน
แล้วมันก็ตอบสนองความคาดหวังของผมได้ ก็อบลินนั้นแบกแร่เหล็กเต็มสองมือเลย เหมือนมันพยายามจะอวดผลงานให้ผมดู
“โอ้ว บลิ้งกี้ของเรา! วันนี้แกขุดได้เยอะขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย?”
ผมวางอีเต้อของตัวเองลงและเริ่มถูแก้มก็อบลิน แล้วมันก็ยิ้มอย่างพอใจ
ผมล่ะสงสัยจริงๆว่า มันน่ารักน่าชังขนาดนี้ได้ยังไง นับตั้งแต่ผมกลายเป็นจอมมารแล้ว แม้แต่ก็อบลินที่น่าเกลียดน่ากลัวกลับดูน่ารักขึ้นมาในสายตา
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า มาตรฐานความงามของผมมันต้องพังยับไปแล้วแน่ๆ แต่ใครจะไปแคร์กันล่ะก็ในเมื่อ เขาน่ารักซะขนาดนี้
─ เครุรุ
ก็อบลินหัวเราะออกมาอย่างไร้เดียงสาและยื่นแขนให้ ผมคว้าเอามันไว้แล้วยกสูงขึ้น จากนั้นก็พาหมุนๆไปรอบๆ ก็อบลินเริ่มหัวเราะด้วยความตื่นเต้น
สิ่งที่ผมได้สัมผัสกับโกเลมเมื่อครั้งแรกกลับมาอีกครั้ง อารมณ์ของก็อบลินนั้นถ่ายมายังที่ผมด้วย มันเป็นความรู้สึกสนุกล้วนๆ ดูเหมือนว่า ประสาทสัมผัสการรับความรู้สึกของเราจะเชื่อมถึงกัน
ถ้ำที่มืดสนิท,หินงอกหินย้อยใหญ่โต ,กลิ่นของดินแฉะๆ─.
ความรักอันลึกซึ้งของเจ้าก็อบลินที่มีต่อสิ่งเหล่านั้นส่งถ่ายมาหาผมโดยตรงไม่แปรเปลี่ยน
ผมสามารถบอกได้เลยว่า เจ้าหนูนี่น่ะ ชอบดันเจี้ยนนี่มากแค่ไหน
ซึ่งนั่นทำให้ผมก็ชอบที่นี่ด้วยเช่นกัน ใครจะไปรู้ว่า การที่เชื่อมโยงประสาทสัมผัสกับสิ่งอื่นไดเนี่ จะเป็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างนี้
ระหว่างที่ผมกำลังเล่นกับเจ้าก็อบลินอยู่นั่นเอง
“ท่านดันทาเลี่ยนคะ”
“เอ้อ”
ผมหยุดกึกทันทีที่ได้ยินเสียงนั้นดังเข้ามา
“ดิฉันมาซื้อแร่เหล็กค่ะ”
พอผมหันกลับไปผมก็เห็นหญิงสาวยืนอยู่ไม่ไกล
เธอนั้นอยู่ในชุดสูทสีดำคล้ายกับพนักงานออฟฟิศ ก่อนจะค้อมหัวลงให้ผมโดยรักษาท่าทางได้อย่างไร้ที่ติ
แต่ใบหน้าของเธอก็ยังคงไร้อารมณ์อยู่ดีแม้เธอจะเงยหน้าขึ้นมาแล้ว
มันให้ความรู้สึกเหมือนว่า เธอโค้งให้ผมราวกับเป็นขั้นตอนการทำงานต้องทำโดยไม่จำเป็นที่ต้องรู้สึกเคารพนับถือ อะไรต่อผมเลย
“เห? โอ้ ได้เวลาแล้วสินะ?”
“ใช่ค่ะ”
“เวลาในถ้ำนี่ผ่านไปไวจังเลยนะ ? ฮาๆ……”
หญิงสาวไม่ตอบอะไร เธอเพียงแต่จ้องมองผมด้วยแววตาเหมือนหินสีฟ้าคู่นั้น มันทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่า ตัวเองกำลังกอบก็อบลินอยู่จนถึงตอนนี้ ผมรู้สึกแปลกๆก็เลยวางก็อบลินลง
“ฮ่าฮ่าฮา”
“…….”
เครุ?
เจ้าก็อบลินทำหน้าฉงนสงสัยพลางเอียงคอ
ทำต่อเลย ผมพูดในหัวตัวเอง ก็อบลินตอบรับคำขอของผมแล้วก็เดินไปมุมด้านในมุมหนึ่งของถ้ำ ผมสามารถสื่อสารกับมอนสเตอร์ด้วยความคิด ผมถอนใจออกมา มันเป็นความรู้สึกที่ผมไม่ต้องแสดงด้านที่น่ารังเกียจของผม
“ท่านดันทาเลี่ยนคะ เรามาซื้อขายกันค่ะ”
หญิงสาวคนนั้นพูดราวกับพูดด้วยท่าทีของคนทำการค้า
ชื่อของเธอคือ ลาพิส ลาซูลิ (Lapis Lazuli)
ผมเจอเธอครั้งแรกเมื่อครึ่งเดือนก่อน หลังจากที่ผมจัดการกับปาร์ตี้นักผจญภัยจากหมู่บ้านเจลเซ่นไป ผมก็เริ่มค้นคว้าวิจัยหาระบบการทำงานอื่นๆของโลกใบนี้
ความพยายามของผมไม่สูญเปล่า ไม่เพียงแต่ผมจะพบว่า ตัวเองสามารถใช้การวิจัยเวทย์และวิจัยเทคโนโลยีได้เท่านั้น
―การวิจัยเวทย์นั้นต้องใช้เงินต่ำสุด 5,000 โกลด์ ซึ่งผมไม่มีทางไปถึงได้ด้วยสถานะตอนนี้ ―แต่ แต่ ผมก็ได้ค้นพบวิธีการการจัดวางข้างของหรูหราในดันเจี้ยน และการวางกับดักทุกชนิดตามจุดต่างๆด้วย
ทุกอย่างที่จำเป็นในการบริหารจัดการดันเจี้ยนนั้นพร้อมใช้งานแล้ว
ผมยังพบว่า มี แถบซื้อขาย อีกด้วย นอกเหนือจากปุ่มที่เขียนว่า ‘ซื้อขาย’ ก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นอีก
ผมคลิปมันด้วยความสงสัย ทันใดนั้นเองวงเวทย์สีชมพูก็วาดขึ้นต่อหน้า ผมเผลอถอยหลังด้วยความตกใจ หญิงสาวก็ปรากฏตัวบนวงเวทย์ที่ว่า เธอนั้นสวย ผมสีชมพูของเธอมัดเป็นเปีย นอกจากนี้เธอยังสวมชุดสูทดำที่ผมเคยเห็นในโลกของตัวเอง เมื่อโผล่มาถึงเธอก็โค้งให้อย่างสุภาพ
‘เป็นเกียรติที่ได้พบท่านค่ะ ท่านดันทาเลี่ยน ดิฉัน ลาพิส ลาซูลิ จากบริษัทเคียนคุสก้า(Keuncuska Firm)
เธอแนะนำว่าตนเป็นปีศาจระดับ 5 ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
‘ฉันได้รับมอบหมายให้ดูแลการซื้อขายของท่านดันทาเลี่ยนในนามบริษัทเคียนคุสก้า ฝากเนื้อฝากตัวด้วยค่ะ’
วิธีที่เธอขยับเคลื่อนไหวนั้นดูเหมือนพ่อบ้านมากประสบการณ์ ผมทื่ระงับความอยากรู้ไว้ไม่ไหวจึงได้ถามเธออย่างละเอียด ในขณะที่เธอยังคงแสดงสีหน้าไร้อารมณ์และโทนเสียงเรียบ เธอก็อธิบายข้อมูลพวกนั้นอย่างละเอียด
บริษัทเคียสคุสต้านั้นเป็นบริษัทที่รับภาระงานทางโลกของฝั่งจอมมารและปีศาจแร๊งสูงอื่นๆ พวกเขาจะทำตามคำขอที่ลูกค้าต้องการ โดยมีพนักงานทุกคนเป็นปีศาจและมีสำนักงานใหญ่อยู่ในโลกปีศาจ
「แม้แต่เขามังกร เราก็จัดหาให้คุณได้!」
นั่นเป็นสโลแกนบริษัทของเคียนคุสก้า แต่ถึงอย่างนั้นคุณก็ต้องจ่ายอย่างสมน้ำสมเนื้อด้วยเช่นกัน
ลิพิสอธิบายให้ฟังว่า ในฐานะจอมมารทุกคนต่างเป็นลูกค้าVIPสำหรับพวกเขา บริษัทเคียนคุสก้าให้บริการอย่างน่าประทับใจด้วยการเรียกพนักงานเช่นเธอมาให้บริการต่อลูกค้าโดยตรง
ผมแอบตื่นเต้นเล็กน้อยที่จะถามคำถามนี้กับเธอ
‘ผมก็เป็นลูกค้าคนสำคัญด้วยเหรอ?’
‘แค่ในนามค่ะ’
ลาพิสพูดต่อโดยไม่กระพริบตา
‘ดิฉันเป็นปีศาจระดับ 5 ระดับ5นั้นเป็นระดับที่ต่ำที่สุดแล้ว’
ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรเพิ่มอีก
D Class เฮงซวยนี่เอง
สิ่งที่ลาพิสแสดงให้ผมดูนั้นมีสินค้ามากมายหลายประเภท ตั้งแต่กริมมัวร์คุณภาพสูงไปจนถึงดาบไร้เทียมทาน
แต่ถึงอย่างนั้น ระดับของลูกค้าที่ผมมีก็แค่ระดับ F ลูกค้าระดับF ส่วนใหญ่ก็ซื้อแค่ดาบยาวคมๆหรือไม่ก็เกราะสำหรับก็อบลินเท่านั้น
‘ระดับของท่านจะเพิ่มขึ้นตามจำนวนไอเทมที่ท่านสั่งซื้อ ถ้าท่านไปถึงระดับAแล้ว อย่าว่าแต่เขามังกร จะซื้อมังกรทั้งตัวก็ยังได้’
มังกร?! ในDungeon Attackเนี่ย มังกรเป็นอันดับสองรองจากจอมมารเลยนะ ถ้าคุณมีมังกร ต่อให้เป็นนักผจญภัยก็ตาม ไม่สิ แม้แต่กองกำลังของฝ่ายจักรวรรดิมาแห่ล้อมอยู่ ก็ไม่ต้องกลัวด้วยซ้ำ
‘ตะ แต่……ผมไม่มีเงินเลยนี่สิ’
‘อย่างนั้นเหรอคะ? ขอประทานอภัยนะคะ แต่ตอนนี้ท่านมีโกลด์อยู่เท่าไหร่หรือคะ ท่านดันทาเลี่ยน’
‘406 โกลด์’
ผมตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่อยากตอบ
ดวงตาของลาพิสหรี่ลงเล็กน้อย
‘ท่านดันทาเลี่ยนคะ ขออนุญาตถามได้ไหมคะว่า ท่านมีมอนสเตอร์จำนวนเท่าไหร่ในดันเจี้ยน?’
‘……หนึ่ง’
อารมณ์ของลาพิสเปลี่ยนไปกะทันหัน ผมจึงรีบแก้คำพูดทันที
‘ไม่ ผมหมายถึง ผมมีก็อบลินตัวนึงน่ะ’
ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดเกิดบนสีหน้า มันคงเรียบเฉยอย่างนั้น
เว้นก็แต่ออร่าที่แผ่ออกมารอบตัวลาพิสที่เคยสงบนิ่งกลับกลายเป็นหนักหนืดขึ้นด้วยเหตุผลบางประการ
เนื่องจากเธอก็เป็นปีศาจเหมือนกัน เธอเลยรับรู้มอนสเตอร์ได้เหมือนกันสินะ?
มันอาจไม่เหมือนกรณีของโกเลมและก็อบลินแต่อารมณ์บางส่วนของเธอก็เชื่อมต่อถึงผมด้วยเหมือนกัน
‘ขออภัยค่ะ ฉันเชื่อว่าตัวดิฉันเองได้ยินคำว่า มอนสเตอร์หนึ่งตัว ไม่ใช่ หนึ่งหน่วย ดิฉันได้ยินถูกไหมคะ?’
“ชะใช่ครับ”
ผมก็พูดสุภาพกลับไปโดยไม่ทันรู้ตัว
‘ขออนุญาตถามได้ไหมคะว่า มันคือมอนสเตอร์ชนิดใด?’
‘โกเลมขั้นต่ำสุด’
วู่ววว
อยู่ๆลมเย็นยะเยือกก็พัดผ่านมาทั้งที่ไม่มีใครต้องการ
‘ดิฉันขอประทานอภัย ท่านดันทาเลี่ยนคะ อาจเป็นการแสดงความไม่สุภาพของดิฉัน แต่ดิฉันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องพูดสิ่งนี้’
‘เอาเลย…….’
‘นี่เป็นครั้งแรกในช่วงชีวิตปีศาจอันแสนสั้นของดิฉันที่ได้เห็นดันเจี้ยนร้าง ’
ผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกันแหละ
ผมเจอฝ่ายการบริการที่มีประโยชน์สุดๆ แต่ผมก็ดันไม่มีเงินพอจะซื้ออะไรเลย
นับเป็นโชคดีที่ บริษัทเคียสคุสก้านั้นยังรับซื้อสิ่งต่างๆด้วย พวกเขารับซื้อทั้งอุปกรณ์และข้าวของอื่นๆสำหรับจอมมารที่ได้รับจากนักผจญภัย ถ้าผมรู้จักใช้ตรงนี้ ไม่แน่ว่า ผมอาจทำกำไรได้ก็ได้
ปัญหาก็คือ ผมไม่มีอะไรให้ขายนี่นะสิ
ลาพิสคิดอยู่ชั่วครู่หลังได้รับรู้สถานการณ์ของผม
‘ท่านไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากการสกัดแร่ค่ะ’
เธอได้ให้คำแนะนำกับผม
สถานที่ที่จอมมารสร้างดันเจี้ยนขึ้นนั้น ถ้าให้พูดในแบบโลกก่อนก็คือ เป็นสถานที่ที่เป็นมงคล(ฮวงจุ้ยดี) มานาเอ่อล้นทะลัก ดังนั้นแร่เหล็กบางครั้งก็จะแฝงด้วยเวทย์มนตร์ ยิ่งไปกว่านั้นแร่ที่เจือด้วยเวทย์มนตร์นั้นขายได้ราคาสูงมาก
การที่จอมมารมาหวดอีเต้อนี่คงเป็นงานที่ต่ำต้อยที่สุดแล้วล่ะ
แต่ผมจะทำอะไรได้ล่ะ? ก็ในเมื่อไม่มีหนทางอื่นในการทำเงิน ผมจึงเชื่อคำแนะนำและซื้อก็อบลินมาก่อนจะใช้เวลาเกือบครึ่งเดือนขุดอุโมงอย่างไม่ลืมหูลืมตา
“วันนี้ท่านจะขายแร่เท่าไหร่คะ?”
“ห้าสิบหก ก้อนแร่เหล็ก”
ผมตอบหลังรวบรวมแร่เหล็กที่ตัวผมและก็อบลินขุดมาได้ ลาพิสถอนใจเบาๆ ผมจับสังเกตไม่กี่วันก่อนแล้วว่า การถอนหายใจนั้นเป็นท่าทางเอกลักษณ์เฉพาะของลาพิส
“ท่านดันทาเลี่ยนคะ อย่างที่ท่านทราบดีอยู่แล้วว่า แร่เหล็กนั้นเป็นแร่ขั้นต่ำสุด ไม่ว่าจะเจือด้วยมานาแค่ไหน ดิฉันก็ไม่สามารถให้ราคาที่สูงได้ค่ะ”
ใช่แล้วล่ะ แร่เหล็กราคาต่ำอย่างกับซุปเต้าเจี้ยว แต่ถึงอย่างนั้นผมก็มีข้อโต้แย้ง
แล้วจะให้ผมทำยังไงก็ในเมื่อ เลเวลการขุดแร่ของผมนั้นต่ำจนมีแต่แร่เหล็กออกมาอย่างเดียวล่ะ?! มันก็ประหลาดตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่เรอะที่ถ้าจอมมารจะมีสกิลขุดแร่เนี่ย
“ต้องขอเรียนชี้แจงท่านก่อนว่า การทำยอดของดิฉันนั้นต่ำที่สุดในบริษัทแล้วค่ะ
”หึหึหึ”
ผมหัวเราะออกมา ลาพิสเอียงคอ
แม่สาวน้อย หากคิดว่า การที่ผมจะอยู่ในฐานะจอมมารนั้นสร้างความรำคาญใจให้เธอเนี่ย เธอเข้าใจผิดมหันต์!
“คิดไว้แล้วว่าต้องเป็นอย่างนี้ ดังนั้นผมจึงเตรียมอาวุธลับไว้แล้ว!”
ผมควักแร่ออกมาและทำเสียงเหมือนเสียงดนตรีประกอบ แร่ชิ้นนั้นเปล่งประกายสีทองระยับ
“ดูนี่สิ! ทองคำยังไงล่ะ! คิดว่ายังไงล่ะทีนี้ ไม่เลวเลยใช่ไหม ใช่ไหมมม?”
“……หืม”
ไม่รู้ว่าเจ้าสิ่งนี้สร้างความประหลาดใจให้กับหญิงสาวผู้ไม่ยินดียินร้ายได้ไหมนะ? เธออาจจะพูดว่า ‘หืม’ที่ฟังดูน่ากลัว แทนที่จะเป็น ‘หืม’ ธรรมดา เธอรับแร่ทองไปจากผมและตรวจดูอย่างละเอียด
ผมขุดเจอทองเข้านี่ด้วยความบังเอิญล้วนๆ ขณะที่ผมขุดไปโดยไม่คิดอะไร ปล่อยกายปล่อยใจเป็นอิสระ ผมก็พบว่า มีอะไรเหลืองๆสว่างอยู่ที่หางตา
ยอดเยี่ยม! ผมตะโกนออกมาด้วยความดีใจและก็สกัดเอาทองออกมา
ผมรู้สึกเหมือนฤดูใบไม้ผลิแห่งชีวิตปีศาจของผมได้มาถึงแล้ว หลังจากที่ขุดแร่แล้วขายแต่แร่เหล็กต่อเนื่อง 15 วัน ผมทำเงินได้ไม่ถึง 10 โกลด์ด้วยซ้ำ แร่ทองที่เจือด้วยมานานั้นจะมีราคาอย่างน้อยๆก็ 100 โกลด์
“ลาพิส ไม่จำเป็นจะต้องดีใจขนาดนั้นนะ ถ้าไม่ได้รับคำแนะนำจากเธอเนี่ย ผมก็คงไม่เจอทองก้อนนี้หรอก ทั้งหมดต้องขอบคุณเธอมากจริงๆ”
“…….”
“ไม่ใช่ว่าจะโอ่อวดอะไรหรอก แค่อยากจะขอบคุณเธอจริงๆไม่ได้มีจุดประสงค์อะไรแฝงเร้น ผมเองก็ใช่ว่า อยากจะเป็นจอมมารหรอกนะ”
ขณะที่ผมยังพล่ามอะไรต่อมิอะไร ลาพิสก็เอาแร่ทองขูดกับผนังถ้ำอย่างเงียบๆ
“ดันเจี้ยนของผมนั้นมีแต่โกเลมกับก็อบลินผมเลยแทบไม่ได้คุยกับใครเลย แน่นอนว่า ทั้งสองเป็นเด็กดีตั้งใจฟังผมโดยไม่บนว่า สถานที่ที่พวกเขาอยู่เนี่ยค่อนข้างจะโทรมไปหน่อย แต่อันที่จริงแล้ว …….”
“ท่านดันทาเลี่ยนคะ นี่ไม่ใช่ทองคำ”
“พวกเราก็เป็นเหมือนพี่น้อง……ห้ะ ว่าไง?”
ลาพิสมองมาที่ผมอย่างเยือกเย็น ขณะที่มือข้างหนึ่งก็ก้อนแร่
ผมกระพริบตาปริบๆ
“เอ๋!?”
“นี่คือ แร่ไพไรต์ค่ะ บ่อยครั้งที่มักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นทอง เพราะรูปร่างภายนอกนของมันเหมือนกัน จึงเป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า ทองคำคนโง่
ดิฉันไม่แน่ใจว่า ท่านจะรู้อยู่แล้วหรือไม่นะคะ แต่วิธีที่จะพิสูจน์ว่าเป็นชนิดไหนคือ การขูดผิวมันให้เผยด้านใน”
เธอแสดงให้เห็นว่า สิ่งที่อยู่ด้านในรอยขีดที่เกิดกับกำแพงนั้นเป็นสีดำ
“ทั่วไปแล้วจะเรียก สีแบบนี้ที่ลอกออกจากการขูดว่าเป็นสีสเต็ก ไม่ว่าจะทองพื้นเมือง ไพไรต์หรือคอปเปอร์ไพไรต์ ต่างให้สีอย่างเดียวกัน แต่แบ่งตามชนิด สีที่จะแบ่งออกเป็นทอง ดำ และเขียวขุ่น ดังนั้นนี่คือ ไพไรต์ค่ะ”
“…….”
ผมจมดิ่งลงไปในบ่อแห่งความน่าอับอายอันไร้ก้น
“ถะ…ถ้างั้น มันขายได้เท่าไหร่ล่ะ?”
“ดิฉันคงบอกได้แต่เพียงว่า ไม่สูงอย่างที่ท่านดันทาเลี่ยนคาดไว้ตอนแรกหรอกค่ะ”
ผมทรุดตัวลงด้วยความสิ้นหวัง
“ละ…ที่คิดไว้ว่าอะไรๆจะดีขึ้นล่ะ……”
“ห้าสิบแร่เหล็ก หนึ่งแร่ไพไรต์”
ลาพิสทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นและใช้ลูกคิดอย่างใจเย็น
“ทั้งหมดรวมกันเป็น 2 โกลด์ค่ะ”
“อว้ากกกกกกก…….”
“ขอบคุณสำหรับการทำธุรกิจกับบริษัทเคียนคุสก้าค่ะ”
“อ๊ากกกกกกกกกก…….”
จอมมารอย่างผมทำงานหนักมาทั้งวัน แต่ก็ได้แค่ 2 โกลด์ น้ำตาท่วมจนผมมองอะไรไม่เห็น แล้วผมก็ได้ยินเสียง เรียบๆของลาพิสพูดกับผม
“ดิฉันรับรู้ได้ถึงความกระตือรือร้นที่ฝ่าบาทมีต่อดิฉันนะคะ แต่ถึงอย่างนั้น ดิฉันจะมีความสุขกว่านี้หากฝ่าบาทสามารถเพิ่มกำไรในธุรกิจระหว่างเราได้มากกว่านี้”
อ๊ากกกกกกกก!
ผมนอนกลิ้งไปกลิ้งมากับพื้นด้วยความอับอายขายขี้หน้าเป็นที่สุด