Dungeon Defense - ตอนที่ 24 การล่ามนุษย์(5)
* * *
มีรถม้าเรียงเป็นแถวตั้งอยู่หน้าทางเข้าโรงประมูล โรงประมูลแห่งนี้เคยเป็นโรงละครจัดแสดงโอเปร่ามีชื่อเสียงมาก่อน หลังจากที่กิจการโรงละครเลิกกิจการไปเพราะเศรษฐกิจถดถอย ก็บอกกันว่า มีพ่อค้าผู้แสนมั่งคั่งซื้อสถานที่นี้แล้วปรับปรุงใหม่ให้เป็นโรงประมูล
คนขับรถม้าหน้าโรงประมูลนั้นสูบซิการ์และมาอวดกันว่า รถม้าของใครแพง และสวยกว่ากัน
ลาพิสกับผมเข้าร้านเช่าเสื้อผ้าด้วยกัน มันเป็นกฏที่ตลาดค้าทาสว่าต้องปลอมตัวตลอดเวลาเพื่อให้ทุกคนไม่ต้องเผยตัวตน หลังจากตั้งใจเลือกอย่างดีแล้ว ผมก็เลือกชุดสีเหลืองสว่าง หยิบวิกผมสีบลอนด์และทาหน้าให้ขาว
ผู้หญิงหน้าเหมือนสัตว์ประหลาดมองกลับมาเมื่อผมมองเข้าไปในกระจก แม้แต่แม่ผมก็คงจำผมในสภาพนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ ผมรู้สึกพอใจแปลกๆในรูปลักษณ์ของตนเองแล้วจากนั้นก็ยัดฟองน้ำเสริมอกเข้าไป
เพอเฟ็ค
“ท่านดันทาเลี่ยนคะ ไม่ทราบว่าทานพร้อม……?”
ลาพิสนั้นแค่สวมหน้ากากแมวดำ ดวงตาของเธอเบิกกว้างตอนที่เห็นผมออกมาจากห้องแต่งตัว ตาสีฟ้าของเธอกวาดเร็วสำรวจผมจากหัวจรดเท้า
“อะไร……กันคะ รูปลักษณ์แบบนั้น……?”
ปากของเธอกระตุก ผมซ่อนปากไว้หลังพัดแล้วแอบหัวเราะ
“โอ้ แหม ที่รัก ท่านหญิงลาซูลิ ช่วงนี้สุขภาพเป็นยังไงกันคะ?”
“……อุ!”
“วันนี้อากาศอบอ้าวเหลือเกินนะคะ ดิฮั้นหวังว่า เลดี้จะรักษาสุขภาพนะคะ โฮะโฮะ
”
“อุอุ…….!”
ลาพิสรีบเอามือปิดปากตัวเอง มุมตาเธอเริ่มเปียกชื้น
เธอพยายามจะกลั้นหัวเราะ มันไม่มีทางที่ผมจะไม่ตื่นเต้นได้หรอก ผมจะได้เป็นพยานผู้เห็นเด็กสาวที่ไร้อารมณ์ 24ชั่วโมง7วัน ระเบิดหัวเราะครั้งใหญ่
แต่ถึงอย่างนั้นก็ผิดกับที่คาดคิดไว้ ลาพิสนั้นแข็งแกร่งจนเจาะไม่เข้า เธอกระแอมหลายครั้งก่อนจะกลับมาสู่ท่าทางสุภาพเช่นเดียว
น่าเสียดายชะมัด
“ฮ่าาา ……ท่านดันทาเลี่ยนคะ,กรุณาแสดงตัวให้เหมาะสมกับสถานะด้วยค่ะ.”
“แหม แหม ในฐานะมาดามแห่งที่ดินดันทาเลี่ยน ดิฮั้นเชื่อมั่นว่า ไม่มีอะไรที่ขาดตกบกพร่องไปนะฮ้า ถ้าหากพฤติกรรมของดิฮั้นไม่ทำให้ท่านหญิงเจริญตา ก็ว่ากล่าวได้ทันทีเลยนะฮ้า โฮะโฮะโฮ่!”
“อุ! ……ไม่ดีกว่าค่ะ ขอบคุณค่ะ ดิฉันเริ่มชัดคุ้นชินกับความเฉพาะตัวของท่านดันทาเลี่ยนแล้ว”
เดี๋ยวก่อนนะ อยู่ๆผมก็นึกไอเดียที่ยอดเยี่ยมขึ้นมาได้ ไม่ดีกว่ารึไง หากผมจะทำให้กลายเป็นสตรีชนชั้นสูงสมบูรณ์แบบด้วยการใช้ สกิล<การแสดง> ในสภาพนี้?
นี่มันเป็นไอเดียที่ยอดมากเลยนะเนี่ย ตอนนี้กลายเป็นว่าในหัวผมผลิตไอเดียราวกับปาฏิหารย์
ผมสั่งใช้งาน <การแสดง>ในทันที
ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะประสิทธิภาพสกิลหรือเปล่า แต่ฟังแล้วเหมือนเสียงของผมนั้นสูงขึ้นหนึ่งระดับ
“โฮะโฮะโฮะ! วันนี้ดิชั้นจะได้สมบัติมาไว้ในมืออย่างแน่นอน―!”
ผมหัวเราะโดยที่ปากยังซ่อนอยู่หลังพัด
“…….”
แววตาที่ลาพิสมองผม เอาล่ะผมจะทำยังไงดีล่ะ?
ในดวงตาเธอมันเหมือนค็อกเทลที่ผสมกันระหว่างโทสะที่เพิ่มขึ้นและความอลหม่าน สังเกตจากการที่ลาพิสนั้นสามารถแสดงอารมณ์ทั้งที่มีใบหน้าไร้อารมณ์ได้ ลาพิสนี่ช่างเป็นผู้หญิงที่มีหน้ากากนับพันจริงๆ
เราสองคนเดินเข้าไปในโรงประมูลอย่างใจกล้าด้วยการใช้บัตรเชิญที่แจ็คมอบให้ผม โลกอันแสนประหลาดเผยโฉมต่อหน้าเราในฮอลเปิด ชายสองคนสวมชุดตัวตลกและพูดคุยกันอยู่ใกล้ทางเข้า
“ข้อสรุปของแกมีแต่ความหยิ่งผยอง!”
“ข้าสงสัยจัง อย่างน้อยมันก็ไม่ได้เลียนแบบเพลโตมานะ ข้าว่า เฟรเดอริค…….”
“ไอ้พวกสายโรแมนติกเอ๊ย เพราะแบบนั้นนี่แหละ…….”
บนเวที คอนดักเตอร์สวมชุดเป็นนกยูงกำกับวงออเครสตร้า นักไวโอลินแต่งตัวเป็นฮิปโป แม่วัว ปีศาจ และคนแคระ
แต่ถึงอย่างนั้นก็เพราะว่ามีคนเกือบ500 คนพูดคุยกันอยู่ในฮอลเสียงดนตรีจึงยากที่จะได้ยิน แขกทั้งหลายแต่งในชุดคอสตูมที่แตกต่างกันไป ลาพิสกับผมนั้นแหวกฝูงชนแล้วมุ่งหน้าไปสู่ศูนย์กลางของฮอล ไม่มีเก้าอี้ให้เรานั่ง จึงต้องยืนกัน
ลาพิสดูท่าทางจะไม่ชอบสถานที่ที่มีผู้คนมาก เธอจึงบูดบึ้งเล็กน้อย
“นี่ทำให้ดิฉันนึกถึง ฮอล อินเฟอน่อล ในโลกปีศาจเลยค่ะ”
“มีนรกอยู่ในโลกปีศาจด้วยเหรอ?”
“ท่านดันทาเลี่ยนคะ ท่านออกจะไม่รู้เรื่องโลกปีศาจน้อยเกินไปแล้วค่ะ คำว่านรกไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่าชื่อเล่นค่ะ ซึ่งมักจะเรียกเป็นสถานที่ที่ปีศาจไปดิ้นรนเอาชีวิตรอด มีทั้งหมด 26 แห่ง แต่โดยทั่วไปแล้ว จะเรียกปีศาจที่ปกครองนรกเหล่านั้นว่า อาร์คดยุค เปรียบได้กับ จอมมาร ค่ะ”
อ่าฮะ ดูเหมือนในโลกปีศาจ สถานะทางสังคมจะขึ้นอยู่กับที่ดินที่ปกครอง ในเกม Dungeon Attack พวกปีศาจเองก็เรียกตัวเองว่า บารอนบ้าง เค้าท์บ้าง อยู่บ่อยครั้ง แต่ผมไม่รู้ว่า อะไรคือ มาตรฐานของมัน ผมจึงคิดไปว่า จอมมารอาจเป็นผู้แต่งตัวพวกเขาหรืออะไรทำนองนั้น แต่ดูเหมือนพวกเขาจะมีระบบเป็นของตัวเอง
“ในโลกปีศาจ ท่านดันทาเลี่ยนน่าจะอยู่ราวๆ ระดับ ชาวาลิเย ค่ะ (chevalier)
แม้ความสามารถหลักจะน้อยไปหน่อย แต่ก็เป็นความจริงที่ท่านมีหน่วยมอนสเตอร์ใต้การดูแล”
“ชาวาลิเย เหรอ? มันเป็นระดับประมาณไหนน่ะ?”
“มันเป็นตำแหน่งที่อยู่ต่ำกว่าอัศวิน ซึ่งเป็นระดับที่ดีกว่า ไม่มีอะไรเลยค่ะ”
“…….”
ลาพิสแกล้งผมเล่นซะงั้น…….
ไม่นานนัก วงออเครสตร้าก็จบการแสดงแล้วลงจากเวทีไป สุภาพบุรุษในชุดสูทก็เดินเข้ามาบนเวที ชายผู้นี้ดูจะชำนาญการรับมือกับสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยเสียงหนวกหู เขาจึงสามารถทำให้ทุกคนเงียบลงได้อย่างง่ายดาย
เสียงพูดคุยไม่ได้เงียบหายไป หากแต่ลดเหลือเพียงระดับกระซิบกัน หลังจากยืนยันแล้ว เสียงของโฮสที่เป็นพิธีกรที่อาจจะขอยืมพลังจากอุปกรณ์เวทย์มนตร์ ได้สะท้อนไปทั่วทั้งฮอล ลาพิสกระซิบกับผมว่า แว่นตาเดียวที่ชายคนนั้นสวมใส่นั้นมีความสามารถในการขยายการมองเห็น
“ขอบคุณทุกท่านสำหรับความร่วมมือครับ!
ณ บัดนี้ ขออนุญาตให้กระผมได้กล่าวทักทายแขกผู้มีเกียรติทุกท่านที่มายัง โรงประมูล โอเปร่า เดอ พาเวีย!
วันนี้พวกเราเตรียมสินค้า 55 รายการ
ถ้าเป็นไปตามขั้นตอนปกติ จะใช้เวลาในการประมูลประมาณ 4 ชั่วโมง
หากไม่มีอะไรแล้ว? จะเริ่มเปิดการประมูล ณ บัดนี้
สินค้าชิ้นแรกของวันนี้ คือ!”
พิธีกรเหยียดแขนออกไปทางขวามือของเวที เด็กสาวที่แทบไม่ใส่อะไรเลยนอกจากผ้าขาดๆเดินออกมา
“ส่งตรงจากแดนเหนือ เอลฟ์หิมะที่นำเข้าจากราชอาณาจักรมอสโคว! ลองมาดูที่ผิวขาวบริสุทธ์ของเธอดูครับ สว่างใสกระจ่างที่เห็นนี้ราวกับคุณกำลังมองหิมะอายุร้อยปีอยู่เลย
หากถามถึงราคาเอลฟ์ทั่วไปก็คงราวๆ 500โกลด์ แต่เธอเป็นเอลฟ์เผ่าหิมะ ที่หาได้ยากยิ่ง ทุกคนคงเคยได้ติดต่อกับเอลฟ์ผิวสีแทนมาแทนสักครั้ง
แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่ท่านจะมีโอกาสได้เห็นเอลฟ์ที่มีผิวขาวดั่งหิมะเช่นนี้
เอาล่ะ สินค้าตัวแรกของเราในวันนี้คือ เอลฟ์หิมะ เราจะเริ่มต้นกันที่ 100 โกลด์!”
การประมูลทาสเริ่มขึ้นแล้ว ผู้คนมากมายแสดงความตั้งใจที่จะซื้อด้วยการชูแผ่นป้ายที่ระบุจำนวนบนนั้น ไม่ว่าฮอลจะกว้างแค่ไหน แต่โฮสของงานก็สามารถที่จะมองเห็นได้ทุกคน
เขาตะโกนอย่างเปี่ยมพลัง
“ใช่, หมายเลข 537, 150 โกลด์! หมายเลข 76, 200 โกลด์!”.
ดูเหมือนเขาจะสามารถอ่านปากได้ด้วย ทักษะที่หลากหลายเป็นสิ่งจำเป็นต่อการเป็นโฮสของโรงประมูลแห่ง
ต้องขอบคุณคารมของโฮส ที่ทำให้เอลฟ์หิมะนั้นถูกขายไปในราคา 700 โกลด์ ในขณะที่ราคาของเอลฟ์ตัวนั้นพุ่งขึ้นสูง เอลฟ์ตัวที่ว่าก็กำลังมองพื้นอยู่ตลอดเวลา ผมเพิ่งได้รู้ครั้งแรกว่า ผมสามารถสัมผัสถึงอารมณ์ของสปีชี่ย่อยอื่นๆ ไม่เพียงแต่กับมอนสเตอร์เท่านั้น
สาวน้อยคนนั้นกำลังสิ้นหวังเป็นที่สุด แม้เธอจะเคยคิดถึงบ้านอยู่เป็นครั้งคราว แต่มันก็หายไประหว่างทาง เด็กสาวกำลังชั่งใจอยู่ว่าควรจะฆ่าตัวตายดีหรือไม่
หากชนชั้นสูงที่ซื้อเธอไปนั้นมิใช่คนดี สุดท้ายแล้วคนซื้อคงได้เสียเงินไป 700 โกลด์ฟรีๆ
“700 โกลด์! ราคาเสนอขายอยู่ที่ 700 โกลด์! มีใครอยากจะให้ราคาสูงกว่านี้อีกไหม? ทุกท่าน! กระผมขอการีนตีจากประสบการณ์ 30ปี ในการเป็นผู้สนับสนุนการประมูล ราคาประมูลสินค้าชิ้นแรกไม่เคยทะลุเกิน 500โกลด์ มาก่อนเลย
ทางเราขอขอบคุณสำหรับ ผู้เสนอราคาเสนอที่ 700 โกลด์! เอาละ ถ้าพร้อมแล้วก็ไปยังสินค้าตัวต่อไป”
แล้วทาสก็เข้ามาบนเวที ทีละตัว ละตัว ผมสามารถที่จะมองเห็นเผ่าพันธุ์ที่หลากหลายที่ไม่เคยเห็นมาก่อนจากโลกใบนี้ เผ่าไลแค่น,มนุษย์สัตว์,เผ่าเสือ,ไซเรน,เมอร์เมด……
การประมูลยังคงดำเนินต่อ ผมรู้สึกว่า ตัวเองกำมือแน่น ความรู้สึกสิ้นหวังขุ่นมัวที่อยู่ในใจพวกสายพันธุ์ย่อยได้ย้อมให้ใจผมเป็นสีดำ
แม้แต่ความเจ็บปวดทางร่างกายบางทีก็ยังส่งตรงมาถึงผมบางส่วนด้วยซ้ำ แผ่นหลังของเด็กสาวเผ่ามนุษย์สัตว์ที่ถูกกรีดฉีก
“……ฝ่าบาทดันทาเลี่ยน”
ลาพิสแอบเรียกชื่อผม ผมถึงได้สติคืนกลับมาในทันที
“โอ้ที่รัก โอ้ะโฮะโฮะ ดูเหมือนดิชั้นจะเผลอหลับในไปชั่วครู่”
“……อ่า”
ลาพิสหยิบผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋า เธอเริ่มเช็ดอย่างช้าๆที่มุมปากของผม ผมสับสนกับสถานการณ์ที่เกิดกะทันหัน แต่ความงุนงงกลับกลายเป็นความตกใจเมื่อเห็นผ้าเช็ดหน้าเปื้อนด้วยเลือด
“หา?ทำไมถึงมีเลือด?”
“ท่านกัดริมฝีปากแรงเกินไปค่ะ”
ลาพิสถอนใจออกมา
“ผมสัมผัสความรู้สึกได้น่ะ มันโผล่ขึ้นมาโดยที่เธอไม่ทันได้สังเกต”
“เหรอคะ ดิฉันไม่ทันได้ตระหนักถึงเรื่องนั้นเลย…….”
“เป็นเรื่องยากนะคะที่ต้องมาเป็นประจักพยานการที่มนุษย์ผู้ต่ำต้อยปฏิบัติอย่างไม่ระวังต่อพวกสปีชี่ย่อยอื่น
แต่ถึงอย่างนั้น การมีความเห็นอกเห็นใจมากเกินไปไม่ใช่เรื่องฉลาดเลย
ความเข้าอกเข้าใจกันผู้หญิงทั่วไปในร้านค้า กับ การตัดสินใจอย่างเด็ดขาดของตุลาการในศาล อย่างใดอย่างหนึ่งไม่คู่ควรกับราชา ราชาจะต้องทั้งมีความเข้าอดเข้าใจและการตัดสินใจอย่างเด็ดขาดค่ะ.”
ผมผงกหัว คำแนะนำของลาพิสนั้นมักกลายเป็นเลือดเป็นเนื้อของผมเสมอ
ไม่กี่วินาทีที่แล้ว ผมยังเผลอดูถูกมนุษย์เข้าเลย ผมอยากที่จะบุกเข้าไปในอาณาจักรของมนุษย์แล้วเข่นฆ่าทุกผู้ทุกนาม
หรือนี่จะเป็นสิ่งที่มาของการเป็นศํตรูกันระหว่างมนุษย์กับจอมมาร?
อย่างไรก็ตาม การตายและการเข่นฆ่านั้นเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเป็นปรกติในทุกเผ่าพันธุ์ แม้แต่มอนสเตอร์ที่ผมเห็นใจที่สุดก็ยังเคยฆ่ามนุษย์มานับไม่ถ้วน
“อ้า……ใช่ ขอบใจนะ”
“ไม่ต้องเกรงใจค่ะ”
ผมพยายามสงบใจลง แล้วรับอารมณ์ความรู้สึกของพวกซับสปชี่พวกนั้นในระดับที่พอดี ทั้งๆที่ผมไม่สามารถหยุดไม่ให้อารมณ์พวกนั้นส่งถ่ายมายังผม ผมสามารถเว้นระยะห่างและเฝ้าสังเกตสถานการณ์ให้คล้ายเหมือนกำลังดูหนัง
ถึงแม้ผมจะวางตัวอย่างนั้น แต่สถานการณ์ปัจจุบันมันช่างกวนใจอย่างมาก
เป็นความจริงแน่ชัดว่าการที่ผมสามารถรับความรู้สึกของผู้อื่นนั้นเป็นสิ่งที่น่าสนใจ
อย่างการที่เด็กสาวมนุษย์สัตว์ได้แสดงตัวอย่างภูมิใจต่อเหล่ามนุษย์ราวกับเธอเป็นโมเดลลิ่ง เธออาจจะมีบุคลิกที่ชื่นชอบการอวดตัวไม่ว่าสถานการณ์ที่อยู่จะสิ้นหวังแค่ไหนก็ตามที
ในที่สุด ‘สินค้าชิ้นนั้น’ ที่ผมเล็งไว้ก็ขึ้นมาให้เประมูลราคากัน
“ทาสลำดับต่อไปที่จะแนะนำให้ทุกท่านในวันนี้ ช่างน่าสนใจอย่างมาก ผู้สืบทอดลำดับสองของตระกูลฟาร์เนเซ่ที่โอ่อวดว่ามีอำนาจยิ่งใหญ่ในราชอาณาจักรซาร์ดิเนีย!”
คำพูดพวกนั้นปลุกเร้าคนทั้งฮอล เด็กสาวผมสีบลอนด์เดินเข้ามาใจกลางเวที เธอหันไปรอบๆโรงละครราวกับกำลังมองหาใครบางคน แต่ถึงอย่างนั้น ดูเธอจะเริ่มเหนื่อยหน่ายกับมัน เพราะผู้คนมากมายต่างจับจ้องจนเธอใบหน้าเธอซีดลง
“แม้แต่พวกชั้นต่ำของฟาร์นาเซ่เองก็มาถึงจุดจบ”
“ใครจะไปคาดเดาได้ล่ะ ว่าพวกเขาจะแพ้อย่างอนาถในสงครามดอกไม้แห่งชาติ…….”
“ฉันได้ยินเรื่องรูปโฉมของผู้สืบทอดมาบ่อย แต่ไม่คิดเลยว่า ผู้สืบทอดลำดับสองจะน่ารักอย่างนี้”
สงครามที่เป็นเหตุให้ตระกูลฟาร์เนเซ่ล่มสลายนั้นเป็นที่รู้จักกันไปทั่ว ผู้คนรอบเราต่างยังคงพูดถึงสงครามนั้นขณะที่จับตามองลอร่า บางคนก็มองด้วยราคะอันเปี่ยมล้นไปยังผิวพรรณที่บ่มเพาะมาจนได้ที่
ลอร่าขบกรามแน่นและเชิดคางขึ้น
ผมไม่รู้ความคิดของเธอ ถึงอย่างนั้นก็พอจะบอกได้ว่า อะไรผ่านเข้ามาในหัวของเธอบ้าง เธอกำลังหวาดกลัวแต่เธอก็อยากจะรักษาท่าทางเยี่ยงชนชั้นสูงไว้
“ท่านหญิง ดัชเชส ลอร่า เดอ ฟาร์นาเซ่!”
ผู้คนต่างปรบมือให้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า มันเป็นเหมือนการเยาะเย้ยลอร่า ในตอนนี้เธอจับชายเศษผ้าแน่นด้วยมือทั้งสองข้าง
ผมเปลี่ยนมุมมองจากเวที เป็นเหมือนผู้สังเกตการณ์ที่กำลังเฝ้าฉากที่น่าสนใจมากในภาพยนตร์
แล้วตอนนี้ เธอจะทำยังไงล่ะ ลอร่า เดอ ฟาร์เนเซ่?
แม้เธอไม่ยอมทำตามเจตจำนงของตนเอง ผมก็ตั้งใจจะใช้กำลังชิงตัวเธอมาอยู่ดี แต่หากเป็นไปได้ ผมอยากให้เธอแสดงความสง่างามและยอดเยี่ยมออกมาให้ดู
“ขอประทานอภัย แต่สินค้าชิ้นนี้จะเริ่มต้นด้วยราคาที่สูง แทบจะไม่ต้องสงสัยเลยว่า สินค้าชิ้นนี้จะเป็นราคาที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของการประมูล
500 โกลด์!
เราจะเริ่มการเสนอราคาประมูลที่ 500 โกลด์! โอ้ แหม!
มี6ท่านที่ยกมือในทันทีที่เริ่มเสนอราคา ต้องขอประทานอภัยนะขอรับ แต่การเสนอราคาจะเริ่มตอนแขกหมายเลข 213 ที่ได้ยกมือก่อน 550โกลด์!
ดีมากครับ หมายเลข 567 , 600 โกลด์!
หมายเลข 12 , 650 โกลด์!”
ราคาประมูลเพิ่มขึ้นโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตอนไหนเลย
ไหล่เล็กๆของลอร่านั้นสั่นสะดุ้งทุกครั้ง
เธอก้มหัวงุดลงาวกับว่า เธอทนมานานจนถึงตอนนี้แล้ว เธออ่อนไหวต่อการจ้องมองของคนอื่นมาก
นับร้อยการจ้องมองที่ปฏิบัติกับเธอเป็นดั่งทาส ดั่งสินค้า⎯⎯⎯เมื่อไหร่กันนะ ความยโสมั่นใจนั่นจะอ่อนลง? ผมได้ยินเสียงหัวใจตัวเอง,และยังมองใบหน้าของลอร่าต่อไป
“หมายเลข 64, 1650 โกลด์! ท่านลอร์ด! โอ้พระเจ้า! นี่พวกเรามาถึงราคาเสนอที่สูงที่สุดแล้ว!”
ณ เวลานั้นเอง เด็กสาวเงยหัวขึ้น ริมฝีปากเธอขยับเล็กน้อย
“หมายเลข 790, 1700 โกลด์!”
ผมไม่ได้ยินเสียงของเธอเพราะระยะที่ห่างไกลกัน แต่เธอได้พูดมันออกมาอย่างชัดเจน
“หมายเลข 1101, 1750 โกลด์!”
⎯⎯⎯ดันทาเลี่ยน
มุมปากของผมเชิดขึ้น
“ลาพิส, ให้เราฟังเสียงสดุดีหน่อยสิ”
“ค่ะ, ฝ่าบาท”
ลาพิสหยิบม้วนคัมภีร์ออกมาจากผ้าคลุมหัว ก่อนจะโยนมันขึ้นไปบนอากาศ บ่นร่ายเวทย์โดยไร้เสียง
“อาคเซสซิทัส Arcessitus”
วงเวทย์ที่มีขนาดประมาณ 30 เมตร แผ่กว้างออกตรงหน้าเหล่าแขกทั้งหลาย มันงดงาม แสงสีชมพูอ่อนพวยพุ่งออกจากวงเวทย์มนตร์ แขกทั้งหลายที่สนใจบนเวทีกลับหันหาแสงที่จู่ๆก็โผล่มา
“หืม? นั่นมันวงเวทย์นี่”
“นั่นเป็นอีเว้นท์ของโฮส?”
“ข้าไม่รู้จักเผ่าที่มีแสงสีชมพูอ่อนแบบนั้นมาก่อนเลย…….”
ขณะที่แขกเหรื่อกำลังพูดคุยกันหึ่ง ลาพิสกับผมใช้โอกาสนั้นหาทางไปถึงเวทีอย่างเร่งด่วน มีเพียงผู้เปิดประมูลเท่านั้นที่ยังสงบอยู่แม้จะสับสน ก็ยังคงทำการประมูลต่อ
เขาช่างมีความเป็นมืออาชีพเสียจริงนะ ข้างๆเขานั้น ลอร่ามองไปที่วงเวทย์นั้นด้วยแววตาที่ว่างเปล่า
ผู้คนเริ่มแผดเสียงในตอนนั้นเอง เสียงดังตุบสะท้อนก้องเวลาเดียวกับที่มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นก่อนที่ทั้งอาคารจะเขย่าราวกับเกิดแผ่นดินไหว
เมื่อผมหันกลับมา โกเลม 10 ตัวก็ได้ทำลายพื้นที่ของฮอลประมูลใต้เท้าของพวกมัน
พวกมันถูกอัญเชิญมากลางอากาศ โกเลมสับสนทันทีที่เห็นมนุษย์ ส่วนเหล่าแฟรี่หัวเราะคิกคักราวกับเป็นเสียงสั่นกระดิ่ง
ทันทีที่ผมสั่งการในใจด้วยคำสั่งที่เข้มงวด พวกเขาทั้งหมดต่างปลดปล่อยจิตสังหารสีเลือดออกมาเข้มข้น
‘ฆ่าพวกมันได้ตามใจชอบเลย’
ผ้าคลุมของชายคนหนึ่งกระพือลมเช่นเดียวกับที่ร่างของเขาถูกส่งลอยด้วยหมัดโกเลม ตัวเขากระแทกกับกำแพงที่ใช้เป็นฉากหลังเวที ก่อนจะไหลลงมากองที่พื้นเวที
เจ้าของโรงประมูลทรุดเข่าลงและหวีดร้องด้วยความหวาดกลัวเนื่องมาจากถูกศพกระแทก การเสริมเวทย์ทำให้เสียงสะท้อนก้องกระจายไปทั่วโรงละครนั้นส่งผลรุนแรงทำให้แก้วหูผู้คนทั้งหลายแทบแตก
มันคือ จุดเริ่มต้นของการสังหารหมู่ Ο