Dungeon Defense - ตอนที่ 45 นักทำลายเควส(2)
* * *
สองวันหลังจากที่ผมกลับมาจากเนฟเฮม ผมสงสัยเหลือเกินว่า มันอาจจะเป็นผลจากการที่ผมไปพักผ่อนพักร้อน มันเหมือนผมมีหมากฝรั่งเกรอะๆติดอยู่ใต้โต๊ะเรียน ผมจึงทิ้งตัวลงบนเตียงตัวเองทันที่ที่กลับมาถึงบ้าน
บ้านของแต่ละคนนั้นต่างมีแรงดึงดูดพิศวงอยู่ การตระหนักรู้ดังกล่าวเกิดขึ้นทันทีในบ้านตอนที่ผมกลับมาพร้อมรอยยิ้มที่เหนื่อยล้า
พอผมเอนตัวลงนอนก็มีเจ้าสิ่งมีชีวิตที่ผมไม่เจอมานานนับตั้งแต่ไปที่เนฟเฮม
“แกบ้าจี้ตรงนี้ ใช่ไหม?”
⎯คิวรุรุรุ!
แฟรี่ตัวนั้นหัวเราะคิกคักตอนที่ผมนวดสีข้างของเธอด้วยนิ้วชี้ เธอบินขึ้นเหมือนจะบอกว่า อย่าจั้กจี้เธอสิ แต่เธอก็กลับบินลงไปอย่างช้าๆ มันอาจจะฟังดูน่ากลัวหน่อย แต่สวนสนุกอยู่ใกล้เธอแค่นี้เองแล้ว ผมทุ่มเทหัวจิตหัวใจลงไปกับการนวดแฟรี่ตัวน้อย ในขณะที่ผมกำลังนอนเล่นอยู่บนเตียง
⎯คิวฮะ ? คิวฮะ
แฟรี่ตัวอื่นๆต่างเข้ามาใกล้และจับนิ้วชี้ซ้ายของผมด้วย เธอมองมาที่ผมด้วยแววตาคาดหวัง
‘ฉันด้วยสิ? ฉันด้วยสิ?’
ดวงตาของเธอพูดกับผมแบบนั้น มันอดไม่ได้เลยที่ผมจะไม่ใจเต้น
หรือเจ้าพวกนี้ไม่ใช่แฟรี่แต่เป็นนางฟ้ากันนะ? ถ้าผมมีลูก ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะหยอกล้อกับพวกเขาได้เหมือนที่ทำกับแฟรี่พวกนี้ไหม
“เอาล่ะ ข้าจะขอใช้ทักษะพิเศษ……<จู่โจมด้วยสอง-มือ> ”
ผมประกาศออกมาจริงจังกว่าที่คิดไว้
นี่คือ สุดยอดไม้ตายของผมยังไงล่ะ
มันเป็นสกิลที่เป็นดาบสองคมที่ผมไม่กล้าจะใช้มาก่อน หากไม่ใช่สถานการณ์ชี้เป็นชี้ตาย มันเป็นดั่งเขาวงกตที่ไม่มีทางออกไปได้หากหลงเข้าไป หรืออาจจะเป็นเหมือนปากทางเข้าของดอกรัฟเฟเซีย
⎯ คิวฮาา?
แฟรี่ตัวนั้นต้องสัมผัสได้ถึงความจริงจัง เธอจึงมองกลับมาที่ผม
อ่าฮ่า รู้ตัวช้าไปแล้วแม่สาวน้อย
ตอนนี้เจ้าได้ปลุกปีศาจร้ายที่ไม่ควรปลุกขึ้นมาแล้ว
ผมยกมือขึ้นมา ยกราวกับมือตัวเองเป็นมือของนักเปียโนที่กำลังเล่นเพลง คนเดนซ่า ที่เป็นคอนแชนโต้ของโมซาร์ท
ผมใช้ได้มือทั้งสองข้างรุมจั้กจี้แฟรี่ทั้งหลายในเวลาเดียวกัน
⎯ เคียวรุรุรุ! เคียวรุรุรุ!
แฟรี่ทั้งสองตัวบิดไปบิดมารอบๆเตียง ผมไม่สามารถเก็บงำมันได้อีกต่อไป นี่คือ สุดยอดสกิลของจริงที่เหนือไปกว่า <การแสดง>
แม้การจู่โจมด้วยทั้งสองมือนั้นจะสามารถปราบเป้าหมายได้แบบ 100% แต่มันก็มีจุดอ่อนด้วยเช่นกัน
จุดอ่อนที่ว่านั่นก็คือ ผมไม่สามารถใช้มือไปทำอย่างอื่นได้
มือทั้งสองข้างของผมถูกผนึกไว้แล้ว
แถมขณะที่ผมกำลังนอนอยู่บนเตียง ผมก็ไม่สามารถที่จะใช้เท้าได้เช่นกัน หากมีใครมาเห็นเข้าก็คงแย้งว่า ผมก็แค่ลุกขึ้นจากเตียงซะสิ แต่คนๆนั้นคงไม่เข้าใจสินะว่า ความจริงแล้วเตียงมันคืออะไร
เตียงไม่ใช่วัตถุที่คุณมีเอาไว้ให้คุณลุกขึ้นมา แต่เตียงเป็นวัตถุที่คุณนอนลงไป แล้วพอคุณจะลุกขึ้นมา คุณจะพบในทันทีว่า คุณได้หลงลืมจุดประสงค์ที่แท้จริงของเตียง พอคุณได้เอนตัวลงนอนบนเตียง หากคุณนอนกลิ้งนานขึ้นอีกหน่อย คุณจะพบทันทีว่า นั่นเป็นสถานที่ที่คุณสมควรจะอยู่ตรงนั้นไปตลอดกาล
นั่นแหละ คือ วิธีที่เราใช้เตียงกันได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
มันช่างเป็นสิ่งที่หนักหนามากกับการพูดถึงเหตุผลว่า ทำไมผมถึงใช้เวลาเหมือนคนว่างงานในโลกเดิม
อาจจะเป็นเงื่อนไขของสภาวะจิตใจ ผมไม่สนใจเรื่องนั้นหรอก ความจริงตอนนี้เวลานี้คือ ตอนนี้ผมไม่อาจใช้แขนขาได้อีกต่อไป
มันเป็นวนซ้ำชั่วนิจนิรันดร์โดยไม่อาจละทิ้งได้จนกว่าอีกฝ่ายจะยอมแพ้ต่อการจั้กจี้ของผม
มันเหมือนกับการติดอยู่ในลูปตรรกะ ผมจะต้องกลิ้งหินเจ้ากรรมของซิซิฟัส*ไปตลอดกาล
ในขณะที่ผมหลงระเริงไปกับการสำนึกผิดชอบชีวิตอันน่าสลดใจ แฟรี่ตัวอื่นก็เข้ามาห้อมล้อมผม ผมล่ะสงสัยจริงๆว่า สิ่งที่เรากำลังทำอยู่นั้นมันดูน่าสนุกสุดสำหรับพวกเธอตรงไหน
การได้เห็นแฟรี่ห้อมล้อมมันทำให้ผมนึกถึงเด็กประถมในโลกเก่าที่ไปเที่ยวล้อมตู้เครื่องอาร์เคดในร้านค้าและเถียงกันว่า ใครจะเป็นคนเล่นก่อน
ผมบ่นด้วยความช็อค
“อย่าบอกนะว่า……นี่พวกเธอตั้งใจสร้างสถานการณ์ให้หนักยิ่งขึ้นไปอีกอย่างนั้นรึ!?”
พวกเธอตั้งใจที่จะตอบโต้กับเทคนิคอันทรงพลังของผมด้วยจำนวน มันเป็นสุดยอดเทคนิคที่จะทำให้จอมมารลำดับที่ 71 ดันทาเลี่ยนต้องติดอยู่บนเตียงในปราสาทจอมมารไปตลอดกาล
แฟรี่ทั้งหลายต่างเห็นสีหน้าผมแล้วหัวเราะ ผมแน่ใจว่ามันไม่ใช่จินตนาการของผมแน่ๆที่พวกเธอขำเหมือนพูดออกมาอย่างนั้น
(TTL : ไม่ครับพรี่ดัน พรี่หลอนน้องๆแฟรี่ครับ)
‘เป็นเช่นนั้นเองรึ พวกเราคือ ฝันร้ายที่จะมาโค่นล้มเจ้า จงสิ้นหวังและจงสำนึกเสียใจเถิด โอ้ เจ้าตัวตนอันแสนโง่เขลา’
ผมเข้าใจแล้วว่า ยางมันชุนแห่ง โกคุรยอนนั้นรู้สึกอย่างไรเมื่อต้องอยู่บนป้อมอันชิ และเฝ้าดูกองกำลังราชวงศ์ถังจำนวนมหาศาลกรูเข้ามาไม่หยุด
“คึ เจ้าพวกจีนสาระยำต่ำต้อย! เรามาสู้กันระหว่างความสามารถ ไม่ใช่จำนวนสิ!”
⎯ คิวฮะฮะ? คิวรุรุ
“ว่ายังไงนะ? กลยุทธคลื่นมนุษย์ก็เป็นกลยุทธที่น่านับถืออย่างนั้นรึ?”
ผมคำรามออกมา ผมไม่เลยว่า ใครเป็นของเจ้ามอนสเตอร์พวกนี้ แต่พวกเธอช่างใช้วิธีชั่วช้าและเกินมือจริงๆ ผมไม่อยากนึกถึงเลยว่า มาสเตอร์ที่ชุบเลี้ยงดูแลพวกมอนสเตอร์พวกนี้จะวิปลาสและเปี่ยมไปด้วยความมุ่งร้ายขนาดไหน
ผมทุ่มเททั้งพละกำลังและความอดทนเพื่อที่จะจั้กจี้พวกเธอต่อ มันเป็นความพยายามอย่างมาก แต่ถึงอย่างนั้นมันก็กลับไร้ผล พอมีแฟรี่ตัวหนึ่งยอมแพ้แล้วหนีไป ก็มีอีกตัวนึงเข้ามาแทนที่ เป็นอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา ซ้ำแล้วซ้ำอีก
“ฟะ-แฟรี่พวกนี้ยังไม่ยอมแพ้อีก……!?”
นี่มันอะไรกันนี่?
นี่มันไม่สมเหตุสมผลเกินไปแล้ว
มันเหมือนมีกรรมการที่อนุญาตให้ทีมฝ่ายตรงข้ามนั้นเปลี่ยนผู้เล่นกลางคันได้ ไม่ใช่แค่สามครั้งแต่เป็นกี่ครั้งก็ได้ ในขณะที่อีกทีมกำลังเหนื่อยหอบจากความล้า นี่มันไม่มีแม้แต่น้ำใจนักกีฬาเลยด้วยซ้ำ
หากเกิดการแข่งขันแบบนี้ขึ้นในเวิร์ลคัพ ผมแน่ใจว่า ผู้ชมจะต้องเกรี้ยวกราดและถล่มฟีฟ่าให้จมดินแน่ ผมคงเป็นเหมือนคนๆเดียวที่ยืนอยู่แนวหน้าในขณะที่ป้ายโฆษณา
สิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นในการแข่งกีฬาแต่กลับเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าทำให้เห็นได้ชัดเลยว่า ชีวิตนั้นมันไม่ยุติธรรมเพียงใด
“จะเล่นแบบนั้นใช่ไหมสาวๆ จะเอาอย่างนั้นก็ได้”
ผมหยุดจั้กจี้พวกเธอทันที
‘คย่าาา?’
แฟรี่ทั้งหลายต่างส่งเสียงร้องและมองมาที่ผม
ผมหยุดจั้กจี้พวกเธอ
‘คย่าา?’
เหล่าแฟรี่ทั้งหลายต่างร้องออกมาพลางมองผมด้วยเครื่องหมายคำถามในดวงตา ความน่ารักน่าเอ็นดูของพวกเธอถึงกับทำให้ตายได้เลยทีเดียว ผมจะไม่ปล่อยให้ตัวเองไหลตามอารมณ์นั้น เพราะผมรู้ซึ้งถึงความขี้ขลาดและความชั่วร้ายอันแสนน่ากลัวที่ซ่อนไว้อยู่ด้านหลังใบหน้าน่ารักนั่น
ผมเชิดหน้าขึ้นและพ่นลมจากจมูก
“หึ ข้าไม่อยากใช้อบิลิตี้นี้เลย แต่จำไว้เถอะว่า เจ้าเป็นพวกเดียวที่บีบให้ข้านั้นต้องมาลงมือถึงขนาดนี้”
⎯ เคียฮา?
“ปีกอันตกไปในทางเสื่อมทะยานข้ามนภากาศโดยสูญเสียดวงดาราแห่งมัน
……. โชคชะตาจักถูกกักขังอยู่ในช่องว่างระหว่างกาลเวลาและล่องลอยไปชั่วกาลนาน
เฮราคลิทุส** และ อะแนกซิแมนเดอร์*** ,ความไม่ลงรอยกันและความไม่สิ้นสุดที่ฉายรอยยิ้มในช่วงเย็น ข้าขออัญเชิญตำนานมาอยู่ ณ ที่แห่งนี้ในนามแห่งปฏิทรรศน์”
(TL note: ในส่วนนี้ทั้งหมดจะพูดแบบจูนิเบียว ดังนั้นยากที่จะเข้าใจแน่ว่าจริงๆเขาพูดเกี่ยวกับอะไรอยู่)
ผมยกมือตัวเองขึ้นราวกับเป็นวาทยากรแห่งวงออเคสตร้า
ในขณะนั้นเอง ที่ผมกลายเป็นจอมมารโดยสมบูรณ์
(TTL : จอมมารที่แท้ทรูแน่นะวิ ไม่เบียวแน่นะวิ)
การปรากฏขึ้นของความกลัว ผู้ที่ปรากฏตัวในเรื่องราวแฟนตาซี และได้หว่านความพรั่นพรึงสู่ปาร์ตี้ของตัวละครหลัก ในขณะที่กำลังพูดบ่นด้วยภาษาที่ไม่รู็จัก จอมมารที่น่าสงสารนั้นมีค่าสแตทรวมกันไม่เกินร้อยไม่มีแล้ว ณ ที่นี่ มีเพียงแต่ความสมบูรณ์แบบ ความมืด และชายผู้น่าหวาดกลัวปรากฏอยู่
สิ่งชวนขนพองสยองเกล้านั้นคือ ความจริงที่ว่า ผมไม่ได้กัดลิ้นตัวเองเลยสักครั้ง นั่นหมายถึงว่า แม้จะมีนักปราชญ์แห่งกรีกโบราณมารวมเป็นกองกำลังพันธมิตรเพื่อต่อต้านผม พวกเขาก็จะต้องแตกพ่ายด้วยคารมคมยากและยอมฆ่าตัวตายไปเองด้วยการกระโดดลงมหาสมุทรเมดิเตอเรเนี่ยนเนื่องเพราะความอัปยศอดสู ที่นี่นั้นเต็มไปด้วยการไหลเวียนของความลุ่มหลงในตนเองอย่างสมบูรณ์ที่สุด
“จงเบิกตาให้กว้าง นี่คือปาฏิหารย์ที่เปลี่ยนจากหนึ่งเป็นสอง และสองเป็นสิบ
<งานเลี้ยงรัตติกาลแห่งทศสุวรรณคุลี>!”
(The Night Dance of Ten Golden Fingers)
ถูกต้องแล้วล่ะ มันไม่มีเหตุจำเป็นเลยที่ผมจะใช้เพียง ‘หนึ่ง’นิ้วมือเพียงแค่จั้กจี้พวกเธอ ถ้ามีแฟรี่10ตนโผล่มา⎯⎯ผมก็แค่เผชิญหน้าพวกเธอด้วยนิ้วมือ 10 นิ้ว!
นี่แหละพลังแห่ง<งานเลี้ยงรัตติกาลแห่งทศสุวรรณคุลี>
⎯ เคียวรุรก!? เคี๊ยฮ่า,เคียรุรุรุ!
ผลที่ได้ช่างน่าประทับใจยิ่ง แฟรี่ทั้งสอบตามต้องถูกสยบลงในทันทีโดยไม่อาจต่อต้านกับการจั้กจี้ของผม อย่างที่ผมคิด แค่ใช้นิ้วก้อยในการจั้กจี้แฟรี่ทั้งหลายนั้นเป็นงานที่ยาก แต่ผมพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อที่จะจั้กจี้ให้ปราณีตที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เหล่าแฟรี่ต่างหัวเราะกันไม่หยุด มันเป็นการเปิดขายเสียงหัวเราะดีๆนี่เอง
“คุฮ่าฮ่า! เจ้าพวกจีนสกปรกเอ๊ย แกอาจจะมาโจมตีข้าด้วยความเชื่อมั่นในจำนวนแต่มันเป็นความผิดของพวกแกนั่นแหละที่ไม่ตระหนักรู้ว่า แม่นี้แห่งนี้นั้นตื้นเขินกว่าเมื่อวันวาน⎯!”
“อาฮะ”
ผมได้ยินเสียงน่าเกรงขามอยู่ข้างๆ
“ดังนั้น นายเลยแบ่งกองแล้วพิชิตศัตรูจำนวนมากในเวลาเดียวกัน”
“ถูกต้องแล้ว นี่คือ ไม้ตายของข้า ท่าไม้ตายลับที่ตัวข้า, ดันทาเลี่ยน ได้เก็บซ่อนมันมาตลอดเวลา!”
“นายมีสัญชาตญาณหยั่งรู้เรื่องกลยุทธทางการทหารดีเหมือนกันนี่ อย่างนี้นี่เอง น่าประทับใจมาก ฉันอยู่กับนายมาเดือนกว่าแล้ว แต่ฉันยังคงได้ค้นพบอะไรใหม่ๆจากนายเสมอ นายเป็นเหมือนหัวหอมที่มีจำนวนชั้นนับไม่ถ้วนจริงๆ”
“ใช่แล้วล่ะ ถึงจะชมข้าไป ข้าก็ไม่……?”
ผมหยุดเล่นกับเหล่าแฟรี่ด้วยนิ้วมือทันที
พอผมหันหลังกลับไป ก็เห็น ลอร่า เดอ ฟาร์เนเซ่กำลังนั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของเตียง เธอกำลังมองมาทางนี้้ด้วยชุดเสื้อผ้าไร้สีและดวงตาที่เย็นชืด
“…….”
เม็ดเหงื่อเย็นๆไหลลงมาที่หลังผม
“ฉันน่ะได้จัดการปาร์ตี้นักผจญภัยมามากมายก่อนที่จะอยู่ที่นี่ ฉันออกจะเชื่อมั่นในตัวเองเพราะคิดว่าตัวเองน่ะเก่งที่สุดในการวางแผนรบ แต่ดูเหมือนฉันยังจะอ่อนด้อยมากเมื่อเทียบกับนาย น่าอายอะไรอย่างนี้ ฉันจะพยายามให้ดีขึ้นไปอีก”
“นี่ถามหน่อยได้ไหม……นี่เธอเฝ้าดูข้าอยู่ตรงนี้มานานแค่ไหนแล้ว?”
“หืม? ที่บอกว่า ‘นานแค่ไหน’ นี่หมายความว่ายังไงน่ะ?”
ผมกลืนน้ำลาย
“ขะ-ข้าหมายถึง นานแค่ไหนแล้วที่เจ้าเริ่มดูข้าเล่นกับเหล่าแฟรี่?”
“ก็ไม่นานนะ”
ลอร่าปัดผมบลอนด์ของเธอไปหลังหัวไหล่ก่อนจะพูด
“ถ้าให้ชัดๆก็ เริ่มดูตั้งแต่ตอนที่นายตะโกนกว่า <จู่โจมด้วยสอง-มือ> นั่นแหละ”
“มันก็ตั้งแต่แรกเลยไม่ใช่เร้อะ!”
ผมกุมหัวตัวเองและตะโกนออกมา นี่ถ้าไม่ใช่เพราะผมนอนอยู่ไม่มีทางที่ผมจะไม่รู้แน่ว่า ลอร่านั่งอยู่ข้างผม แม้ห้องจอมมารจะยุ่งเหยิง แต่เตียงเป็นสิ่งเดียวที่หรูหราฟูฟ่าแถมมันยังสูงด้วย ใครมันมาสร้างให้ไอ้สิ่งนี้มันเปิดกว้างเข้าหาง่ายได้ขนาดนี้กันวะ
จอมมารเลือกเย็นภายนอกและชายที่มีหัวใจอบอุ่นภายใน คือ ภาพลักษณ์ของผม หรืออย่างน้อยๆ ผมก็อยากรักษาภาพลักษณ์นั้นกับลอร่า ลอร่าเป็นบุคคลเดียวที่วันหนึ่งเธอจะโตไปกลายเป็นสุดยอดนักกลยุทธระดับโลก
ผมอยากจะสร้างความประทับใจดีๆกับเธอไว้ ด้วยเหตุนั้นเธอจะต้องไม่ทรยศผม
แต่การถูกจับได้ว่า ผมเป็นเจ้าโง่ที่มานั่งเล่นกับมอนสเตอร์ตัวเองนี่มันเลวร้ายที่สุด แม้แต่ลาพิสยังไม่เคยเห็นผมอยู่ในสถานะต่ำต้อยขนาดนี้เลย
‘ไม่ เย็นไว้ไอ้ชาย’
สมองผมทำงานอย่างรวดเร็ว ถ้าผมฟังจากน้ำเสียงลอร่าแล้ว……เธอไม่ได้รู้หรอกว่า ผมแค่เล่นเป็นเด็กๆด้วยการโรลเพลย์ ยิ่งไปกว่านั้น มันยังมีโอกาสอยู่ที่ภาพลักษณ์ของผมจะไม่ถูกทำร้าย สิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดคือการทำอย่างไร้ยางอายที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้ดูเหมือนไม่ได้ทำมันเล่นๆไปอย่างนั้น มันเป็นการสร้างภาพให้ดูยิ่งใหญ่ผ่านการกระทำของผม
“แต่ดันทาเลี่ยน ฉันมีคำถามสองสามคำถาม”
“อะ-อะไรรึ?”
ผมตอบกลับไปอย่างไม่ใส่ใจ แม้เสียงจะสั่นเล็กๆแต่มันอยู่ในระดับที่พอรับได้
“อะไรคือ ความหมายของ ‘ปีกอันตกไปในทางเสื่อมทะยานข้ามนภากาศโดยสูญเสียดวงดาราแห่งมัน โชคชะตาจักถูกกักขังอยู่ในช่องว่างระหว่างกาลเวลาและล่องลอยไปชั่วกาลนาน’ ฉันไม่เข้าใจตรงนี้เลย”
“อ๊ากกกก!!”
ผมกรีดร้องออกมา
คะ-แค่ได้ยินมันออกมาชัดๆ ก็ทำให้ผมเจ็บกว่าคิดไว้เสียอีก!
ผมอยากจะมุดเข้าไปในรู แต่ก็คงดึงตัวออกมาไม่ทันเวลาเพราะลอร่าก็ถามคำถามต่อมาทันที
“แล้วยังมี ‘เฮราคลิทุส และ อะแนกซิแมนเดอร์ ,ความไม่ลงรอยกันและความไม่สิ้นสุด’ ”
“อ๊าก! อ๊ากกกก! หยุด,หยุดเถอะ!”
“นายบอกว่า ‘ขออัญเชิญตำนานมาอยู่ ณ ที่แห่งนี้ในนามแห่งปฏิทรรศน์’ แต่ตำนานที่ว่าเนี่ยมันเกี่ยวยังไงกับการขยับนิ้วทั้งสิบ? มันฟังดูเหมือนมีความหมายลับๆซ่อนอยู่ที่ฉันเข้าไม่ถึง
“อดีตอันดำมืดของข้า! อดีตอันดำมืดของข้ากำลังกลับมาหาข้าแล้ว!”
ย้อนกลับไปสมัยประถม ผมเคยแกล้งตัวเป็นสุดยอดสายลับที่ได้รับพลังพิเศษ ผมจึงมักพูดเท่ๆกับตัวเองเสมอว่า ‘มีไอ้ระยำแปลกหน้าบางคนกำลังพยายามจะบุกโซลอีกแล้ว’
มีเด็กสาวคนนึงที่ผมเคยแอบตามไปที่โรงเรียน และถามผมว่า ผมกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่ ผมก็ส่ายหัวไปราวกับว่าคนธรรมดาน่ะไม่มีทางเข้าใจหรอก แล้วค่อยบอกกับเธอว่า
‘ถ้าเธอรู้เข้าเธอจะต้องเจ็บปวดนะ ผมไม่อยากลากเธอเข้ามาอยู่ในโลกที่โหดร้าย’
ผมไม่เคยลืมสีหน้าของเธอในตอนนั้นเลย
ใบหน้าเธอดูเหมือนอยากจะอ้วกออกมาเป็นเลือด
แต่กลับกันลอร่ากลับดูจริงจังอย่างมาก
“ได้โปรดเถอะ ขอที ช่วยสอนฉันถึง ความลับที่ซ่อนอยู่หลังกลยุทธของนายที”
“กลยุทธของข้า……เทคนิคของข้า, หึ…….”
ในหัวผมมันว่างเปล่าไปหมด ผมไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับไปยังไง ทั้งสมอง หัวใจและท้องผมป่วนไปพร้อมๆกันและอยากจะตะโกนออกมา เพื่อให้ทำยังไงก็ได้เพื่อให้พ้นไปจากสถานการณ์แบบนี้
ผมจึงตะโกนในหัว
‘เปิดการใช้งาน สกิล การแสดง!’
ผมสงสัยเหมือนกันว่า เป็นเพราะผมไม่ได้ใช้งานมันจริงจังแบบนี้มาก่อนหรือเปล่า สกิล การแสดงผมถึงได้มีเสียงเอฟเฟ็คที่แฟนซีกว่าที่เคยได้ยินมาในแบบฝึก
「เปิดการใช้งาน การแสดง」
「โชคดีทั้งหลายจะไม่หยุดอยู่แค่มุมโต๊ะ! โอกาสที่ผู้อื่นจะสงสัยในคำพูดของคุณจะลดลง ‘พอสมควร’」
เทียบจากการที่คนอื่นจะสงสัยน้อยลงในระดับ เชื่อผม ‘พอสมควร’ นี้ ดูเหมือนผมจะสำเร็จในการใช้สกิลมากกว่าก่อนหน้า
ทำไมผมมาโชคดีตอนนี้กันล่ะ!? ช่วงที่ผมต้องการที่สุดอย่างตอนราตรีวัลเพอกีสผมกลับไม่สามารถใช้มันได้!
ไม่สิผมไม่มีเวลามานั่งเสียใจกับสิ่งที่ผ่านไปแล้วได้ ผมต้องฟื้นตัวเองจากหายนะที่กำลังจะมาใกล้ก่อน
ผมพ่นคำไร้สาระออกมาจากปากของผมทันที
“กลยุทธคือ สิ่งที่ผสานกันระหว่างยุทธวิธีทั้ง36 และ 108 แผน คำพูดที่ขัดแย้งกันเอง,ปฏิทรรศ์ และความไม่มีที่สิ้นสุดก็นับรวมด้วย…….เจ้าได้ยินถ้อยคำเหล่านั้นในตอนแรกเพราะนั่นเป็นอุบายที่ข้าแอบซ่อนนามของมันไว้…….”
“โอ้”
“หากเจ้าปรารถนาจะลวงหลอกศัตรู,เจ้าต้องลวงหลอกเพื่อนของเจ้าก่อน และหากเจ้าปรารถนาจะลวงหลอกเพื่อนของเจ้า เจ้าต้องลวงหลอกตนก่อน…….
ด้วยการแสดงออกถึงการกระทำอันไร้จุดหมาย สิ่งเหล่านั้นจะก่อร่วมบีบตัวอัดกันกลั่นกลายเป็นยุทธวิธีเพียงหนึ่งเดียว…….ศัตรูจะคลายความระวังลง และกว่าจะตระหนักได้ถึงความหมายเบื้องหลังการกระทำของเจ้าในช่วงสุดท้าย มันก็สายเกินไปแล้ว…….”
“ฉันเข้าใจแล้ว”
ลอร่าขยับตัว
“พูดง่ายๆคือ กลวิธีที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของนายนั้นฟังดูไร้ความหมาย แต่พวกมันก็รวมเข้ากันในที่สุดแล้วก็กลายเป็นสิบนิ้ว”
“ถ-ถูกต้อง ในเมื่อเจ้ารู้เรื่องนั้นแล้ว เจ้าก็ควรจะประทับใจในตนเองด้วยล่ะ ลอร่า…….”
“ไม่จริงหรอก ความจริงแล้วฉันยังคงไม่เข้าใจเลยว่า ถนนที่ย้อนแย้งกับและปฏิทรรศน์ที่ยิ้มในยามเย็นนั่นมันนำไปสู่การจั้กจี้ได้ยังไง ช่างน่าอายเหลือเกินที่ได้รู้ว่า คำพูดอันลึกซึ้งของนายเป็นสิ่งที่ความคิดฉันยังไปไม่ถึง ฉันจะพยายามพัฒนาให้ดีกว่านี้”
“ฮาฮา พยายามเป็นสิ่งดี ฮาฮ่า ฮา…….”
หลังจากผมฝืนหัวเราะฝืดๆออกมาก็ได้ยินเสียงเสียงเอฟเฟ็ค
「ค่าความชอบของ ลอร่า เดอ ฟาร์เนเซ่ เพิ่มขึ้น 2!」
「ค่าความชอบลอร่า เดอะ ฟาร์เนเซ่ถึง 50 ค่าความชอบจะไม่เพิ่มขึ้นมากไปกว่านี้จนกว่าจะมีอีเว้นท์เกิดขึ้น」
แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ทำได้แล้ว
แม้จะไม่รู้ว่า ผมทำได้อย่างไรแต่ผมรู้ว่า ผมได้ทำให้มันจบจนได้ แค่นั้นก็พอแล้ว ผมไม่ต้องการอะไรอีกแล้วล่ะ
หลังจากที่ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอกโล่งใจ ลิร่าก็ขยับหัวแล้วมาถามผม
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เหมือนการศึกษาที่ฉันได้มามันจะยังไม่พอ ฉันยังไม่สามารถคิดได้ด้วยตัวเองเลย ก็ออกจะน่าละอายอยู่ แต่มันเป็นความจริง ดังนั้น ฉันจึงสงสัยว่า จะเป็นอะไรไหมหากตัวฉันจะขอไปถามความเห็นลาพิสตอนที่เธอมาหาคราวหน้าถึง ความหมายที่แท้จริงเบื้องหลังคำพูดของนาย?”
“นั่นคือ สิ่งเดียวที่เธอต้องไม่ทำอย่างเด็ดขาด!”
เสียงของผมดังก้องทั่วทั้งถ้ำในดันเจี้ยน
—-
*การเข็นหินของซิซิฟัส (Sisyphus) : จากเทพนิยายกรีก เป็นชื่อของราชาแห่งเมืองคอรินธ์ ที่โกงความตายสองครั้ง ครั้งแรกเอาเทพทานาทอสไปขังทำให้ไม่มีคนตายบนโลก ครั้งที่สองจงใจให้ภรรยาจัดงานศพโดยไม่เอาเหรียญเป็นค่าข้ามแม่น้ำแห่งความตายสตีกซ์ให้ ทำให้ฮาเดสส่งกลับไปเพื่อให้บอกให้ภรรยาเอาเหรียญมาเป็นค่าแจวเรือของชารอนคนแจวเรือ สุดท้ายตายเพราะเส้นด้ายชีวิตขาด เมื่อไปถึงนรก ฮาเดสได้สั่งให้ลงโทษด้วยการเข็นหินก้อนใหญ่ขึ้นเขา พอใกล้ถึงยอดหินจะไหลลงมาทับตายแล้วก็ฟื้นขึ้นมาใหม่เพื่อเข็นหินนั่นขึ้นเขาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
**เฮราคลิตุส : (560ปี ก่อนคริสตกาล) นักปรัชญาชาวเอเฟซัส นักปรัชญายุคก่อน โซคราตีส เป็นที่รู้จักกันในปรัชญาความเปลี่ยนแปลงของจักรวาลและกฏจักรวาลที่เป็นพื้นฐานของทุกสิ่งทุกอย่าง
***อะแนกซิแมนเดอร์ : (546ปี ก่อนคริสตกาล) ลูกศิษย์ของเธลีส แต่เห็นแย้งเธลีส ว่า ปฐมธาตุไม่ใช่ธาตุน้ำ หากแต่เป็น อนันตภาวะ สสารทุกอย่างมาจากอนันตภาวะและกลับคืนสู่อนันตภาวะ