Elixir Supplier - ตอนที่ 513
513 พระสงฆ์ในวัดบนภูเขา
รูปแบบของตัวอาคารนั้นหาได้ยากในทางตอนเหนือของประเทศจีน แล้วยังมาตั้งอยู่ในหมู่บ้านห่างไกลแบบนี้อีก ทั้งยังดูงดงามราวกับเทพนิยายอีกด้วย
“มันต้องเป็นงานออกแบบของระดับอาจารย์แน่นอน” ซงรุ่ยปิงพูด
“ไปกันเถอะ เราเข้าไปดูข้างในกันดีกว่าค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
ถึงด้านในจะมีสีเขียวให้เห็นอยู่บ้าง ความหนาวเย็นก็ยังคงอยู่ แต่ก็สามารถมองเห็นความงดงามของตัวอาคารได้ชัดเจน
“รูปแบบของอาคารดูพิเศษมากจริงๆ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“สวัสดีครับ คุณซง สวัสดีครับ คุณหนูซู” หวังเย้าทักทายทั้งสองด้วยรอยยิ้ม
“สวัสดีค่ะ หมอหวัง” ซงรุ่ยปิงทักตอบ
“สวัสดีค่ะ เซียนเชิง” ซูเสี่ยวซวีทัก
“เชิญเข้ามานั่งข้างในกันก่อนสิครับ ข้างนอกมันหนาว” หวังเย้าพูด
เครื่องปรับอากาศถูกเปิดเพื่อสร้างความอบอุ่นภายในห้อง เฟอร์นิเจอมีให้เห็นอยู่แค่ไม่กี่ชิ้น ซึ่งต่างไปจากความงดงามของตัวอาคารและสวนที่อยู่ด้านนอกอย่างสิ้นเชิง
“เชิญดื่มชาครับ” หวังเย้าพูด ชาในถ้วยส่งกลิ่นหอมเข้มออกมา
“ครั้งนี้ อยู่ๆฉันก็มาที่นี่โดยที่ไม่ได้บอกคุณเอาไว้ก่อน” ซงรุ่ยปิงพูด “ยกโทษให้ดิฉันด้วยนะคะ หมอหวัง”
“ไม่เป็นไรเลยครับ” หวังเย้าพูด “ไปปักกิ่งครั้งก่อน ผมเคยรับปากเอาไว้ว่าจะรีบไปหาพวกคุณให้เร็วที่สุด แต่ผมก็ยังติดปัญหาของทางนี้เสร็จสักที”
หวังเย้ามองดูซูเสี่ยวซวีด้วยรอยยิ้ม “คุณหนูซู คุณดูแข็งแรงขึ้นมากเลยนะครับ”
จากนั้น เขาก็เริ่มใช้ขั้นตอนการวินิจฉัยตรวจดูเธอด้วยสายตา ใบหน้าของเธอมีสีแดงอย่างคนสุขภาพดี และดวงตาก็กระจ่างใสมีชีวิตชีวา รวมถึงการหายใจที่คงที่และเต็มไปด้วยพลัง
เขาได้กลิ่นหอมอ่อนๆจากตัวเธอ มันเป็นกลิ่นหอมที่คล้ายกับกลิ่นของดอกกล้วยไม้ มันสามารถบอกได้ว่า ร่างกายของเธอในตอนนี้ไม่มีปัญหาอะไร นอกจากการเดินเท่านั้น
“เซียนเชิง คุณเรียกฉันว่า เสี่ยวซวี ก็ได้นะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูดด้วยรอยยิ้ม เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงได้มีความสุขทุกครั้งที่ได้เจอกับผู้ชายที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของเธอคนนี้
“หมอหวังคะ คุณช่วยตรวจดูเธอหน่อยจะได้ไหมคะ?” ซงรุ่ยปิงถาม
หวังเย้าตรวจดูร่างกายของเธออย่างละเอียด ซึ่งเป็นการตรวจที่เขาเคยทำมาก่อน
“การฟื้นตัวของคุณดีมากเลยนะครับ” หวังเย้าพูด “ตอนนี้ ปัญหาเดียวที่เธอก็คือการเคลื่อนไหวและการประสานงานของส่วนต่างๆในร่างกาย นอกนั้น เธอถือว่าดีหมดครับ”
ซูเสี่ยวซวีนั้นมีสุขภาพที่แข็งแรงมาก ยกเว้นแค่เธอไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เหมือนคนปกติทั่น้น แล้วเธอยังแข็งแรงกว่าคนปกติด้วยซ้ำ การฟื้นตัวของเธอไม่ต่างจากผีเสื้อที่โผล่พ้นออกมาจากรังไหม หรือต้นไม้ตายที่ถูกชุบชีวิตขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เห็นได้ว่า เธอกำลังได้รับการชดเชยจากสวรรค์หลังจากที่เธอต้องทนทุกข์ทรมานมาเป็นเวลานาน
“จริงเหรอคะ?” ซงรุ่ยปิงได้ยินคำวินิจฉัยแบบนี้มาจากหมอเฉินแล้วที่ปักกิ่ง แล้วตอนนี้ เธอได้ยินมันจากหวังเย้าอีกครั้ง ซึ่งเขาคือคนที่เธอให้ความเชื่อถือมากกว่า เธอจึงรู้สึกยินดีอย่างมาก และสามารถปล่อยวางความกังวลทั้งหมดลงได้แล้ว
“ขอบคุณนะคะ หมอหวัง” ซงรุ่ยปิงพูด
“ชมเกินไปแล้วครับ เป็นเพราะพระเจ้าอวยพรเสี่ยวซวีต่างหากล่ะครับ” หวังเย้าตอบ
มันคงจะเป็นเพราะพระเจ้าไม่ต้องการเห็นเด็กสาวที่น่ารักงดงามและเข้มแข็งแบบเธอ ต้องทนทุกข์ทรมานอีกต่อไป ดังนั้น พระองค์จึงได้ส่งหวังเย้ามาเพื่อรักษาเธอ
อีกไม่นานเธอก็จะหายดี ภายในร่างกายของเธอยังมีพลังฉีไหลเวียนอยู่อีกด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงอย่างมาก เพราะในอนาคต สิ่งนี้จะส่งผลดีต่อร่างกายของเธออย่างมาก
“ถ้าอย่างนั้น ต้องขอโทษที่มารบกวนคุณหมอนะคะ” ซงรุ่ยปิงพูด
“ไม่รบกวนเลยครับ” หวังเย้าพูด การตรวจซูเสี่ยวซวีไม่ได้ใช้เวลามากมายอะไรเลย
“หมอหวังคะ ในเมื่อเราเดินทางมาถึงที่นี่แล้ว เราก็อยากจะไปเที่ยวห่ายชิวสักหน่อย คุณพอจะมีที่ไหนแนะนำบ้างไหมคะ?” ซงรุ่ยปิงถาม
“เที่ยวในห่ายชิวเหรอครับ?” หวังเย้ารู้สึกงุนงงเล็กน้อย
จุดเด่นของห่ายชิวก็คือการที่ตั้งอยู่ติดกับทะเล ในช่วงหน้าหนาว ลมทะเลจะพัดค่อนข้างแรง ในเหลียนชานมีภูเขาอยู่สองลูก แต่ด้านบนก็มีลมเย็นพัดแรง และไม่มีอะไรให้ดู หวังเย้าจึงคิดไม่ออกเลยว่า มีสถานที่ไหนที่พอจะแนะนำให้สองแม่ลูกคู่นี้ไปเที่ยวได้บ้าง
“คุณซงครับ ในฤดูกาลนี้ แมบจะไม่มีที่ให้เที่ยวในห่ายชิวเลยครับ” หวังเย้าพูด เขาไม่อยากทำให้พวกเขาต้องผิดหวัง แต่เขาก็คิดหาสถานที่ที่พวกเขาสามาถไปเที่ยวไม่ได้จริงๆ
ซงรุ่ยปิงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ส่วนซูเสี่ยวซวีก็รู้สึกผิดหวังเมื่อได้ยินคำพูดของหวังเย้า
ไม่มีใครคิดว่าหวังเย้าจะตอบกลับมาแบบนี้ ความจริงแล้ว ซงรุ่ยปิงแค่ต้องการให้หวังเย้าแสดงความเป็นเจ้าบ้าน และพาพวกเธอไปเที่ยวรอบๆก็เท่านั้น
“อ่อ ไม่เป็นไรค่ะ” เธอพูด
เธอเข้าใจว่า มันอาจจะไม่ใช่เพราะหวังเย้าไม่อยากจะพาพวกเธอไปเที่ยว แต่เป็นเพราะเมืองในหุบเขาแห่งนี้ค่อนข้างเล็ก แล้วในฤดูหนาวแบบนี้ พวกเธอจะสามารถไปเที่ยวที่ไหนกันได้?
“พวกคุณไม่ได้รีบกลับกันใช่ไหมครับ?” หวังเย้าถาม
“ไม่ค่ะ” ซงรุ่ยปิงพูด
หวังเย้าคิดอย่างละเอียด เขารู้ว่ามีภูเขาอยู่แค่สองลูกเท่านั้นที่พอจะไปเที่ยวได้ และยังมีวัดตั้งอยู่บนภูเขาลูกหนึ่งอีกด้วย “เอ่อ มันมีภูเขาอยู่สองลูกที่ค่อนข้างพิเศษอยู่ ผมสามารถพาพวกคุณไปได้นะครับ ถ้าพวกคุณสนใจ”
“ดีค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูดด้วยรอยยิ้ม
“ถ้าอย่างนั้นคงต้องรบกวนพวกคุณแล้วล่ะครับ” หวังเย้าพูด
“ไม่เลยค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
หวังเย้าขับรถอยู่ด้านหน้าเพื่อนำทางพวกเขาไป โดยที่มีรถอีกสองคันตามมาด้านหลัง
“เอ๋?” ซุนหยุนเชิงเดินออกมาจากตัวบ้าน และทันได้เห็นรถป้ายทะเบียนปักกิ่งทั้งสองคันเข้าพอดี “แขกจากปักกิ่งเหรอ?”
เขาถือเป็นคนฉลาดคนหนึ่ง แค่มองครั้งเดียว เขาก็สามารถความแตกต่างของป้ายทะเบียนรถทั้งสองคันได้ในทันที ถึงแม้ว่ามันจะดูเป็นเรื่องธรรมดาก็ตามที
“พวกเขาเป็นแขกพิเศษเหรอ?”
ภูเขาจิ่วเหลียนไม่ได้สูงมากนัก มันดูเงียบสงบและงดงามในช่วงฤดูร้อนและฤดูใบไม้ผลิ หรือแม้แต่ฤดูใบไม้ร่วง แต่ตอนนี้คือฤดูหนาว ที่นี่จึงมีคนอยู่ไม่มากนัก และอากาศที่ด้านบนก็หนาวมากด้วย
“เสี่ยวซวี ลูกหนาวไหมจ๊ะ?” ซงรุ่ยปิงถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่หนาวค่ะ” ความจริงแล้ว ใบหน้าของเธอแดงก่ำเพราะอากาศที่เย็นจัด แต่เธอกลับมีความสุขอย่างมาก
“เด็กโง่นี่!” ซงรุ่ยปิงรู้สึกเป็นห่วงสภาพร่างกายของลูกสาว
เธอยังคงไม่สามารถเดินได้อย่างอิสระ ดังนั้น เธอจึงต้องนั่งอยู่บนรถเข็นโดยมีเฉินหยิงเป็นคนเข็นให้
ถนนบนเขาถูกสร้างเอาไว้ค่อนข้างดี ด้านบนนั้น การเดินไปบนทางเดินที่ราดด้วยซีเมนต์ไม่ค่อยได้รับความสนใจมากนัก บางจุดก็ยังไม่เหมาะสำหรับผู้ที่นั่งรถเข็นอีกด้วย แต่ซูเสี่ยวซวีก็ยังคงมีความสุขกับการเที่ยวในครั้งนี้ ไม่ต่างไปจากนกน้อยที่หลุดออกมาจากกรงทอง เธอมองดูรอบๆและคอยถามคำถามหวังเย้าเป็นครั้งคราว ท่าทีสดใสร่าเริงของเธอยังส่งผลต่อคนรอบข้างอีกด้วย
“บนเขามีวัดอยู่ด้วยเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีมองดูวัดที่ตั้งอยู่บนเขาด้วยความสงสัย
“มันชื่อว่า วัดกวงหมิง” หวังเย้าตอบ มันเป็นวัดที่มีชื่อที่ดูธรรมดาอย่างมาก
“มันเป็นวัดในสมัยโบราณเหรอคะ?” เธอถาม
“เคยเป็นน่ะ แต่ตอนนี้มันพังไปแล้ว” หวังเย้าพูด
พูดกันว่า วัดแห่งนั้นถูกสร้างขึ้นในช่วงของจักรพรรดิเฉียนหลงแห่งราชวงศ์ชิง หรืออาจจะก่อนหน้านั้นก็ได้ หลังจากประเทศถูกก่อตั้งขึ้นมา วัดแห่งนี้ก็ได้รับความเสียหาย ซึ่งอาจเกิดจากการก่อสร้างที่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างของตัววัด
“จริงเหรอคะ? น่าเสียดายจังเลย” ซูเสี่ยวซวีพูด
“จะลองไปดูหน่อยไหม?” หวังเย้าถาม
พวกเขาเดินขึ้นไปตามขั้นบันได แต่มันเป็นปัญหาสำหรับซูเสี่ยวซวีเล็กน้อย เฉินหยิงจึงต้องเป็นคนอุ้มเธอขึ้นไป
“นั่งดีดีนะครับ” หวังเย้ายกรถเข็นของเธอขึ้นมาด้วยมือเดียวอย่างง่ายดาย และแบกเอาไว้บนหลังของเขา
“คุณแข็งแรงจัง!” ซูเสี่ยวซวีอุทานออกมา
เฉินหยิงไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับเรื่องนี้มากนัก เพราะเธอเคยเห็นพละกำลังที่เหลือล้นของเขาที่กำแพงเมืองจีนมาแล้ว
ตัววัดยังคงดูใหม่อยู่ สามารถเดาได้ว่า วัดแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาเมื่อไม่นานมานี้เอง มันไม่มีกลิ่นอายของประวัติศาสตร์อยู่เลย และทำให้คนที่ขึ้นมาดูหมดความสนใจ วัดแห่งนี้ยังมีพระสงฆ์อาศัยอยู่ด้วย
“โยมจะขึ้นไปไหว้พระบนเขาเหรอ?” พระสงฆ์วัยกลางคนรูปหนึ่งเดินเข้ามาหาพวกเขา หลังจากที่เห็นว่าพวกเขากำลังเดินไปที่วัด เขาก็ยิ้มออกมา มันเป็นเรื่องแปลกที่มีคนมาเยี่ยมเยือนวัดในช่วงเวลานี้ของปี
“สวัสดีครับ” หวังเย้ายิ้มและมองดูพระสงฆ์ที่ยืนอยู่ตรงหน้าของพวกเขา
“เนื้อหมาอร่อยไหมครับ?” หวังเย้าถาม
“อะไรนะ?” ทั้งพระสงฆ์ ซงรุ่ยปิง ซูเสี่ยวซวี และเฉินหยิงต่างก็พากันตกใจ
จากนั้น เฉินหยิงก็ยิ้มออกมา เธอดูเหมือนจะคุ้นเคยกับภาพเหตุการณ์แบบนี้
“อาตมาไม่เข้าใจว่าโยมหมายถึงอะไร” พระสงฆ์พูด “อาตมาละแล้วซึ่งกิเลสของทางโลก”
“โอ้ เยี่ยมไปเลยครับ!” หวังเย้ายิ้ม “เราคงไม่จุดธูป เราแค่อยากจะมาดูรอบๆและไหว้พระเท่านั้น”
“ดี เชิญ” พระสงฆ์พูด
เขามองดูซูเสี่ยวซวีและเฉินหยิงด้วยสายตาที่ต่างไป สายตาของเขาจับจ้องไปที่พวกเธอเป็นพิเศษ พระสงฆ์ที่อาศัยอยู่บนเขานั้นยากที่จะได้พบเห็นหญิงสาว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสาวๆสวยๆเลย
“เป็นผู้หญิงที่สวยจริงๆ” เขาเผลอพูดออกมาโดยไม่รู้ตัว “หนึ่งเต็มไปด้วยชีวิตชีวาและกล้าหาญ อีกหนึ่งนั้นงดงามราวกับนางฟ้านางสวรรค์”
“ฉันสวยใช่ไหมคะ?” น้ำเสียงสดใสราวกับนกขมิ้นพูดขึ้นมา
“หา?” พระสงฆ์ตกใจ
ซูเสี่ยวซวีหัวเราะคิกคัก
“ดูทำเข้าสิ!” ซงรุ่ยปิงหัวเราะและถลึงตาใส่ซูเสี่ยวซวี
“ทุกท่านเชิญตามสบาย” พระสงฆ์พูดด้วยความโมโห
“เซียนเชิง เขากินเนื้อหมาจริงเหรอคะ?” หลังจากที่พระสงฆ์ปลีกตัวออกไป ซูเสี่ยวซวีก็ถามขึ้นมา
“ใช่ เขากินมัน แล้วก็กินเข้าไปเยอะซะด้วย” หวังเย้าพูด
พระสงฆ์รู้สึกโมโหจนตัวสั่น