Elixir Supplier - ตอนที่ 517
517 สายลม
“ผมคงรับไว้ไม่ได้หรอกครับ” หวังเย้ารีบพูดขึ้นมา เขาไม่สามารถรับของขวัญจากเขาได้
“ช่วยรับเอาไว้เถอะครับ มันก็แค่ของเล็กๆน้อยๆเท่านั้น” หลังจากที่พูดจบแล้ว หวูถงชิ่งก็วางกล่องของขวัญเอาไว้และเดินออกไป
“อะไรกัน?” หวังเย้าเปิดของออกดู “นี่มัน?”
มันมีค่ามากเกินไป มันคือตำราแพทย์ที่มีชื่อว่า “แหล่งที่มาของโรค” มันเป็นตำราแพทย์จากยุคของราชวงศ์สุย มันเป็นตำราที่มีชื่อเสียงและแทบจะเรียกได้ว่าเป็นของโบราณหายากด้วยซ้ำ
“ผมรับไว้ไม่ได้หรอก รอเดี๋ยวก่อนครับ” หวังเย้าเคลื่อนตัวไปที่ประตูด้วยความเร็วสูง จากนั้น เขาก็เคลื่อนตัวไปยังรถที่กำลังสตาร์ทเครื่องในพริบตาเดียว
หวังเย้าเคาะกระจกรถและคืนตำราเล่มนั้นไป จากนั้น เขาก็เดินกลับเข้าไปในคลินิก
เขารวดเร็วมาก ซงรุ่ยปิงและซูเสี่ยวซวีต่างก็พากันตกตะลึง ความเร็วของเขานั้นราวกับปีศาจ เขาแทบจะหายตัวไปในทันทีที่พวกเธอกระพริบตา
“เขาเป็นปรมาจารย์กังฟูเหรอ?” ซงรุ่ยปิงตกตะลึง
“ค่ะ” เฉินหยิงเคยพูดเรื่องนี้กับเธอแล้วครั้งหนึ่ง แต่ในตอนนั้น ดูเหมือนว่าซงรุ่ยปิงจะไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจมากนัก เธอไม่คิดว่า หวังเย้าจะประสบความสำเร็จได้น่าอัศจรรย์ขนาดนี้
“เซียนเชิงสุดยอดไปเลย!” ดวงตาของซูเสี่ยวซวีเป็นประกายราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า
“นี่มัน?” หวูถงชิ่งมองดูของขวัญในมือของเขา คนที่นำมันมาคืนให้เขาได้จากไปแล้ว เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมา มันเป็นช่วงเวลาเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น
“นายมองเห็นเขาไหม?” เขาถามคนขับ
“ครับ เขาเร็วมาก เขาจะต้องเป็นปรมาจารย์กังฟูแน่ๆครับ” คนขับรถพูด
ในการเป็นคนขับรถของคนระดับนี้ ความสามารถด้านการขับรถต้องมี และในเวลาเดียวกัน เขาก็ต้องสามารถทำอย่างอื่นได้ด้วย ยกตัวอย่างเช่น คนที่ทำหน้าที่แบบเขามักจะมีความเชี่ยวชาญในด้านการต่อสู้และทำหน้าที่เป็นบอดีการ์ดในบางเวลาได้ด้วย
“สุดยอด!” หวูถงชิ่งถอนหายใจออกมา “ขนาดของกำนันเขาก็ยังไม่ยอมรับเอาไว้ แล้วฉันควรจะทำยังไงดี?”
“ทำไมท่านไม่กลับมาอีกครั้งในตอนบ่ายล่ะครับ?” คนขับรถถาม
“ก็ดี” เขาไม่อยากยอมแพ้จนกว่าเขาจะทำเป้าหมายของเขาให้สำเร็จ
“บางที เราน่าจะลองเข้าหาเขาผ่านทางตระกูลซูดูนะครับ” คนขับเสนอ
ภายในคลินิก ซูเสี่ยวซวีกำลังมีความสุขอยู่กับการได้นั่งคุยกับหวังเย้า
“จะไปเที่ยวที่ไหนกันดี?” หวังเย้าคิดหาที่เที่ยวไม่ได้เลย
ถ้าหากว่าเธอเป็นญาติของเขา เขาก็มีหลายที่ที่สามารถพาเธอไปได้ แต่เธอนั้นต่างออกไป เธอเป็นแขกที่เดินทางมาไกลหลายพันไมล์ เธอควรจะได้เที่ยวในที่ดีดี แต่เหลียนชานก็ไม่ได้มีสถานที่ให้เที่ยวมากนัก ที่ห่ายชิวมีที่เที่ยวอยู่เมืองหนึ่ง แต่มันก็ไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะที่จะไปที่นั่น
“เสี่ยวซวี เราน่าจะไปกันได้แล้วนะ” ซงรุ่ยปิงเห็นท่าทีขัดเขินของหวังเย้า เธอก็พอจะรู้ว่า เมืองเล็กๆแห่งนี้ไม่ได้มีที่ให้เที่ยวมากนัก
ทั้งสามจึงพากันกลับออกมา พวกเขาไม่ได้ทำตามแผนที่วางเอาไว้ รถขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างช้าๆ
“เสี่ยวซวีมีความสุขไหมจ๊ะ?” ซงรุ่ยปิงยิ้มและถามลูกสาวของเธอ
“หนูมีความสุขมากเลยค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“ที่นี่ไม่ใช่ปักกิ่ง มันเป็นแค่เมืองเล็กๆในหุบเขาก็เท่านั้น มันเลยไม่มีที่ให้เที่ยวเท่าไหร่” ซงรุ่ยปิงพูด “ถ้าเรายังอยู่ที่นี่กันต่อ ก็มีแต่จะทำให้หมอหวังต้องขายหน้า เราออกมาข้างนอกก็เพื่อผ่อนคลายและตรวจดูว่าร่างกายของลูกไม่มีปัญหาอะไร แค่นี้มันก็ดีมากแล้วนะจ๊ะ”
“ค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูดด้วยความพอใจ แต่เธอก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ช่วงเวลาแห่งความสุขมักจะสั้นเสมอ
เมื่อรถขับพ้นออกมาจากหมู่บ้าน พวกเขาก็พบว่ารถของหวูถงชิ่งจอดอยู่ข้างทาง และเขาก็ดูเหมือนว่ากำลังรอพวกเจอพวกเธออยู่
“หาที่จอดก่อน” ซงรุ่ยปิงพูด
รถชะลอและเข้าจอดข้างทาง หวูถงชิ่งลงมาจากรถของเขา และซงรุ่ยปิงก็ลงจากรถด้วยเช่นกัน
“ผมมีเรื่องอยากจะรบกวนหน่อยน่ะครับ” เขาพูด “เราไปหาที่คุยกันที่อื่นดีไหมครับ?”
“โอเค” ซงรุ่ยปิงพูด
สามสิบนาทีต่อมา พวกเขาก็มาเจอกันที่ร้านน้ำชาแห่งหนึ่งในเหลียนชาน
“ฉันคงจะช่วยอะไรไม่ได้จริงๆ” ซงรุ่บปิงพูด
การขอให้หวังเย้าไปรักษาคนไข้ให้คนอื่นนั้นดูเหมือนจะเป็นเรื่องง่าย แต่จากการที่ได้รู้จักหวังเย้ามา เธอก็พอจะเข้าใจอะไรในตัวเขาอยู่บ้าง ถึงแม้ว่าเขาจะยอมช่วยเพื่อเป็นการช่วยรักษาหน้าให้เธอ แต่ถ้าเขาไม่ยินดีที่จะทำ มันก็อาจจะส่งผลต่อความสัมพันธ์ของพวกเขาได้ และที่มากไปกว่านั้น เขาก็อาจจะไม่ไว้หน้าเธอเลยก็เป็นได้
“พี่เฉินหยิง แม่กับลุงหวูกำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่เหรอคะ? มันเกี่ยวกับหมอหวังรึเปล่า?” ซูเสี่ยวซวีที่นั่งอยู่อีกห้องหนึ่งถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
“ตอนนี้ หวูเหล่าป่วยหนักมาก เขาก็คงจะอยากให้หมอหวังไปรักษาพ่อของเขาที่บ้าน แต่หมอหวังก็ไม่ยอมตกลง” เฉินหยิงพูด “มีครั้งหนึ่ง ที่หวูถงชิ่งเคยมาขอให้คุณผู้หญิงช่วยพูดให้ ตอนที่หมอหวังอยู่ที่ปักกิ่งด้วยค่ะ”
“หมอหวังไม่อยากไปปักกิ่งใช่ไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“ค่ะ เขาดูเหมือนไม่ค่อยอยากจะไปสักเท่าไหร่” เฉินหยิงพูด “แล้วเขาก็ไม่อยากจะติดต่อกับตระกูลใหญ่ๆแบบตระกูลของคุณหนูด้วย”
“ทำไมละคะ?” ซูเสี่ยวซวีฟังอย่างตั้งใจ
“เพราะมันจะจำกัดอิสรภาพของเขาค่ะ” เฉินหยิงพูด
หลังจากที่ได้ฟังแล้ว ซูเสี่ยวซวีก็เข้าใจ เธอเป็นคนฉลาดและเข้าใจความหมายที่เฉินหยิงต้องการจะสื่อออกมา ปักกิ่งก็ไม่ต่างอะไรกับกรงขัง
“พี่เฉินหยิง พี่คิดว่า หมอหวังอาจจะต้องการความช่วยเหลือจากคนอื่นบ้างไหมคะ?” อยู่ๆซูเสี่ยวซวีก็ถามขึ้นมา
“หืม?” เฉินหยิงตกใจ “คุณหนูหมายความว่ายังไงคะ?”
“เขาเป็นหมอคนหนึ่ง เขาคงจะไม่สามารถทำทุกอย่างได้ด้วยตัวเองหรอกจริงไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีพูด “พี่คิดว่า เขาอาจจะต้องการความช่วยเหลือจากคนอื่นบ้างไหมคะ?”
นี่ไม่ใช่เรื่องดีแล้ว! เฉินหยิงเข้าใจได้ทันทีว่า เจ้าหญิงองค์น้อยข้างๆเธออาจจะกำลังมีความคิดแผลงๆอะไรอยู่ แล้วมันก็ไม่ใช่ความคิดที่ดีเลยด้วย คงไม่มีใครในตระกูลซูที่จะเห็นด้วยกับการที่จะให้เธอมาอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆในหุบเขาแบบนี้ มันคงจะกลายเป็นเรื่องราวของเจ้าหญิงที่ตกหลุมรักกับสามัญชนขึ้นมา
แต่เธอก็ไม่ได้พูดมันออกมา มันคงจะดีกว่าที่จะกลับไปและบอกเรื่องนี้กับแม่ของเธอแทน
หวูถงชิ่งและซงรุ่ยปิงไม่ได้อยู่คุยกันนานนัก
“ขอโทษที่ทำให้ต้องลำบากนะครับ” เขาพูด
“ฉันจะลองพยายามดู” เธอตอบ
เมื่อพวกเขาเดินออกมาจากร้านน้ำชา พวกเขาก็พบเข้ากับคนอีกกลุ่มหนึ่งที่กำลังเดินเข้ามา
“โอ้ คุณสวยมากเลย!” ชายวัย 40 คนหนึ่งถอนหายใจออกมา หนึ่งนั้นเต็มไปด้วยชีวิตชีวาและมั่นใจ ส่วนอีกคนก็งดงามราวกับนางฟ้า พวกเขาไม่เคยได้เห็นผู้หญิงหน้าตาดีขนาดนี้ในเหลียนชานมาก่อน
เขารู้สึกได้ถึงหัวใจที่กำลังเต้นแรงของตัวเอง เขาอยากจะเดินเข้าไปทักทายพวกเธอ แต่ก็มีร่างหนึ่งมาขวางเขาเอาไว้ ดวงตาของชายคนนี้คมกริบราวกับใบมีด
“เพื่อน นายกำลังขวางทางฉันอยู่นะ” ชายวัย 40 พูด
“ไปซะ!” น้ำเสียงนั้นเย็นเยียบไม่ต่างกับสภาพอากาศในเวลานี้
บนโลกนี้มักจะมีคนบางจำพวกที่คิดว่าตัวเองมีความสามารถ มันเป็นเพราะพวกเขาไม่เคยได้ออกไปเห็นโลกภายนอก เหมือนกับนกกระจอกที่ไม่เคยได้เห็นนกฟินิกส์
อะไรน่ะ! ชายคนนั้นล้มลงไปที่พื้น และกุมหน้าท้องของตัวเองเอาไว้ สภาพของเขาดูแย่มาก คนอื่นๆที่มาพร้อมกับเขาต่างก็พุ่งตัวเข้ามาช่วย พวกเขาไม่เคยเห็นคนที่สามารถต่อกรกับคนนับสิบได้มาก่อน
คนทั้งสองกลุ่มพากันเดินออกไปจากร้านน้ำชา ทิ้งให้คนที่เหลือร้องโอดโอยอยู่ด้านใน ไม่นาน เจ้าหน้าที่ตำรวจก็เดินทางมาถึง ชายที่มาพร้อมกับหวูถงชิ่งหยิบเอกสารบางอย่างออกมาและพูดแค่ไม่กี่ประโยค เข้าหน้าที่ตำรวจที่ดูเฉื่อยชาในตอนแรกก็กลายเป็นกระตือรือร้นในทันที
“ไปหาที่กินข้าว แล้วกลับไปที่หมู่บ้านนั้นอีกครั้งกันเถอะ” หวูถงชิ่งพูด
มันเป็นเวลาเที่ยงแล้ว แต่หวังเย้าก็ไม่รีบร้อนออกไปไหน เขานั่งศึกษาเอกสารที่ได้มาอยู่ที่โต๊ะ พวกมันคือเอกสารการรักษาที่หวูถงชิ่งนำมาให้เขา
เขาเพียงแค่อ่านมันครั้งเดียว เขาก็สามารถจดจำเนื้อหาได้แล้ว ด้วยความสามารถในการจดจำของเขา ขอแค่เขาต้องการ เขาก็สามารถจดจำทุกอย่างได้ในทันที หลังจากที่บันทึกรายละเอียดทั้งหมดลงไปในสมองแล้ว เขาก็เขียนพวกมันลงไปในกระดาษอีกครั้ง
ในช่วงเวลานี้ เขาไม่ต้องการเดินทางไปที่ปักกิ่ง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่สนใจเคสรักษาเคสนี้ ในความเป็นจริงนั้น เขาอยากจะลองรักษาดูสักครั้ง เขาได้ร่างแผนการรักษาขึ้นมา จากข้อมูลทั้งหมดที่มีอยู่ในเอกสาร
แล้วเสียงมือถือของเขาก็ดังขึ้นมา เขาหันไปมองดู และมันก็เป็นเวลาบ่ายโมงกว่าแล้ว ได้เวลาที่เขาควรจะกลับไปกินข้าวได้แล้ว
หลังจากที่ทานอาหารเสร็จ เขาก็ออกมาจากบ้านและเห็นรถสองคันจอดอยู่ที่หน้าคลินิกของเขา พวกเขาคือคนกลุ่มเดิมที่มาหาเขาเมื่อเช้านี้
“อีกแล้วเหรอ?” หวังเย้าพึมพำออกมา
“สวัสดีครับ หมอหวัง” หวูถงชิ่งพูด
“สวัสดีครับ คุณหวู” หวังเย้าพูด
เขาถือเป็นแขกคนหนึ่ง และเขาก็ยังมีมารยาทดีอีกด้วย ดังนั้น หวังเย้าจึงปล่อยให้พวกเขาเข้าไปในคลินิก
“คุณหวู เหมือนที่ผมพูดไว้ก่อนหน้านี้ ตอนนี้ผมยังไม่มีแผนที่จะเดินทางไปปักกิ่ง” หวังเย้าพูด
“ครับ ผมเข้าใจ เรื่องของเรื่องก็คือ คุณพอจะช่วยจัดยาให้พ่อของผมได้ไหมครับ?” หวูถงชิ่งถาม
“ผมไม่ได้เห็นคนไข้ ดังนั้น ผมก็ไม่สามารถวินิจฉัยอาการของเขาได้ ผมไม่สามารถจ่ายยาด้วยแค่การอ่านเอกสารพวกนี้เท่านั้น สรุปก็คือไม่ครับ” หวังเย้ารับฟังและตอบปฏิเสธเขาไปอย่างชัดเจน
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของหวังเย้าแล้ว หวูถงชิ่งก็เงียบไป จากนั้น เขาก็ได้เปิดเผยถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงในการมาครั้งนี้ของเขา “แล้วคุณพอจะมียาที่สามารถช่วยให้อาการของคนไข้ดีขึ้น โดยที่ไม่ส่งผลเสียต่อตัวคนไข้บ้างไหมครับ?”
เขามาเพื่อเสาะหายาที่สามารถรักษาชีวิตคนได้ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะใกล้ตายแล้วก็ตาม
“ยาเหรอครับ?ไ หวังเย้ามียาแบบนั้นอยู่จริงๆ
เขามียาอยู่สองอย่าง หนึ่งคือยาทั่วไปที่สามารถบำรุงร่างกาย และอีกอย่างหนึ่งก็คือซุปเป่ยหยวน
“ผมมีสูตรยาอยู่ครับ คุณสามารถเอามันกลับไปลองใช้ดูได้เลย” ในตอนที่พูดอยู่นั้น หวังเย้าก็เชียนสูตรยาตัวแรกและมอบมันให้กับหวูถงชิ่ง
หวูถงชิ่งอยากจะพูดว่า ฉันไม่ได้อยากจะได้เจ้านี่! แต่เขาก็พูดไม่ออก เขาทำเพียงแสดงความยินดีตามมารยาทเมื่อได้รับสูตรยามา “แล้วเรื่องราคาล่ะครับ?”
“ในเมื่อคุณต้องเดินทางมาตั้งไกล ผมไม่คิดเงินคุณหรอกครับ” หวังเย้ายิ้ม
เขาไม่ได้หวงสูตรยาตัวนี้มากนัก ถึงแม้ว่ามันจะไม่มีขายในตลาดก็ตามที “วัตถุที่ใช้ทำยาจะต้องมีอายุที่เหมาะสมด้วยนะครับ”
“ผมเข้าใจแล้ว ขอบคุณนะครับ” หวูถงชิ่งพูด
ก่อนที่เขาจะออกไป หวูถงชิ่งก็ได้ทิ้งตำราแพทย์เอาไว้เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณจากเขา ครั้งนี้ หวังเย้าไม่ได้ปฏิเสธเขา ซึ่งเขาถือว่ามันเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับสูตรยาที่เขาให้หวูถงชิ่งไป
เมื่อเดินออกมาจากคลินิกแล้ว หวูถงชิ่งก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ
“มันยังไม่ดีพอเหรอครับ?” คนขับถาม
“ออกรถ” หวูถงชิ่งพูด
“จะไปที่ไหนครับ ท่าน?” คนขับถาม
“กลับปักกิ่ง” หวูถงชิ่งพูด
เขาเดินทางกลับปักกิ่งไปพร้อมกับสูตรยาธรรมดาๆสูตรหนึ่ง ประสิทธิภาพของตัวยานั้นได้ผล แต่ก็ยังไม่ถือว่าเห็นผลได้ชัดเจนนัก
“เธอพูดว่าอะไนนะ? เสี่ยวซวีพูดออกมาแบบนั้นจริงเหรอ?” ซงรุ่ยปิงรู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ฟังคำพูดจากปากของเฉินหยิง
“ค่ะ” เฉินหยิงพูด
“โอ้ เด็กคนนี้นี่นะ!” ซงรุ่ยปิงอุทานออกมา “เธอไปจัดการทันทีที่เรากลับถึงปักกิ่งเลยนะ”
สายลมเย็นส่งเสียงหวีดหวิวเมื่อม่านราตรีโปรยตัวลงมา บนเนินเขาหนานชาน หากมองดูจากที่ไกลๆก็จะสามารถมองเห็นแสงไฟที่เล็กเท่าเม้กถั่วส่องสว่างอยู่ด้านบนนั้น
หญ้าหลี่สามารถใช้ในการรักษาแผลเน่าเปื่อยได้ หลิงชานจีสามารถขับพิษร้ายออกไปได้ ปอดคือหนึ่งในอวัยวะสำคัญทั้งห้าของร่างกายมนุษย์
หวังเย้าเขียนรายละเอียดต่างๆลงไป ในขณะที่คิดถึงวิธีการรักษาไปด้วย เมื่อรวมการรักษาด้วยการฝังเข็ม, การนวด, และกำลังภายใน เขาก็มีความมั่นใจถึง 80% ในการรักษาคนไข้ให้หายได้
ถึงแม้ว่าจะอยู่ห่างไกลกันหลายพันไมล์ แต่เขาก็สามารถที่จะจ่ายยาจากที่หมู่บ้านแห่งนี้ได้ จนกระทั่งถึงตอนนี้ เขาได้ปลูกสมุนไพรรากเอาไว้มากมายหลายชนิด และมีเพียงเซียนชิวหลัวเท่านั้นที่มีพิษ พิษของมันนั้นเกิดจากกลิ่น, เมือก, และดอกของมัน แต่หากได้ดื่มน้ำที่คั้นจากดอกไม้ของมันเข้าไป ก็จะสามารถป้องกันพิษของสมุนไพรชนิดนี้ได้
“เอาล่ะ เกือบจะเสร็จแล้ว” หวังเย้าพูดกับตัวเอง เขาเก็บของเข้าที่ ปิดไฟ และเข้านอน
เช้าวันต่อมา ไก่ขันปลุกทุกคนให้ตื่นขึ้นมา ท้องฟ้าเริ่มสว่าง แต่ดวงตะวันก็ยังไม่โผล่ออกมาให้เห็น ก้อนเมฆลอยอยู่เต็มท้องฟ้า
เวลา 9 โมงเช้า ตู้เฟิงเดินทางมาถึงที่คลินิก ยาที่เขาได้มานั้นหมดไปแล้ว แต่เขาก็รู้สึกได้ถึงร่างกายที่แข็งแรงขึ้น ในตอนที่กินยาของหวังเย้า เขาไม่ได้กินยาเม็ดที่ทางโรงพยาบาลให้มาเลย ตอนนี้ เขารู้สึกดีกว่าแต่ก่อนมาก
“ยาหมดแล้วเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ครับ” ตู้เฟิงพูด
“ผมขอตรวจดูก่อนนะครับ” หวังเย้าพูด
หลังจากที่ตรวจดูร่างกายของตู้เฟิงเรียบร้อยแล้ว หวังเย้าก็ขอให้เขาถอดเสื้อออกและนอนลง
หวังเย้าเริ่มทำการฝังเข็ม โดยแทงเข็มลงไปในบริเวณหน้าอกและหน้าท้องของเขา ซึ่งเป็นจุดสำคัญในการฝังเข็มรักษาในครั้งนี้ เขาแทงเข็มลงไปอย่างมั่นคง
“อ๊ะ!” ตู้เฟิงร้องออกมา
“เจ็บเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ครับ” ตู้เฟิงพูด
“มันรู้สึกร้อนเหมือนถูกเผารึเปล่าครับ?” หวังเย้าถาม
“ใช่ครับ” ตู้เฟิงรู้สึกเจ็บราวกับถูกมีดที่ร้อนราวกับไฟแทงลงมาบนร่างกายของเขา มันเจ็บมากจนเขาต้องร้องออกมา
หวังเย้ายังคงฝังเข็มต่อไป
…
ปักกิ่ง…
“พี่ อารมณ์ดีขึ้นบ้างรึยังครับ?” กั๋วเจิ้งเหอถาม
“ดีขึ้นแล้วล่ะ” กั๋วซือหรงดูเหมือนกำลังใจลอยอยู่
“พี่ ผมมีเรื่องบางอย่างจะบอกพี่ด้วย” กั๋วเจิ้งเหอพูด
“เรื่องอะไรเหรอ?” กั๋วซือหรงถาม
“ผมอยากจะแต่งงานกับเสี่ยวซวีครับ” เขาพูด
“อะไรนะ!” กั๋วซือหรงมองหน้ากั๋วเจิ้งเหอที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเธอ เขามีรอยยิ้มกว้างราวกับดวงตะวันที่ส่องแสงเจิดจ้า “ตอนนี้ เธอยังไม่หายดีเลยนะ”
“เกือบแล้วล่ะครับ ผมถามเฉินดูแล้ว ภายใน 10 วัน เธอก็น่าจะลุกขึ้นเดินได้แล้ว” กั๋วเจิ้งเหอพูด