Elixir Supplier - ตอนที่ 533
533 ที่นี่คือสถานที่รักษาคน ไม่ใช่สถานที่ต่อสู้
เมื่อหวูถงชิ่งแนะนำให้ได้รู้จัก หวังเย้าจึงได้รู้ว่าเขาทำงานเป็นเลขา เขารับผิดชอบในการติดต่อกับหวังเย้า ในตอนที่หวูถงชิ่งไม่สะดวกมาเอง
“ผู้บัญชาการครับ ผมสามารถจัดการเรื่องที่นี่ได้ งานของท่านคงจะยุ่งมาก ท่านกลับไปก่อนได้เลยนะครับ” หลังออกมาจากหมู่บ้านแล้ว เชินจ้าวหยูก็พูดกับหวูถงชิ่ง
“ไม่ต้องห่วง ก็แค่หยุดงานวันเดียวเอง” หวูถงชิ่งตัดสินใจอยู่ค้างคืนหนึ่ง
หลังจากที่ส่งหวูถงชิ่งออกไปเรียบร้อยแล้ว หวังเย้าก็เริ่มเตรียมสมุนไพรต่างๆสำหรับทำยา
ในตอนที่เขากำลังจะขึ้นไปบนเขาเพื่อเตรียมยา หวังหมิงเปาก็มาหา เขาเพิ่งจะกลับมาจากการไปเยี่ยมครูหานมา และเขามีท่าทางภาคภูมิใจอย่างมาก
“ฉันมีข่าวดีจะบอกล่ะ!” เขาก็ตะโกนขึ้นมาทันทีที่เดินเข้ามาด้านใน
“ข่าวดีอะไรเหรอ?” หวังเย้าถาม
“ฉันจะได้เป็นพ่อคนแล้ว!” หวังหมิงเปาตะโกน
“หา?” หวังเย้าตกใจ เขาคิดไม่ถึงมาก่อนเลย “ยินดีด้วย”
หวังหมิงเปามีความสุขมากจนอดหัวเราะออกมาไม่ได้
“นายต้องรีบแต่งงานเลยไหม?” หวังเย้าถาม
“อืม หาวันเอาไว้เรียบร้อยแล้ว นายสนใจจะแต่งพร้อมกันเลยไหมล่ะ?” หวังหมิงเปาถาม
“มันยังเร็วเกินไป!” หวังเย้ายิ้ม
หวังหมิงเปาอยู่คุยไปถึงเวลาเที่ยง เขาพูดว่า “มา ไปกินข้าวที่บ้านฉันกันดีกว่า”
“ไม่ล่ะ ขอบใจนะ ฉันต้องกลับไปกินข้าวที่บ้านน่ะ” หวังเย้าพูด
“โอเค ไว้ฉันจะเลี้ยงนายวันอื่นนะ แล้วเราไปหาอะไรกินด้วยกัน” หวังหมิงเปาพูด
“เข้าท่าดีนี่” หวังเย้าพุด
หวังหมิงเปาจากไปอย่างสุขใจ
เขาจะแต่งงานแล้ว! หวังเย้าถอนหายใจออกมาเบาๆ
ในตอนกลางวัน ไม่มีคนไข้มาที่คลินิกของเขาเลยสักคน เขาจึงล็อกประตูและเดินขึ้นไปบนเนินเขาหนานชาน มันเงียบสงบมาก หวังเย้าเดินไปที่แปลงสมุนไพรและเดินเล่นรอบๆด้านหลังภูเขา
จากนั้น หวังเย้าก็เตรียมสมุนไพร เขานำสมุนไพรที่ปลูกเอาไว้ในแปลงบนเนินเขาหนานชาน ซึ่งเต็มไปด้วยพลังวิญญาณลงไปต้มในหม้อ ไม่ว่าจะเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืน มันก็ไม่มีผลกับประสิทธิภาพของตัวยาเลยสักนิด
ในคืนนั้น มีฝนโปรยลงมา มันไม่ได้มากหรือน้อยเกินไป ภายในกระท่อม ฟืนที่เก็บได้จากบนเขากำลังเผาไหม้ ภายในหม้อ มีสมุนไพรกำลังถูกต้มอยู่
หวงฉี, ตานเซิน, หญ้าหลี่, จื้อชาน, ชานหยาง, กุยหยวน,… หวังเย้าเตรียมสมุนไพรเหล่านี้เอาไว้ในตอนกลางวัน กลิ่นเฉพาะของตัวยาค่อยๆลอยออกไปถึงแปลงสมุนไพรที่อยู่ด้านนอก
จากฝนก็ค่อยๆเปลี่ยนกลายเป็นหิมะ มันตกลงมาจนถึงกลางดึก วันต่อมา ท้องฟ้ามืดครึ้มเล็กน้อย
“หมอคนนี้อวดดีจริงๆ” เชินจ้าวหยูพูดพร้อมกับพ่นลมหายใจออกมา มันเป็นครั้งแรกที่เขาได้เดินทางมาพร้อมกับเจ้านายของเขา และยังเป็นครั้งแรก ที่เขาต้องมารอเจอหมอนานถึง 30 นาที เจ้านายของเขาไม่ได้แสดงความไม่พอใจออกมาเลยสักนิด ซึ่งมันดูผิดปกติอย่างมาก
“คุณมาแล้ว” ชายหนุ่มเดินลงมาจากเขาอย่างช้าๆ
“คุณมาเช้ามากเลยนะครับ” หวูถงชิ่งพูด “คุณลงมาจากเขาเหรอครับ?”
หวังเย้าเปิดประตูและเชิญแขกของเขาเข้าไปด้านใน เขาส่งยาให้กับหวูถงชิ่ง ผู้มีเงินถุงเงินถัง ถึงแม้ว่าหวูถงชิ่งเพิ่งจะมาถึงเมื่อตอนกลางวันของเมื่อวาน แต่เขาหวังเย้าก็ได้รับเงินจากเขาอย่างรวดเร็ว
ยาหนึ่งขวดมีราคา 2 ล้านหยวน มันทำให้เชินจ้าวหยูต้องตกใจ เขาคิดในใจ มันแพงมาก การขายยามันได้เงินง่ายมากจริงๆ! มันสามารถทำเงินได้เร็วยิ่งกว่าการปล้นธนาคารด้วยซ้ำ!
ในตอนนี้ เขาเกิดความคิดร้ายๆขึ้นมา แต่เขาก็จัดการลบมันออกไปจากใจอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่ได้ยามาแล้ว หวูถงชิ่งก็กลับไป
“มีคำถามอะไรรึเปล่า?” ภายในรถ อยู่ๆหวูถงชิ่งก็พูดกับเชินจ้าวหยู ผู้เป็นคนสนิทของเขา เขาเป็นคนขยันทำงานและซื่อตรงมานานเกือบ 10 ปี ดังนั้น เขาจึงได้กลายเป็นคนสนิทของหวูถงชิ่ง
แต่คนเรามักมีทั้งข้อดีและข้อเสียอยู่เสมอ เพราะการที่เขากลายเป็นคนสนิท มันก็ทำให้เขามีความหยิ่งยโสเล็กน้อย
“มีบางคนที่ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่มีสิทธิมีเสียงหรือเงินทอง แต่พวกเขามีอยู่อย่างหนึ่งก็คือความสามารถที่น่าอัศจรรย์ ดังนั้น นายต้องให้ความเคารพพวกเขา” หวูถงชิ่งพูด เขาพูดออกไปแบบนี้ ก็เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เชินจ้าวหยูสร้างความไม่พอใจให้กับหวังเย้า เพราะเขายังต้องพึ่งพาหวังเย้า ในการรักษาอาการป่วยของพ่อเขา
“ผมรู้ครับ ผู้บัญชาการ” เชินจ้าวหยูตอบกลับด้วยความนอบน้อม เขาเข้าใจความของหวูถงชิ่งดี เขาจะต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับหวังเย้า
…
ปักกิ่ง สายฝนเปลี่ยนกลายเป็นเกล็ดหิมะ
“เฮ้อ หิมะตกอีกแล้ว!” ซูเสี่ยวซวีนั่งอยู่ตรงหน้าต่างและจ้องมองท้องฟ้าที่มืดครึ้ม
“ลูกไม่ชอบหิมะเหรอจ๊ะ?” ซงรุ่ยปิงที่อยู่ข้างๆลูบศีรษะของลูกสาวที่น่ารักของเธอ
“ก็เวลาหิมะตก มันทำให้หนูออกไปไหนไม่ได้นี่คะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
เธอสามารถเดินไปไหนมาไหนได้ด้วยตัวเองแล้ว แน่นอนว่าเธอยังต้องไปอย่างช้าๆและระมัดระวัง แต่มันก็ถือเป็นการพัฒนาที่ใหญ่มากสำหรับเธอ ในเมื่อเธอสามารถเดินได้แล้ว เธอก็เอาแต่คิดที่จะออกไปข้างนอก เพื่อไปดูปักกิ่งและโลกภายนอก
“ลูกอยากจะไปที่ไหนเหรอจ๊ะ?” ซงรุ่ยปิงถาม “แม่จะไปกับลูกเอง”
“ช่างมันเถอะค่ะ” ซูเสี่ยวซวีส่ายหน้า เธออยากจะไปเห็นทะเล
“ก็ได้จ๊ะ เห็นพี่ชายของลูกบอกว่า เขาจะไปเหลียนชานสักสองวันนะ” ซงรุ่ยปิงพูด
“ไปทำไมเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“ไปทำธุระจ๊ะ ตอนขากลับ เห็นบอกว่าจะแวะไปหาหมอหวังด้วย” ซงรุ่ยปิงพูด
“งั้นเราก็ไปด้วยสิคะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“แม่ก็อยากจะบอกว่าได้อยู่หรอก แต่มันไม่ได้น่ะสิจ๊ะ นี่ก็ใกล้จะถึงวันที่ 15 แล้วด้วย” ซงรุ่ยปิงพูด “เราคงต้องอยู่บ้านไปก่อน ไว้ค่อยไปกันทีหลังนะ”
“ได้ค่ะ” ซูเสี่ยวซวีมองออกไปนอกหน้าต่าง
รถคันหนึ่งขับเคลื่อนไปบนถนนราวกับจะบิน มันเป็นรถของกองทัพ
“บอส เราจะไปไหนกันเหรอ?” ชายคนหนึ่งถาม
“ไปหาปรมาจารย์” ซูจือฉิงพูด
“ปรมาจารย์เหรอ?” ชายที่นั่งหลับตาอยู่ที่นั่งด้านหลังลืมตาขึ้นมาในทันที “คนคนนั้นเก่งเหมือนอย่างที่นายว่าจริงๆรึเปล่า?”
“พอไปเจอเขานายก็จะรู้เองแหละ แล้วนายก็สามารถขอคำแนะนำตอนนายไปถึงที่นั่นได้ด้วย” ซูจือฉิงพูด
“ฉันจะทำแน่นอน” ชายที่นั่งอยู่ด้านหลังพูด “ถ้าไม่อย่างนั้น ฉันจะลามาเพื่ออะไรกันล่ะ?”
“นี่ ทำไมเราถึงขึ้นเขากันล่ะ?” ชายอีกคนถาม
“ก็เขาอยู่บนเขาน่ะสิ” ซูจือฉิงพูด
รถขับเคลื่อนไปตามถนนคอนกรีตที่ถูกขนาบข้างด้วยภูเขา ไม่นาน หมู่บ้านเล็กๆกลางหุบเขาก็ปรากฏขึ้นในสายตาของพวกเขา รถหยุดลงที่ทางทิศใต้สุดของหมู่บ้าน มีคนหลายคนลงมาจากรถคันนั้น
“มันเป็นบ้านที่ตั้งอยู่ทางทิศใต้สุด และยังสวยที่สุดในหมู่บ้านอีกด้วย ฉันเห็นมันแล้ว!” ซูจือฉิงมองเห็นอาคารรูปแบบเจียงหนานตั้งอยู่ทางทิศใต้ของหมู่บ้าน
ประตูไม่ได้ล็อกไว้ หวังเย้านั่งอยู่ด้านในคลินิก เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น เขาก็วางหนังสือในมือลง
“เชิญเข้ามาได้” มีเสียงหนึ่งดังลอดผ่านประตู หน้าต่าง แล้วลอยไปเข้าหูกลุ่มคนที่ยืนอยู่ด้านนอก
“หืม?” แววตาของชายที่มีคิ้วคมเข้มเป็นประกายขึ้นมา
พวกเขาผลักประตูเปิดเข้าไป การตกแต่งสวนเล็กๆด้านในนั้นงดงามสบายตา
ชายทั้งสามที่กำลังเดินเข้ามานั้น พวกเขามีการไหลเวียนของพลังฉีและโลหิตที่แข็งแรง และยังเต็มไปด้วยพละกำลัง พวกเขาแข็งแรง ยกเว้นคนหนึ่งที่มีปัญหาที่กระเพาะอ่อนๆ
“หมอหวังเย้า สวัสดี” ซูจือฉิงพูดออกมาด้วยรอยยิ้มกว้าง
“เราเคยเจอกันมาก่อนเหรอครับ?” เมื่อหวังเย้าเห็นหน้าของซูจือฉิง เขาก็รู้สึกคุ้นตา มันคล้ายกับว่า เขาเคยเจอชายคนนี้ที่ไหนมาก่อน
“ใช่แล้ว ผมเป็นพี่ชายของซูเสี่ยวซวียังไงล่ะ” ซูจือฉิงพูด
“คุณมาหาหมอเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“เปล่าหรอก เรามาเพื่อขอคำชี้แนะต่างหากล่ะ” ซูจือฉิงพูด
“อะไรนะ? ชี้แนะเหรอ?” หวังเย้ารู้สึกสับสน
“กังฟู” ชายคิ้วเข้มพูด
“กังฟู?” หวังเย้าอึ้งไป
นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนมาขอคำชี้แนะจากเขาในครั้งแรกที่ได้พบหน้ากัน มีบางคนที่รู้ว่าเขาสามารถต่อสู้ได้ เขาพยายามที่จะไม่แสดงความสามารถต่อหน้าคนนอก แต่ตอนนี้กลับมีคนมาขอคำชี้แนะจากเขา
“ผมแค่รักษาโรคเท่านั้น” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม เขาไม่ต้องการให้เรื่องแบบนี้มารบกวน
“ฉันชื่อ จางหยวนหยาง ฉันอยากจะขอคำชี้แนะสักเล็กน้อย” ชายคิ้วเข้มชูกำปั้นขึ้นมา
“ต้องขอโทษด้วย” หวังเย้ายิ้มและโบกมือ
ทั้งสามต่างตกตะลึง พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า หวังเย้าจะปฏิเสธออกมาแบบนี้
“หมอ วันนี้เรามาเพื่อขอคำชี้แนะเล็กน้อยเท่านั้นเอง” ซูจือฉิงพูด
“นี่เป็นสถานที่รักษาคน ไม่ใช่สถานที่สำหรับต่อสู้นะครับ” หวังเย้าพูด “ถ้าคุณป่วย ผมก็จะรักษาให้ แต่ถ้าคุณไม่ได้ป่วย ก็เชิญกลับไปได้แล้วครับ”
จางหยวยหยางคิ้วชนกัน เขารู้ว่า หมอหวังคนนี้อาจจะอยู่ในระดับปรมาจารย์ มันคงจะเป็นเรื่องน่าเสียดาย ที่เขาไม่ได้ขอคำชี้แนะทั้งๆที่ได้มาพบหน้ากันแล้ว
คงต้องขอโทษที่ทำให้ไม่พอใจแล้วล่ะนะ! เขาพุ่งตัวออกไปและปล่อยหมัด เขาตั้งใจโจมตีไปที่จุดกึ่งกลางของร่างกาย หมัดของเขาคือวิชาปาจีที่อัดแน่นไปด้วยพลัง
หวังเย้าเคลื่อนตัวเพียงเล็กน้อย